วันศุกร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ผลของกรรมที่ผมได้เจอ..

วันนี้ วันวิสาขบูชา ขอเล่าเรื่องที่ผมได้เจอมาครั้งหนึ่งในชีวิตให้พี่ๆเพื่อนๆได้อ่านกันนะครับ

เรื่องกรรมเป็นเรื่องที่มีอยู่อย่างเด่นชัดในพระพุทธศาสนา เพราะกรรมจะเป็นตัวส่งผลโดยตรงชีวิตของเรา ทำกรรมดีก็จะได้รับผลดีทำกรรมชั่วก็จะได้รับผลร้าย แต่จะช้าหรือเร็วก็ขึ้นอยู่กับว่ากรรมนั้นๆเป็นกรรมหนักหรือเบา ดังนั้นพุทธศาสนาจึงสอนให้ระวังในเรื่องของกรรม ทั้ง กายกรรม มโนกรรม วจีกรรม ให้ระวังในทุกๆขณะให้ใช้สติกำกับเพื่อที่จะไม่ให้การกระทำหรือกรรมที่เกิดในขระนั้นเป็นกรรมชั่ว ซึ่งจะส่งผลให้เราต้องได้รับความทุกข์ทรมานจากผลกรรมที่เราได้กระทำขึ้น

ในสมัยก่อนนั้นเมื่อประมาณเกือบๆสิบปีที่แล้ว ผมเองก็ไม่ได้มีความคิดที่จะเชื่อในเรื่องผลของกรรมมากนัก ใช้ชีวิตไปแบบไม่คิดอะไรมากมาย กินเหล้า เมาหัวราน้ำ ยิงนกตกปลาไปตามเรื่องตามราว ไม่ได้รู้สึกรู้สาอะไรกับคำสอนคำเตือนของคนรอบข้าง บางคนก็อยากให้ลดๆเรื่องเหล้าลงบ้างเพราะผมดื่มเกือบจะทุกวัน แถมบางวันก็กินกันยันเช้าไปเลย แต่ผมก็ไม่เคยสนใจ

นอกจากดื่มเหล้าแล้ว ผมยังชอบตกปลามากเป็นพิเศษ ชอบชนิดที่ว่าเห็นบึงเห็นบ่อไม่ได้เลยละครับ ต้องหาทางเอาเบ็ดลงน้ำให้ได้ ยามที่นั่งเฝ้าคันเบ็ด นั่งรอให้สายเอ็นกระตุกมันช่างเป็นเวลาที่มีความสุขเสียนี่กระไร ยิ่งถ้าได้เบียร์เย็นๆซักกระป๋องด้วยละก็ ความรู้สึกมันเหมือนกับขึ้นสวรรค์กันเลยทีเดียว

ช่วงเวลานั้นผมอายุประมาณ 25 ปี ทำงานประจำแล้ว และงานของผมก็ต้องเดินทางไปไหนมาไหนบ่อยๆแทบทุกวัน แต่ถึงกระนั้นยามที่มีคนโทรมาชวนให้ไปตกปลาไม่ว่ามันจะไกลแค่ไหนผมก็ดิ้นรนไปจนได้ อดหลับอดนอนได้ปลาบ้างไม่ได้ปลาบ้างก็ต้องไป เรียกได้ว่าผมติดการตกปลา เหมือนกับติดยาบ้าเลยละครับ แถมเวลาได้ปลามาก็มีพ่อครัวซึ่งเป็นพี่ชายคอยปรุงกับแกล้มที่ทำมาจากปลาที่ตกได้ รสชาดปลาสดบวกกับเหล้าเบียร์ ทำให้ผมยิ่งถอนตัวไม่ขึ้น ไม่ว่างานจะหนักแค่ไหน เหนื่อยยังไง และต้องเดินทางไกลแค่ไหนผมก็ไม่เคยพลาด ถ้าไปตกปลา

ในพื้นที่อำเภอพุนพินที่ผมอยู่จะมีแม่น้ำตาปีไหลผ่านช่วงตลาดท่าข้าม ซึ่งจะเป็นช่วงที่กว้างมาก เพราะเป็นจุดรวมของแม่น้ำสองสายคือ แม่น้ำตาปีกับคลองพุมดวง แต่ถ้าดูกันแบบไม่เข้าข้างใครกัน ผมว่า คลองพุมดวงดูจะกว้างกว่าแม่น้ำตาปีเสียอีกครับ แต่ทำไมเรียกคลองก็ไม่ทราบได้ และเมื่อทั้งสองสายรวมกัน ก็เรียกว่าแม่น้ำตาปี และเมื่อแม่น้ำตาปีไหลผ่านตลาดท่าข้าม ผ่านสะพานจุลจอมเกล้า แม่น้ำตาปีก็แยกเป็นสองสายอีกครั้ง สายหนึ่งไปออกปากน้ำที่บ้านดอน อำเภอเมือง ก็เรียกแม่น้ำตาปีเหมือนเดิม แต่อีกสายจะไหลผ่านมาทาง เขาศรีวิชัย กลายเป็นคลองเล็กๆ ชื่อคลองพุนพิน

วันนั้น พี่ชายโทรมาชวนไปตกปลาที่แถวๆคลองพุนพินนี่ละครับ ที่หมายเป็นบ้านของชาวบ้านแถวนั้น ด้านหน้าบ้านก็ตั้งวงกินเหล้ากันไปอย่างสนุกสนาน ด้านหลังก็วางเบ็ดตกปลากันอย่างสบายอารมณ์ วันนั้นเราไม่ได้เตรียมตัวอะไรไปมากมายนัก คิดว่าจะไปนั่งกินเหล้ากันมากกว่า แต่วันนั้นบังเอิญว่าปลากินเบ็ดถี่เหลือเกินครับ ได้ปลาแขยงหลายตัว ปลาแขยงแถวนี้ก็ตัวใหญ่ดีจริงๆ ตกกันเพลินเลยครับ แถวนี้พวกเราเคยมาตกปลากันหลายครั้ง บางครั้งก็ได้ปลากระทิงไปหลายตัวเหมือนกัน แล้วเจ้าปลากระทิงนี่เวลามันกินเบ็ดมันจะกลืนเบ็ดลงท้องไปเลยครับ เราต้องตัดสายเอ็นออกแล้ว ผูกเบ็ดใหม่ ค่อยไปเอาออกตอนไปทำกินที่บ้าน ผ่าท้องแล้วเอาตาเบ็ดกลับมาใหม่

เวลาผูกตาเบ็ดนี่เราจะใช้บุหรี่จี้ที่บริเวณที่เราผูกเงื่อน เพื่อให้มันแน่นด้วยสาเหตุนี้เอง ทำให้พี่ชายของผมคนนึงติดบุหรี่ เพราะว่าเวลาผูกเบ็ดจะเรียกใครก็ไม่ได้เลยต้องจุดเอง จี้เอง แล้วก็สูบเองทำให้กลายเป็นคนติดบุหรี่ด้วยเหตุผลที่ไม่ค่อยเหมือนชาวบ้านซักเท่าไหร่

อย่างที่บอกครับวันนี้เราไม่ได้เตรียมตัวกันมาซักเท่าไหร่ ตาเบ็ดก็ไม่ได้เอามามากนัก แถมปลาก็กินดีเหลือเกิน ดังนั้นเมื่อผมตกได้ปลากระทิงขึ้นมา ประกอบกับคงจะตึงๆอยู่บ้างกับเบียร์กระป๋องที่ใส่ลงไปในกระเพาะ ทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิดมากมาย พยายามดึงสายเอ็นเพื่อที่จะให้เบ็ดหลุดออกมาจากท้องเจ้าปลากระทิงตัวนี้ให้ได้ แต่มันก็ไม่เป็นผล และเมื่อพยายามไปได้ซักพัก ผมก็ตัดสินใจ กระชากสายเอ็นเต็มแรงครับ ปลากระทิงตัวนั้นงอไปงอมาปากฉีก แต่ผมก็มองเห็นไม่ชัดนักเพราะมันมืดบวกกับความรู้สึกอยากจะตกปลาทำให้ผมไม่ได้สนใจมันมากนัก และเมื่อได้เบ็ดกลับมาผมก็จับปลาตัวนั้นโยนใส่ถังปลาแบบไม่สนใจใยดีกับมันอีกเลย จนเมื่อเราเลิกตกปลาเก็บของจะกลับบ้าน ผมก็เห็นว่าปลาตัวนี้มันตายลอยอยู่ในถังสภาพมันไม่ค่อยน่าดูนัก พี่ชายก็บอกว่า มันตายแช่น้ำนานๆแบบนี้เอากลับไปก็พอง เสียเปล่าๆ เพราะกว่าจะได้ทำปลาก็คงจะเป็นพรุ่งนี้ คืนนี้คงไม่ไหวแล้วถึงบ้านก็คงจะหลับเป็นตาย ผมเลยหยิบเจ้าปลาตัวนั้นโยนทิ้งลงไปในคลอง แล้วก็กลับบ้าน

แล้วผมก็ลืมเรื่องราวของปลากระทิงตัวนั้นไปอย่างง่ายดาย โดยที่ไม่เคยแม้แต่จะรู้สึกว่าเคยทำอะไรกับปลาตัวนั้นไว้ จวบจนกระทั่ง คืนหนึ่งประมาณ สี่ทุ่ม ผมรู้สึกปวดท้องอย่างรุนแรง ปวดจนทนไม่ได้ ต้องกัดฟันขับรถไปโรงพยาบาล สภาพผมตอนนั้นก็ไปในชุดที่ใส่นอน ถือกระเป๋าเงินไปด้วย เรียกได้ว่า เป็นสภาพที่ดูไม่ได้เลยครับ ปวดท้องมากๆ ขับรถไปกว่าจะถึงโรงพยาบาลก็ ทรมานน่าดู แถมยังต้องนอนรออยู่ในห้องฉุกเฉินอีก กว่าหมอจะเข้ามาดู โรงพยาบาลแห่งนี้เป็นโรงพยาบาลเอกชน ที่ผมมีประกันสุขภาพที่ทางบริษัททำไว้ให้เลยไม่ต้องกังวลเรื่องค่ารักษาพยาบาลใดๆ แต่..สาบานได้ครับว่า ในขณะที่ผมนอนปวดท้องอย่างหนักนั้น ผมได้ยินเสียงหมอหนุ่มที่เดินเข้ามาคุยกับพยาบาลว่า "คนไข้ใช้บัตรอะไร" ผมกำลังจะตายแต่หมอไม่เข้ามาดูอาการผม กลับไปถามพยาบาลว่า ใช้บัตรอะไร นี่ถ้าผมลืมเอากระเป๋าเงินมา มันจะรักษาผมหรือเปล่าเนี่ย และเมื่อรู้ว่าผมใช้บัตรอะไร หมอหนุ่มคนนี้ก็เดินมาเอามือกดที่ท้องผมสองสามที แล้วบอกว่าไม่เป็นอะไรมาก เดี๋ยวเอายาไปกินแล้วกลับบ้านได้

เที่ยงคืนกว่าๆผมก็ขับรถออกมาจากโรงพยาบาล แต่อาการปวดมันไม่ได้ดีขึ้นเลยกลับยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ผมตัดสินใจขับรถไปที่ออฟฟิศ ของผม ซึ่งในขณะนั้นมีคนเข้าเวร ทั้งคืน ขอเข้าไปนอนพักที่ในห้องทำงาน กินยาแล้วนอน แต่แล้วผมก็ต้องตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ตอนเวลาประมาณตีสี่ มันปวดมากมายเหมือนเดิม ยาที่กินก็แค่บรรเทาไปบ้างนิดหน่อยแล้วทำให้หลับ แต่เมื่อหมดฤทธิ์ยา มันก็ปวดขึ้นมาอีก คราวนี้ผมกัดฟันขับรถไปโรงพยาบาลอีกรอบ บอกกับเจ้าหน้าที่ว่า ผมต้องการนอนที่โรงพยาบาล เพราะถ้าเป็นอะไรมากมายกว่านี้จะได้มีคนมาดูอาการ ดีกว่าให้ผมกลับไปนอนอยู่คนเดียวที่บ้าน

ดังนั้นต่อมาไม่นานผมก็ได้สวมชุดคนไข้นอนอยู่ในห้องคนไข้ของโรงพยาบาลแห่งนั้น แต่...ไม่มีหมอเข้ามาดูอาการผมเลยผมกินยาที่หมอหนุ่มคนเมื่อกี้สั่งให้อีกครั้ง แล้วก็นอนหลับไปอีกครั้ง แล้วก็เหมือนเดิมครับผมสะดุ้งตื่นมาตอนเช้าประมาณ เจ็ดโมงเช้า ปวดท้องมากเช่นเดิม แต่ผมก็นอนทนอยู่แบบนั้น จนกระทั่ง แปดโมงก็มีหมอกับพยาบาลเข้ามาดูอาการของผม คราวนี้เป็นคุณหมอที่มีอายุซักหน่อย สอบถามอาการเบื้องต้น ตรวจนั่นตรวจนี่มากกว่าหมอที่เข้าเวรเมื่อคืนมาก แล้วก็บอกว่า "เดี๋ยวหมอจะสั่งยาให้นะครับ รอดูอาการซักวัน ถ้าไม่หายค่อยว่ากันอีกที" ผมก็เลยบอกไปว่า ผมมียาแล้ว หมอคนนี้ก็แปลกใจ ขอดูยา ซึ่งมันก็ยังอยู่ในถุงของโรงพยาบาลแห่งนี้นั่นละครับ แล้วก็บอกว่า ยานี้ใช้ไม่ได้ยกเลิกหมดเลย อ้าว..แบบนี้ถ้าผมไม่นอนที่นี่หอบยาถุงนี้กลับไปกินที่บ้านแล้วผมจะหายหรือเปล่าละเนี่ย สรุปว่าผมทรมานอยู่ตั้งหลายชั่วโมง กว่าจะดีขึ้นด้วยยาชุดใหม่ กับ หมอคนใหม่

แต่นั่นแค่เริ่มต้นครับ หลังจากผ่านไปอีกวัน อาการปวดท้องของผมลดลงแต่ไม่หายขาด ยังมีอาการปวดอยู่เป็นระยะ หมอที่ดูอาการของผมก็บอกว่า หมอขอส่องกล้องหน่อยนะว่ามันเป็นอะไรกันแน่ ตอนนั้นผมไม่รู้หรอกครับว่า ส่องกล้องมันเป็นยังไง ก็เลยเฉยๆ ไม่ได้ตื่นเต้นอะไรมากนัก พอถึงเวลาก็มีคนมาพาผมไปที่ห้องอะไรซักอย่างนอนรอเวลาส่องกล้อง ตอนนั้นผมก็ยังเฉยๆ แต่เมื่อถึงเวลาส่องกล้อง มีพยาบาลเอาอะไรบางอย่างมาให้ผมกัด มันเป็นคล้ายๆพลาสติก มีรูตรงกลางแบบโดนัท พยาบาลเอายาอะไรก็ไม่รู้พ่นเข้าไปในคอของผม รสชาดมันเลี่ยนๆบอกไม่ถูก จะอ๊วกก็ไม่ได้ มันพะอืดพะอมสุดจะบรรยาย ยิ่งตอนที่หมอเอากล้องสอดเข้าไปในช่องของเจ้าตัวที่ผมกัดอยู่เพื่อให้มันลงผ่านลำคอไปจนถึงในท้องมันช่างทรมานอะไรเช่นนั้น

ผมรู้แค่เพียงว่าน้ำตาผมไหลอาบแก้ม ร่างกายออกอาการต่อต้านเจ้าสิ่งแปลกปลอมที่กำลังไหลเข้าไปในท้องของผมอย่างรุนแรง และช่วงวินาทีนั้น ผมกลับคิดถึงปลากระทิงตัวที่ผมกระชากสายเบ็ดออกมาจากท้องมัน ผมคิดว่ามันต้องทรมานมากกว่านี้หลายเท่านัก ไหนจะโดนเบ็ดเกี่ยว ไหนจะโดนกระชากเอาตับไตไส้พุงออกมา อโหสิกรรมให้กันเถอะนะเจ้าปลาเอ๋ย ผมคิดได้แค่นั้นจริงๆครับ จนกระทั่งช่วงเวลาแห่งความทรมานผ่านพ้นไป..

ตลอดระยะเวลาที่มีคนเข็นเตียงผมกลับไปที่ห้องผมคิดแต่เรื่องเจ้าปลากระทิงตัวนี้ตลอดทาง จนกระทั่งช่วงเย็นของวันนั้น อาการปวดที่ทรมานของผมกลับหายไปอย่างกับว่ามันไม่เคยปวดมาก่อน แถมหมอยังเข้ามาบอกว่า ตรวจดูอย่างละเอียดแล้ว ไม่เห็นว่าในท้องผมจะมีอะไรที่ผิดปกติเลย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คืนนี้นอนอีกคืนถ้าพรุ่งนี้ไม่มีอาการก็กลับบ้านได้

มันเป็นเรื่องที่แปลกอย่างไม่น่าเชื่อครับ คืนนั้นผมไม่มีอาการปวดท้องเลยแม้แต่น้อย พ่อกับแม่ที่มาเฝ้าที่โรงพยาบาลก็ยังแปลกใจ เพื่อนๆที่มาเยี่ยมยังแซวว่า หาเรื่องหยุดงานหรือเปล่า ผมยังบอกไปว่า ถ้าหยุดงานแล้วโดนเอากล้องส่องแบบนี้ยอมทำงาน ทั้งเดือนไม่มีวันหยุดดีกว่าอีก สภาพผมตอนนั้นมันไม่เหมือนกับคนที่ซมซานมาโรงพยาบาลเมื่อสองวันก่อนเลยครับ ผมเองก็คิดไปเองว่า สงสัยเจ้าปลากระทิงตัวนั้นมันมาเตือนให้รู้ว่าเวรกรรมมันมีจริง หรืออาจจะเห็นผมชดใช้กรรมที่ทำกับมันแล้วก็ได้ เลย อโหสิกรรมเลิกรากันไป

หลังจากที่ผมออกจากโรงพยาบาล ผมเลิกตกปลาอย่างเด็ดขาด คันเบ็ดกับรอก ที่ซื้อมาในราคาที่สูงพอสมควรก็ยกให้คนอื่นไป ไม่ว่าใครจะชวนยังไงผมก็ไม่ไปตกปลาอีกเลย แค่เฉียดๆไปนั่งดูผมก็ไม่ไป และหลังจากนั้นผมก็เริ่มหยุดเหล้า เบียร์ ไม่แตะมันอีกเลย ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ เพราะผมรู้แล้วว่า เมื่อเราผิดศิลข้อ ห้า เราก็ผิดข้ออื่นตามมาได้อย่างไม่ยากเลยครับ สิ่งเหล่านี้พระพุทธศาสนาสอนไว้นานแล้ว และผมเองก็รู้มานานแล้ว แต่ไม่ใส่ใจเอง ต้องเจอกับตัวเองก่อนถึงจะเข้าใจว่า ของแบบนี้มันมีจริง รู้ได้เฉพาะตัวจริงๆ ผมยังโชคดีที่ได้รู้ในเรื่องเหล่านี้เร็ว ทำให้ไม่เผลอตัวลงไปมากกว่านี้ ถ้าผมไม่ได้เจ้าปลากระทิงตัวนั้นมาสอนเรื่องเวรกรรมให้ผมในตอนนั้น ตอนนี้ผมอาจจะพัฒนาไปถึงขั้นเข้าป่าล่าสัตว์ไปแล้วก็ได้ เพราะตอนนี้เพื่อนผมหลายคนยังเข้าป่ายิงค่าง ยิงสัตว์ป่า ออกมาทำกับแกล้มกินกันอยู่บ่อยๆ แถมยังชวนผมเข้าป่าไปกับมันอีก แต่ผมคงหยุดเรื่องการผิดศิลข้อหนึ่ง ไว้เพียงแค่นี้ครับ ไม่เอาอีกแล้วครับ เข็ดไปจนตาย

ขนาดสัตว์เล็ก กรรมยังส่งผลถึงเพียงนี้ นี่ถ้าเป็นสัตว์ใหญ่ ผมจะต้องรับกรรมขนาดไหน และในเมื่อ ศิลข้อหนึ่ง ส่งผลกรรมได้จริงแบบนี้ แสดงว่าศิลข้ออื่นก็ต้องส่งผลได้เช่นกัน เมื่อเวรและกรรมมีจริง นรกและสวรรค์ก็มีจริงด้วยเช่นกัน เหตุการณ์เหล่านี้จึงทำให้ผมเริ่มกลับมาหาพระพุทธศาสนาอีกครั้ง เริ่มศึกษาธรรมมะ และเมื่อเริ่มศึกษาธรรมะก็ทำให้รู้ว่า ธรรมะไม่ได้อยู่ไกลตัวเราเลย อยู่แถวๆรอบๆตัวเรานี่ละครับเพียงแต่เราไม่มองหาเอง ไม่นำมาใช้เอง แล้วก็ไปโทษเรื่องโน้นโทษเรื่องนี้ อ่านหนังสือธรรมะหมื่นเล่ม ก็ไม่เท่าปฏิบัติด้วยตนเองแน่นอนครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น