วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ชีวิตต้องการอะไร...?

เคยตั้งคำถามกับตัวเองกันบ้างหรือเปล่าว่าในชีวิตต้องการอะไร..

สำหรับคำถามนี้มันช่างเป็นคำถามที่หาคำตอบได้ยากสำหรับใครหลายๆคน ต้องการนั่นต้องการนี่ ต้องการไม่รู้จักจบจักสิ้น และที่สำคัญ ต้องการไม่เหมือนกันซักราย ในชีวิตที่ถูกสังคมบางส่วนบังคับให้เลือกข้าง บังคับให้เลือกสี บังคับให้ใช้ชีวิต บังคับ มากมายก่ายกอง บังคับด้วยกฏหมาย บังคับด้วย ศิลธรรม บังคับด้วยประเพณี และในยุคนี้ ต้องเพิ่มการบังคับด้วยกฏหมู่เข้าไปอีกอย่างนึงด้วย แล้วเราเคยคิดกันกันหรือเปล่าว่า เราจะอยู่กันได้อย่างไรในเมื่อมีแต่กฏระเบียบมากมายขนาดนั้น

ในค่ำคืนที่เงียบสงัดของซอกมุมเล็กๆในต่างจังหวัด คืนนี้ดาวสวยเหลือเกินสวยจนอยากให้คนทุกคนในโลกได้เห็นเหมือนที่เราเห็น แต่ในความเป็นจริงกลับไม่เป็นเช่นนั้น บางมุมของเมืองใหญ่โดนแสงไฟกลบแสงดาวไปหมด มองฟ้าก็เห็นแต่หมอกควัน จะหาดาวสักดวงก็ไม่เจอ ทั้งๆที่มันก็อยู่ตรงนั้น อยู่ที่เดิมที่มันควรจะอยู่ แต่ด้วยภาระหน้าที่ด้านปากท้องทำให้คนอีกมากมายต้องทิ้งถิ่นฐานเข้าไปทำงานในเมืองใหญ่จนอดชมความงามของดวงดาวในคืนนี้

ถ้าบังเอิญว่ามีเวทย์มนต์คาถาศักดิ์สิทธิ์ สามารถเสกให้คนทุกคนเห็นดาวพร้อมๆกันได้ก้น่าจะดี แต่...ถ้าทำไปแล้วเกิดมีคนไม่พอใจ " ชั้นไม่ชอบดูดาวหรอกย่ะ ชั้นชอบพระจันทร์มากกว่า" "ดาวมันเยอะมองไม่หมด สู้มองดวงจันทร์ก็ไม่ได้ มองดวงเดียว สบายตากว่าเยอะ" แล้วจะทำไงดี ใช่สิ พระจันทร์ที่สวยย่อมไม่มีทางที่จะอยู่เคียงข้างกับดาวที่เต็มท้องฟ้า แสงของดวงจันทร์จะกลบแสงดาวบางส่วนไปทำให้มองไม่ชัดเจนเท่าไหร่ แต่ถ้าอยากมองดาวเต็มฟ้าก็ต้องไล่พระจันทร์ออกไปเช่นกัน และที่สำคัญ คนเราก็ชอบไม่เหมือนกันต้องการไม่เหมือนกันเสียด้วย..

เช่นเดียวกันกับการหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง ถ้าอยากให้ท้องอิ่ม มันก็ต้องเดินทางพลัดบ้านไกลเมืองเช่นกัน แล้วแบบนี้เรายังจะคิดว่าชีวิตเป็นของเราจริงๆอยู่อีกหรือ แล้วจริงๆแล้วชีวิตเราต้องการอะไรกันแน่ เฮ้อ..

ท่ามกลางความพลุกพล่านกลางเมืองหลวงผู้คนนับร้อยนับพันกำลังสวมบทบาทที่แตกต่างกัน บางคนเล่นเป็นพ่อค้าแม่ค้า บางคนเล่นเป็นคนขับรถรับจ้าง บางคนเล่นเป็นตัวประกอบเดินไปมาในย่านการค้าเก่าแก่ ย่านการค้าในยามค่ำคืนบริเวณเชิงสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา หลายๆคนมาที่นี่เพื่อซื้อของ แต่อีกหลายคนมาเพื่อเป็น ฆาตกร.. ฆาตกรที่ฆ่าเวลาอย่างเลือดเย็นก่อนที่จะกลับบ้าน แต่จะมีอีกกี่คนที่จะรู้ว่าที่ด้านบนสะพานใกล้ๆกันนั้น มีเด็กหนุ่มอีกหลายคนที่รวมตัวกันในมุมมืด ทำกิจกรรมที่ไม่ควรจะมีในบ้านเมืองที่เจริญทางด้านจิตใจมากกว่าวัตถุ (แน่นอนว่าไม่ใช่เมืองนี้)

"กาว"เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ใช้ประสานวัสดุเข้าด้วยกัน แต่ในค่ำคืนนี้ เด็กๆเหล่านี้กำลังทำงานวิจัยในเชิงวิทยาศาสตร์อยู่บนสะพานแห่งนี้ พวกเขาใช้กาวแยกความรู้สึกออกจากร่างกาย ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าหน้าที่ไม่รู้ ไม่น่าเชื่อว่าสิ่งผิดกฏหมายจะทำกันได้ง่ายๆในกลางเมืองหลวงเช่นนี้ เมื่อเสร็จการทดลองอันน่าตื่นเต้นชิ้นนั้นแล้ว พวกเขาก็แยกย้าย ตัวใครตัวมัน ใครที่ไปไหนไม่ไหวก็นอนหลับกันบนสะพานนั่นละครับ เป็นภาพที่น่าตื่นตาตื่นใจดีจริงๆ สำหรับเด็กๆกลุ่มนี้คงไม่ต้องถามว่า ชีวิตนี้ต้องการอะไร อนาคต คืออะไร ไม่ใช่แค่อนาคตของพวกเขาหรอกครับถ้าเด็กๆเป็นแบบนี้แล้วอนาคตของชาติจะเป็นอย่างไร ถ้าบังเอิญว่า วันดีคืนดี เทรนผู้มีอิทธิพล นักเลงหัวไม้ กลับมาเป็นที่นิยมของคนไทยขึ้นมาอีกรอบ แล้วเด็กพวกนี้โตขึ้นมาแล้วได้พรรคการเมืองบางพรรคหนุนให้เป็น ส ส แล้ววันนั้นประเทศไทยจะเป็นอย่างไรกันหนอ...และนั่นก็คืออีกหลายชีวิตบนสะพานกลางเมืองหลวง

คิดไกลเกินไปหรือเปล่า.. ไม่หรอกครับจะไกลได้อย่างไรในเมื่อ เรื่องดวงดาวกับพระจันทร์ ผมยังคิดได้แล้วนับประสาอะไรกับเรื่องแค่นี้

แล้วแบบนี้เด็กต่างจังหวัดจะยอมแพ้เด็กเมืองหลวงได้อย่างไร ก็ตอนนี้การสื่อสารมันพัฒนารวดเร็วฉับไว เมืองนอกมีอะไรเมืองไทยก็มีอย่างนั้น เมืองหลวงมีอะไร ต่างจังหวัดก็มีเช่นกัน ดังนั้นไม่แปลกที่แถวๆบ้านผมก็มีแบบนั้นเช่นกันเพียงแต่ ความละอายมันคงจะยังมีมากกว่าคนเมืองหลวง หรือไม่แน่ว่าเจ้าหน้าที่ แถวนี้ควบคุมเข้มแข็งกว่า ก็ไม่ทราบได้เลยต้องไปหาที่ลับๆตาคนทำกิจกรรมอย่างว่ากัน เคยได้พูดคุยกับ สมาชิกแก๊งค์ 3K ที่อายุรุ่นๆเดียวกันเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ( กาวนี่ไม่เคยเสื่อมความนิยมเลย) ว่าดมไปทำไม ก็ได้คำตอบว่า " แค่อยากทำอะไรที่มันหลุดโลกไปบ้างแค่นั้น" ตอนนั้น คำว่าหลุดโลกนี่ฮิตเหลือเกิน ทำอะไรแผลงๆหน่อยก็ว่าหลุดโลกกันแล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ทุกวันนี้ผมยังเห็นคนเหล่านี้เดินไปเดินมาอยู่แถวๆนี้ เหมือนเดิม แต่พัฒนาเป็นเบียร์ช้าง สองสามขวดตอนเย็นๆทุกวัน พอเมาก็เอะอะโวยวาย คงจะหาทางหลุดโลกเหมือนสมัยวัยรุ่นเหมือนเดิม แล้วพวกนี้เคยมีคำถามหรือเปล่าว่าชีวิตต้องการอะไร

แต่บางครั้งผมก็แอบอิจฉาพวกเด็กๆเหล่านี้อยู่บ้างเหมือนกันนะครับเพราะบางครั้งบางทีผมเองยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลยว่า ชีวิตผมต้องการอะไร แต่เจ้าเด็กพวกนี้มันรู้ครับว่าชีวิตของพวกเขาต้องการอะไร.... "กาว"เป็นคำตอบสุดท้ายและคำตอบเดียว (สุดยอดนะ)

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

กวนบ้านเมืองจนขุ่น กวนโอ๊ย...กวนส้นตีน

ทุกวันนี้ผมติดตามข่าวสารบ้านเมืองน้อยลงไปทุกที จากที่เมื่อช่วงก่อนหน้านี้ในแต่ละวันผมแทบจะบริโภคข่าวสารแทนข้าวกันเลยทีเดียว ตื่นเช้ามาก่อนจะทำอะไรก็ต้องเปิดทีวี เปิดดูความเคลื่อนไหวต่างๆของผู้ชุมนุม ก่อนนอนก็ต้องดูสรุปข่าวรอบวัน บางครั้งนอนสะดุ้งตื่นมาตีสองตีสามก็ต้องเปิดทีวีดูว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ยิ่งช่วงหลังๆช่องข่าว สปริงนิวส์ ที่มีเจ๊วรวีร์ วูวนิช ไปทำงานนั่นละครับ มีการติดกล้องไว้ที่บนสะพานลอย ดูความเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุมได้ 24 ชั่วโมง ทำให้ผมต้องเลื่อนมาดูช่องข่าวน้องใหม่ช่องนี้อยู่บ่อยๆ มันเหมือนดู เรียลลิตี้ หรือ หมีแพนด้า ยังไงก็ไม่รู้ แต่ตอนนั้นผมมีสภาพเหมือน ผีดิบเลยครับ ร่างกายอ่อนเพลีย เวลาทำงานชอบแอบงีบหลับเป็นประจำ และคาดว่าอีกไม่นานสภาพแบบนั้นจะกลับมาเยือนผมอีกครั้งในช่วงบอลโลก

เมืองไทยเป็นเมืองที่น่าสนใจและมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่ ไม่ว่าชนชาติไหนหรือที่ใครในโลกใบนี้จะเข้าใจได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวัฒนธรรม ประเพณี การใช้ชีวิต ที่ในแต่ละภูมิภาคมีความแตกต่างกัน แต่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ดังนั้นในช่วงที่มีเหตุการณ์ต่างๆเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเรานั้น จะเห็นได้ว่า สื่อต่างๆ ก็จะออกมาเสนอข่าวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้าไม่อคติหรือมองโลกในแง่ร้ายเกินไป ผมว่า สื่อบ้านเรามีทางเลือกให้กับประชาชนมากมายกว่าที่ใดๆในโลกเลยนะครับ ใครชอบด้านไหนก็ดูสื่อของด้านนั้น ใครเกลียดรัฐบาลก็ดูช่องที่เสนอข่าวด้านลบ ใครรักนายกก็ดูสื่อของรัฐ อันนี้ก็เป็นประชาธิปไตยแบบไทยๆที่ไม่มีชาติใดในโลกมาเลียนแบบได้

คราวนี้เรื่องที่ผมสงสัยอีกเรื่องก็คือ รายการแบบที่เรียกว่า วิเคราะห์ เจาะประเด็น ฟันธง ทำนาย คาดว่า ต่างๆที่ผุดออกมาในจอทีวีรวมทั้งคอลัมนิสต์ ที่มาวิเคราะห์ต่างๆทางหน้าหนังสือพิมพ์ที่มีมากมายในทุกวันนี้ มันคือรายการแนวไหนกันแน่ จัดรายการวิเคราะห์ เจาะลึก เกี่ยวกับคนที่ตัวเองไม่ชอบ ทำนายทายทักบ้านเมืองไปแนวทางที่ตัวเองอยากให้เป็น.. แช่งชักหักกระดูกคนที่ตนเองไม่ชอบ แก้ตัว ตามน้ำ หรือมาออกทีวีเพราะอยากดัง.. อันนี้ก็ให้ไปวิเคราะห์ เจาะประเด็นกันเอาเองนะครับ

" ถ้านายกไม่ไปอุ้มหมีที่เชียงใหม่ รับรองว่า ปลาพะยูนที่ตรังจะแอบไปเป็นชู้กับจรเข้ที่พิจิตรแน่นอน ไม่เชื่อคอยดู"

"จริงเหรอคะท่าน" แล้วพิธีกรหญิงหน้าตาเอ๋อเหรอ ก็จะถามคำถามโง่ๆแบบนี้ออกมา ( ทุกครั้ง )

"จริงสิ จากประสบการณ์ของผม ที่เคยทำงานให้กับกองทัพ (งูเห่า ) ผมรู้ดีกว่าการอุ้มหมีคือการแสดงความรักต่อสัตว์โลก เมื่อเรารักหมีความสามัคคีมันจะตามมา และนำมาซึ่งความสามัคคีปรองดอง"

"เหรอคะท่าน" แล้วพิธีกรหญิงก็จะ ทำหน้าตกใจ (กล้องซูมเข้าไปให้เห็นแววตาประทับใจในความสามารถของผู้ร่วมรายการ)

"ท่านเก่งจริงๆเลยคะ โอกาสหน้าขอเรียนเชิญท่านมาวิเคราะห์ปัญหาบ้านเมืองกับเราอีกนะคะ ท่านเก่งจริงๆเลยคะ"

ถ้าไม่เชื่อผมลองเปิดทีวีตอนเย็นๆได้เลยครับ มีแทบทุกช่อง บางครั้งยังแอบคิดคนเดียวเลยครับว่า "มึงจะเชิญใครมาออกทีวี กูไม่ว่า แต่ขอให้คิดถึงกูบ้าง" เอาที่มันรู้จริง น่าเชื่อถือจริง มาออกเถอะครับ แล้วก็อย่าทื่อเป็นสากกระเบือที่ว่า สื่อต้องเป็นกลาง ต้องเสนอข่าวสองด้าน ถ้าเสนอข่าวแล้วทำรายการกันแบบนี้คงอีกไม่นานเราคงจะเห็นผู้ก่อการร้ายแถวๆ ยะลา ปัตตานี มาออกทีวี ให้พิธีกรสาว(หรือเปล่า) ผมสั้นๆ หน้าตาเอ๋อเหรอ สัมภาษณ์ ออกฟรีทีวี บ้านเราแน่นอน รายการวิเคราะห์ประเด็นหรือรายการ "บ่างช่างยุ" กันแน่ เอาคนมาเถียงกันออกทีวี แล้วโชว์ว่าตัวเองเก๋า "เอาอยู่คะ" แล้วก็นั่งดูคนทะเลาะกันต่อหน้าต่อตาอย่างสะใจ

เมื่อถึงเวลาแบบนี้เพลงของคาราบาวที่พวกเราจะนึกได้ก็คือเพลง "หำเฮี้ยน" เพลงนี้ของคาราบาว ไม่ต้องฟังเนื้อหา แค่ดูชื่อเพลง ก็โดนแบนแล้วครับ ไม่ให้ออกอากาศแน่นอน นี่ถ้าเอาประเด็น หำเฮี้ยน โดนแบน ไปให้พิธีกรสาวคนนั้นถกประเด็นออกทีวีคงจะออกมาในแนวประมาณนี้...

ถ้าคุยกับน้าแอ๊ดผู้แต่งเพลง

"ชื่อหำเฮี้ยน ไม่น่าโดนแบนนะคะ"

"หำนี่มันก็น่ารักดี ดิชั้นยังชอบเลยคะ"..


(กล้องซูมเข้าไปให้เห็นแววตามั่นใจของพิธีกร)

ถ้าคุยกับ กบว..

"น่าเกลียดนะคะ สังคมไทยมีอารยะธรรม เป็นคนมีการศึกษา จะเอาหำมาเป็นชื่อเพลงได้ยังไง" "แบบนี้เรียกว่าใช้หำผิดประเภทใช่มั๊ยคะท่าน"

(กล้องซูม 75%เพื่อให้เห็นเต็มใบหน้าของพิธีกรที่มีทีท่าขยะแขยงกับหำ )

หนังสือพิมพ์ก็เหมือนกัน ฉบับไหนเชียร์ใคร ลองเปิดอ่านพวกหัวข้อประเด็นเหล่านี้ดูก็รู้แล้วครับ ข้อความไม่กี่บรรทัดสามารถสร้างแรงกระตุ้นให้กับคนที่อ่านได้มากมายมหาศาล เดี๋ยวนี้ไม่ต้องอ่านข้างในก็รู้แล้วครับว่าหนังสือพิมพ์ฉบับไหนเชียร์ใคร ดูจากพาดหัวตัวใหญ่ก็รู้แล้ว เรื่องเดียวกันยังพาดหัวไปคนละแนวเลยครับ

"มาร์คยึดหลักคุณธรรม ลูกหมีต้องคืนจีนเพราะไม่ใช่ของเรา "

"มาร์คใจดำ ไม่สนใจหมี ทั้งๆที่เกิดในไทย"

ก็ว่ากันไป ตีความกันไป หากินกันไป เราก็เสียเงินซื้อหนังสือพิมพ์มาอ่านกันไป แล้วก็เอาประเด็นที่นักข่าวเขียนมาทะเลาะกันไป มีความสุขดีครับ เพราะที่นี่คือ ประเทศไทยครับ วันนี้เลยนำเพลงของคาราบาวที่เข้ากับสถานะการณ์นี้มาฝากกันครับ

เพลงหำเฮี้ยน คาราบาว

....ชาวนาคือผู้ทำนาปลูกข้าว
เลี้ยงเรามาจนเป็นหนุ่มสาวยันจนเราเฒ่าแก่ชรา
แต่เหตุไฉน ชาวนาไทยอับจนเรื่อยมา
เผชิญดินน้ำลมฟ้า เผชิญปัญหาชะตากรรม
ถามคุณพ่อแม่ ปู่ย่าตายายของเรา
ลองกระซิบถามท่านเบาๆท่านโตด้วยข้าวมือใคร
ตอนเราเป็นเด็ก เราได้ดื่มน้ำนมมากมาย
นมจากเต้าเอามาจากไหน ใช่หรือไม่เหงื่อไคลชาวนา

วิงวอนฝากมา ถึงรัฐสภาจากชาวนาไทย
คุณนั่งห้องแอร์มันคงสบาย
กลิ่นโคนสาปควายยังนองน้ำตา
ร่างนโยบายซื้อขายข้าวเปลือก
ประกันราคา เกษตรกรเขานอนผวา
รายได้ต่ำกว่าราคาลงทุน

ดีชั่วตัวคุณเขาสนับหนุนคุณเป็นผู้แทน
เลือกเอาไปเป็นขาเป็นแขน
อย่าปล่อยแฟนๆ ทิ้งไร่ทิ้งนา
หายหัวกระบาล จนชาวบ้านเขาเอื้อมระอา
เลือกตั้งครั้งสมัยหน้า ใครเขาจะกล้าไปลงคะแนน

การเมืองเป็นรงเป็นเรื่องของผลประโยชน์
ผมพูดความจริงขอจงอย่าโกรธ
ภาษาที่ใช้คำไทยโดดๆ
ขอโทษทีครับแบนหำทำไม
หำคนทำกินใช่อันธพาลประเทศไทย
หำคำเดียวจำง่าย ชื่อจริงชื่อนาย หำเทียม

นักเขียนนักข่าว หำขอร้องกล่าวปรับความเข้าใจ
อย่านึกว่าเป็นนักเขียนมันง่าย
เขียนสุ่มกันไปรับเงินลูกเดียว
งานจับปากกาก็เหมือนชาวนาเขากำด้ามเคียว
ขีดเขียนเก็บเกี่ยว ไม่ต่างกันตรงที่ความจริงใจ

เพลงหำคร่ำครวญ ชักชวนให้คุณเห็นความเป็นไทย
อย่าเอาหนังสือพิมพ์บ่อนทำลาย
คว่ำกระจาดตลาดลงทุน
อย่ายอมรับใช้เขียนซ้ายเลียขวาจนวุ่น
กวนบ้านเมืองจนขุ่น กวนโอ๊ยกวนส้นตีน

ยังมีอีกมากที่ลากออกมาพอเป็นกระษัย
แต่หำต้องขอทิ้งท้ายศิลปินไทยฟังหำหน่อยสิ
อย่าร้องอย่ารำอย่านำทางมั่วโลกีย์
สร้างตัวอย่างไม่ดี ให้ลูกให้หลานให้เยาวชน

ใช่ร้องใช่รำทำด้วยแรงขนมปัง
จะร้องจะเล่นเห็นความจริงบ้าง
ชาวนาเคว้งคว้างขัดสน แหกปากเข้าไป
เอาแต่จะได้ประโยชน์ใส่ตน
ถึงหำจะแบนว่าสัปดน ยังดีกว่าคนที่เนรคุณ.......


ฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกว่ามันชัดเจนและไม่ต้องแปล ไม่ต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาและไวยากรณ์ มานั่งอ่านแล้วอธิบาย ถ้ามีเพลงแบบนี้มากๆ ยายพิธีกรสาว เอ๋อเหรอ ของผมคงจะตกงานแน่นอน เพราะไม่รู้จะเชิญใครมานั่งออกทีวีให้ถามว่า "จริงเหรอคะ" แล้วอีกอย่างก็คือ เพลงแบบนี้คงจะไม่มีอีกแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวงดนตรีวงไหน นักร้องคนไหน หรือแม้แต่คาราบาวเอง ก็คงจะทำเพลงแบบนี้ออกมาอีกไม่ได้แล้ว เพราะทั้งภาษา อารมณ์ในตอนนี้มัน คนละความรู้สึกกันกับตอนนั้นแล้ว สิ่งเดียวที่จะทำได้ในตอนนี้ก็คือ ด่ามันไปตรงๆเลยครับ ไม่ต้องใช้สัมผัส ไม่ต้องมีทำนอง

เพลงหำเฮี้ยน เพลงนี้จึงเป็นเพลงประวัติศาสตร์เพลงหนึ่งของคาราบาวที่ผมอยากให้เพื่อนๆได้ฟังกันครับ

นภดล 30/5/2553

วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เลอฌอ เพลงฟ้าเดียวกัน

เมื่อประมาณเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ผมได้ไปเดินเล่นในงานแสดงสินค้า หรือเทศกาลอาหาร อะไรงานอะไรซักอย่างก็จำไม่ได้ที่แถวๆริมแม่น้ำตาปี ที่บอกว่าจำไม่ได้ก็เพราะว่า แถวๆนั้นจัดงานเยอะมาก เรียกได้ว่าถนนริมน้ำบริเวณนั้นจัดงานกันแทบทุกเดือนก็ว่าได้ เวลาผมขับรถไปทำงานก็จะหลีกเลี่ยงที่จะไม่เข้าไปบริเวณนั้นอยู่แล้ว ยอมขับอ้อมออกมาทางถนนเลี่ยงเมืองที่ไกลกว่าปกติเกือบสิบกิโลเมตร แต่ก้ดีกว่าไปหงุดหงิดเพราะรถติดที่แถวๆนั้นครับ

วันนั้นเป็นวันที่ 20 มีนาคม 2553 ที่จำได้เพราะที่วัดโพธาวาส มีงานพุทธาภิเษกพระเครื่องหลวงพ่อกล่อมอยู่ด้วย เลยจำวันที่ได้แม่นยำนิดนึง ผมเดินเล่นไปเรื่อยๆมองดูสินค้า ที่เห็นอยู่ทั่วๆไปเวลาที่มีงานประเภทนี้ เสื้อผ้า ของที่ระลึก และบู๊ทต่างๆของบริษัท รถยนต์ โทรศัพท์มือถือค่ายต่างๆ ผมเดินไปแบบไม่มีจุดหมายโดยผมเริ่มเดินจากฝั่งเวทีดนตรี สี่แยกวัดโพธาวาส ไปทางสะพานข้ามแม่น้ำตาปี เดินไปจนเกือบจะสุดงานแถวๆหน้าจวนผู้ว่าราชการจังหวัด ผมก็สะดุดหูกับเสียงเพลงที่เปิดอยู่ในขณะนั้น เป็นเพลงอะไรผมก็จำไม่ได้แล้ว เพราะไม่เคยฟัง แต่ที่ทำให้ผมสนใจมากๆก็คือมีเสียงร้องของเด็กผู้หญิง เสียงใสๆ อยู่ในเพลงนั้นด้วย

เมื่อมองไปที่ริมถนนบริเวณนั้นก็เห็นมุมเล็กๆ มีแผงขาย CD มีเวทีเล็กๆที่คาดว่าน่าจะเล่นดนตรีสดๆกันด้วย แต่ขณะนั้นมีแต่เสียงเพลงจาก CD เท่านั้น ผมเดินเข้าไปดุ แผง CD เล็กๆที่วางอยู่เห็นมีอยู่ หลายแบบอยู่เหมือนกัน "ชมก่อนนะเจ๊า" "เพลงนี้ฮ้องกับลูกสาวเจ๊า" ผมเงยหน้าขึ้นไปมองก้เห็น ผู้หญิงที่ดูจะขาวๆ ผมยาวๆ แววตาเหมือนมีความสุขตลอดเวลา กำลังยื่นแผ่น CD มาให้ผมดู พร้อมอธิบายว่าเพลงเหล่านี้ แต่งเอง เล่นเอง ร้องเอง แล้วก็ขายเอง

"เลอฌอ"ชื่อบนปก CD ที่เขียนอยู่ทำให้ผมคิดถึงชื่อ ตุ้ม เลอฌอ ขึ้นมาทันที แต่ไม่ใช่ว่าผมจะรู้จักวงดนตรีวงนี้นะครับ แต่เคยเห็นชื่อนี้ในหนังสือรวมเพลงเพื่อชีวิต เมื่อ สิบกว่าปีที่แล้ว ผมเลือกๆดูก็หยิบมาอย่างละแผ่น ทั้งหมด หกแผ่นแล้วส่งให้ สาวผมยาวที่ดูใจดีคนนั้น "ยินดีเจ๊า" ได้ยินเสียงคำเมืองออกมาอีกครั้งแต่เมื่อเธอเห็นว่าผมเลือกมาทั้งหกแผ่นก็บอกว่า ถ้าเอาทั้งหมดทางวงมีเป็นชุดใส่ถุงผ้าให้ด้วย "อ้าวแล้วก็ไม่บอก 555+" (คิดในใจนะครับไม่กล้าพูด) แล้วเธอก็หยิบ ถุงผ้าใส่ CD มาให้ผม แล้วก็ชี้ที่ถุงพร้อมทั้งบอกว่า "อย่าลืมเข้าไปชมเวบไซด์ นะเจ๊า" ผมก็กะว่ากลับมาถึงบ้านแล้วก็จะเข้าไปชมอยู่เหมือนกัน แต่เหมือน CD อาถรรพ์เลยครับ ตั้งแต่ได้มา ผมมีงานทุกวัน ไม่ได้หยุดได้หย่อน จนกระทั่งวันนี้ 29/5/2553 ผมถึงจะได้มีโอกาสหยิบ CD เหล่านี้มาฟัง

ฝากเวบไซด์ของเลอฌอไว้ด้วยนะครับ www.lerchor.com ทำได้น่ารักดีครับ

ปกติผมเป็นคนที่ชอบซื้อแผ่นแท้ เพราะชอบอ่านเครดิตในปกเทป ปก CD อยู่แล้ว บางแผ่นผมซื้อมายังไม่ได้แกะออกมาฟังเลยก็มี บางเพลงมีเพื่อนๆส่งเมล์มาให้ แต่ผมก็ยังต้องดั้นด้นไปซื้อแผ่นแท้มาเก็บไว้ การซื้อแผ่นแท้นี่ทำให้ผมกลายเป็นตัวประหลาดในที่ทำงานมาหลายครั้งแล้วครับ มีแต่คนถามว่า อ้าวเพลงนี้ยังไม่มีเหรอ ซื้อทำไม ของพี่มี MP3 ทั้งชุดแล้ว อะไรทำนองนั้น แต่ผมก็พยายามอธิบายให้พี่ๆเพื่อนๆเข้าใจว่า ความสุขของผมคือการได้ฟังเพลง ได้อ่านเรื่องราวในปก CD ได้ดูภาพประกอบได้มีความสุขกับสิ่งที่สัมผัสได้ การที่เราโหลดเพลงมาฟังหรือซื้อ MP3 รวมที่ขายในตลาดนัดมาฟัง มันไม่มีความรู้สึกของการมีส่วนร่วมในงานเพลง ที่ศิลปินพยายามสื่อออกมาให้เราได้รู้เลย แต่ก็ไม่เคยมีใครสนใจคำอธิบายของผมเลยแม้แต่คนเดียว

มาถึงงานเพลงของเลอฌอกันต่อครับ ผมนั่งฟังเพลงของเลอเฌอไปทีละแผ่น พร้อมทั้งอ่านเรื่องราวในปก CD ดูเนื้อร้อง ไปด้วย ในความรู้สึกคือ ไม่แพงเลยครับสำหรับงานดีๆที่ใส่ใจคนฟังแบบนี้ เพลงบางแผ่นที่ผมซื้อมาออกแบบปกแบบดูถูกคนฟังแบบผมมาก คือไม่มีอะไรในปกเลย นอกจากรูปศิลปินด้านหน้า ส่วนด้านในว่างเปล่าใช้กระดาษบางๆพิมพ์มาแบบลวกๆ ผมจะจำไว้แล้วจะไม่ซื้ออีกเป็นครั้งที่สองครับ ปก CD ของเลอฌอ มีเรื่องราวมากมายที่อยู่ในนั้น ทั้งรูปภาพ เนื้อเพลง พร้อมคอร์ดกีตาร์ ในบางแผ่น ทำให้ผมรู้สึกได้ถึงความรักและความอบอุ่นของบ้านหลังนี้ น้องผักกาด ก็ดูสดใสร่าเริ่งสมวัย แต่ละอย่างที่นำมาให้ชมก็รู้ได้ถึงความตั้งใจสร้างผลงาน แบบนี้ละครับที่เรียกว่า "ศิลปะ" ผมฟังเพลงไปด้วยดูเนื้อเพลงไปด้วย ดูรูปไปด้วย ฟังเพลงไปเรื่อยๆ นานแค่ไหนผมก็จำไม่ได้ รู้แค่ว่าเริ่มฟังตั้งแต่ฝนยังไม่ตก จนตอนนี้ฝนหยุดไปนานแล้ว แต่ผมก็ยังเปิดเพลงไปเรื่อยๆ

เพลงเด่นๆของเลอฌอ มีมากมายหลายเพลงเลยครับ ฟังสบายๆ ไม่หนักไม่เครียด หลายๆคนคงจะได้ฟังได้อ่านมาจากที่อื่นๆกันมามากพอสมควร แต่ที่อยากจะแนะนำเป็นพิเศษ คือเพลง ฟ้าเดียวกัน ครับ

เพลงฟ้าเดียวกันเป็นเพลงลำดับที่ 6 ในอัลบั้มชุดที่ 5 ของเลอฌอ ที่มีชื่ออัลบั้มว่า บ้านแสนรัก ผมฟังเพลงนี้หลายรอบมาก การร้องร่วมกันของทั้งสามคนดูอบอุ่นกลมกลืนแบบเป็นธรรมชาติมาก เนื้อร้องของเพลงนี้บ่งบอกให้รู้ถึงการศึกษาเส้นทางธรรมะของผู้แต่งได้เป็นอย่างดีเลยครับ ดนตรีทำออกมาแบบฟังดูง่ายๆแต่มีความเก๋าอยู่ในตัว ไม่รก ไม่บ้าพลัง ร้องแบบสบายๆ สรุปว่าชอบครับ ลองไปหามาฟังกันนะครับ แล้วฝากถึงพวกที่เข้ามาแล้ว โพสต์กระทู้ว่า "ไม่มีให้โหลดเหรอ" ด้วยนะครับว่า ที่นี่ไม่มีให้โหลดโว๊ยๆๆๆ ไปซื้อแผ่นแท้ ไปโหลดแบบถูกกฏหมาย มาฟังกันบ้างเถอะครับ สงสารคนที่เขาตั้งใจทำงานออกมากันบ้าง

เพลงฟ้าเดียวกัน
คำร้อง/ทำนอง ประพัฒน์ มณเฑียรทอง (ตุ้ม เลอฌอ) พนิศร คณะรัฐ (ติ๊งต่อง)

ฟ้าผืนเดียว ดินแผ่นเดียว
จันทร์ดวงเดียว ใจเดียวกัน
ดวงตะวันสาดส่องแสงทุกแห่งหน
ผ่านชีวิตการต่อสู้รู้ทุกข์ทน
ชีวิตวนเวียนไป ไม่แน่นอน

ต่างคน ต่างคิด คนละอย่าง
ต่างคน ต่างเลือกทางตามหัวใจ
สิ่งใฝ่ฝันต้องฟันฝ่านานเท่าใด
กว่าจะไปถึงจุดหมายที่ต้องการ

เลือกเดินเหยียบย่ำหลังผู้อื่น
หรือกอดคอหยัดยืนไปพร้อมกัน
คนเข้มแข็งร่วมเรี่ยวแรงพร้อมแบ่งปัน
อยู่ร่วมกัน สร้างสรรค์ สร้างโลกงาม

ลันลา...ลันลา...ลันลาๆ... อยู่ร่วมกันสร้างสรรค์ สร้างโลกงาม

ฟ้าผืนเดียว ดินแผ่นเดียว
จันทร์ดวงเดียว ใจเดียวกัน
ดวงตะวันสาดส่องแสงทุกแห่งหน
ผ่านชีวิตการต่อสู้รู้ทุกข์ทน
ชีวิตวนเวียนไป ไม่แน่นอน

จิตคน ที่สูงจึงเป็นคน
ธรรมชาติสร้างคน คนสร้างใคร
อยู่เทียมฟ้าสูงเทียมเมฆ
ดาวดวงไหน ร่วงหล่นไปอยู่แห่งใด..ใครจะรู้

ไม่นาน หลับฝันพลันต้องตื่น
เส้นทางธรรมจะฝืนได้อย่างไร
เสี้ยวชีวิตอันน้อยนิด คิดมากมาย
แต่สุดท้ายจิตจากกายไปสู่ที่ใด

ลันลา...ลันลา...ลันลาๆ...แต่สุดท้ายจิตจากกายไปสู่ที่ใด

ฟ้าผืนเดียว ดินแผ่นเดียว
จันทร์ดวงเดียว ใจเดียวกัน
ดวงตะวันสาดส่องแสงทั่วแห่งหน
ผ่านชีวิตการต่อสู้รู้ทุกข์ทน
ชีวิตวน เวียนไป ไม่แน่นอน


เพลงนี้ได้อารมณ์ของคนที่อยากจะหลบหลีกหนีความวุ่นวายต่างๆเป็นอย่างมาก คล้ายๆกับเพลงของ จีวัน ที่นำเอาคำสอนของท่านพุทธทาสมาเรียบเรียงเป็นบทเพลงที่ให้สาระ สร้างแนวคิดก่อให้เกิดความสุขสงบขึ้นในจิตใจได้โดยที่ไม่ต้องออกไปแสวงหาที่ไหน เพียงแค่หามุมสงบๆ แล้วเปิดเพลงนี้ฟัง ความสุขก็วิ่งเข้ามาหาแล้วละครับ

ขอบคุณเลอฌอ ที่สร้างงานดีๆแบบนี้ขึ้นมาในโลก และผมก็ยังมั่นใจว่างานศิลปะ เสียงเพลง และบทกวี ที่ถ่ายทอดออกมาจากจิตวิญญาณและความรู้สึกเหล่านี้ ดีกว่า ชิมิ ชิมิ อย่างเทียบกันไม่ได้เลยครับ ถ้าเรามีคำศัพท์ว่า อาหารขยะ Junk Food แล้วละก็ เพลงแนวๆนั้นก็คงจะเป็น Junk Song ด้วยเช่นกัน นานๆกินที นานๆฟังที ก็คงจะไม่เป็นไร แต่ถ้ากินบ่อยๆ ฟังบ่อยๆ junk Food Junk Song ก็สามารถฆ่าเราให้ตายไปอย่างช้าๆได้เหมือนๆกันครับ

ด้วยจิตคารวะแด่คนดนตรี และเสียงเพลงที่สื่อสาร จากใจถึงใจ

นภดล 29/5/2553

ศาสนาเสื่อมเพราะอะไร

นั่นสินะ ศาสนาเสื่อมเพราะอะไร ผมเองก็ได้ยินคนพูดอยู่บ่อยๆว่าเดี๋ยวนี้ศาสนามันเสื่อมเสียแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อน ด้วยความสงสัยว่าศาสนาจะเสื่อมได้จริงหรือ แล้วถ้าเสื่อม เสื่อมเพราะอะไร และด้วยความเข้าใจของผมนั้น ศาสนาไม่ใช่ปลากระป๋อง หรือ นมข้นหวาน ดังนั้นศาสนาไม่มีวันหมดอายุแน่นอนครับ ดังนั้นผมจึงลองไปค้นหาหนังสือต่างๆมาเปิดอ่าน เพื่อหาข้อสรุปให้กับตัวเองว่าทำไม ศาสนาถึงเสื่อม คำว่าเสื่อมนี้เกิดจากการเสื่อมศรัทธาของคนภายนอก หรือเป็นที่ภายในของพุทธศาสนา อันมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กันแน่

ในกรณีที่เป็นคนภายนอก อันนี้ผมหมายถึงคนต่างศาสนาและคนในศาสนาที่เป็นพุทธตามบัตรประชาชน แต่ไม่สนใจศึกษาคำสั่งสอนของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง แต่คิดไปคิดมาแล้วกลุ่มคนเหล่านี้ไม่น่าที่จะทำให้ ศาสนาพุทธเสื่อมลงได้มากมายจนถึงขั้นวิกฤติได้ขนาดนี้

ดังนั้นเราต้องมาคิดถึงเรื่องของกรณีภายในกันบ้างครับ พุทธศาสนาภายใน ในความหมายของผม คือพระรัตนตรัย อันประกอบด้วย พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์

ข้อแรกแลยครับ พระพุทธ อันหมายถึงพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ชอบ ได้ด้วยพระองค์เอง แล้วนำสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ มาสั่งสอนมนุษย์และเทวดาทั้งหลายให้เห็นถึงหนทางหลุดพ้น ทรงเป็นศาสดาเอกของโลก เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ดังนั้น ข้อนี้ไม่มีทางเสื่อมได้อย่างแน่นอน

ข้อสอง พระธรรม คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีสิ่งใดที่จะจริงแท้แน่นอนไปกว่า อริยสัจ 4 ที่ทรงตรัสรู้ เป็นคำสอนไม่จำกัดกาลเวลา ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนก็สามารถนำมาใช้กับชีวิตประจำวันได้อย่างไม่มีข้อผิดเพี้ยนใดๆ ดังนั้นข้อนี้ข้ามไปเหมือนกันครับ

สุดท้าย พระสงฆ์ครับ พระสงฆ์ จัดอยู่ในกลุ่มที่มองเห็นและสัมผัสได้ชัดเจนที่สุดในพระรัตนตรัย ดังนั้นพระสงฆ์จึงต้องมีการกล่าวถึงมากพอสมควรครับว่า มีส่วนที่จะทำให้ศาสนาเสื่อมหรือเปล่า ดังนั้นผมจึงเริ่มหาหนังสือมาอ่านแล้วก็เจอบทความนี้ครับ

คัดมาจาก ตำราดูพระ ของท่านพุทธทาส

ภิกษุทำศาสนาเสื่อม

ภิกษุทั้งหลาย! มูลเหตุ ๔ ประการเหล่านี้ทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป ๔ อย่าง อะไรกันเล่า? ๔ อย่าง คือ

๑. พวกภิกษุเล่าเรียนสูตรอันถือกันมาผิด ๆ ด้วยคำและสำเนียงก็ใช้กันผิด ๆ เมื่อคำและสำเนียงที่ใช้กันผิดแล้ว ความหมายก็คลาดเคลื่อน และทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป

๒. พวกภิกษุเป็นคนว่ายาก ประกอบด้วยเหตุที่ทำให้เป็นคนว่ายาก ไม่อดทน ไม่ยอมรับคำตักเตือนโดยความเคารพหนักแน่นนี้ทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป

๓. พวกภิกษุเหล่าใดเป็นผู้เรียนมาก คล่องแคล่วในหลักพระพุทธพจน์ รู้ธรรม รู้วินัย รู้แม่บท ภิกษุเหล่านั้นไม่ได้เอาใจใส่ที่จะบอกสอนใจความแห่งสูตรทั้งหลายแก่คนอื่น ๆ เมื่อท่านเหล่านั้นล่วงลับดับไป สูตรทั้งหลายก็เลยขาดอาจารย์ ไม่มีผู้สอนสืบไป ทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป

๔.พระภิกษุชั้นเถระทำการสะสมเครื่องอุปโภคบริโภคประพฤติย่อหย่อนในไตรสิกขามีจิตต่ำด้วยอำนาจแห่งนิวรณ์ไม่สนใจในกิจแห่งวิเวกธรรม ไม่ริเริ่มทำควรเพียรเพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึงเพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุเพื่อทำให้แจ้งในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้งผู้บวชในภายหลังได้เห็น
พวกเถระเหล่านั้นทำแบบแผนเช่นนั้นไว้ต่างก็ถือเอาไปเป็นแบบอย่างจึงทำให้เป็นผู้ทำการสะสมเครื่องอุปโภคบริโภคบ้าง ประพฤติย่อหย่อนในไตรสิกขา มีจิตต่ำด้วยอำนาจแห่งนิวรณ์ ไม่สนใจในกิจแห่งวิเวกธรรมไม่ริเริ่มทำความเพียรเพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้งตามกันสืบไปนี้ทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป

ภิกษุทั้งหลาย! มูลเหตุ ๔ ประการเหล่านี้แล ทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป.

(คัดจากพระพุทธภาษิต จตุกก. อง ๒๑/๑๙๗/๑๖๐) พระพุทธพจน์บทนี้ชี้ให้เห็นว่าพุทธศาสนาจะเสื่อมหรือสูญสิ้นไปก็เพราะภิกษุเอง มิใช่คนภายนอก ฉะนั้นภิกษุที่ทำลายพุทธศาสนาก็คือผู้ที่ไม่รู้จักพุทธศาสนา หลงประกาศแต่ศาสนาพราหมณ์ ปฏิบัติกิจเกี่ยวกับพิธีรีตองของขลังศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ว่ายาก ใครตักเตือนเข้าก็โกรธเพราะมีมิจฉาทิฏฐิ และเห็นแก่ตัวจัด ยกตัวว่าเป็นบุคคลพิเศษ ใครว่ากล่าวตักเตือนไม่ได้ ภิกษุที่รู้จักพระพุทธศาสนาดีก็ไม่มีอิทธิพล ไม่ได้รับความสนับสนุนจากทางการ ในที่สุดก็หมดกำลังใจที่จะประกาศสัจธรรม พอท่านล่วงลับไปก็เลยขาดผู้สอน ภิกษุเถระส่วนมากก็ไม่สนใจในงานพระพุทธศาสนาคอยแต่จะแต่งกุฏิให้งดงามเป็นปราสาทราชวังปล่อยให้ภิกษุหนุ่มที่โง่และไร้การศึกษา โฆษณาหลอกลวงประชาชน โดยคิดว่าตนเป็นศาสดา

จากบทความข้างต้นเมื่อเรารู้สาเหตุแล้วว่า ศาสนาเสื่อมเพราะภิกษุได้อย่างไร เรามาช่วยกันปกป้องพระศาสนาอันเป็นที่พึ่งของพวกเรากันดีกว่าครับ พระภิกษุรูปไหน วัดไหน ที่เอนเอียงออกไปในแนวทางข้างต้นเราก็มาช่วยกันเตือนๆท่านบ้าง เราไม่จำเป็นต้องวางเฉยในทุกๆเรื่องแบบ ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ อย่างที่ใครต่อใครบอกต่อๆกันมา เพราะทุกวันนี้พระแบบนี้มีมากมายเหลือเกิน การที่เรานิ่งเฉยเราจะบาปมากกว่าที่จะร่วมกันตักเตือนพระที่ทำผิดนะครับ

ทำไมเราต้องเตือนพระ พระเตือนพระกันเองไม่ได้เหรอ หลายๆคนคงจะสงสัยและตั้งคำถามในใจ จริงๆแล้วมันต้องเป็นแบบนั้น พระเตือนพระ ว่ากล่าวกันตามอาวุโส ตามภูมิรู้ภูมิธรรม แต่สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วครับ พระกับพระเข้าพวก รวมหัวกันหาผลประโยชน์ ข่มขู่ญาติโยมด้วยคำว่าบาป เราลองมาคิดดูสิครับว่า ถ้าเรานิ่งเฉยปล่อยให้พระสงฆ์กระทำผิดวินัยไปเรื่อยๆ จากเล็กเป็นใหญ่ จนกระทั่งถึงขั้นจับอาวุธ เดินทางร่วมกับกลุ่มที่จะทำสงคราม ตั้งตัวเป็นพ่อค้า สร้างอิทธิพล มองข้ามพระธรรมวินัย จนกลายเป็น โมฆะบุรุษ เปรียบเช่น ตอไม้คลุมผ้าเหลือง แล้วต่อไปพุทธศาสนาจะเหลือสิ่งใดไว้ให้ลูกหลานเรา

ถ้าเราเฉยเท่ากับว่าเราร่วมมือกับโจรในเครื่องแบบพระ หลอกลวงคนอื่นๆที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ สร้างแนวคิดที่ผิดๆขึ้นในสังคม ทำให้คนทั่วไปหมดความเลื่อมใสในพุทธศาสนา เราจะปล่อยให้พระสงฆ์เหล่านั้นแสดงทีท่าว่าเก่งกว่าพระพุทธเจ้าจริงๆหรือ ที่ว่าเก่งกว่าพระพุทธเจ้าก็คือ ข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ในพระไตรปิฏก พระเหล่านี้ก็บอกว่าไม่เป็นไร ข้ามไปได้ ละเว้นได้ เล็กๆน้อยๆไม่เป็นไรหรอก ตั้งแง่ ตั้งเหตุ ตั้งเรื่อง ร้อยแปดพันเก้าเพื่อที่จะให้ตัวเองสบาย ได้ลาภยศ ที่นอนให้นอนต่ำ ก็จะนอนเตียง อ้างว่าเมื่อยหลัง ฟังเพลงได้ ดูโทรทัศน์ได้ เพื่อติดตามข่าวสาร มีโทรศัพท์มือถือที่เสียงเรียกเข้าเป็นเสียงเพลงวัยรุ่น โดยอ้างว่าเพื่อติดต่องาน และอีกมากมาย ตั้งกฏ ตั้งกติกาขึ้นมาเอง กล่าวหาว่าพระวินัย ไม่ทันสมัย และอีกมากมายสารพัดที่พระสงฆ์เหล่านั้นจะยกมาอ้าง

ดังนั้นถ้าเราอยากเป็นพุทธในศาสนาพุทธที่แท้จริงเราต้องช่วยกันปราม พระสงฆ์ เหล่านี้กันบ้าง ร่วมกันบูชาส่งเสริมเผยแผ่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่ยังมีอยู่อีกมากมายในประเทศไทยนำมาสั่งสอนเรา ให้เป็นที่รู้จัก งดเว้นการร่วมมือกับสงฆ์ที่ประกาศศาสนาพราหมณ์หรือขายของเล่นจำพวก กุมาร จิ้งจก ตุ๊กแก ที่เราเห็นกันอยู่มากมายในหน้าหนังสือพิมพ์ ถ้าเราช่วยกันตั้งแต่บัดนี้เราจะช่วยยืดอายุของพุทธศาสนาไปได้อีกนานเลยครับ ที่บอกว่ายืดอายุก็คือ ไม่ว่าสิ่งใดๆเมื่อถึงเวลาก็ต้องเสื่อมสลายไปตามกาล ดังคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว สิ่งเดียวทีเราพอจะช่วยกันได้ก็คืออย่าให้พุทธศาสนาเสื่อมไปในช่วงอายุของเราเลยครับ

นภดล 28/5/2553

วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ทำไมต้องเขียน

นั่นสินะ ทำไมต้องเขียน จะเขียนไปทำไม จะมานั่งหลังขดหลังแข็งกดแป้นพิมพ์ไปทำไมนักหนา มันแสนจะน่าเบื่อมากมายสำหรับใครบางคนรวมทั้งผมด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้ผมก็เหมือนกับคนทั่วไปคือชอบอ่านไม่ชอบเขียน ชอบหาความรู้ที่ผ่านการย่อเรื่องจากคนอื่นมาแล้ว ไม่ชอบที่จะเขียนอะไรๆยาวๆ แต่พอวันเวลาผ่านไปถึงช่วงหนึ่งของชีวิต ความคิดของผมก็เปลี่ยนไปครับ

ก่อนหน้านี้ผมก็เขียนบทความหลายๆเรื่องลงไว้ในหลายๆเวบ อย่างใน www.siamsouth.com และเวบในเครือ แต่ก็เป็นแค่การเขียนแบบไม่ได้คิดอะไรมากมาย เขียนเอามัน เอาสนุก เขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ในการทำงานและเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จนกระทั่งเมื่อคืน (17/5/2553) ผมได้ไปงานศพของพี่สาวของเพื่อนสมัยเรียนมัธยม พี่สาวคนนี้อายุมากกว่าผมไม่เท่าไหร่ ปีนี้อายุเพิ่งจะ 40 แต่ก็เสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บบางประการ ในงานนี้ผมได้นั่งฟัง หลวงพี่เล็ก นั่งเทศนาเกี่ยวกับเรื่องราวต่างที่เป็นเรื่องจริงในชีวิตของคนเรา เรื่องเกิดแก่ เจ็บ ตาย และการใช้ชีวิตของคนเรา

ผมนั่งฟังแล้วคิดตามไปเรื่อยๆแล้วก็มีเรื่องของ ไอดอล ในชีวิตของผมผุดขึ้นมาในความคิด บุคคลที่มีอิทธิพลในความคิดและการใช้ชีวิตของผมในตอนนี้ที่สุด คือ ท่านพุทธทาส แห่ง สวนโมกขพลาราม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครับ ผมเพิ่งได้อ่านงานของท่านอย่างจริงจังในช่วงเวลาปีกว่าๆที่ผ่านมานี่เองครับ อ่านแล้วเกิดความรู้สึกที่ว่า "กูไปอยู่ที่ไหนมาวะ" ทำไมไม่อ่านมาก่อนหน้านี้ ทั้งๆที่ผมไปสวนโมกข์มาหลายครั้ง รู้จัก วัดธารน้ำไหลมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะผมเกิดที่นี่ โตที่นี่ และอยู่ไม่ไกลจากสวนโมกข์ มากนัก ผมเกิดที่อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกิดในสังคมของพุทธศาสนา เกิดในแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ เจริญเติบโตท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ สายน้ำ ลำธาร ดอกไม้ ผีเสื้อ ปลาเล็ก ปลาน้อย มากมาย เป็นชีวิตที่สุขสงบและสบายเป็นอย่างยิ่ง

แต่เมื่อผมโตขึ้น สิ่งต่างๆก็เปลี่ยนไปความเจริญเข้ามา ธรรมชาติหายไป แล้วสุดท้ายก็ต้องดิ้นรนไขว่คว้าหา ธรรมชาติและความสงบร่มเย็นกันอีกครั้ง ผมพยายามมองหาสิ่งเหล่านี้ พยายามปลูกต้นไม้เพิ่มเติม แต่เมื่อมองย้อยกลับไปในอดีตแล้ว ทำให้รู้ว่า "กูโง่เหลือเกิน" ของเหล่านี้มันมีอยู่แล้วในอดีต แต่พวกเราทำลายมันเอง แล้วตอนนี้ก็ต้องกลับมาสร้างมันกันใหม่อย่างน่าเสียดายเวลา

เรื่องธรรมะก็เช่นกัน ผมดั้นด้นเดินทางไปแทบจะทั่วประเทศ ที่ไหน ใครว่าดีผมก็เดินทางไปจนถึง ไปนอนที่วัดนู้นวัดนี้ไปกราบอาจารย์ที่นั่นที่นี่ แนวทางไหนที่เป็นที่รู้จัก ไม่ว่าจะไป อุทัยธานี ไปมองลูกแก้ว ไปสักยันต์ ไปเรียนวิชาอาคมที่ใครว่าขลัง ไปสำนักต่างๆที่มีชื่อเสียง จนมาถึงแนวทางการฝึกจิต ฝึกสมาธิและปัญญา ผ่านทางการศึกษาในเรื่องของพระไตรปิฏก (ที่อาจจะไม่ตรงมากนัก)จากหลายๆที่ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผมค้นหา จนสุดท้ายผมก็เริ่มหยิบหนังสือเก่าๆที่วางอยู่บนชั้นหนังสือที่บ้านออกมาอ่าน เป็นหนังสือของท่านพุทธทาส ทั้งนั้น และเมื่ออ่านแล้วคิดตามก็รู้เลยว่า ผมเสียเวลาไปร่วมๆ ยี่สิบปี กับ การใช้ชีวิต วิ่งตามโลก วิ่งตามคำร่ำลือ

ไม้ใหญ่ใกล้บ้านที่ให้ร่มเงาอย่างร่มเย็น ผมกลับไม่มอง กลับวิ่งไปหาร่มไม้ไกลบ้าน กว่าจะรู้ว่าร่มไม้ในหนาที่ผมพยายามไปอาศัยร่มนั้นเป็นแค่ ต้นมะละกอ หาใช่ไม้ใหญ่ ร่มโพธิ์ ร่มไทร ที่ยั่งยืนอย่างที่ผมฝันไว้เลยนั้น วันและเวลามันก็ผ่านเลยมานานเหลือเกิน แต่มันก็ยังไม่สายที่จะกลับมาใช้ชีวิตในร่มโพธิ์ร่มไทรใกล้บ้าน อย่าง ท่านพุทธทาสและสวนโมกข์ อย่างน้อย ชีวิตนี้ผมก็หาตัวเองเจอแล้วครับว่า ชีวิตผมต้องการอะไรและแนวทางชีวิตแบบไหนที่ผมต้องการ

ผมนั่งฟังหลวงพี่เล็ก เทศนาต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็นั่งคิดเรื่องราวของผมบวกรวมไปกับคำสอนของหลวงพี่เล็ก จนเกิดคำถามกับตัวเองว่า "หลวงพี่เทศนา เกี่ยวกับการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วคนตายที่นอนอยู่ในโลงนี้ อีก กี่วัน พวกเราจะลืม" สำหรับผม พี่สาวของเพื่อน คนนี้ไม่ได้รู้จักกันมากมาย รู้แค่ว่าเป็นพี่สาวของเพื่อน อีกแค่ สองสามวันผมก็คงจะลืม พอคิดแบบนั้น ผมก็คิดถึงไอดอล ของผม อีกครั้ง ท่นมรณะภาพไปตั้งนานแล้ว ทำไมไม่มีใครลืมท่านเลย ยังมีคนกล่าวถึง มีคนได้ศึกษาความรู้จากท่านแม้ว่าท่านจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ผมหาคำตอบให้ตัวเองว่า ทั้งหมดทั้งปวงเกิดจากงานเขียนของท่านนั่นเองครับ ตัวหนังสือไม่มีวันตาย ประวัติศาสตร์โลกไม่ว่าจะกี่พันปี ก็อยู่ยงมาได้ด้วยการจารจารึก ทั้งรูปภาพ ตัวพิมพ์ และหนังสือ

อย่างผมที่ได้เข้ามาอาศัยความเย็นใจและสงบใจจากธรรมะในแนวทางของการปฏิบัติของสวนโมกข์ผ่านทางตัวหนังสือ บันทึก รูปภาพ จากผลงานของท่านพุทธทาส ในยามที่ท่านไม่อยู่แล้วเช่นกัน พูดถึงตอนนี้ความคิดที่ว่า "กูไปอยู่ไหนมาวะ" ก็แวบขึ้นมาอีกครั้ง สมัยที่ท่านพุทธทาส เทศนาสอนบุคคลทั่วไปอยู่ในสวนโมกข์ด้วยตัวท่านเอง ผมกลับวิ่งหา สำนักที่เด่นดังในเรื่องวัตถุมงคล คิดเอาเองว่า พระดีต้องมีอาคม มีวัตถุมงคล มีพิธีกรรมที่อลังการ แต่กว่าจะเข้าใจว่าอะไรคือของจริง ผมก็ทำได้แค่ศึกษางานของท่านผ่านรูปภาพและตัวหนังสือเท่านั้นเอง

และเมื่อมีสถานที่คือ เวบบอร์ด แห่งนี้แล้ว ที่เหลือคือการเขียนครับ ผมตั้งใจว่าจะเขียนให้ได้มากมี่สุด เขียนข้อความที่ออกมาจากความรู้สึกในใจของผมเองออกมาให้มาที่สุด เพื่อที่ว่าในวันข้างหน้า จะได้มีเรื่องราวที่ออกมาจากความคิดของผมเก็บไว้ให้คนอื่นๆได้รับรู้ว่า ครั้งหนึ่งบนโลกใบนี้ ในประเทศแห่งนี้ เคยมีคนที่แนวคิดแบบนี้อาศัยอยู่ด้วยอีกหนึ่งคน แม้ว่าเรื่องราวที่ผมคิดแนวทางที่ผมทำอาจจะไม่ตรงกับความรู้สึกของใครๆอีกหลายๆคน แต่ผมก็จะทำครับ

การทำงานคือการปฏิบัติธรรม ดังนั้นผมจะทำงานในหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบ ควบคู่ไปกับการทำงานทางใจด้วย ผมจะเริ่มทำในสิ่งที่ผมคิดและสิ่งที่ผมเชื่อว่านี่คือแนวทางที่ถูกต้องในชีวิตที่ผมได้เจอ "ต่อไปสิ่งที่ยากที่สุดคือเรื่องความเพียร"คำที่พี่ต็อบ บอกกับผมในการคุยกันครั้งล่าสุดยังดังแว่วขึ้นมาในความรู้สึก และผมก็รู้เช่นกันว่ามันยากมากๆจริงๆ แต่ผมก็จะพยายามครับ

18/5/2553

ผลของกรรมที่ผมได้เจอ..

วันนี้ วันวิสาขบูชา ขอเล่าเรื่องที่ผมได้เจอมาครั้งหนึ่งในชีวิตให้พี่ๆเพื่อนๆได้อ่านกันนะครับ

เรื่องกรรมเป็นเรื่องที่มีอยู่อย่างเด่นชัดในพระพุทธศาสนา เพราะกรรมจะเป็นตัวส่งผลโดยตรงชีวิตของเรา ทำกรรมดีก็จะได้รับผลดีทำกรรมชั่วก็จะได้รับผลร้าย แต่จะช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับว่ากรรมนั้นๆเป็นกรรมหนักหรือเบา ดังนั้นพุทธศาสนาจึงสอนให้ระวังในเรื่องของกรรม ทั้ง กายกรรม มโนกรรม วจีกรรม ให้ระวังในทุกๆขณะให้ใช้สติกำกับเพื่อที่จะไม่ให้การกระทำหรือกรรมที่เกิดในขระนั้นเป็นกรรมชั่ว ซึ่งจะส่งผลให้เราต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากผลกรรมที่เราได้กระทำขึ้น

ในสมัยก่อนนั้นเมื่อประมาณเกือบๆสิบปีที่แล้ว ผมเองก็ไม่ได้มีความคิดที่จะเชื่อในเรื่องผลของกรรมมากนัก ใช้ชีวิตไปแบบไม่คิดอะไรมากมาย กินเหล้า เมาหัวราน้ำ ยิงนกตกปลาไปตามเรื่องตามราว ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับคำสอนคำเตือนของคนรอบข้าง บางคนก็อยากให้ลดๆเรื่องเหล้าลงบ้างเพราะผมดื่มเกือบจะทุกวัน แถมบางวันก็กินกันยันเช้าไปเลย แต่ผมก็ไม่เคยสนใจ

นอกจากดื่มเหล้าแล้ว ผมยังชอบตกปลามากเป็นพิเศษ ชอบชนิดที่ว่าเห็นบึงเห็นบ่อไม่ได้เลยละครับ ต้องหาทางเอาเบ็ดลงน้ำให้ได้ ยามที่นั่งเฝ้าคันเบ็ด นั่งรอให้สายเอ็นกระตุกมันช่างเป็นเวลาที่มีความสุขเสียนี่กระไร ยิ่งถ้าได้เบียร์เย็นๆซักกระป๋องด้วยละก็ ความรู้สึกมันเหมือนกับขึ้นสวรรค์กันเลยทีเดียว

ช่วงเวลานั้นผมอายุประมาณ 25 ปี ทำงานประจำแล้ว และงานของผมก็ต้องเดินทางไปไหนมาไหนบ่อยๆแทบทุกวัน แต่ถึงกระนั้นยามที่มีคนโทรมาชวนให้ไปตกปลาไม่ว่ามันจะไกลแค่ไหนผมก็ดิ้นรนไปจนได้ อดหลับอดนอนได้ปลาบ้างไม่ได้ปลาบ้างก็ต้องไป เรียกได้ว่าผมติดการตกปลา เหมือนกับติดยาบ้าเลยละครับ แถมเวลาได้ปลามาก็มีพ่อครัวซึ่งเป็นพี่ชายคอยปรุงกับแกล้มที่ทำมาจากปลาที่ตกได้ รสชาดปลาสดบวกกับเหล้าเบียร์ ทำให้ผมยิ่งถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ว่างานจะหนักแค่ไหน เหนื่อยยังไง และต้องเดินทางไกลแค่ไหนผมก็ไม่เคยพลาด ถ้าไปตกปลา

ในพื้นที่อำเภอพุนพินที่ผมอยู่จะมีแม่น้ำตาปีไหลผ่านช่วงตลาดท่าข้าม ซึ่งจะเป็นช่วงที่กว้างมาก เพราะเป็นจุดรวมของแม่น้ำสองสายคือ แม่น้ำตาปีกับคลองพุมดวง แต่ถ้าดูกันแบบไม่เข้าข้างใครกัน ผมว่า คลองพุมดวงดูจะกว้างกว่าแม่น้ำตาปีเสียอีกครับ แต่ทำไมเรียกคลองก็ไม่ทราบได้ และเมื่อทั้งสองสายรวมกัน ก็เรียกว่าแม่น้ำตาปี และเมื่อแม่น้ำตาปีไหลผ่านตลาดท่าข้าม ผ่านสะพานจุลจอมเกล้า แม่น้ำตาปีก็แยกเป็นสองสายอีกครั้ง สายหนึ่งไปออกปากน้ำที่บ้านดอน อำเภอเมือง ก็เรียกแม่น้ำตาปีเหมือนเดิม แต่อีกสายจะไหลผ่านมาทาง เขาศรีวิชัย กลายเป็นคลองเล็กๆ ชื่อคลองพุนพิน

วันนั้น พี่ชายโทรมาชวนไปตกปลาที่แถวๆคลองพุนพินนี่ละครับ ที่หมายเป็นบ้านของชาวบ้านแถวนั้น ด้านหน้าบ้านก็ตั้งวงกินเหล้ากันไปอย่างสนุกสนาน ด้านหลังก็วางเบ็ดตกปลากันอย่างสบายอารมณ์ วันนั้นเราไม่ได้เตรียมตัวอะไรไปมากมายนัก คิดว่าจะไปนั่งกินเหล้ากันมากกว่า แต่วันนั้นบังเอิญว่าปลากินเบ็ดถี่เหลือเกินครับ ได้ปลาแขยงหลายตัว ปลาแขยงแถวนี้ก็ตัวใหญ่ดีจริงๆ ตกกันเพลินเลยครับ แถวนี้พวกเราเคยมาตกปลากันหลายครั้ง บางครั้งก็ได้ปลากระทิงไปหลายตัวเหมือนกัน แล้วเจ้าปลากระทิงนี่เวลามันกินเบ็ดมันจะกลืนเบ็ดลงท้องไปเลยครับ เราต้องตัดสายเอ็นออกแล้ว ผูกเบ็ดใหม่ ค่อยไปเอาออกตอนไปทำกินที่บ้าน ผ่าท้องแล้วเอาตาเบ็ดกลับมาใหม่

เวลาผูกตาเบ็ดนี่เราจะใช้บุหรี่จี้ที่บริเวณที่เราผูกเงื่อน เพื่อให้มันแน่นด้วยสาเหตุนี้เอง ทำให้พี่ชายของผมคนนึงติดบุหรี่ เพราะว่าเวลาผูกเบ็ดจะเรียกใครก็ไม่ได้เลยต้องจุดเอง จี้เอง แล้วก็สูบเองทำให้กลายเป็นคนติดบุหรี่ด้วยเหตุผลที่ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านซักเท่าไหร่

อย่างที่บอกครับวันนี้เราไม่ได้เตรียมตัวกันมาซักเท่าไหร่ ตาเบ็ดก็ไม่ได้เอามามากนัก แถมปลาก็กินดีเหลือเกิน ดังนั้นเมื่อผมตกได้ปลากระทิงขึ้นมา ประกอบกับคงจะตึงๆอยู่บ้างกับเบียร์กระป๋องที่ใส่ลงไปในกระเพาะ ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดมากมาย พยายามดึงสายเอ็นเพื่อที่จะให้เบ็ดหลุดออกมาจากท้องเจ้าปลากระทิงตัวนี้ให้ได้ แต่มันก็ไม่เป็นผล และเมื่อพยายามไปได้ซักพัก ผมก็ตัดสินใจ กระชากสายเอ็นเต็มแรงครับ ปลากระทิงตัวนั้นงอไปงอมาปากฉีก แต่ผมก็มองเห็นไม่ชัดนักเพราะมันมืดบวกกับความรู้สึกอยากจะตกปลาทำให้ผมไม่ได้สนใจมันมากนัก และเมื่อได้เบ็ดกลับมาผมก็จับปลาตัวนั้นโยนใส่ถังปลาแบบไม่สนใจใยดีกับมันอีกเลย จนเมื่อเราเลิกตกปลาเก็บของจะกลับบ้าน ผมก็เห็นว่าปลาตัวนี้มันตายลอยอยู่ในถังสภาพมันไม่ค่อยน่าดูนัก พี่ชายก็บอกว่า มันตายแช่น้ำนานๆแบบนี้เอากลับไปก็พอง เสียเปล่าๆ เพราะกว่าจะได้ทำปลาก็คงจะเป็นพรุ่งนี้ คืนนี้คงไม่ไหวแล้วถึงบ้านก็คงจะหลับเป็นตาย ผมเลยหยิบเจ้าปลาตัวนั้นโยนทิ้งลงไปในคลอง แล้วก็กลับบ้าน

แล้วผมก็ลืมเรื่องราวของปลากระทิงตัวนั้นไปอย่างง่ายดาย โดยที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้สึกว่าเคยทำอะไรกับปลาตัวนั้นไว้ จวบจนกระทั่ง คืนหนึ่งประมาณ สี่ทุ่ม ผมรู้สึกปวดท้องอย่างรุนแรง ปวดจนทนไม่ได้ ต้องกัดฟันขับรถไปโรงพยาบาล สภาพผมตอนนั้นก็ไปในชุดที่ใส่นอน ถือกระเป๋าเงินไปด้วย เรียกได้ว่า เป็นสภาพที่ดูไม่ได้เลยครับ ปวดท้องมากๆ ขับรถไปกว่าจะถึงโรงพยาบาลก็ ทรมานน่าดู แถมยังต้องนอนรออยู่ในห้องฉุกเฉินอีก กว่าหมอจะเข้ามาดู โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นโรงพยาบาลเอกชน ที่ผมมีประกันสุขภาพที่ทางบริษัททำไว้ให้เลยไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลใดๆ แต่..สาบานได้ครับว่า ในขณะที่ผมนอนปวดท้องอย่างหนักนั้น ผมได้ยินเสียงหมอหนุ่มที่เดินเข้ามาคุยกับพยาบาลว่า "คนไข้ใช้บัตรอะไร" ผมกำลังจะตายแต่หมอไม่เข้ามาดูอาการผม กลับไปถามพยาบาลว่า ใช้บัตรอะไร นี่ถ้าผมลืมเอากระเป๋าเงินมา มันจะรักษาผมหรือเปล่าเนี่ย และเมื่อรู้ว่าผมใช้บัตรอะไร หมอหนุ่มคนนี้ก็เดินมาเอามือกดที่ท้องผมสองสามที แล้วบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก เดี๋ยวเอายาไปกินแล้วกลับบ้านได้

เที่ยงคืนกว่าๆผมก็ขับรถออกมาจากโรงพยาบาล แต่อาการปวดมันไม่ได้ดีขึ้นเลยกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผมตัดสินใจขับรถไปที่ออฟฟิศ ของผม ซึ่งในขณะนั้นมีคนเข้าเวร ทั้งคืน ขอเข้าไปนอนพักที่ในห้องทำงาน กินยาแล้วนอน แต่แล้วผมก็ต้องตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ตอนเวลาประมาณตีสี่ มันปวดมากมายเหมือนเดิม ยาที่กินก็แค่บรรเทาไปบ้างนิดหน่อยแล้วทำให้หลับ แต่เมื่อหมดฤทธิ์ยา มันก็ปวดขึ้นมาอีก คราวนี้ผมกัดฟันขับรถไปโรงพยาบาลอีกรอบ บอกกับเจ้าหน้าที่ว่า ผมต้องการนอนที่โรงพยาบาล เพราะถ้าเป็นอะไรมากมายกว่านี้จะได้มีคนมาดูอาการ ดีกว่าให้ผมกลับไปนอนอยู่คนเดียวที่บ้าน

ดังนั้นต่อมาไม่นานผมก็ได้สวมชุดคนไข้นอนอยู่ในห้องคนไข้ของโรงพยาบาลแห่งนั้น แต่...ไม่มีหมอเข้ามาดูอาการผมเลยผมกินยาที่หมอหนุ่มคนเมื่อกี้สั่งให้อีกครั้ง แล้วก็นอนหลับไปอีกครั้ง แล้วก็เหมือนเดิมครับผมสะดุ้งตื่นมาตอนเช้าประมาณ เจ็ดโมงเช้า ปวดท้องมากเช่นเดิม แต่ผมก็นอนทนอยู่แบบนั้น จนกระทั่ง แปดโมงก็มีหมอกับพยาบาลเข้ามาดูอาการของผม คราวนี้เป็นคุณหมอที่มีอายุซักหน่อย สอบถามอาการเบื้องต้น ตรวจนั่นตรวจนี่มากกว่าหมอที่เข้าเวรเมื่อคืนมาก แล้วก็บอกว่า "เดี๋ยวหมอจะสั่งยาให้นะครับ รอดูอาการซักวัน ถ้าไม่หายค่อยว่ากันอีกที" ผมก็เลยบอกไปว่า ผมมียาแล้ว หมอคนนี้ก็แปลกใจ ขอดูยา ซึ่งมันก็ยังอยู่ในถุงของโรงพยาบาลแห่งนี้นั่นละครับ แล้วก็บอกว่า ยานี้ใช้ไม่ได้ยกเลิกหมดเลย อ้าว..แบบนี้ถ้าผมไม่นอนที่นี่หอบยาถุงนี้กลับไปกินที่บ้านแล้วผมจะหายหรือเปล่าละเนี่ย สรุปว่าผมทรมานอยู่ตั้งหลายชั่วโมง กว่าจะดีขึ้นด้วยยาชุดใหม่ กับ หมอคนใหม่

แต่นั่นแค่เริ่มต้นครับ หลังจากผ่านไปอีกวัน อาการปวดท้องของผมลดลงแต่ไม่หายขาด ยังมีอาการปวดอยู่เป็นระยะ หมอที่ดูอาการของผมก็บอกว่า หมอขอส่องกล้องหน่อยนะว่ามันเป็นอะไรกันแน่ ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกครับว่า ส่องกล้องมันเป็นยังไง ก็เลยเฉยๆ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากนัก พอถึงเวลาก็มีคนมาพาผมไปที่ห้องอะไรซักอย่างนอนรอเวลาส่องกล้อง ตอนนั้นผมก็ยังเฉยๆ แต่เมื่อถึงเวลาส่องกล้อง มีพยาบาลเอาอะไรบางอย่างมาให้ผมกัด มันเป็นคล้ายๆพลาสติก มีรูตรงกลางแบบโดนัท พยาบาลเอายาอะไรก็ไม่รู้พ่นเข้าไปในคอของผม รสชาดมันเลี่ยนๆบอกไม่ถูก จะอ๊วกก็ไม่ได้ มันพะอืดพะอมสุดจะบรรยาย ยิ่งตอนที่หมอเอากล้องสอดเข้าไปในช่องของเจ้าตัวที่ผมกัดอยู่เพื่อให้มันลงผ่านลำคอไปจนถึงในท้องมันช่างทรมานอะไรเช่นนั้น

ผมรู้แค่เพียงว่าน้ำตาผมไหลอาบแก้ม ร่างกายออกอาการต่อต้านเจ้าสิ่งแปลกปลอมที่กำลังไหลเข้าไปในท้องของผมอย่างรุนแรง และช่วงวินาทีนั้น ผมกลับคิดถึงปลากระทิงตัวที่ผมกระชากสายเบ็ดออกมาจากท้องมัน ผมคิดว่ามันต้องทรมานมากกว่านี้หลายเท่านัก ไหนจะโดนเบ็ดเกี่ยว ไหนจะโดนกระชากเอาตับไตไส้พุงออกมา อโหสิกรรมให้กันเถอะนะเจ้าปลาเอ๋ย ผมคิดได้แค่นั้นจริงๆครับ จนกระทั่งช่วงเวลาแห่งความทรมานผ่านพ้นไป..

ตลอดระยะเวลาที่มีคนเข็นเตียงผมกลับไปที่ห้องผมคิดแต่เรื่องเจ้าปลากระทิงตัวนี้ตลอดทาง จนกระทั่งช่วงเย็นของวันนั้น อาการปวดที่ทรมานของผมกลับหายไปอย่างกับว่ามันไม่เคยปวดมาก่อน แถมหมอยังเข้ามาบอกว่า ตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่เห็นว่าในท้องผมจะมีอะไรที่ผิดปกติเลย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คืนนี้นอนอีกคืนถ้าพรุ่งนี้ไม่มีอาการก็กลับบ้านได้

มันเป็นเรื่องที่แปลกอย่างไม่น่าเชื่อครับ คืนนั้นผมไม่มีอาการปวดท้องเลยแม้แต่น้อย พ่อกับแม่ที่มาเฝ้าที่โรงพยาบาลก็ยังแปลกใจ เพื่อนๆที่มาเยี่ยมยังแซวว่า หาเรื่องหยุดงานหรือเปล่า ผมยังบอกไปว่า ถ้าหยุดงานแล้วโดนเอากล้องส่องแบบนี้ยอมทำงาน ทั้งเดือนไม่มีวันหยุดดีกว่าอีก สภาพผมตอนนั้นมันไม่เหมือนกับคนที่ซมซานมาโรงพยาบาลเมื่อสองวันก่อนเลยครับ ผมเองก็คิดไปเองว่า สงสัยเจ้าปลากระทิงตัวนั้นมันมาเตือนให้รู้ว่าเวรกรรมมันมีจริง หรืออาจจะเห็นผมชดใช้กรรมที่ทำกับมันแล้วก็ได้ เลย อโหสิกรรมเลิกรากันไป

หลังจากที่ผมออกจากโรงพยาบาล ผมเลิกตกปลาอย่างเด็ดขาด คันเบ็ดกับรอก ที่ซื้อมาในราคาที่สูงพอสมควรก็ยกให้คนอื่นไป ไม่ว่าใครจะชวนยังไงผมก็ไม่ไปตกปลาอีกเลย แค่เฉียดๆไปนั่งดูผมก็ไม่ไป และหลังจากนั้นผมก็เริ่มหยุดเหล้า เบียร์ ไม่แตะมันอีกเลย ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เพราะผมรู้แล้วว่า เมื่อเราผิดศิลข้อ ห้า เราก็ผิดข้ออื่นตามมาได้อย่างไม่ยากเลยครับ สิ่งเหล่านี้พระพุทธศาสนาสอนไว้นานแล้ว และผมเองก็รู้มานานแล้ว แต่ไม่ใส่ใจเอง ต้องเจอกับตัวเองก่อนถึงจะเข้าใจว่า ของแบบนี้มันมีจริง รู้ได้เฉพาะตัวจริงๆ ผมยังโชคดีที่ได้รู้ในเรื่องเหล่านี้เร็ว ทำให้ไม่เผลอตัวลงไปมากกว่านี้ ถ้าผมไม่ได้เจ้าปลากระทิงตัวนั้นมาสอนเรื่องเวรกรรมให้ผมในตอนนั้น ตอนนี้ผมอาจจะพัฒนาไปถึงขั้นเข้าป่าล่าสัตว์ไปแล้วก็ได้ เพราะตอนนี้เพื่อนผมหลายคนยังเข้าป่ายิงค่าง ยิงสัตว์ป่า ออกมาทำกับแกล้มกินกันอยู่บ่อยๆ แถมยังชวนผมเข้าป่าไปกับมันอีก แต่ผมคงหยุดเรื่องการผิดศิลข้อหนึ่ง ไว้เพียงแค่นี้ครับ ไม่เอาอีกแล้วครับ เข็ดไปจนตาย

ขนาดสัตว์เล็ก กรรมยังส่งผลถึงเพียงนี้ นี่ถ้าเป็นสัตว์ใหญ่ ผมจะต้องรับกรรมขนาดไหน และในเมื่อ ศิลข้อหนึ่ง ส่งผลกรรมได้จริงแบบนี้ แสดงว่าศิลข้ออื่นก็ต้องส่งผลได้เช่นกัน เมื่อเวรและกรรมมีจริง นรกและสวรรค์ก็มีจริงด้วยเช่นกัน เหตุการณ์เหล่านี้จึงทำให้ผมเริ่มกลับมาหาพระพุทธศาสนาอีกครั้ง เริ่มศึกษาธรรมมะ และเมื่อเริ่มศึกษาธรรมะก็ทำให้รู้ว่า ธรรมะไม่ได้อยู่ไกลตัวเราเลย อยู่แถวๆรอบๆตัวเรานี่ละครับเพียงแต่เราไม่มองหาเอง ไม่นำมาใช้เอง แล้วก็ไปโทษเรื่องโน้นโทษเรื่องนี้ อ่านหนังสือธรรมะหมื่นเล่ม ก็ไม่เท่าปฏิบัติด้วยตนเองแน่นอนครับ