วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

สับปะรดพุมเรียง

มันคือสับปะรดพันธุ์พื้นเมือง ที่อยู่ที่บ้านผมมายาวนานร่วมห้าสิบปี ตั้งแต่ผมจำความได้เจ้ากอสับปะรด กอนี้ก็อยู่ตรงนี้ ผิดแต่ว่าเมื่อก่อนต้องเรียกว่า เป็นดง เพราะมันใหญ่กว่านี้มาก กินพื้นที่กว้างขนาดที่เวลาผมเล่นซ่อนหาในภาษาภาคกลาง หรือภาคใต้บางพื้นที่เรียก "ปิดตาลักซ่อน" แต่บ้านผมเรียกเล่น"ปิดแอบ"นั้น ผมยังเคยเข้าไปหมอบๆคลานๆซ่อนตัวในดงสับปะรดนี้อยู่เลย


พ่อผมเล่าให้ฟังว่า สมัยที่พ่อเป็นเด็ก ย่าก็เก็บสับปะรดตรงนี้ ให้พ่อใส่รถเข็นไปขายที่ตลาดท่าข้ามอยู่บ่อยๆ สมัยก่อนนั้นมันมีมากจริงๆเก็บทีนึงได้เป็นร้อยลูก ซึ่งก็น่าจะจริง เพราะขนาดเวลาผ่านมาจนถึงรุ่นผม ในวัยเด็ก ผมยังเดินขึ้นมาเก็บทีละเกือบยี่สิบลูกเอาลงไปให้ย่ากิน

ย่าผมกินสับปะรดกับข้าว เหมือนคนแก่ๆสมัยก่อนทั่วๆไป ผมเองก็เคยลองกินดูเหมือนกัน แต่ครั้งเดียวก็เลิก มันอร่อยสู้กินข้าวกับปลาเค็มของย่า ไม่ได้เลย ย่าจะบอกให้ผมเก็บลูกที่ กระรอกมันกินแหว่งๆไว้มาให้ย่า ย่าบอกว่าถ้าลูกไหนกระรอกมันกิน แสดงว่ามันหวาน

จะเป็นเพราะว่า ย่าจะเก็บลูกดีๆไว้ขายหรือว่ามันหวานจริงๆ ผมก็ไม่เคยพิสูจน์ ทำหน้าที่แค่เก็บมาตั้งไว้ให้ย่าแล้วก็ไปเล่นตามประสาเด็ก ดงสับปะรดแห่งนี้ยังมีของเล่นของพวกผมอยู่อีกอย่าง คือเก็บลูกเล็กๆขนาดประมาณกำปั้น หักหัวมันออก แล้วเอามาขว้างแล้วตีกับลำไม้ไผ่ที่ตัดมาพอดีมือ แบบเบสบอล ที่ในการ์ตูนสมัยนั้นกำลังดัง

สับปะรด พันธุ์นี้ ที่บ้านผมเรียกต่อๆกันมาว่าสับปะรดพุมเรียง ส่วนจะจริงแท้แค่ไหนผมก็ไม่ทราบ เพราะผมไปพุมเรียงบ่อยมากๆ ก็ไม่ค่อยได้เห็นสับปะรดที่นั่น อาจจะเป็นแค่ชื่อมันก็ได้ อย่างที่ลุงโอเพื่อนผมบอกว่า สับปะรดภูเก็ตตอนนี้ปลูกที่พังงาทั้งนั้น ผมก็สงสัยว่าแล้วยังไง ปลูกที่พังงาแล้วต้องเปลี่ยนชื่อเป็นสับปะรดพังงาหรือไง เห็นเงาะโรงเรียนยังไม่ได้มีแต่ที่นาสารเลย

ตอนนี้ที่บ้านผมก็ยังมีสับปะรด พันธุ์นี้อยู่อีกหลายกอ แต่ละกอก็ใหญ่พอสมควร สมัยก่อนเวลาจะปอกเปลือกเอามากิน หักหัวแหลมๆของมันโยนตรงไหนมันก็ขึ้นตรงนั้น จนมาถึงตอนนี้ถึงมันจะลดขนาดลง ไม่ได้เป็นดงเหมือนก่อน แต่มันก็เป็นกอใหญ่ๆอยู่หลายกอ

เดือนนี้ผมอยู่ในสวนแทบจะทั้งเดือน ตอนเย็นเวลาเดินกลับบ้าน ก็แวะหักกลับมาทุกวัน รวมๆกันก็หลายสิบลูก ไม่นับที่แกล้งปล่อยไว้ให้กระรอกมันกินอีก ถึงมันจะลูกไม่ใหญ่ แต่ก็หวานอร่อย อีกทั้งยังมีความหลังสืบทอดกันมาหลายรุ่น มันจึงอยู่ตรงนี้มายาวนาน ถึงแม้ว่าจะมีคนบอกว่าฟันทิ้งเถอะ แล้วปลูกพันธุ์ลูกใหญ่ๆแทน มันขายได้ราคา แต่ก็ไม่อาจทำให้สับปะรดพันธุ์นี้หายไปจากแถวๆบ้านผมได้เลย

ดังนั้นไม่ต้องห่วงครับว่ามันจะสูญพันธุ์ ที่บ้านผมปลูกสืบทอดกันมาตลอด เก็บลูกแล้วก็ฝังหัวมันต่อ เวลาสางๆกอก็แยกแขนงมันไปปลูกไว้ตามที่ว่างๆ เผลอแป๊บเดียวก็ได้กินแล้ว ช่วงนี้กำลังเป็นช่วงออกผล สับปะรดสุกทุกวัน ใครอยากชิมก็แวะมาที่บ้านได้นะครับ ช่วงนี้มีเยอะ เก็บไว้กินกันเอง ไม่ได้ขายครับ

ปล. ผมว่างอีกทีวันพุธหน้านะครับ วันศุกร์นี้จะไปหนองคาย เผื่อใครแวะมาแล้วไม่เจอ

วันอาทิตย์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เหรียญกาสิโนเมืองไทย

เหรียญกาสิโนเมืองไทย

ที่มา Chai Rachwat Facebook


นับเป็นเหรียญกาสิโนเพียงชุดเดียวของไทยที่ผลิตขึ้นอย่างถูกต้องตามกฏหมาย จากผลจากสงครามโลกครั้งที่2 ที่ยืดเยื้อยาวนาน ทำให้เกิดความเสียหายมากมาย ผู้เสียชีวิตจากสงครามครั้งนี้ว่ากันว่าน่าจะประมาณ 60-70 ล้านคน ทำให้เกิดภาวะข้าวยากหมากเเพง ภาวะเงินเฟ้อ ทุกข์เข็ญเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า รัฐบาลไทยต้องชดใช้ค่าปฏิกรสงครามจำนวนหนึ่ง พร้อมกับข้าวสารจำนวนมากให้เเก่ฝ่ายสัมพันธมิตร เเละเกือบจะเป็นผู้พ่ายเเพ้สงครามพร้อมกับฝ่ายอักษะ เเต่ได้กระบวนการเสรีไทยมาช่วยไว้ เลยทำให้รอดพ้นจากการต้องเป็นฝ่ายพ่ายเเพ้สงคราม

เเต่รายได้ของรัฐบาลก็ลดลงมากเพราะผลจากสงคราม รัฐบาลจึงคิดวิธีหารายได้เข้ารัฐ โดยการเปิดบ่อนกาสิโนเป็นครั้งเเรกในเมืองไทยเมื่อวันเสาร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2488 ในรัฐบาลของนายควง อภัยวงศ์ มีการผลิตชิบขึ้นจำนวนหนึ่งมี 4 ราคาด้วยกันคือ 1,10,20 เเละ 100 บาท ด้านหน้าเป็นรูปนกวายุภักษ์ ด้านหลังระบุราคาไว้ ที่ขอบเหรียญมีการตีตราระบุหมายเลขไว้

ขนิดราคา 100 บาท ตอกหมายเลข 3 หลัก พบจำนวนไม่เกิน 500 เหรียญ

ชนิดราคา 20 บาท ตอกหมายเลข 4 หลัก
ชนิดราคา 10 บาท ตอกหมายเลข 4 หลัก
ชนิดราคา 1 บาท ตอกหมายเลข 5 หลัก

เหรียญดังกล่าวทำจากนิกเกิล ผลิตจากประเทศอังกฤษ เปิดบ่อนคาสิโนอยู่ประมาณ 4 เดือน ราษฎรเล่นกันจนหมดเนื้อหมดตัว ตามข่าวว่ามีคนเล่นกันจนหมดตัวก็มาก ที่เสียใจถึงฆ่าตัวตายก็มี รัฐบาลจึงสั่งปิดบ่อนกาสิโนเมื่อวันเสาร์ที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2488 ทำให้เหลือเพียงชิบหรือเหรียญกาสิโนไว้ให้ดูต่างหน้า ว่าครั้งหนึ่งเราก็เคยมีบ่อนกาสิโนถูกกฎหมายในเมืองไทย ปัจจุบันเหรียญกาสิโนครบชุดหาค่อนข้างยาก ส่วนมากที่พบจะเป็นชนิดราคา 1 บาทซึ่งผลิตจำนวนมากหลายหมื่นเหรียญ เเต่ชนิด 100 บาทนั้นถึงเเม้จะมีเลข 3 หลัก เเต่ไม่เคยพบเหรียญที่มีเลขเกิน 500 เลย ดังนั้นเหรียญชุดนี้จึงน่าจะมีไม่เกิน 500 ชุด

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2558

บ้านผมไม่เคยซื้อพริก

บ้านผมไม่เคยซื้อพริก


ตั้งแต่จำความได้มาจนอายุขึ้นเลขสี่ ผมจะเห็นเจ้าต้นพริกแบบนี้อยู่มากมายในสวนหลังบ้าน ปีนี้ขึ้นอยู่ตรงนี้ ปีต่อไปก็ขยับขยาย ออกไปเรื่อยๆแล้วแต่นกจะพาไปปลูกให้ตรงไหน ส่วนมันจะชื่ออย่างเป็นทางการว่าอะไรนั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เรียกมันว่า "ลูกเผ็ด" มาตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้ มันก็ยังเผ็ดเหมือนเดิม

พวกเรามีหน้าที่แค่เว้นๆมันไว้เวลาเห็นมันงอกขึ้นมา อยากกินก็เก็บ ไม่กินก็ปล่อยมันไว้แบบนั้น ไม่เคยใส่ปุ๋ย ไม่เคยดูแลเป็นพิเศษ แต่มันก็ไม่ตาย ทนแล้ง ลูกดก จนบางครั้งถ้าต้องใช้เยอะๆ พ่อจะฟันทั้งต้นมาเด็ดที่บ้าน เพราะถ้ายืนเก็บอยู่ที่ต้น ยุงคงจะดูดเลือดหมดตัวแน่ๆ แต่หลังจากฟันต้นมา มันก็แตกกิ่งก้านออกมาใหม่ ไม่นานก็เก็บกินได้อีกแล้ว

มันเป็นพริกเม็ดเล็กๆที่กินอร่อยมาก ถ้าทำพริกน้ำปลาต้องใช้พริกแบบนี้ ถึงจะได้รสชาติดั้งเดิม ที่เคยกินมาตั้งแต่เด็ก ช่วงหลังๆมีพริกน้ำปลาสำเร็จรูปที่ใช้พริกเม็ดใหญ่ สีจางๆ ไม่ค่อยอร่อยนัก ดังนั้นเจ้าพริกพันธุ์นี้ จึงเป็นของที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับบ้านผม

เคยมีคนที่เพาะพันธุ์ต้นกล้าไม้ขาย มาเห็น แล้วบอกว่า เก็บมาขายพี่เถอะ พี่จะเอาไปเพาะพันธุ์ขาย พี่ให้กิโลละสองร้อย ผมก็ปฎิเสธไป ไม่ใช่เพราะหวง แต่เพราะมันลูกเล็กกว่าจะได้ซักกิโล เก็บกันมือหงิกพอดี

ปีนี้ผมลองเก็บมาตาก มาลองเพาะพันธุ์เพื่อจะปลูกแบบจริงๆจังๆดูว่าจะรอดซักกี่ต้น ในความคิดของผม คิดว่าได้ซักสิบต้นก็เก็บกันเหนื่อยแล้ว แต่จะขยายพันธุ์ไว้กินเอง กลัวว่ามันจะหายไป แล้วสุดท้ายก็ต้องกินแต่พริกที่ปลูกจากเมล็ดพันธุ์สำเร็จรูปที่ไม่ค่อยถูกปากมากนัก

ออกพรรษาปีนี้จะมารายงานผลอีกทีครับ ว่าจะรอดซักกี่ต้น หรือปีหน้าต้องให้นกช่วยปลูก แล้วให้เทวดาดูแลให้เหมือนเดิม

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

รถนักเรียน รถแม่ค้า รถท่าขนอน

รถนักเรียน รถแม่ค้า รถท่าขนอน

รถท้องถิ่นที่ 490 คีรีรัฐนิคม - สุราษฎร์ธานี ในยามเช้าของทุกวัน นั่งมองภาพนี้แล้ว คิดถึงสมัยเด็กๆ เมื่อยี่สิบกว่าปีที่แล้ว จะมีตู้ ตญ. หรือตู้สินค้าพ่วงมาด้วยอีก สองตู้ ในนั้นจะมีสินค้าท้องถิ่น จำพวกยางพาราแผ่น หรือหวายเป็นมัดๆ รวมทั้งผัก ผลไม้ อยู่ในนั้น ตำนานการโบกแล้วจอดของรถไฟสายนี้ ก็มาจาก กะละมังใบใหญ่ของแม่ค้าเหล่านี้ละครับ


ตอนนั้นจะเป็นที่รู้กันว่าแม่ค้า หรือคนที่มีสัมภาระ เป็นเข่ง กะละมังก็จะขึ้นตู้สินค้าด้านหน้ามา ไม่ได้นั่งรวม ขนรวมกันมาในตู้โดยสารเหมือนสมัยนี้ เมื่อมาถึงสุราษฎร์ธานี ถ้ามีสินค้าใหญ่ๆ หรือมีจำนวนมาก น้ำหนักมาก เช่นยางพาราแผ่นที่ทำเป็นมัดๆ รถไฟจะตัดตู้สินค้า มาจอดไว้ให้ที่รางตัน ทางที่หนึ่งด้านใต้ บริเวณแถวๆสนามเทนนิส ที่ตอนนี้กลายเป็นสนามฟุตบอล (และเป็นที่ถ่ายภาพรถไฟตอนเช้าของผม) เพื่อขนถ่ายสินค้า แต่ตอนนี้รางตันตรงนี้ยกเลิกใช้ไปแล้ว ไปใช้งานด้าน ทรส. ริมแม่น้ำตาปีอย่างเดียว

แถวๆสนามเทนนิส หรือสนามบอลตอนนี้ มาจนถึงป้ายสถานีด้านใต้ ในช่วงนั้นจะเป็นลานกว้างๆ ตึกแถวไม้ ริมถนนจะมีร้านรับซื้อสินค้าผลผลิตทางการเกษตร ที่คอยรับซื้อสินค้าจากชาวบ้านที่ขนมาทางเรือ หรือ ทางรถไฟสายคีรีรัฐนิคม เพราะในสมัยนั้นถนนหนทางยังมีไม่ทั่วถึง รถยังไม่มีกันทุกบ้านเหมือนสมัยนี้ คนริมแม่น้ำตาปี พุมดวง จะล่องเรือนำของมาขึ้นที่ท่าข้าม ดังนั้นร้านพ่อค้าคนกลางรับซื้อของจึงอยู่แถวนี้กันมาก

ลานกว้างๆริมถนนติดทางรถไฟ เป็นที่ตากหวายบ้าง มะพร้าวแห้ง หมากแห้ง และอะไรๆอีกมากมายของร้านค้าเหล่านั้น สมัยเด็กผมถามพ่อว่า นั่นอะไร พ่อบอกว่าหวาย ผมเถียงในใจว่าไม่ใช่ แต่ไม่กล้าพูด ก็ที่ตากอยู่มันเป็นเส้นเรียบๆ แต่หวายที่บ้านเรามันมีหนาม ... พ่อผมมั่วแน่ๆ

รถท้องถิ่นขบวนนี้มีเรื่องราวอีกมากมายที่นั่งเล่ากันทั้งวันก็คงจะไม่จบแน่นอน เวลารถขบวนนี้เสียเวลา เพื่อนๆผมก็ได้ร่วมกันเหมาแท๊กซี่ จากสถานีรถไฟไปโรงเรียนสุราษฎร์ธานี ให้ใครๆอิจฉาเล่นว่ามัน โก้เนอะ นั่งรถเก๋งมาเรียนกันเลย

เรื่องตลกที่ว่ารถไฟยางรั่ว ผมได้ยินครั้งแรกก็เพราะรถไฟสายนี้ละครับ เวลาเพื่อนที่มาจากท่าขนอน เข้าเรียนสาย ครูจะแซวว่า "รถไฟยางรั่วอยู่เหรอ" และเมื่อเวลาผ่านมาเกือบสามสิบปี ผมก็ยังได้ยินเรื่องพวกนี้อยู่เหมือนเดิม เรียกว่าเป็นมุข อมตะ นิรันดร์กาล พอๆกับรถไฟขบวนนี้เลยทีเดียว

นี่ถ้าให้เล่าถึงเรื่อง รักครั้งแรกของไอ้หนุ่มบ้านป่า กับสาวหมวย ลูกจีนในตลาดท่าข้าม ที่จะได้เจอกันในตอนเช้า พระเอกมารถไฟ สาวหมวยเดินมารอรถเมล์ที่หลังสถานี เพื่อจะไปเรียนในเมืองบ้านดอนพร้อมกัน ไหนจะฉากที่ พระเอก นางเอก ร่ำลากันทุกเย็นที่สถานีรถไฟ รวมทั้งการที่หนุ่มท่าขนอนนั่งรถไฟมาท่าข้ามในวันเสาร์ ด้วยเหตุผลว่ามาทำรายงาน แล้วพาสาวท่าข้ามไปดูหนังที่ลิโด้ด้วยกัน ... ฯลฯ

โอ้ ... ตำนานรักท่าข้ามชัดๆ

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ร้านอาหารฟาร์มรุงรัง จังหวัดสุราษฎร์ธานี

ร้านอาหารฟาร์มรุงรัง จังหวัดสุราษฎร์ธานี

วันนี้ผมจะมาแนะนำร้านอาหาร บรรยากาศดีๆ อาหารอร่อยราคาไม่แพงให้เพื่อนๆ พี่ๆ รู้จักกันนะครับ ร้านนี้อยู่ไม่ไกลตัวเมืองสุราษฎร์ธานีมากนัก เงียบ สงบ เหมาะสำหรับทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะมานั่งคุยกันสบายๆกับเพื่อนฝูง จะมานั่งเงียบๆคิดถึงแฟนคนเดียว หรือว่าจะมาชมของเก่าในสไตล์ ปิ๊กเกอร์ ที่เจ้าของร้านชื่นชอบ ก็คุ้มค่ากับการเดินทางมาเยือนฟาร์มรุงรังแห่งนี้แล้วครับ


เจ้าของร้าน ชื่อ พี่ไข่ พี่บ่าว หรือพี่มนตรี แซ่ด่าน ร่วมด้วยช่วยกันกับเมียทำหน้าที่ เป็นทั้งเด็กเสริฟ พ่อครัว เด็กยกของเก็บของ ยกเว้นคนเก็บเงิน(เพราะเงินจะอยู่ที่เมียคนเดียว) พี่มนตรีเป็นอดีตพนักงานบริษัทระดับหัวหน้างาน ที่เบื่อจากการทำงานเป็นลูกจ้าง เลยชวนเมียลาออกมาใช้ชีวิตแบบช้าๆ สบายๆ พออยู่พอกินบนที่ดินของตัวเอง เปิดร้านขายอาหารรสชาติดี ในราคาที่ไม่แพง เพราะที่ก็ไม่ต้องเช่า บ้านก็อยู่ด้านหลัง ไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรมากมาย ทำให้ลูกค้ามาอิ่มได้แบบสบายกระเป๋า

พี่มนตรีสร้างร้านในรูปแบบที่เปิดโล่ง เอาสมบัติส่วนตัว ที่ใครบางคนเรียกมันว่า "สมบัติบ้า" มาจัดแสดง ทั้งป้ายโฆษณา ขวด กระป๋อง ถังน้ำมันต่างๆ รวมทั้งมอเตอร์ไซค์เก่า ที่ผ่านการใช้งานจริงมาตั้งแต่สมัยพ่อของพี่มนตรี นอกจากนี้ยังมีมุมแสดง เสื้อผ้ายีนส์เก่า ที่เจ้าของร้านชอบเป็นพิเศษอีกด้วย

การเดินทางมาที่ฟาร์มรุงรังแห่งนี้ มาได้สะดวกสบายมากๆ จากเมืองสุราษฎร์ธานี เลี้ยวซ้ายผ่านหน้า มอ.สุราษฎร์ธานี ขับตรงมาจนสุดถนนถึงสามแยกเลี้ยวซ้ายก็จะถึงร้านเลยครับ มีป้ายสวยๆติดอยู่ชัดเจน ร้านฟาร์มรุงรังเปิดให้บริการทุกวัน ตั้งแต่เที่ยงวันยันเที่ยงคืน หยุดวันเสาร์ หนึ่งวัน ถ้าใครสนใจร้านอาหารในบรรยากาศร้านขายของเก่า บรรยากาศแบบนั่งกินเหล้าที่บ้านเพื่อนสนิท หรืออยากชมของสะสมแบบอเมริกาที่หาชมได้ยาก

ผมขอแนะนำร้านฟาร์มรุงรังแห่งนี้ครับ พี่ไข่ พี่บ่าว มนตรี แซ่ด่าน ฟาร์มรุงรัง ยินดีต้อนรับทุกท่านครับ

วันพฤหัสบดีที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ปฏิบัติเพื่ออะไร

ปฏิบัติเพื่ออะไร ปฎิบัติเพื่อให้จิตใจบรรลุถึงความรู้สภาพความเป็นจริงของสภาวธรรมนั่นเอง .......

ทีนี้การทำสมาธิตามหลักการ เราอาจจะทำโดยที่ไม่ต้องมีศีลก็ได้ เช่น อย่างสมาธิของพวกนักไสยศาสตร์ ผู้ที่ทำวิชาอาคมครอบหนังบังฟัน ทำคุณคนคุณไสย เขาใช้พลังของสมาธิเหมือนกัน แต่วิชาการอันนี้เป็นสมาธิเพื่อทำร้ายคนอื่น แต่เขาก็ทำสำเร็จได้ อาศัยพลังสมาธิ แต่สมาธิไม่มีศีล จึงย่อมจะสามารถใช้ไปในทางที่ผิดได้ เพราะฉะนั้น สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสไว้ว่า สมาธิมี ๒ อย่าง


มิจฉาสมาธิ หมายถึงสมาธิผิด เป็นมิจฉาสมาธิ

สัมมาสมาธิ เป็นสมาธิที่ถูกต้อง เป็นสัมมาสมาธิ

ทีนี้สำหรับผู้ที่ปฏิบัติธรรมเพื่อจะให้บรรลุมรรคผล หรือจะให้เป็นแนวทางที่จะนำสมาธิไปใช้ประโยชน์ในทางที่ไม่ผิดกฏหมายและศีลธรรม เราต้องอาศัยศีล มีสมาธิที่มีศีลเท่านั้น ที่จะนำวิถีจิตของผู้บำเพ็ญให้ดำเนินไปสู่สัมมาสมาธิโดยถูกต้อง

ดังนั้นวันนี้ท่านผู้ที่มาฟังธรรมอยู่ในสมาคมนี้ บางทีอาจจะได้อธิษฐานจิตสมาทานอุโบสถศีล หรือบางท่าน หรือหลาย ๆ ท่าน หรือทุกท่านอาจจะได้สมาทานศีล ๕ เป็นหลักปฏิบัติประจำ

อาตมาเห็นว่า การที่เรามาตั้งใจรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์นี้เป็นการถูกต้องและเป็นการชอบแล้วและยังเหมาะสมกับภาวะความเป็นอยู่ของเราที่เป็นคฤหัสถ์ ผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติศีล ๕ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ตามชั้นภูมิของความเป็นคฤหัสถ์ ได้ชื่อว่าเป็นการปรับพื้นฐานของความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ ความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ที่คู่ควรแก่การที่จะบำเพ็ญคุณความดีเพื่อให้เกิดมรรค ผล นิพพาน หรือ รู้จริงเห็นจริงในธรรมะตามความเป็นจริง เราจะต้องอาศัยศีล ๕ เป็นพื้นฐาน อย่าเพิ่งทะเยอทะยานว่าเราจะต้องรักษา ศีล ๘ ศีล ๑๐ ศีล ๒๒๗ เมื่อเรามีความมั่นใจในการรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ พร้อม ๆ กับทำสมาธิเจริญปัญญาให้เกิดขึ้น ศีลอื่น ๆ ซึ่งจำนวนมากกว่านั้น แม้เราไม่ได้ตั้งใจที่จะเพิ่ม โดยกฎธรรมชาติแห่งความดีที่เราบำเพ็ญให้ถึงพร้อม เราจะเพิ่มขึ้นเองโดยไม่ได้ตั้งใจ

จากหนังสือ: ฐานิยปูชา

วันอังคารที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2558

บ้านหมอ

บ้านหมอในวัยเด็กของผม มันจะหมายถึงคลีนิครักษาโรคในปัจจุบันนี้ ในวัยเด็กนั้นถ้าป่วยหรือเป็นแผลต่างๆ หมอประจำตัวของผมคือย่า ย่าเป็นหมอที่รักษาได้แทบจะทุกอย่าง คนแถวบ้านถ้าเป็น เริมหรืองูสวัสดิ์จะมาให้ย่าพ่นน้ำหมากให้ เด็กๆจะมาให้ย่ากวาดยาให้เป็นประจำ ขนาดผมโดนไม้ไผ่บาดมือเลือดออกมากมาย ย่าเอาใยแมงมุมมาปิดที่แผล ท่องคาถานิดหน่อยเป่าลงไป เลือดยังหยุดเหมือนปิดก็อกน้ำเลยทีเดียว แต่ถ้าวันไหนผมมีอาการไข้ที่หนักๆซักหน่อย จะได้ยินย่าพูดว่าถ้าพรุ่งนี้ไม่หายจะพาไปบ้านหมอ และก็น่าแปลกใจที่เช้าวันต่อมาผมจะหายป่วยทันทีเหมือนกัน คำว่าบ้านหมอจึงดูเป็นคำศักดิ์สิทธิ์อีกคำหนึ่งของย่า ที่ผมไม่ได้ยินมานานมากแล้วตั้งแต่ย่าตายไป


เมื่อไม่นานมานี้ผมนั่งรถไฟผ่านสถานีบ้านหมอ ที่อยู่ในเขตจังหวัดสระบุรี ผมกลับคิดถึงย่า คิดถึงบ้านหมอในความหมายของโรงหมอ หรือคลีนิครักษาโรคไปเสียนี่ วันนี้มานั่งดูภาพแล้วก้คิดขึ้นมาได้เลยมานั่งพิมพ์บันทึกไว้ก่อน เผื่อว่าวันหนึ่งจะได้รวบรวมมาขยายความเล่าเรื่องยาวๆกันในโอกาสต่อไปครับ

นภดล มณีวัต