หลายปีทีเดียวที่ผมทำงานอยู่ในรูปแบบของมนุษย์เงินเดือน มีชีวิตที่เร่งรีบและเหน็ดเหนื่อยกับสิ่งต่างๆรอบตัว นอนไม่เป็นเวลาเสร็จงานเกือบเช้าตื่นมาก็ทำงานต่อ จนลืมไปแล้วว่าพระอาทิตย์ตอนเช้าเป็นยังไง จนเมื่อปลายปีที่แล้ว ผมตัดสินใจลาออกจากงานประจำ ลาออกมาโดยที่ไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อ ผมรู้เพียงแค่ว่าร่างกายต้อการพักผ่อน นอกจากนั้นสภาพจิตใจของผมก็ต้องการฟื้นฟูอย่างมาก สภาพงานที่เครียดจัด ชิงไหวชิงพริบทุกทางเพื่อให้งานผ่านไปได้อย่างไม่มีปัญหา ต้องใช้คิดตลอดเวลาจนแทบหาเวลาพักผ่อนไม่ได้ จนสภาพร่างกายดูแก่กว่าวัยไปมากเหลือเกิน ทั้งๆที่ผมเพิ่งจะย่างเข้าวัยรุ่นเท่านั้นเอง (ล้อเล่น)
หลังจากออกจากงานผมเป็นเหมือนเรือที่ไม่มีหางเสือ ลอยไปตามจังหวะของชีวิต ท่องเที่ยวไปทั่วประเทศ จังหวัดไหนไม่เคยไปก็ไป ที่ไหนอยากไปก็ไปโดยที่ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ตื่นเช้ามาบางครั้งก็ยังต้องถามตัวเองว่า ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน ผมเดินทางท่องเที่ยวอยู่หลายเดือน จนเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผมก็มีอันต้องอยู่ติดบ้าน สาเหตุเนื่องมาจากแมวที่เลี้ยงไว้ขาหัก ต้องดูแลใกล้ชิด ทำให้ไปไหนมาไหนไม่สะดวกเหมือนแต่ก่อน และการอยู่กับที่ อยู่กับบ้าน กินแล้วนอน กอนแล้วนิน ของผมทำให้รู้สึกอึดอัดเวลาสวมกางเกง เริ่มเคลื่อนไหวไม่กระฉับกระเฉงเหมือนก่อน ใช่ครับ ผมกำลังอ้วน
ดังนั้นผมก็เริ่มคิดหาวิธีลดน้ำหนักแบบที่ผมอยากจะทำ ในความคิดผมการทำงานอะไรหรือเวลาทำสิ่งใดต้องไม่ทรมานตัวเองมากนัก และต้องมีความสุขที่จะทำด้วย คิดไปคิดมาจึงมาลงตัวที่ การปั่นจักรยาน และการปั่นจักรยานของผมก็ต้องไม่ใช่การไปเป็นกลุ่มปั่นแข่งกัน แล้วมาคุยทับกันว่าใครปั่นได้ไกลกว่า ใครปั่นเร็วกว่า ผมอยากปั่นแบบสบายๆและที่สำคัญได้แวะถ่ายภาพไปด้วย เพราะผมชอบเก็บสื่งที่ประทับใจเอาไว้ในภาพถ่าย เวลากลับมาดูอีกครั้งจะทำให้เรารำลึกความหลังได้มากกว่าการเก็บมันเอาไว้ในสมองอย่างเดียว
ผมปรึกษาเพื่อนผมที่เปิดร้านขายจักรยานเก่าแก่ในเมืองสุราษฎร์ธานี จนได้จักรยานมาหนึ่งคัน เป็นจักรยานที่อัพคุณสมบัติขึ้นมาจากจักรยานแม่บ้านจ่ายตลาดนิดนึง แต่มีเกียร์ช่วยทุ่นแรงในการขับขี่ และที่สำคัญราคาไม่แพงมากนักอยู่ในราคาหลักพัน ผมออกจากร้านมาพร้อมกับคำถามของเพื่อนเจ้าของร้านที่ว่า "จะได้กี่วันวะ" ผมก็ตอบในใจว่า "ไม่รู้เหมือนกัน" และเมื่ออุปกรณ์พร้อม ต่อมาในทุกๆเช้าถ้าไม่มีเหตุสุดวิสัยจริงๆ เวลาตีห้าผมจะสะพายเป้ ที่มีกล้องถ่ายรูป ปั่นจักรยานออกไปชมบรรยากาศยามเช้าของตลาดท่าข้าม และพื้นที่ใกล้เคียงทุกวัน พร้อมกับเก็บภาพมาเป็นที่ระลึกอยู่เสมอ ภาพที่เยอะที่สุดก็เป็นภาพรถไฟกับสะพานจุลจอมเกล้า รวมทั้งบรรยากาศพระอาทิตย์ขึ้น สายหมอกยามเช้า ที่นานมากแล้ว นานจนผมลืมไปแล้วว่าผมได้เห็นบรรยากาศแบบนี้ครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่
สายหมอกยามเช้าที่บ้านทุ่งโพธิ์
ผมชอบที่จะออกไปในเส้นทางสายล่างที่มุ่งหน้าออกไปทางอำเภอท่าฉาง ไชยา เพราะเส้นทางสายนั้นยังมีท้องทุ่งนาอยู่พอสมควร มีต้นตาลใหญ่ มีวัว ควาย และต้นไม้ใหญ่ให้ชมอยู่มาก ไม่เหมือนเส้นทางสายหลัก ที่มีอต่รถใหญ่และต้นเฟื่องฟ้า กับร้านค้าข้างทาง ที่ดูแล้วไม่แตกต่างกับที่ผมได้เจอในชีวิตประจำวัน ผมปั่นไปเรื่อยๆ ตรงไหนสวยก็จอดถ่ายภาพ มีเพื่อนๆพี่ๆที่ปั่นจักรยานตอนเช้า ผ่านมาเห็นก็หันมามองบ้าง แต่ก็ผ่านเลยไปคงจะคิดว่าไอ้นี่มันคงจะบ้า มาถ่ายรูปอะไรอยู่ได้ทุกวัน บางกลุ่มก็ดูเป็นมืออาชีพใช้รถราคาแพงๆปั่นเร็วเหมือนขี่มอเตอร์ไซค์ กลุ่มนี้ผมคิดว่าเขาคงจะไม่ทันสังเกตุด้วยซ้ำว่าข้างทางที่เขาปั่นผ่านไปมีคนบ้านั่งถ่ายรูปอยู่
ผมปั่นจักรยานอยู่หลายวัน จนรู้สึกว่าถ้าวันไหนไม่ออกไปปั่นจักรยานจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปบางอย่าง เพราะเวลากลับบ้านผมจะแวะซื้ออาหารเช้าติดมือกลับมาด้วยทุกครั้ง ทำให้ผมได้กินมื้อเช้า ที่ผมไม่ได้กินมานานหลายปี การกินมื้อเช้าทำให้มื้อดึกของผมหายไป เพราะมันไม่หิว ร่างกานก็รู้สึกกระฉับกระเฉง มีเวลาคิดที่จะทำอะไรหลายอย่าง อย่างน้อยๆก็มีแรคิดแรงเขียนเรื่องราวในบล็อกนี่ละครับ ที่ผมคิดว่าผมจะทำให้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตผมไปอีกอย่างหนึ่งด้วยเหมือนกัน เพราะในขณะที่ปั่นจักรยานผมคิดอะไรๆได้มากมายหลายอย่างเหมือนกัน อยากจะนำมาบันทึกไว้ เพื่อป้องกันการลืม และจะได้กลับมาอ่านได้อีกครั้งเมื่อต้องการ
โม้มากมากแล้วสำหรับวันนี้ คงจะพอแค่นี้ก่อนนะครับ ไว้โอกาสหน้าจะมาบ่นให้อ่านกันอีก และถึงแม้ว่าจะไม่มีคนอ่านผมก็จะมาบ่นอยู่ดี ด้วยความเคารพทุกท่านครับ
นภดล มณีวัต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น