วันอังคารที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2554

เส้นทางสายเก่า

ที่มาจาก http://www.siamsouth.com

หนึ่งเดือนเต็มๆที่ผมต้องเดินทางไปๆมาๆ ระหว่างจังหวัดกระบี่และสุราษฎร์ธานีทั้งกลางวันและกลางคืน บนถนนสายเดิมสายนี้ ถนนสาย 44 ที่สร้างขึ้นตามโครงการ เชื่อมฝั่งทะเลอ่าวไทยและอันดามัน ถนนสายนี้ผมใช้เป็นเส้นทางหลักในการเดินทางตั้งแต่สมัยที่ผมดูแลพื้นที่จังหวัดภุเก็ต พังงา ตั้งแต่สมัยที่มันยังสร้างไม่เสร็จ ขับรถไปก็ลุ้นกันไปว่ามันจะมีทางเบี่ยงตรงไหน จะมีอะไรตัดหน้ารถหรือเปล่า นับมาจนถึงขณะนี้ผมใช้เส้นทางสายนี้มาเกือบๆสิบปีแล้วครับ

ถนนสายนี้มีคนใช้งานไม่มากนักถ้าเทียบกับเส้นทางสายอื่นๆในภาคใต้แต่ผมคิดว่าเป็นเส้นทางที่สวยงามมากที่สุดสายหนึ่งเลยทีเดียวผมชอบที่จะหยิบโทรศัพท์มาถ่ายภาพถนนสายนี้ไว้เสมอเวลาที่ได้เห็นภาพสวยๆขณะเดินทาง ทั้งๆที่มันก็เป็นภาพมุมเดิมๆ ไม่ได้แตกต่างอะไรกันมากมาย แต่ผมก็ยังอดไม่ได้ที่จะถ่ายภาพเหล่านี้มาเก็บเอาไว้เป็นบันทึกการเดินทางส่วนตัว


ผมใช้เส้นทางสายนี้แทบจะทุกวันจนนับไม่ได้ว่ากี่ครั้งแต่ไม่ต่ำกว่าพันครั้งแน่นอนตลอดระยะเวลาที่ถนนสายนี้เปิดใช้ แต่เมื่อวานนี้ที่ผมใช้ถนนสายนี้เดินทางกลับบ้าน มันเป็นช่วงเวลาที่ผมมีความรู้สึกบางอย่างเกิดขึ้นมา เป็นความรู้สึกเหงาๆอย่างบอกไม่ถูก ช่วงเวลาที่ผมเดินทางกลับมานั้นเป็นช่วงบ่ายๆเกือบจะเย็น ผมขับรถมาช้าๆ ใช้ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ขับมองสองข้างทางไปเรื่อยๆ ใจก็คิดเรื่องนู้นเรื่องนี้มาตลอดเส้นทาง

บางครั้งผมหันไปดูสวนปาล์มน้ำมันที่อยู่ข้างทาง ที่ดินแปลงนี้ผมเห็นตั้งแต่เจ้าของที่เริ่มโค่นต้นไม้ เริ่มปรับแต่งที่ดิน เริ่มปลูกต้นปาล์ม จนกระทั่งบัดนี้ ต้นปาล์มแปลงนี้ก็ให้ผลผลิตแล้ว แต่ผมยังขับรถอยู่เหมือนเดิม...

และเหมือนกับอะไรมาดลใจ เพลงที่ผมเปิดในรถก็เล่นเพลงของ พี่สุริยา ช้างเผือก นักร้องนักดนตรีแนวเพื่อชีวิต จากจังหวัดชลบุรี ขึ้นมาพอดี เพลงทางสายเก่า เป็นอีกหนึ่งเพลง ของพี่สุริยา ที่ผมชอบฟัง ผมว่าเป็นเพลงที่ดูซื่อๆดีครับ ไม่วกวนฟังง่ายๆสบายๆ และที่สำคัญมันเข้ากับชีวิตของคนเดินทางอย่างผมเป็นอย่างมาก นอกเหนือไปจากเพลงหนุ่มพเนจร ที่ว่า "บนถนนหนทางซุปเปอร์ไฮเวย์ หนุ่มพเนจร ท่องไปตามฝัน..."

พูดถึงพี่สุริยา ช้างเผือก คงจะมีอีกหลายๆคนที่ไม่รู้จัก แน่นอนครับ เพลงดีๆที่ไม่มีแรงโปรโมท ก็ย่อมไม่เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป ไม่เหมือนเพลงธรรมดาๆ แต่เปิดให้ฟังทุกวัน ไปไหนมาไหนก็มีคนร้องได้ จากความทรงจำที่เริ่มจะเลือนลางตามประสาคนที่มีอะไรๆเยอะแยะมากมายในหัวสมองอย่างผม ผมจำได้ว่าในอัลบั้มชุดนี้ยังมีเพลงดีๆอีกหลายเพลงที่น่าสนใจ รวมไปถึงเพลง "ไปให้ถึง" ที่มีท่อนแรกที่ว่า "ย่างคนเดียว เปลี่ยวเหงา หนาวสะท้านหวั่นไหว..." ใครที่นึกไม่ออกก็ลองฟังเพลง ขอใจกันหนาวของต่าย อรทัย กันดูนะครับ "เมื่อเลิกงานเดินเหงา มีเงาเป็นเพื่อนเข้าซอย" ที่ผู้แต่งเพลงนี้ คือ ครูสลา คุณวุฒิ ได้ให้เครดิต สุริยา ช้างเผือก ไว้ในปกซีดี ว่าเป็นแรงบันดาลใจในด้านทำนองของเพลง ทำให้เกิดเพลง ขอใจกันหนาวที่โด่งดังของ ต่าย อรทัย

เพลงทางสายเก่า มีเนื้อร้องที่น่าสนใจ เป็นเรื่องราวของ คนที่ต้องเดินทางจากบ้านเพื่อไปทำงานต่างบ้านต่างเมือง เพราะความยากจนและความลำบากในการใช้ชีวิต ต้องอดทนและดิ้นรนมากมาย ผิดหวังล้มเหลวกับชีวิตมากมาย แต่ที่ผมชอบมากที่สุดเห็นจะเป็น ท่อนนี้ครับ

เก็บใจคืนนาบ้านป่ายังคอยค่ารถมีไม่ถึงร้อย ใจดวงน้อยเปี่ยมด้วยความหวัง
หลักกิโลทุกหลักยังยืนทักตลอดเส้นทาง คดเคี้ยวเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างบอกทางซื่อตรงคงเดิม


กับสภาพที่กำลังจะถึงบ้าน คิดถึงบ้าน คิดถึงต้นไม้ใบหญ้ารอบๆบ้าน สารพัดจะคิดถึง และบนเส้นทางสายเก่า หลักกิโลข้างทางยังคงทำหน้าที่ของมันอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย รวมทั้งต้นไม้สองข้างทางก็ยังทำหน้าที่ของมันเช่นเดิม สภาพของคนเดินทางที่ไม่ได้มีอะไรมากมายกว่าสภาพร่างกายที่กรอบแห้งไปทั้งตัวรวมไปถึงกระเป๋าตังค์ ที่เปลี่ยนสภาพเป็นกระเป๋าใส่บัตร มานานหลายเดือน เงินในกระเป๋ากางเกงยีนส์ตัวเก่ง ที่ผมล้วงออกมานับแบบผ่านๆตอนที่ซื้อ น้ำเปล่าใส่ไว้ในรถตอนที่แวะร้านค้าเจ้าประจำนั้น ผมเห็นว่ามีแบ๊งค์ร้อยยับๆอยู่หนึ่งใบกับแบ๊งค์ยี่สิบ อีกจำนวนหนึ่ง รวมๆแล้วก็ร้อยกว่าบาท "ก็ยังเหลือเยอะกว่าในเพลงละวะ" ผมคิดเล่นๆ แต่วูบหนึ่งผมก็หวนคิดถึงคำพูดของพระที่ผมนับถือมากๆรูปหนึ่งขึ้นมา

"โยมคิดดูนะ การที่โยมทำงานหนัก ได้เงินมาเยอะๆแล้วต้องหมดไปกับการรักษาพยาบาล มันจะคุ้มกันหรือเปล่า" นี่เป็นคำถามของ พ่อท่านหรั่ง สำนักสงฆ์ ห้วยเตง ที่ อำเภอ พรหมคีรี จังหวัดนครศรีธรรมราช ที่เคยถามผมเมื่อประมาณ ห้าปีมาแล้ว แต่วันนี้ผมกลับคิดถึงคำถามคำนี้ของพ่อท่านหรั่งขึ้นมาได้อย่างไรก็ไม่ทราบได้ แต่ก็ได้แค่คิด เพราะถ้าไม่ทำงานแบบนี้ ผมจะไปทำอะไรกินละครับ เหนื่อยไปหน่อย หนักไปนิดแต่ก็ยังอยู่ได้ ไม่ลำบากอะไรมากมาย ก็ต้องสู้กันต่อไป

จนผมใกล้จะถึงบ้านผมก็สลัดเรื่องราวต่างๆออกไป เพื่อที่จะทำหน้าที่ในอีกบทบาทหนึ่งของชีวิต สลัดคราบพนักงานบริษัท ออกทิ้งไว้ในรถ เดินออกจากรถในบทบาทของลูกชายของแม่ พี่ของน้อง หลาน ของลุงป้า อา เป็นเพื่อนของนก ปลา รอบๆบ้านเหมือนเดิม อย่างเพลงทางสายเก่า ของพี่สุริยา ที่ว่า

ลืมความเจ็บปวด ที่คอยปิดทางขวางกั้น โยนทิ้งก่อนคืนสู่บ้าน แบกความฝันไปให้คนที่คอย

ผมเข้าบ้าน กินข้าว พักผ่อน จนเช้า แล้วผมก็กลับมารับบทบาทเดิมๆในชีวิตอีกครั้ง เอาเสื้อผ้าชุดเก่าในเป้ ออกมาใส่ตะกร้า หยิบเสื้อผ้าชุดใหม่ใส่เข้าไป รอบนี้ไปสองวัน คืนวันศุกร์ก็ได้กลับบ้าน งานเก่า คนเก่า รถเก่า แต่ลักษณะงานที่ไม่ซ้ำกันเลยในแต่ละวัน ทำให้ไม่จำเจซักเท่าไหร่ แต่ที่แน่ๆ วันนี้ผมต้องเดินทางบนเส้นทางสายเก่าอีกแล้ว และจะรอจนถึงวันศุกร์ผมก็จะได้ใช้เส้นทางสายเก่าเดินทางกลับบ้านอีกเช่นกัน และถ้ามีอะไรใหม่ๆบนเส้นทางสายเก่าของชีวิตผมที่น่าสนใจ ผมจะมาเล่าให้ฟังกันใหม่นะครับ

นภดล 9/9/2553

เพลงทางสายเก่า สุริยา ช้างเผือก

หรือเวรกรรมเก่าของเรามากล้น จึงได้เกิดเป็นคนเวียนวนดิ้นรนหากิน
ต้องย้ายถิ่นฐาน เมืองบ้านเป็นคนพลัดถิ่น อดอยากไม่เคยพอกิน แทบสิ้นหาเลี้ยงชีวา

ผิดหวังล้มเหลวมันอยู่ร่ำไป หมดหนทางแก้ไข หาใครมาช่วยนำพา
อาจเอื้อมคว้าดาวได้ยินเสียจนชินชา ท้อแท้หนอโชคชะตา หมดท่าเสียแล้วหนอเรา

เก็บใจคืนนาบ้านป่ายังคอยค่ารถมีไม่ถึงร้อย ใจดวงน้อยเปี่ยมด้วยความหวัง
หลักกิโลทุกหลักยังยืนทักตลอดเส้นทาง คดเคี้ยวเปล่าเปลี่ยวอ้างว้างบอกทางซื่อตรงคงเดิม

เส้นทางสายเก่าบ้านเรายังเขียวตระการ ดอกไม้ยังคงเบ่งบานภูเขาตระหง่าน อบอุ่นหัวใจ
ดินยังชุ่มฉ่ำ สายธารยังคงรินไหล รวงข้าวปลิวพริ้วไสว อุ่นใจเมื่อคืนบ้านมา

เหมือนนกเจ็บหนัก แอบรักษากาย มุ่งบ้านป่าแดนไกล ด้วยใจเปี่ยมด้วยความฝัน
ลืมความเจ็บปวด ที่คอยปิดทางขวางกั้น โยนทิ้งก่อนคืนสู่บ้าน แบกความฝันไปให้คนที่คอย

ลืมความเจ็บปวด ที่คอยปิดทางขวางกั้น โยนทิ้งก่อนคืนสู่บ้าน แบกความฝันไปให้คนที่คอย