วันเสาร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ศาสนาเสื่อมเพราะอะไร

นั่นสินะ ศาสนาเสื่อมเพราะอะไร ผมเองก็ได้ยินคนพูดอยู่บ่อยๆว่าเดี๋ยวนี้ศาสนามันเสื่อมเสียแล้ว ไม่เหมือนเมื่อก่อน ด้วยความสงสัยว่าศาสนาจะเสื่อมได้จริงหรือ แล้วถ้าเสื่อม เสื่อมเพราะอะไร และด้วยความเข้าใจของผมนั้น ศาสนาไม่ใช่ปลากระป๋อง หรือ นมข้นหวาน ดังนั้นศาสนาไม่มีวันหมดอายุแน่นอนครับ ดังนั้นผมจึงลองไปค้นหาหนังสือต่างๆมาเปิดอ่าน เพื่อหาข้อสรุปให้กับตัวเองว่าทำไม ศาสนาถึงเสื่อม คำว่าเสื่อมนี้เกิดจากการเสื่อมศรัทธาของคนภายนอก หรือเป็นที่ภายในของพุทธศาสนา อันมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์กันแน่

ในกรณีที่เป็นคนภายนอก อันนี้ผมหมายถึงคนต่างศาสนาและคนในศาสนาที่เป็นพุทธตามบัตรประชาชน แต่ไม่สนใจศึกษาคำสั่งสอนของพุทธศาสนาอย่างแท้จริง แต่คิดไปคิดมาแล้วกลุ่มคนเหล่านี้ไม่น่าที่จะทำให้ ศาสนาพุทธเสื่อมลงได้มากมายจนถึงขั้นวิกฤติได้ขนาดนี้

ดังนั้นเราต้องมาคิดถึงเรื่องของกรณีภายในกันบ้างครับ พุทธศาสนาภายใน ในความหมายของผม คือพระรัตนตรัย อันประกอบด้วย พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์

ข้อแรกแลยครับ พระพุทธ อันหมายถึงพระพุทธเจ้าที่ทรงตรัสรู้ชอบ ได้ด้วยพระองค์เอง แล้วนำสิ่งที่พระองค์ตรัสรู้ มาสั่งสอนมนุษย์และเทวดาทั้งหลายให้เห็นถึงหนทางหลุดพ้น ทรงเป็นศาสดาเอกของโลก เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ดังนั้น ข้อนี้ไม่มีทางเสื่อมได้อย่างแน่นอน

ข้อสอง พระธรรม คำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีสิ่งใดที่จะจริงแท้แน่นอนไปกว่า อริยสัจ 4 ที่ทรงตรัสรู้ เป็นคำสอนไม่จำกัดกาลเวลา ไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนก็สามารถนำมาใช้กับชีวิตประจำวันได้อย่างไม่มีข้อผิดเพี้ยนใดๆ ดังนั้นข้อนี้ข้ามไปเหมือนกันครับ

สุดท้าย พระสงฆ์ครับ พระสงฆ์ จัดอยู่ในกลุ่มที่มองเห็นและสัมผัสได้ชัดเจนที่สุดในพระรัตนตรัย ดังนั้นพระสงฆ์จึงต้องมีการกล่าวถึงมากพอสมควรครับว่า มีส่วนที่จะทำให้ศาสนาเสื่อมหรือเปล่า ดังนั้นผมจึงเริ่มหาหนังสือมาอ่านแล้วก็เจอบทความนี้ครับ

คัดมาจาก ตำราดูพระ ของท่านพุทธทาส

ภิกษุทำศาสนาเสื่อม

ภิกษุทั้งหลาย! มูลเหตุ ๔ ประการเหล่านี้ทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป ๔ อย่าง อะไรกันเล่า? ๔ อย่าง คือ

๑. พวกภิกษุเล่าเรียนสูตรอันถือกันมาผิด ๆ ด้วยคำและสำเนียงก็ใช้กันผิด ๆ เมื่อคำและสำเนียงที่ใช้กันผิดแล้ว ความหมายก็คลาดเคลื่อน และทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป

๒. พวกภิกษุเป็นคนว่ายาก ประกอบด้วยเหตุที่ทำให้เป็นคนว่ายาก ไม่อดทน ไม่ยอมรับคำตักเตือนโดยความเคารพหนักแน่นนี้ทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป

๓. พวกภิกษุเหล่าใดเป็นผู้เรียนมาก คล่องแคล่วในหลักพระพุทธพจน์ รู้ธรรม รู้วินัย รู้แม่บท ภิกษุเหล่านั้นไม่ได้เอาใจใส่ที่จะบอกสอนใจความแห่งสูตรทั้งหลายแก่คนอื่น ๆ เมื่อท่านเหล่านั้นล่วงลับดับไป สูตรทั้งหลายก็เลยขาดอาจารย์ ไม่มีผู้สอนสืบไป ทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป

๔.พระภิกษุชั้นเถระทำการสะสมเครื่องอุปโภคบริโภคประพฤติย่อหย่อนในไตรสิกขามีจิตต่ำด้วยอำนาจแห่งนิวรณ์ไม่สนใจในกิจแห่งวิเวกธรรม ไม่ริเริ่มทำควรเพียรเพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึงเพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุเพื่อทำให้แจ้งในสิ่งที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้งผู้บวชในภายหลังได้เห็น
พวกเถระเหล่านั้นทำแบบแผนเช่นนั้นไว้ต่างก็ถือเอาไปเป็นแบบอย่างจึงทำให้เป็นผู้ทำการสะสมเครื่องอุปโภคบริโภคบ้าง ประพฤติย่อหย่อนในไตรสิกขา มีจิตต่ำด้วยอำนาจแห่งนิวรณ์ ไม่สนใจในกิจแห่งวิเวกธรรมไม่ริเริ่มทำความเพียรเพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ได้ทำให้แจ้งตามกันสืบไปนี้ทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป

ภิกษุทั้งหลาย! มูลเหตุ ๔ ประการเหล่านี้แล ทำให้พระสัทธรรมเลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป.

(คัดจากพระพุทธภาษิต จตุกก. อง ๒๑/๑๙๗/๑๖๐) พระพุทธพจน์บทนี้ชี้ให้เห็นว่าพุทธศาสนาจะเสื่อมหรือสูญสิ้นไปก็เพราะภิกษุเอง มิใช่คนภายนอก ฉะนั้นภิกษุที่ทำลายพุทธศาสนาก็คือผู้ที่ไม่รู้จักพุทธศาสนา หลงประกาศแต่ศาสนาพราหมณ์ ปฏิบัติกิจเกี่ยวกับพิธีรีตองของขลังศักดิ์สิทธิ์ เป็นผู้ว่ายาก ใครตักเตือนเข้าก็โกรธเพราะมีมิจฉาทิฏฐิ และเห็นแก่ตัวจัด ยกตัวว่าเป็นบุคคลพิเศษ ใครว่ากล่าวตักเตือนไม่ได้ ภิกษุที่รู้จักพระพุทธศาสนาดีก็ไม่มีอิทธิพล ไม่ได้รับความสนับสนุนจากทางการ ในที่สุดก็หมดกำลังใจที่จะประกาศสัจธรรม พอท่านล่วงลับไปก็เลยขาดผู้สอน ภิกษุเถระส่วนมากก็ไม่สนใจในงานพระพุทธศาสนาคอยแต่จะแต่งกุฏิให้งดงามเป็นปราสาทราชวังปล่อยให้ภิกษุหนุ่มที่โง่และไร้การศึกษา โฆษณาหลอกลวงประชาชน โดยคิดว่าตนเป็นศาสดา

จากบทความข้างต้นเมื่อเรารู้สาเหตุแล้วว่า ศาสนาเสื่อมเพราะภิกษุได้อย่างไร เรามาช่วยกันปกป้องพระศาสนาอันเป็นที่พึ่งของพวกเรากันดีกว่าครับ พระภิกษุรูปไหน วัดไหน ที่เอนเอียงออกไปในแนวทางข้างต้นเราก็มาช่วยกันเตือนๆท่านบ้าง เราไม่จำเป็นต้องวางเฉยในทุกๆเรื่องแบบ ชั่วช่างชี ดีช่างสงฆ อย่างที่ใครต่อใครบอกต่อๆกันมา เพราะทุกวันนี้พระแบบนี้มีมากมายเหลือเกิน การที่เรานิ่งเฉยเราจะบาปมากกว่าที่จะร่วมกันตักเตือนพระที่ทำผิดนะครับ

ทำไมเราต้องเตือนพระ พระเตือนพระกันเองไม่ได้เหรอ หลายๆคนคงจะสงสัยและตั้งคำถามในใจ จริงๆแล้วมันต้องเป็นแบบนั้น พระเตือนพระ ว่ากล่าวกันตามอาวุโส ตามภูมิรู้ภูมิธรรม แต่สมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้วครับ พระกับพระเข้าพวก รวมหัวกันหาผลประโยชน์ ข่มขู่ญาติโยมด้วยคำว่าบาป เราลองมาคิดดูสิครับว่า ถ้าเรานิ่งเฉยปล่อยให้พระสงฆ์กระทำผิดวินัยไปเรื่อยๆ จากเล็กเป็นใหญ่ จนกระทั่งถึงขั้นจับอาวุธ เดินทางร่วมกับกลุ่มที่จะทำสงคราม ตั้งตัวเป็นพ่อค้า สร้างอิทธิพล มองข้ามพระธรรมวินัย จนกลายเป็น โมฆะบุรุษ เปรียบเช่น ตอไม้คลุมผ้าเหลือง แล้วต่อไปพุทธศาสนาจะเหลือสิ่งใดไว้ให้ลูกหลานเรา

ถ้าเราเฉยเท่ากับว่าเราร่วมมือกับโจรในเครื่องแบบพระ หลอกลวงคนอื่นๆที่รู้เท่าไม่ถึงการณ์ สร้างแนวคิดที่ผิดๆขึ้นในสังคม ทำให้คนทั่วไปหมดความเลื่อมใสในพุทธศาสนา เราจะปล่อยให้พระสงฆ์เหล่านั้นแสดงทีท่าว่าเก่งกว่าพระพุทธเจ้าจริงๆหรือ ที่ว่าเก่งกว่าพระพุทธเจ้าก็คือ ข้อห้ามที่พระพุทธเจ้าบัญญัติไว้ในพระไตรปิฏก พระเหล่านี้ก็บอกว่าไม่เป็นไร ข้ามไปได้ ละเว้นได้ เล็กๆน้อยๆไม่เป็นไรหรอก ตั้งแง่ ตั้งเหตุ ตั้งเรื่อง ร้อยแปดพันเก้าเพื่อที่จะให้ตัวเองสบาย ได้ลาภยศ ที่นอนให้นอนต่ำ ก็จะนอนเตียง อ้างว่าเมื่อยหลัง ฟังเพลงได้ ดูโทรทัศน์ได้ เพื่อติดตามข่าวสาร มีโทรศัพท์มือถือที่เสียงเรียกเข้าเป็นเสียงเพลงวัยรุ่น โดยอ้างว่าเพื่อติดต่องาน และอีกมากมาย ตั้งกฏ ตั้งกติกาขึ้นมาเอง กล่าวหาว่าพระวินัย ไม่ทันสมัย และอีกมากมายสารพัดที่พระสงฆ์เหล่านั้นจะยกมาอ้าง

ดังนั้นถ้าเราอยากเป็นพุทธในศาสนาพุทธที่แท้จริงเราต้องช่วยกันปราม พระสงฆ์ เหล่านี้กันบ้าง ร่วมกันบูชาส่งเสริมเผยแผ่คำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบที่ยังมีอยู่อีกมากมายในประเทศไทยนำมาสั่งสอนเรา ให้เป็นที่รู้จัก งดเว้นการร่วมมือกับสงฆ์ที่ประกาศศาสนาพราหมณ์หรือขายของเล่นจำพวก กุมาร จิ้งจก ตุ๊กแก ที่เราเห็นกันอยู่มากมายในหน้าหนังสือพิมพ์ ถ้าเราช่วยกันตั้งแต่บัดนี้เราจะช่วยยืดอายุของพุทธศาสนาไปได้อีกนานเลยครับ ที่บอกว่ายืดอายุก็คือ ไม่ว่าสิ่งใดๆเมื่อถึงเวลาก็ต้องเสื่อมสลายไปตามกาล ดังคำสอนของพระพุทธเจ้าอยู่แล้ว สิ่งเดียวทีเราพอจะช่วยกันได้ก็คืออย่าให้พุทธศาสนาเสื่อมไปในช่วงอายุของเราเลยครับ

นภดล 28/5/2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น