วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เมื่อผมรักษาตัวเอง

ในระยะเวลาสองเดือนกว่าๆที่ผ่านมา ผมมีภาระกิจเพิ่มเติมจากงานปกติมากขึ้นอีกเล็กน้อย แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร นั่นก็คือผมต้องดูแลพื้นที่เพิ่มขึ้นในบางส่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนในจังหวัดกระบี่ก็ดูแลเต็มพื้นที่เหมือนเดิม

ในช่วงแรกๆที่เริ่มทำงานในหน้าที่ใหม่นั้นก็ดูเหมือนจะสบายๆไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่พอผ่านเข้าสัปดาห์ที่สองเท่านั้นเองครับ ผมก็เริ่มมีปัญหา

ปัญหาที่ว่าก็คือ ปัญหาจากสภาพอากาศ สภาพอากาศที่แตกต่างกันมากมาย ในพื้นที่ที่ผมรับผิดชอบ ช่วงแรกมีพายุฝนฟ้าคะนองในแถบทะเลอันดามัน ฝนตกหนัก ผมต้องทำงานกลางฝนไปบ้างในบางเวลา แต่เมื่อผมเดินทางเข้ามาทำงานในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช แดดก็ร้อนเสียจนปรับตัวแทบไม่ทัน ยิ่งในสัปดาห์ที่สาม ที่ผมรับงานชิ้นนี้มานั้น ฝนตก แดด ออกอย่างไม่เป็นเวลา อยู่ดีๆ ฝนก็ตก อีกซักพักแดดก็ออก พอค่ำๆ ฝนก็ตกลงมาอีก

ดังนั้น ไม่ว่าจะมีใครบางคนเคยเรียกผมว่าคนเหล็ก หรือ มนุษย์หิน หรืออะไรๆอีกหลายๆอย่าง ก็ไม่อาจที่จะห้ามไม่ให้ผมป่วยได้ ผมป่วยมีไข้สูงพอสมควรแต่ไม่ถึงกับหนักมาก แต่ที่ร้ายที่สุดคือผมมีอาการไอ แพ้อากาศ ที่เต็มไปด้วยฝุ่น ในที่ทำงาน ทั้งๆที่ทางบริษัทให้อุปกรณ์ป้องกันไว้หมดแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถจะป้องกันสิ่งเหล่านี้ได้ทั้งหมด สรุปว่าผมต้องนอนซมอยู่กับบ้าน เพื่อให้อาการป่วยของผมดีขึ้น แต่เมื่อมีงานเข้ามาผมก็ต้องออกไปทำงานตามปกติ

จนเมื่อเดือนที่แล้ว ผมมีเพื่อนร่วมงานเข้ามาอีกหนึ่งคน ที่มาทำงานอยู่กับผมเพื่อเรียนรู้ระบบงาน ก่อนที่จะแยกออกเป็นอีกหนึ่งทีม เพื่อที่จะได้แบ่งเบาการทำงานของผมลงไป แต่จะด้วยสาเหตุอะไรก้ไม่ทราบได้ เพื่อนผมก็ออกอาการป่วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นสภาพในการทำงานของเราทั้งคู่จึงมีสภาพไม่ต่างอะไรกันกับ ไก่ที่ติดเชื้อ อหิวาห์ สองตัว ที่ต้องเดินทางตะลอนๆไปทำงานกันทั้งกลางวันและกลางคืน

นอกจากนี้มนุษย์ที่ไม่เคยเจ็บไม่เคยป่วย อีกคนหนึ่ง ที่ผมมักจะโทรไปปรึกษาเสมอๆเวลาที่ผมเจ็บป่วยก็มามีอาการเหมือนๆกันเสียอีก นั่นคือเป็นไข้ และเจ็บคออย่างหนัก ดังนั้นผมจึงขาดที่ปรึกษาสำคัญไปเสียอีก ผมจึงต้องหาวิธีรักษาอาการป่วยของผมด้วยตัวเอง แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ไปโรงพยาบาลครับ ผมคิดว่า อาการป่วยแบบนี้ มันต้องมีวิธีรักษาที่ดีกว่าการไปหามอ จ่ายเงิน ค่ายา เอายามากิน แน่ๆ อยู่ที่ว่าผมจะหาเจอหรือเปล่าเท่านั้นเอง

อาการเจ็บคอของผมนั้น มันเจ็บแบบ เหมือนมีแผลอยู่ในคอ ถ้าอยู่เฉยๆก็จะไม่เป็นไร แต่ถ้า พูดคุยนานๆ ก็จะไออย่างน่ากลัว และเจ็บร้าวไปทั้งตัวเลยครับ ร่างกายก็ร้อนๆอยู่ตลอดเวลา มันอึดอัดไปหมด ไม่ว่าจะเดินหรือทำงานมันเฉื่อยๆชาๆ ไปเสียหมดอ่อนเพลีย ตัวร้อน และไปอย่างน่ากลัวอยู่ตลอดเวลา

วันหนึ่งผมต้องไปงานเลี้ยงที่จังหวัดนครศรีธรรมราช แม่ของน้องที่นั่นถามผมว่า ผมป่วยมีอาการอย่างไรบ้าง พอผมบอกอาการเสร็จ แกก็ขับมอเตอร์ไซค์หายไป แล้วกลับมาพร้อมกับยา ห้าเม็ด สีสันสวยงามมากๆ พร้อมกับบอกให้ผมกินพร้อมกันในคราวเดียวกัน เดี๋ยวก็จะหาย

หลังจากที่ผมกินยาทั้งห้าเม็ดนั้นไปได้ซักครู่ มนุษย์ตัวใหญ่ๆแบบผมก็ฟุบหลับลงไปทันที เมื่อตื่นขึ้นมาก็ต้องนั่งทบทวนอยู่แป๊บนึงว่า ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน นี่ถ้ากินตอนจะขับรถละก็ มีหวังได้เหลือแต่ชื่อแน่นอนครับ และเมื่อตื่นขึ้นมาอาการร้อนๆหนาวๆก็หายไปเป็นปลิดทิ้งเช่นกัน แต่เมื่อมาถึงบ้านทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม

คราวนี้ ผมได้ยาเป็นยาที่ทำมาจาก ฟ้าทะลายโจร ของพ่อ อ่านข้างๆขวดบอกว่าให้กินครั้งละ สองถึงสามเม็ด หลังอาหาร ผมลองกินอยู่สามสี่ครั้งก็ไม่ดีขึ้นซ้ำยังดูเหมือนว่า มันจะแย่ลงกว่าเดิมเสียอีก

คราวนี้ผมเริ่มอ่อนเพลียเพิ่มมากขึ้น งานก็มากขึ้นเพราะมีพายุกระหน่ำเข้ามาในพื้นที่ภาคใต้ ฝั่งอันดามัน ฝนตกทุกวัน แถมบางวันผมต้องกลายเป็น คนสองทะเล เดินทางจากฝั่งอ่าวไทยไปอันดามัน แล้วกลับมาฝั่งอ่าวไทยอีกที ทำให้สภาพร่างกายของผมดูแย่ลงไปมากขึ้นเรื่อย เหตุการณ์ก็คงจะคล้ายๆกับเมื่อ ห้าปีที่แล้วที่ใครๆก็จะถามผมว่า เป็นอะไร อยู่ที่ไหน กินข้าว หรือยัง กินยาหรือยัง และสารพัดคำถามที่จะให้ผมตอบ ทั้งๆที่ผมบอกว่าผมเจ็บคอถ้าพูดมากๆ ผมก็จะไอและปวดเจ็บไปทั้งตัว

จนเมื่อถึงขีดสุดของอาการเจ็บนั้น ผมไอออกมามีลิ่มเลือดติดออกมาด้วย มันทำให้ผมรู้แล้วว่า อาการของผมมันหนักมากแล้ว ผมคงต้องขอลาหยุดไปนอนให้พยาบาล จับมือ เจาะเลือดเล่นๆซักสองสามวันเป็นแน่แท้ แต่ก็เหมือนกับมีอะไรมาดลใจให้ผมได้เจอกับหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือที่เปลี่ยนแนวชีวิตของผมไปเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ หนังสือ ต.คนฉบับเดือนสิงหาคมครับ

ในหนังสือมีเรื่องราวของหมอเขียว ที่รักษาโรคด้วยพืชและการปรับสภาพร่างกาย ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ลองไปหามาอ่านกันดูนะครับ ดีมากจริงๆ ผมกับเพื่อนที่ทำงานด้วยกันก็เริ่มทดลองทำตาม พร้อมทั้งซื้อไปฝากพี่ที่ป่วยอยู่ที่สุราษฎร์ธานีด้วยอีกหนึ่งเล่ม เพื่อที่จะได้ทดลองรักษาตัวเองกัน เพราะพี่คนนั้นโทรมาบอกกับผมว่า ไปหาหมอที่โรงพยาบาล แล้วเอายามากิน กินจนยาหมดแล้วอาการก็ไม่ดีขึ้นเลย ดังนั้นเมื่อผมนำหนังสือเล่มนี้ไปฝาก พี่คนนี้ก็เลยทดลองปฏิบัติดูด้วยเช่นกัน

ผมเริ่มต้นจากการลดการกินอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน อย่างพวกแกงพริก แกงคั่ว ต่างๆที่แถวๆภาคใต้บ้านผมนิยมชมชอบกันเป็นอย่างมาก ลดการดื่มเครื่องดื่มต่างๆ ลงมาเป็นน้ำเปล่า (ดื่ม คาราบาวแดงอยู่บ้างในบางวัน) กินผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของผม ที่มีฤทธิ์ร้อนอยู่ภายใน ผมเลือกกินแก้วมังกร เพราะที่บ้านมีอยู่พอสมควร ผมกินแก้วมังกรเป็นอาหารมื้อเย็น กินผักให้มากขึ้น กินกล้วยน้ำว้า ไม่กินกล้วยหอม เพราะร่างกายของผมต้องการอาหารที่เป็นความเย็นเข้าไปลดอุณหภูมิ ของความร้อนในร่างกาย

ผมไม่กินอาหารมื้อเย็น นอกจากผลไม้ ลดปริมาณเนื้อลง เพิ่มส่วนที่เป็นผักให้มากขึ้น ผมทำกับข้าวกินเอง ใช้แตงกวามาผัดกับไข่ โดยไม่ใส่กระเทียม กินอาหารแบบไม่ปรุงเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นข้าวแกงหรือ ก๋วยเตี๋ยว ที่กินตามร้านต่างๆในเวลาที่ออกไปทำงาน มาแบบไหนก็กินแบบนั้น ดื่มน้ำมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเกือบเท่าตัว

สามวันผ่านไปหลังจากที่ผมเริ่มทำการรักษาตัวเอง ร่างกายผมเบาลงกว่าแต่ก่อน ถึงจะรู้สึกทรมานไปบ้างในตอนค่ำที่ไม่ได้กินอาหาร แต่พอตื่นเช้าขึ้นมาก็ไม่มีอาการหิว การขับถ่ายเป็นไปอย่างปกติ ปัสสาวะออกมาไม่เป็นสีเหลือง เหมือนแต่ก่อน เริ่มรู้สึกหนาว ขึ้นมาในเวลาที่สมควรจะหนาว ทั้งๆที่เมื่อก่อนเวลานอนในโรงแรมที่ต่างจังหวัดผมเปิดแอร์ 15 องศา แต่ยังต้องถอดเสื้อนอนอยู่บ้างในบางครั้ง

สัปดาห์ต่อมา ผมเริ่มกินอาหารน้อยลง เวลาทำงานร่างกายจะขับเหงื่อออกมามากขึ้น ทำให้รู้สึกโล่ง ตัวเบา สบายตัวกว่าแต่ก่อน ทั้งๆที่มีคนบอกกับผมว่า ทำงานแบบผม ต้องกินเยอะๆ กินน้อยๆแบบนี้ ไม่มีแรงทำงานหรอก ต้องกินเนื้อสัตว์ให้มากมันจะได้มีโปรตีน ถ้ากินผักกับผลไม้มากๆร่างกายจะไม่มีแรง จะทำงานไม่ไหว แต่เมื่อผมทดลองทำผมก็ยังทำงานไหวอยู่และดูเหมือนกับว่าร่างกายของผมจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก

แต่กว่าจะถึงช่วงนี้ผมรู้เลยว่าร่างกายของผมต้องขับสารพิษออกจากร่างกายของผมอย่างหนัก เพราะผมเองไม่เคยใช้ชีวิตแบบนี้มาก่อน ผมกินไม่เป็นเวลา บางครั้งมื้อเช้ากินตอนบ่ายสอง มื้อสุดท้าย กินตอนตีสามตีสี่ อยู่บ่อยครั้ง ทำให้ร่างกายของผมมันเจ็บป่วยเพราะใช้ร่างกายแบบไม่ปล่อยให้มันได้พักเลย

ทุกวันนี้ในตู้เย็นที่บ้านผมจะมีสารพัดผักที่จะเอามาทำอาหาร มีผลไม้มากมายมาแทนที่ ไส้กรอก หมูบด และมาม่า และไม่ต้องเสียเวลากับร้านสะดวกซื้อในขณะเดินทางเหมือนเมื่อก่อน และเมื่อถามพี่คนที่ผมซื้อหนังสือไปฝากก็ได้รับคำตอบเหมือนๆกัน นั่นก็คือ หายป่วยแบบเด็ดขาดไม่มีอาการเจ็บคอ ตัวร้อนอีกเลย

ผมจึงสรุปเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวผมและคนรอบข้างว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะตัวเราเอง การดูแลสุขภาพที่ถูกวิธีไม่จำเป็นต้องกิน อาหารเสริมขวดละพัน แค่กินให้พอดี และ กินให้ถูกต้องตามความต้องการของร่างกายตัวเองแค่นี้ก็ทำให้สุขภาพดีขึ้นมาได้แล้ว และเมื่อการกินที่ดีบวกกับการออกกำลังกายยิ่งทำให้สุขภาพร่างกายของเราแข็งแรงได้โดยไม่ต้องพึ่งอาหารเสริมใดๆเลยครับ

ที่ผมบ่นๆมาทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับใครบางคน หรือเป็นเรื่องที่หลายๆคนทำอยู่แล้ว แต่ที่ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นก็เพื่อจะบอกกับคนที่ยังไม่รู้หรือคนที่ยังไม่ได้ทำครับ ลองปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตกันดูนะครับ ร่างกายแข็งแรงขึ้นจริงๆนะครับ ใช้เงินน้อยลงมาก มื้อหนึ่งไม่เกินสามสิบบาท แต่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าการกินอาหารเสริมราคาแพงมากมายเลยครับ

นภดล www.siamsouth.com