วันเสาร์ที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2561

เล่าไว้กันลืม

ช่วงนี้ผมวิ่งส่งมังคุดทุกวัน ในเมืองช่วงเย็นรถจะติดพอสมควร ครั้งหนึ่งรถติดแถวหน้าวัดใหญ่ในตลาด ตรงข้ามวัดมีบ้านไม้สองชั้นปิดตาย ที่ผุพังไปตามกาลเวลา

บ้านหลังนี้ราวปี 252× เป็นร้านขายของชำ มีของขายมากมายเพราะอยู่ในตลาดใกล้ ๆ แม่น้ำ สมัยนั้นคนเดินทางด้วยเรือกันมาก ถนนหนทางยังเข้าไม่ถึงทุกที่ ร้านค้าใกล้แม่น้ำจึงดูคึกคักกว่าร้านที่อยู่ในเมืองเข้ามา

วันหนึ่งแม่ให้เงินผมกับน้องไปซื้อขนม 5 บาท ผมกำเหรียญห้า พาน้องชายเดินเข้าร้าน เพื่อไปเลือกดูขนมที่ดูสีสดใสกว่าขนมแถวบ้าน พอเข้าในร้านยังไม่ทันจะดูอะไร เจ้าของร้านผู้ชายที่นั่งอยู่ด้านในร้าน ตะโกนออกมาว่า

"ไป ๆ ร้านนี้ไม่มีของ บาท สองบาท"

ตอนนั้นถึงผมจะยังเด็ก ก็ยังรู้สึกไม่ดี สภาพของเราเป็นเด็กต่างอำเภอ มอมแมม เขาคงคิดว่าจะมาขโมยของเขาหรือเปล่า อยากจะออกไปจากร้าน แต่น้องชายก็หยิบของมาให้ผมจ่ายเงินแล้ว

หลังจากนั้นผมไม่กล้าไปที่ร้านนี้อีกเลย

เวลาผ่านไปยี่สิบกว่าปี ผมทำงานต้องผ่านแถวนั้นเป็นประจำ ร้านนี้ก็ยังอยู่นะ แต่เล็กลงไปมาก มืด ๆ ทึม ๆ มีขนมไม่กี่อย่างอยู่ในถาดตั้งบนโต๊ะหน้าร้าน มีกล้วย แก่ ๆ ขายบ้างเป็นบางวัน

สิบปีที่แล้วประตูร้านปิดถาวร จนถึงวันที่ผมผ่านมาอีกครั้ง สภาพบ้านไม้ผุพัง ไม่มีอะไรที่น่ามอง แต่ผมกลับได้ยินเสียงผู้ชายเจ้าของร้านดังก้องในหัวอย่างชัดเจน

"ไป ๆ ร้านนี้ ไม่มีของ บาท สองบาท"

ผมขับรถส่งมังคุดเสร็จ จอดรถหน้า 7 - 11 ซื้อโค้กขวดใหญ่กับขนมกลับบ้าน เพื่อกินรอบดึกตอนทำงานกลางคืน

"ขอบคุณค่ะ" กับรอยยิ้มของพนักงาน 7 - 11 ทำให้ผมลืมเสียงของชายเจ้าของร้านชำในวัยเด็กไปได้อีกระยะหนึ่ง จนกว่าจะได้ยินเสียงใครพูดถึงคำว่า

"ทุนนิยม"