นั่นสินะ ทำไมต้องเขียน จะเขียนไปทำไม จะมานั่งหลังขดหลังแข็งกดแป้นพิมพ์ไปทำไมนักหนา มันแสนจะน่าเบื่อมากมายสำหรับใครบางคนรวมทั้งผมด้วยเช่นกัน ก่อนหน้านี้ผมก็เหมือนกับคนทั่วไปคือชอบอ่านไม่ชอบเขียน ชอบหาความรู้ที่ผ่านการย่อเรื่องจากคนอื่นมาแล้ว ไม่ชอบที่จะเขียนอะไรๆยาวๆ แต่พอวันเวลาผ่านไปถึงช่วงหนึ่งของชีวิต ความคิดของผมก็เปลี่ยนไปครับ
ก่อนหน้านี้ผมก็เขียนบทความหลายๆเรื่องลงไว้ในหลายๆเวบ อย่างใน www.siamsouth.com และเวบในเครือ แต่ก็เป็นแค่การเขียนแบบไม่ได้คิดอะไรมากมาย เขียนเอามัน เอาสนุก เขียนเกี่ยวกับประสบการณ์ในการทำงานและเรื่องราวต่างๆที่ผ่านเข้ามาในชีวิต จนกระทั่งเมื่อคืน (17/5/2553) ผมได้ไปงานศพของพี่สาวของเพื่อนสมัยเรียนมัธยม พี่สาวคนนี้อายุมากกว่าผมไม่เท่าไหร่ ปีนี้อายุเพิ่งจะ 40 แต่ก็เสียชีวิตด้วยโรคภัยไข้เจ็บบางประการ ในงานนี้ผมได้นั่งฟัง หลวงพี่เล็ก นั่งเทศนาเกี่ยวกับเรื่องราวต่างที่เป็นเรื่องจริงในชีวิตของคนเรา เรื่องเกิดแก่ เจ็บ ตาย และการใช้ชีวิตของคนเรา
ผมนั่งฟังแล้วคิดตามไปเรื่อยๆแล้วก็มีเรื่องของ ไอดอล ในชีวิตของผมผุดขึ้นมาในความคิด บุคคลที่มีอิทธิพลในความคิดและการใช้ชีวิตของผมในตอนนี้ที่สุด คือ ท่านพุทธทาส แห่ง สวนโมกขพลาราม จังหวัดสุราษฎร์ธานี ครับ ผมเพิ่งได้อ่านงานของท่านอย่างจริงจังในช่วงเวลาปีกว่าๆที่ผ่านมานี่เองครับ อ่านแล้วเกิดความรู้สึกที่ว่า "กูไปอยู่ที่ไหนมาวะ" ทำไมไม่อ่านมาก่อนหน้านี้ ทั้งๆที่ผมไปสวนโมกข์มาหลายครั้ง รู้จัก วัดธารน้ำไหลมาตั้งแต่เด็กๆ เพราะผมเกิดที่นี่ โตที่นี่ และอยู่ไม่ไกลจากสวนโมกข์ มากนัก ผมเกิดที่อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี เกิดในสังคมของพุทธศาสนา เกิดในแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์ เจริญเติบโตท่ามกลางต้นไม้ใหญ่ สายน้ำ ลำธาร ดอกไม้ ผีเสื้อ ปลาเล็ก ปลาน้อย มากมาย เป็นชีวิตที่สุขสงบและสบายเป็นอย่างยิ่ง
แต่เมื่อผมโตขึ้น สิ่งต่างๆก็เปลี่ยนไปความเจริญเข้ามา ธรรมชาติหายไป แล้วสุดท้ายก็ต้องดิ้นรนไขว่คว้าหา ธรรมชาติและความสงบร่มเย็นกันอีกครั้ง ผมพยายามมองหาสิ่งเหล่านี้ พยายามปลูกต้นไม้เพิ่มเติม แต่เมื่อมองย้อยกลับไปในอดีตแล้ว ทำให้รู้ว่า "กูโง่เหลือเกิน" ของเหล่านี้มันมีอยู่แล้วในอดีต แต่พวกเราทำลายมันเอง แล้วตอนนี้ก็ต้องกลับมาสร้างมันกันใหม่อย่างน่าเสียดายเวลา
เรื่องธรรมะก็เช่นกัน ผมดั้นด้นเดินทางไปแทบจะทั่วประเทศ ที่ไหน ใครว่าดีผมก็เดินทางไปจนถึง ไปนอนที่วัดนู้นวัดนี้ไปกราบอาจารย์ที่นั่นที่นี่ แนวทางไหนที่เป็นที่รู้จัก ไม่ว่าจะไป อุทัยธานี ไปมองลูกแก้ว ไปสักยันต์ ไปเรียนวิชาอาคมที่ใครว่าขลัง ไปสำนักต่างๆที่มีชื่อเสียง จนมาถึงแนวทางการฝึกจิต ฝึกสมาธิและปัญญา ผ่านทางการศึกษาในเรื่องของพระไตรปิฏก (ที่อาจจะไม่ตรงมากนัก)จากหลายๆที่ แต่ผมก็ยังรู้สึกว่ามันไม่ใช่สิ่งที่ผมค้นหา จนสุดท้ายผมก็เริ่มหยิบหนังสือเก่าๆที่วางอยู่บนชั้นหนังสือที่บ้านออกมาอ่าน เป็นหนังสือของท่านพุทธทาส ทั้งนั้น และเมื่ออ่านแล้วคิดตามก็รู้เลยว่า ผมเสียเวลาไปร่วมๆ ยี่สิบปี กับ การใช้ชีวิต วิ่งตามโลก วิ่งตามคำร่ำลือ
ไม้ใหญ่ใกล้บ้านที่ให้ร่มเงาอย่างร่มเย็น ผมกลับไม่มอง กลับวิ่งไปหาร่มไม้ไกลบ้าน กว่าจะรู้ว่าร่มไม้ในหนาที่ผมพยายามไปอาศัยร่มนั้นเป็นแค่ ต้นมะละกอ หาใช่ไม้ใหญ่ ร่มโพธิ์ ร่มไทร ที่ยั่งยืนอย่างที่ผมฝันไว้เลยนั้น วันและเวลามันก็ผ่านเลยมานานเหลือเกิน แต่มันก็ยังไม่สายที่จะกลับมาใช้ชีวิตในร่มโพธิ์ร่มไทรใกล้บ้าน อย่าง ท่านพุทธทาสและสวนโมกข์ อย่างน้อย ชีวิตนี้ผมก็หาตัวเองเจอแล้วครับว่า ชีวิตผมต้องการอะไรและแนวทางชีวิตแบบไหนที่ผมต้องการ
ผมนั่งฟังหลวงพี่เล็ก เทศนาต่อไปเรื่อยๆ แล้วก็นั่งคิดเรื่องราวของผมบวกรวมไปกับคำสอนของหลวงพี่เล็ก จนเกิดคำถามกับตัวเองว่า "หลวงพี่เทศนา เกี่ยวกับการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย แล้วคนตายที่นอนอยู่ในโลงนี้ อีก กี่วัน พวกเราจะลืม" สำหรับผม พี่สาวของเพื่อน คนนี้ไม่ได้รู้จักกันมากมาย รู้แค่ว่าเป็นพี่สาวของเพื่อน อีกแค่ สองสามวันผมก็คงจะลืม พอคิดแบบนั้น ผมก็คิดถึงไอดอล ของผม อีกครั้ง ท่นมรณะภาพไปตั้งนานแล้ว ทำไมไม่มีใครลืมท่านเลย ยังมีคนกล่าวถึง มีคนได้ศึกษาความรู้จากท่านแม้ว่าท่านจะไม่อยู่บนโลกใบนี้แล้ว ผมหาคำตอบให้ตัวเองว่า ทั้งหมดทั้งปวงเกิดจากงานเขียนของท่านนั่นเองครับ ตัวหนังสือไม่มีวันตาย ประวัติศาสตร์โลกไม่ว่าจะกี่พันปี ก็อยู่ยงมาได้ด้วยการจารจารึก ทั้งรูปภาพ ตัวพิมพ์ และหนังสือ
อย่างผมที่ได้เข้ามาอาศัยความเย็นใจและสงบใจจากธรรมะในแนวทางของการปฏิบัติของสวนโมกข์ผ่านทางตัวหนังสือ บันทึก รูปภาพ จากผลงานของท่านพุทธทาส ในยามที่ท่านไม่อยู่แล้วเช่นกัน พูดถึงตอนนี้ความคิดที่ว่า "กูไปอยู่ไหนมาวะ" ก็แวบขึ้นมาอีกครั้ง สมัยที่ท่านพุทธทาส เทศนาสอนบุคคลทั่วไปอยู่ในสวนโมกข์ด้วยตัวท่านเอง ผมกลับวิ่งหา สำนักที่เด่นดังในเรื่องวัตถุมงคล คิดเอาเองว่า พระดีต้องมีอาคม มีวัตถุมงคล มีพิธีกรรมที่อลังการ แต่กว่าจะเข้าใจว่าอะไรคือของจริง ผมก็ทำได้แค่ศึกษางานของท่านผ่านรูปภาพและตัวหนังสือเท่านั้นเอง
และเมื่อมีสถานที่คือ เวบบอร์ด แห่งนี้แล้ว ที่เหลือคือการเขียนครับ ผมตั้งใจว่าจะเขียนให้ได้มากมี่สุด เขียนข้อความที่ออกมาจากความรู้สึกในใจของผมเองออกมาให้มาที่สุด เพื่อที่ว่าในวันข้างหน้า จะได้มีเรื่องราวที่ออกมาจากความคิดของผมเก็บไว้ให้คนอื่นๆได้รับรู้ว่า ครั้งหนึ่งบนโลกใบนี้ ในประเทศแห่งนี้ เคยมีคนที่แนวคิดแบบนี้อาศัยอยู่ด้วยอีกหนึ่งคน แม้ว่าเรื่องราวที่ผมคิดแนวทางที่ผมทำอาจจะไม่ตรงกับความรู้สึกของใครๆอีกหลายๆคน แต่ผมก็จะทำครับ
การทำงานคือการปฏิบัติธรรม ดังนั้นผมจะทำงานในหน้าที่ ที่ต้องรับผิดชอบ ควบคู่ไปกับการทำงานทางใจด้วย ผมจะเริ่มทำในสิ่งที่ผมคิดและสิ่งที่ผมเชื่อว่านี่คือแนวทางที่ถูกต้องในชีวิตที่ผมได้เจอ "ต่อไปสิ่งที่ยากที่สุดคือเรื่องความเพียร"คำที่พี่ต็อบ บอกกับผมในการคุยกันครั้งล่าสุดยังดังแว่วขึ้นมาในความรู้สึก และผมก็รู้เช่นกันว่ามันยากมากๆจริงๆ แต่ผมก็จะพยายามครับ
18/5/2553
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น