วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

"บางงอน" ในความทรงจำ ( 4 )

ตอนบวช สิ่งที่ตาหลวงบอกไว้เสมอคือต้องตื่น บิณฑบาตร ทุกเช้าห้ามขาดผมก็ทำตามอย่างเคร่งครัด ผมเดินบาตรไปทาง วัดขนาย สิ้นสุดตรงต้นมะขามที่สามแยกพอดี แล้วเดินกลับในตอนนั้นเป็นช่วงออกพรรษาแล้ว เหลือพระในวัดอยู่ไม่มากเท่าไหร่ ประมาณ สี่ห้ารูปกับเณร อีกสองรูป ผมเดินบาตรคู่กับเณรตั้ม ซึ่งจะคอยถือปิ่นโตเดินตามหลัง เวลาใส่บาตรเสร็จญาติโยมจะนั่งลงพนมมือขอพร วันแรกผมก็งงๆ หันไปถามเณร เณรบอกว่าให้ให้พร ผมก็ให้พรเป็นภาษาไทยเลย.. ขอให้โชคดี สุขภาพแข็งแรง พอเดินออกมาจากบ้านนั้นเณรบอกผมว่าให้ให้พรเป็นภาษาบาลี มันดูขลังดี พอถึงบ้านต่อไป ผมก็ ยะถาสัพพี เต็มสูตร เณรก็บ่นอีก มันยาวไป เอาสั้นๆก็พอ "จัตตาโร ธรรมา วัททันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง" แค่นี้ก็พอ ผมก็เลยให้พรแค่นี้มาโดยตลอด และเมื่อเดินกลับมาถึงวัด ผมต้องเดินผ่านประตูวัดไปก่อนเพื่อจะไปยืนบาตรที่บ้านยายสร้อยก่อน แล้วถึงจะกลับมาเข้าวัด ช่วงแรกๆก็ไม่มีอะไร แต่พอเริ่มจะสนิทกัน ก็มีเสียงพระในวัดแซวว่า "เดินพ้นวัดแล้วๆๆ จะไปฉันเช้าที่วัดน้ำรอบเหรอ" แต่ผมก็เฉยๆ พูดถึงการเดินบาตรในวัดแถวบ้านนอก วันไหนที่เราจะไม่มาเราต้องบอกโยมก่อน เขาจะได้ไม่คอย ไม่งั้นวันหลังมาจะอด

หลวงติ่ง ที่บวชเข้าพรรษามาก่อนผม จะเดินบาตรไปทางวัดน้ำรอบ วันนึงมีโยมมานิมนต์ไปฉันเช้าที่บ้านเนื่องจากที่บ้านมีงานศพ หลวงติ่งก็ไม่รู้มาก่อนเพราะโยมนิมนต์ตอน กลางคืนหลังจากสวดบังสุกุลเสร็จ เป็นอันว่าเช้าวันนั้นหลวงติ่งไม่ได้บอกโยมไว้ล่วงหน้า และเราก็ไปฉันเช้าที่บ้านงานศพติดๆกันสองสามวัน จนศพเผาเรียบร้อย

เช้าวันต่อมาหลวงติ่งก็เดินบาตรตามปกติ เมื่อกลับมาถึงโรงฉัน หลวงติ่งเปิดบาตรให้ดู มีผักเสี้ยนดอง หนึ่งถุง นอกจากนั้นไม่มีอะไรเลยเพราะชาวบ้านคิดว่าพระไม่มา เลยไม่ได้เตรียมไว้ล่วงหน้า แต่ก็ยังดีที่ได้มาบ้าง..

เวลาผมไปเดินบาตรมันจะเช้ามืดและชาวบ้านก็จะเอาข้าวที่หุงสุกใหม่ๆมาใส่บาตร และนี่ทำให้ผมได้เข้าใจว่าทำไมเวลาใส่บาตรคนโบราณถึงให้สำรวมอย่าให้ข้าวหก มีอยู่บ้านนึงเป็นคนแก่ แกจะใส่บาตรทุกวัน วันนั้นแกตักช้อนแรกแล้วมีข้าวหกออกมาจากทัพพี ตกลงมาระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ของผมที่อุ้มบาตรอยู่พอดี ร้อนมากถ้าสะบัดบาตรก็จะหล่น ผมกัดฟันอดทนกว่าแกจะตักครบสามช้อน เนื่องจากยายแกแก่แล้ว มือไม้ก็สั่น แต่เราก็ต้องสำรวมไว้ กว่าจะผ่านไปได้น้ำตาซึมเหมือนกันครับ

ถนนหน้าวัด ตอนที่ผมบวชนั้นเป็นหลุมเป็นบ่อ รถราวิ่งลำบากต้องคอยหลบหลุมกันตลอดเวลา ต่างกับตอนนี้มาก ตอนนี้เป็นถนนลาดยางอย่างดีวิ่งสบายมากๆ วันนึงทางหลวงชนบทเกิดหวังดี เรารถมาไถข้างทางเพื่อเตรียมซ่อมถนน สำหรับคนอื่นอาจจะไม่เป็นปัญหา แต่สำหรับพระอย่างผม ต้องเดินเท้าเปล่า ไปบนหินมันช่างทรมานอะไรเช่นนี้ จากการที่เดินแบบนั้นอยู่หลายวันทำให้ที่ฝ่าเท้าของผมเป็นเนื้อกลมๆอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ มีคนบอกให้ไปจี้ออกซะแต่ผมไม่ไปเพราะอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก เวลามองมันจะทำให้คิดถึงสมัยที่บวชทุกที เป็นอนุสรณ์เตือนความจำได้อย่างดีเลยทีเดียวครับ

และที่จำได้อีกอย่างคือ วันนั้นมีโยมใส่บาตรมาเป็นขนมปุยฝ้าย ที่นานๆจะมีมาซักครั้ง แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากนัก จนมาถึงวัด เข้าในโรงฉันเอากับข้าวมาวางรวมกัน จนฉันเสร็จ ด้านหลังที่พระนั่งจะมีผ้าผืนยาวขึงไว้ เพื่อความสวยงามหรือเพื่ออะไรผมก็ไม่แน่ใจ แต่เมื่อพระฉันเสร็จให้ยะถาเรียบร้อย เณรตั้ม ก็เปิดผ้าหยิบเอาขนมปุยฝ้ายออกมาแล้วพูดว่า "หมดเวลาพระแล้วนะ ที่เหลือ เณรจัดการต่อเอง" ดูมันทำ...

จนวันที่ผมจะสึก เพื่อนติดต่อมาให้มาทำงานเป็นลุกจ้างที่ TAC (ก่อนจะเป็น dtac ทุกวันนี้) ผมเลยเตรียมตัวลาสิกขา แต่พอดีมีศพมาตั้งที่วัด ผมเลยได้สวดบังสุกุลในคืนแรกก่อนที่จะลาสิกขา และเมื่อลาสิกขาแล้วก็ต้องกลับไปนอนที่วัด สามคืน ตามประเพณี ในคืนแรกของชีวิตฆราวาส ผมมาถึงวัดในช่วงเย็น ในวัดมีงานศพอยู่ และมีการละเล่นที่รู้กันคือ การพนันเล็กๆน้อยๆ ผมชอบกุ้ง ปลา น้ำเต้า อยู่แล้วเลยไปนั่งเล่นกับเขาด้วย มีป้าคนนึงมานั่งข้างๆ แทงไปแทงมา แกหันมามองหน้าผมแล้วอุทานออกมา "อ้าว เจ้า เมื่อวานซืนยังยืนบาตรหน้าบ้านอยู่เลย" ผมก็หัวเราะแล้วบอกว่าผมสึกแล้วครับ แต่สามคืนที่ผมไปนอนที่วัดได้ค่าน้ำมันกลับบ้านทุกวัน วันละสองสามร้อยทุกวัน... กรรมจริงๆ

"บางงอน" ในความทรงจำ ( 3 )

เมื่อผมโตขึ้นผมก็ไม่ค่อยได้ไปที่บางงอนบ่อยนัก นานๆจะแวะไปกราบตาหลวงหันซักครั้ง บางครั้งถ้าไปกับพ่อก็จะแวะไปที่บ้าน ยายสร้อย ที่อยู่หน้าวัดแวะเยี่ยมท่าน ท่านเป็นคนแก่ที่แข็งแรง ออกกำลังกายอยู่เสมอ มีหนังสือ ธรรมะ อยู่ใต้ถุนบ้านมีที่นั่งที่พักผ่อน ใครไปใครมาก็ได้ กินหมากกินน้ำ อ่านหนังสือ วันนึง ผมเข้าไปเยี่ยมท่านกับพ่อเช่นเคย ผมเห็นหม้อดินเผา ที่ชาวบ้านเอาไว้ใส่ข้าวสาร หรือที่เรียกว่า "ออม" ไว้วันหลังจะถ่ายภาพมาให้ชมครับ ผมเห็นว่าแปลกดี เลยเอ่ยปากขอท่านมา ท่านก็ให้มาหนึ่งใบ ตอนนี้ถ้าใครมาที่บ้านคงจะเคยเห็น หม้อใบนี้ จะตั้งอยู่ที่ในบ้านตรงประตู วางอยู่ใกล้ๆกับจานเก่าของวัดโพธาวาส ที่คุณปิงให้มา

ที่ผมเล่าเรื่องนี้ก็เพราะว่า เมื่อวานตอนที่ผมไปงานศพ ผมเจอ ป้าแดง ญาติที่อยู่แถวๆนั้น เมื่อทักทายกับพ่อผมแล้ว ก้หันมาทางผมแล้วบอกว่า " นี่มันไอ้คนบ้า "ออม" นี่นา" ทั้งๆที่เหตุการณ์นั้นผ่านมา สิบกว่าปี แต่ก็ยังจำกันได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงไมตรีจิตที่ดียิ่งของคน บ้านนอก พูดถึง เรื่องราวของคนบ้านนอกนั้น ป้าราตรี ได้นั่งคุยกันกับพ่อผมและผมก็นั่งฟังอยู่ด้วย ท่านพูดถึงเรื่องราวเก่าๆ ของบางงอน แต่ที่ผมชอบก็คือ ประโยคที่ว่า " คนป่า นับญาติ คนหลาด(ตลาด) นับเงิน" ซึ่งก็คงจะจริงตามนั้น ท่านยกตัวอย่างงานศพ คนชนบท ไม่มีเงินทองมากมายก็ต้องอาศัยญาติพี่น้อง มาช่วยกัน แต่ถ้าเป็นในเมืองมีเงินอย่างเดียวทุกอย่างก็จบ นอกจากนั้นลุงอีกคนที่อยู่แถวๆนั้นๆ แต่ผมไม่รู้จักก็บอกว่า งานศพนี่เราจะขาดไม่ได้เพราะเป็นงานสุดท้ายแล้ว เราอาจจะไม่ว่างไปงานบวช แต่เราได้ไปงานแต่ง อาจจะพลาดงานขึ้นบ้านใหม่ แต่เราไปงานอื่นๆ แต่ถ้าพลาดงานศพก็จบกันเลย งานศพเลยมีหลายคืนเพื่อให้ญาติมิตรได้มาเคารพศพกันเป็นครั้งสุดท้ายกันอย่างทั่วถึง

และที่ผมไม่ค่อยได้เล่าให้ใครฟังซักเท่าไหร่คือเรื่องราวของผมในตอนที่บวช ผมบวชที่นี่ครับ ที่วัดบางงอน ผมเลือกที่จะมาบวชที่นี่ วัดที่อยู่ห่างไกลจากสังคมเมือง เพราะผมศรัทธาในตาหลวงหัน ผมจำได้ว่าตอนที่ผมบวช ท่านกำชับว่าให้ท่องบทสวดให้ได้ ถ้าสวดไม่ได้ก็ไม่ต้องบวช เพราะเรื่องแค่นี้ถ้าทำไม่ได้บวชมาก้ไม่รู้ว่าจะบวชมาทำอะไร และผมเป็นนาคเดี่ยว บวชคนเดียวไม่มีคนช่วยด้วยเลยต้องขยันเป็นพิเศษ เมื่อเป็นพระแล้ว เพื่อนๆที่ไปร่วมงานบวช ก็ผลัดกันเอาเงินใส่ย่ามให้ กะๆดูแล้วก็หลายพัน เพราะผมเป็นคนที่เพื่อนเยอะ คนละร้อยสองร้อย แล้วเราก็ยืนคุยกันที่ใต้ต้นมังคุดในวัด ทันใดนั้นก็มีเสียงดังออกมาจากกุฏิเจ้าอาวาสว่า "บวชไม่ทันข้ามวัน หัดเล่นเงินแล้วเหรอ" ผมได้ยินก็รีบเดินเอาเงินทั้งหมดในย่ามไปให้โยมแม่ทันที เงินที่เขาฝากช่วยงานก็ต้องเอาไปช่วยงาน บวชแล้วไม่ต้องใช้เงิน

เรื่องเงินนี้ผมได้เห็นตาหลวงจัดการกับเงินที่ชาวบ้านถวายท่านแปลกๆ คือถ้าเป็นเงินทำบุญก็จะเข้าบัญชีของวัดไปแต่ที่โยมถวายให้ท่าน ท่านก็จะเก็บไว้ทั้งซอง วางกองๆไว้แถวๆที่นั่งของท่านนั่นละครับ ผมจำได้ว่าครั้งนึงเคยไปซื้อของกับท่านที่ในตลาด เวลาถามว่าของราคาเท่าไหร่ ผมต้องฉีกซอง ออกมานับทีละซองกว่าจะได้ครบจำนวนก้หลายซองอยู่ บางซองก็ ยี่สิบ ห้าสิบ ตามแต่กำลังศรัทธาของญาติโยม

บางครั้งท่านพูดกับผมว่า อย่าไปยุ่งตรงนั้นนะ (ชี้ที่แถวๆซองปัจจัยของท่าน) นั่นมันงูพิษ เดี๋ยวมันจะกัดเอา ด้วยเหตุนี้ผมจึงจำติดใจมาจนทุกวันนี้ ไม่ว่าจะทำอะไร ทุกครั้งจะมีคนจัดการเรื่องเงินเสมอ ผมจะไม่ยุ่งกับเงินเหล่านั้นด้วยตัวเองเลย

เมื่อผมบวชเรียบร้อย ท่านให้ผมนอนบนกุฏิเดียวกันกับท่าน เป็นห้องเล็กๆอยู่ที่มุมด้านใน ซึ่งไม่มีคนอยู่ ผมมารู้เรื่องจากพระที่บวชก่อนผมว่า เคยมีพระมานอนแต่พอเปิดหน้าต่าง ด้านหลังซึ่งติดกับคลองก็เจอบางอย่างโผล่มาทักทาย หลังจากนั้นก็ไม่มีใครมานอนอีกเลย แต่ผมไม่มีทางเลือกเลยต้องนอนที่นี่ไปจนถึงวันลาสิกขา
ผมนอนกับเสื่อผืนบางๆกับพื้นไม้กระดานแผ่นหนาๆ ตามแบบของกุฏิโบราณที่สร้างจากไม้ ในขณะนั้นตาหลวงเริ่มอาพาธ ต้องนอนบนเตียงพยาบาลสูง เป็นเตียงแบบเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล ในกุฏิก็มีกับแค่ผมกับตาหลวง แต่พอดึกๆ เวลาจะหลับก็จะได้ยินเสียงคนเดิน เพราะพื้นไม้มันต่อกันแต่พอเปิดประตูออกมาดูก็ไม่มีใคร แต่พออยู่ไปนานๆก็ชิน เวลาจะหลับก็ได้แต่บอกในใจว่า ฝากดูด้วยนะผมจะนอน แล้วก็หลับสบายทุกคืน

ตาหลวงสอนผมให้ฝึกสมาธิ ให้จุดเทียนแล้วเพ่งมอง (มาทราบทีหลังว่า เตโชกสิน) การฝึกทำให้ผมใจร้อน บางท่านว่าทำให้ดูแก่เร็ว แต่ผมคิดว่าเป็นเพราะโดนต่อมันต่อยมากกว่าน่า..555

ผมฝึกได้ไม่นานก็หยุด ไม่ได้ฝึกต่อสาเหตุเพราะว่า...หลังจากผมบวชได้สามวัน มีงานเผาศพที่วัดแห่งนึง จำไม่ได้แล้วว่าที่ไหน นิมนต์พระทั้งวัดไปสวดมาติกา ตาหลวงพูดกับผมว่า.. สวดกับเขาได้หรือเปล่า ถ้าสวดไม่ได้ก็อย่าไปเลย ไปนั่งหลอกชาวบ้านเปล่าๆ ผมเลยตัดสินใจ " ไม่ไป" ครับ แต่พอตอนเพลนี่สิ กับข้าวที่เดินบาตรมาในตอนเช้าก็ยังมีอยู่ แต่..ทั้งวัดเหลือผมคนเดียว ทำยังไงดีละทีนี้ ผมเดินไปที่โรงเรียนวัดที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก เรียกเด็กนักเรียนให้มาช่วยประเคนของให้แล้วนั่งฉันคนเดียวเงียบๆ ให้ยะถา สัพพี คนเดียว สวดยะถา สัพพี นี่ก็แปลก ผมท่องได้ตั้งแต่ยังไม่บวช ได้ฟังบ่อยๆได้ไปงานศพงานบุญ บ่อยๆ มันเลยจำได้เองมาจนกระทั่งทุกวันนี้

หลังจากนั่นผมมุ่งมั่นกับการสวดอภิธรรมเจ็ดคำภีร์ จนอีกสามวันต่อมาก็เริ่มที่จะสวดได้ทั้งหมด หลังจากนั้นผมไปทุกงานที่ชาวบ้านนิมนต์ได้อย่างไม่ต้องกลัวว่าจะไปนั่ง หลอกชาวบ้าน กินแรงเพื่อน อีกต่อไป

วันอังคารที่ 16 มีนาคม พ.ศ. 2553

"บางงอน" ในความทรงจำ (2)

วิธีการที่จะนำพระประธานเข้าโบสถ์ หลวงพ่อจะทุบฝาผนังด้านหลังที่อยู่บนขอบประตูออก แล้วยกพระประธานเข้าไปทางหลัง หลังจากนั้นก็จะปิดฝาผนังอีกครั้ง จนทุกวันนี้ก็จะดูไม่รู้ว่า พระประธานองค์นี้มาหล่อทีหลัง งานหล่อพระมีด้วยกัน หลายคืนผมเลยได้นอนที่วัดหนึ่งคืน และคืนนั้นเองผมก้ได้รู้จักกับมหรสพของภาคใต้ที่ชื่อว่า "หนังตะลุง" ในสมัยเด็กๆ ผมไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหนในตอนกลางคืนซักเท่าไหร่นอนตอนหัวค่ำเลยไม่มีโอกาสได้ดูได้ชมการแสดงประเภทนี้เลย วันที่หล่อพระประธานของวัดบางงอนเลยเป็นวันที่เปิดโลกแห่งจินตนาการให้ผมเป็นวันแรกเลยทีเดียว

ผมนั่งมองโรงหนังตะลุงจากบนศาลาโรงฉัน ซึ่งวันนี้จะเป็นที่นอนของผมกับลุงรวมทั้งชาวบ้านที่มาจากหลายๆพื้นที่ ผมนั่งมองแสงเงา และฟังดนตรีหนังตะลุงด้วยความสนใจ ตัวหนังสือที่บนขอบจอด้านบนเขียนว่า "หนังจูเลี่ยม กิ่งทอง" ซึ่งนับว่าเป็นหนังตะลุงคณะแรกในชีวิตที่ผมได้ชม ช่วงแรกผมก็ฟังไม่รู้เรื่อง เลยหลับบ้างตื่นบ้าง จนมาถึงตัวตลกออกมาเล่นเรื่องราวในสมัยนั้น มีเปรตออกมาหนึ่งตัว ชื่อ เปรตนิกร ซึ่งตอนนั้นคงจะได้ข่าวกันคือ พระนิกรกับอรปวีณา ที่โด่งดัง(ในทางชั่วๆ) ผมตาสว่างทันทีนั่งฟังไปเรื่อยๆหัวเราะไปกับเรื่องราวบนแสงเงาและจินตนาการของนายหนังผู้นี้ และหลังจากหนังพักช่วงก็มีเสียงเพลงลูกทุ่งดังออกมา...

จงภูมิใจเถิดที่เกิดเป็นไทย
มิเป็นทาสใคร แหละมีน้ำใจล้นปริ่ม
ทั่วโลกกล่าวขาน ขนานนาม ให้ว่าสยามเมืองยิ้ม
เราควรกระหยิ่มถึงความดีงาม

คนเย็นใจซื่อได้ชื่อว่าไทย
ร้อนมาจากไหน ชาติไทยไม่เคยหวงห้าม
ข้ามเขตข้ามโขงถิ่นน้ำขุ่น มาพึ่งใบบุญเมืองสยาม
เรายิ้มรับตามที่ท่านต้องการ

เลื่องชื่อลือนาม สยามมีแต่น้ำใจ
ขอเตือนท่านผู้อาศัย อย่าทำอะไรให้ไทยร้าวราน
คนไทยใจซื่อ เขาถือแต่โบราณกาล
แค่เพียงข้าวสุกหนึ่งจาน ใครลืมของท่านนั้น เนรคุณ

คนไทยรักชาติแหละศาสนา
เทิดองค์เจ้าฟ้า ผู้ทรงเปี่ยมเนื้อนาบุญ
ถ้าท่านเคารพสิทธิ์ของไทย ท่านอยู่ต่อได้อีกนานคุณ
สยามใจบุญ ยังยิ้มเสมอ

ผมนั่งฟังโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเพลงของใครแต่คนที่ร้องเพลงนี้เป็นหนึ่งในคณะหนังตะลุง จูเลี่ยม กิ่งทอง เสียงเพลงที่ร้องออกมาทำให้ผมรู้สึกชอบที่จะฟังเพลงลุกทุ่ง เพิ่มขึ้นมากเพราะก่อนหน้านี้ผมจะไม่ฟังเพลงอื่นเลยนอกจาก "คาราบาว" หลังจากที่กลับมาจากวัดบางงอนคราวนั้น ผมจึงเริ่มฟังเพลงลูกทุ่ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ สุนารี ราชสีมา และเอกพจน์ วงศ์นาค ผมฟังเพลงลุกทุ่งเหล่านี้จนซึมซับแบบขึ้นสมอง จำได้ว่าตอนเรียน ม 1 เคยออกไปร้องเพลงหน้าชั้นด้วยเพลงของเอกพจน์ วงศ์นาค ที่ผมจำไม่ได้แล้วว่าชื่อเพลงอะไร มีเนื้อร้องประมาณนี้ครับ

มองฟ้าคราใดหัวใจแทบพัง ไม่อยากจะฟังเสียงนกหวีดดังวิ่งชนกันโครม
เดินแทบดินฟ้าถล่ม บ้างนอนเกือกกลิ้งโคลนตมปวดร้าวระบมทั้วทั้งกายา
................................

ถึงแม้คุณพ่อน้องเป็นนายพัน
พี่ก็ใฝ่ฝันหมายเด็ดหมายดอมน้องมาแนบชม
บุญพี่มีน้อยจึงตรม จึงฝากเพลงร้องตามลมหวังชิดเชยชมแต่น้องนางเดียว

บางงอน เลยมีความหมายกับชีวิตผมมากๆ ทั้งปลูกฝังเรื่อง ศาสนา ดนตรี ถ้าไม่มีบางงอน ผมคงจะไม่รู้สึกถึงเรื่องราวของพระ ของเพลง ของวัฒนธรรมพื้นบ้านมาจนถึงทุกวันนี้ นอกจากนั้นในเช้าของอีกวัน ผมขึ้นไปนั่งอยู่ในกุฏิเจ้าอาวาส ซึ่งสร้างต่อจากโรงฉัน ยกพื้นสูง ภายในยกระดับ แต่ไม่สูงมากนักผมนั่งอยู่ด้านบน ส่วนที่พื้นที่ห่างกันประมาณไม่ถึงยี่สิบเซนต์ก็มีพระที่มาร่วมพิธีพุทธาภิเษกนั่งกันอยู่หลายรูป นั่งฟังเรื่องราวที่พระอาจารย์เหล่านั้นพูดคุยกัน ตาก็มองออกไปด้านหลังโบสถ์เห็น ตาหลวงหัน (ที่บ้านให้เรียกแบบนี้) เดินอยู่แถวๆนั้น แต่เพียงแค่ช่วงเวลาที่ผมหันมาฟังหลวงพ่อเกจิอาจารย์คุยกันนั้น ก็มีมือมาจับที่แขนของผม "มึงนั่งสูงกว่าคนอื่นเขาแบบนี้ไม่ดีนะ" แล้วดึงแขนผมลงมานั่งที่ด้านล่าง แล้วท่านก็เดินไปเลย ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าท่านเห็นได้อย่างไรเพราะจากกุฏิไปที่โบสถ์ก็ไกลกันพอสมควร แถมมาก็แค่ดึงผมลงแล้วก็ไปเดินดูนู่นดูนี่ต่อทันที แล้วท่านรู้ได้อย่างไร

ผมมาทราบทีหลังว่าพระเกจิที่นั่งอยู่ในกุฏิวันนั้น มี หลวงพ่อรัตน์ วัดกะเปา รวมอยู่ด้วย โดยหลวงพ่อรัตน์ วัดกะเปา ท่านนี้เป็นอาจารย์ท่านหนึ่งของท่านอาจารย์สูติ วัดในเตา จังหวัดตรังที่โด่งดัง ในกุฏิของอาจารย์สูติ จะมีรูป หลวงพ่อรัตน์แขวนอยู่ด้วย อาจารย์สูติ วัดในเตาเคยเล่าให้ผมฟังว่า " พ่อท่านรัตน์ อาจารย์กู จุดเทียนไม่ต้องใช้ไฟ" ส่วนจะเป็นอย่างไรก็ไปหารายละเอียดกันเอาเองนะครับ

ไหนๆก็กล่าวถึงพ่อท่านรัตน์ วัดกะเปาแล้ว ขอต่ออีกซักนิด ในปี 2537 วัดโพธาวาส (สอบถามพี่ปิงได้ครับ) มีการสร้างวัตถุมงคลหลวงพ่อกล่อม วันนั้ผมก้ไปร่วมพิธีด้วย ไปทั้งชุดนักศึกษาเลยครับ ผมเรียน ปวส อยู่พอดี พอเสร็จพิธีพุทธาภิเษก เหล่าพระเกจิก็เดินออกมาจากโบสถ์ ผมโชคดีได้ช่วยพยุงพ่อท่านรัตน์ไปที่รถด้วย ขณะที่เดินไปที่รถ จู่ๆ พ่อท่านรัตน์ก็หยุดแล้วหันหลังกลับ ยกมือไหว้ไปทางต้นไม้ใหญ่แถวๆประตูโบสถ์ แล้วบอกกับผมเบาๆว่า "งานนี้หลวงพ่อกล่อมมาด้วย"ซึ่งเรื่องนี้ผมไม่เคยได้เล่าให้ใครฟัง เลยอยากเก็บมาบันทึกไว้ที่นี่ด้วย เพราะตอนนี้ พ่อท่านรัตน์ก็มรณะภาพไปแล้ว เกรงว่าเหตุการณ์นี้จะไม่มีคนได้รับรู้ วันนั้นมีผมกับพ่อท่านรัตน์และพี่ชายอีกคนนึงเท่านั้นที่ได้เห็นและได้ยินพ่อท่านรัตน์พูด ส่วนเรื่องราวในงานพุทธาภิเษก คงต้องสอบถามพี่ปิงเอาเองครับ

"บางงอน" ในความทรงจำ

เมื่อวานนี้หลังจากที่ เข้าประชุมเป็น ครั้งที่สามในรอบสี่วัน เสร็จแล้วผมก็รีบกลับบ้านเพราะว่านัดกับพ่อไว้ว่าจะไปงานศพที่ "บางงอน"งานศพนี้เป็นศพของญาติผู้ใหญ่ของพ่อ มีศักย์เป็นอาของพ่อ ชื่อ ยายสร้อย อายุก็ 93 ปี ถือว่าอายุยืนมากคนนึงเลยทีเดียวครับ

บ้านบางงอนนี้มีความหลังกับผมอยู่มากทีเดียว เพราะสมัยเด็กๆก็ได้มาเที่ยวมานอนอยู่ที่วัดบางงอนหลายๆครั้ง ที่บางงอนนี้เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ที่ปลูกฝังความคิดอะไรๆให้ผมหลายๆอย่าง บางอย่างผมแทบจะลืมไปแล้วว่า ผมไปเจอที่ไหนไปพบเห็นมาจากไหน แต่เมื่อผมได้กลับมาอีกครั้งทำให้ผม เหมือนกับได้กลับไปสู่อดีตอีกครั้ง

สมัยก่อนนั้นการเดินทางไปบางงอนต้องใช้เรือเท่านั้น หรือไม่ก็รถไฟผ่านทางสายคีรีรัฐนิคม จากสถานีสุราษฎร์ธานีในช่วงเย็น ลงที่สถานี ขนาย แล้วเดินไปอีกนิดหน่อยก็จะถึงบ้านบางงอน ในสมัยที่ผมเรียนมัธยมต้นที่โรงเรียนสุราษฎร์ธานี เพื่อนๆที่มาจากแถวๆนั้นก็จะโดยสารรถไฟมาในตอนเช้าแล้วกลับกับรถไฟขบวนนี้เป็นประจำ ในเส้นทางสายนี้มีรถไฟเดินรับส่งผู้โดยสารอยู่แค่ขบวนเดียว ในระยะทาง สามสิบกว่ากิโลเมตร และได้มีการเวนคืนที่ดินเพื่อสร้างทางรถไฟไปยังท่านุ่น จังหวัดพังงา (บริเวณสะพาน สารสิน ) แต่ไม่มีงบประมาณในการสร้างเลยหยุดอยู่แค่สถานี คีรีรัฐนิคมเช่นเดิมจนถึงทุกวันนี้

วัดบางงอนในตอนนั้นมีเจ้าอาวาสคือ หลวงพ่อหัน ปภากโร (พระครูรัษฏารามคณิศร์)หลวงพ่อหันเป็นลุกศิษย์สมัยเป็นนักเรียนของปู่ผม และท่านได้บวชที่วัดตรณาราม กับ ท่านพระครูธรรมปรีชาอุดม (พุ่ม) ในปี 2500 หรือกึ่งพุทธกาล ยี่สิบห้า ศตวรรษ และด้วยการที่เป็นครูกับลูกศิษย์กันมาก่อน ท่านจึงแวะเวียนมาเยี่ยมปู่ของผมเสมอๆ และแม้กระทั่งในช่วงที่ปู่ของผมป่วย ปู่ก็ไปรักษาตัวอยู่ที่วัดบางงอน และสมัยนั้นญาติพี่น้องของปู่ก็อยู่ที่นั่นเป็นจำนวนมาก (เรื่องราวบางส่วนของบ้านบางงอน หาอ่านได้จากงานเขียนของ วิลาศ มณีวัต ครับ)

ผมในตอนนั้นหรือแม้กระทั่งในตอนนี้ ผมก็นับญาติได้ไม่หมด เพราะว่าญาติเยอะจริงๆ สาเหตุเพราะว่า ก๋ง มีลูกเยอะ แต่ละคนก็มีลูกกันเยอะ ทำให้นับกันไม่ค่อยถูก ถึงแม้ว่าจะนานสกุลเดียวกัน

ในสมัย ปี 2521-2525 ช่วงนั้นคงไม่มีใครในแถบจังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดใกล้เคียงที่จะไม่ได้ข่าว "พระผุด" ที่วัดบางงอน อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี และได้มีการใช้ดินบริเวณนั้น กินเพื่อรักษาโรคร้ายต่างๆ อย่างได้ผล พระพุทะรูปองค์นั้น ภายหลังได้เรียกกันว่า หลวงพ่อ"พระพุทธโอสถาพร"อันเป็นที่มาจากการที่ได้ใช้ดินเป็นยารักษาโรคนั่นเองครับ จนแม้กระทั่งหนังตะลุงในสมัยต่อมาในช่วงปี 2530 ก็ยังเอามาเล่นเป็นมุกตลกอยู่เนืองๆ ที่ว่า
" คนสุราษฏร์กินดินวัดบางงอน คนนครกินย่านลำเพ็ง"

ต้นลำเพ็งชอบอยู่บริเวณที่ชุ่มน้ำ ใบมีลักษณะคล้ายๆเฟิร์น ชอบอยู่ตามที่รกทึบ ยอดอ่อนเอามาลวกกระทิ จิ้มน้ำพริก

ในปี 2530-2531 (ไม่แน่ใจ) มีการหล่อพระประธานของวัด หลวงพ่อหัน ปภากโร ได้จัดงานหล่อพระประธานขึ้น ตอนนั้นผมอายุ สิบกว่าปี ได้ไปที่วัดพร้อมกับลุง ซึ่งตอนนั้นผมจะรู้สึกผูกพันธ์กับท่านมาก เพราะท่านจะใจดีกับผมมาก ในย่ามของท่านผมจะเป็นเด็กที่สามารถล้วง หยิบ สิ่งของเอามาดูมาถามได้ตลอดเวลา และทำให้ได้มีโอกาสได้วัตถุมงคลต่างๆไว้มากมาย เพราะเวลาที่ท่านไปพุทธาภิเษกที่ไหนก็จะได้วัตถุมงคลที่นั่นมาด้วย เมื่อได้มาท่านจะใส่ไว้ในย่าม และแน่นอน.. ผมจะขอท่านทันที แล้วท่านก็จะให้ แต่ที่ผมจำได้อีกอย่างก็คือมีวัตถุบางอย่างอยู่ในย่ามของท่าน ที่ท่านไม่ให้ผม มีรูปร่างคล้ายๆ หอยแต่ทำมาจากดิน(ไม่แน่ใจ) ท่านบอกว่า "ถ้าเอาไปแล้วต้องเป็นโจรนะ จะเอาหรือเปล่า" ผมในตอนนั้นก็ยังเด็กๆอยู่ก็รีบตอบว่าไม่เอา แล้วก็ไม่สนใจอีกเลย และตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าของสิ่งนี้ไปอยู่ไหนหรืออยู่ที่ใคร

หลวงพ่อหัน จะเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในละแวกนั้นเป็นอย่างมาก เพราะท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อพัว วัดบางเดือน ที่โด่งดัง และที่ผมจำได้แต่ไม่แน่ใจมากนักคือ วัตถุมงคลรุ่นสุดท้ายที่ท่านไปร่วมพุทธาภิเษกคือ วัตถุมงคลของวัดสองพี่น้อง อำเภอพนม ซึ่งน่าจะเป็นงานสุดท้ายก่อนที่ท่านจะมรณะภาพ

กลับมาเรื่องหล่อพระประธานกันต่อครับ... ผมจำได้ว่ามีการตั้งโรงตั้งพิธีกันที่หลังโบสถ์ มีช่างมาจากที่อื่น มาทำการหล่อ หลอม เท ทอง เพื่อสร้างพระประธานของวัดบางงอน มีคนถามท่านว่า ทำไมไม่หาแบบที่เขาทำเสร็จแล้วมาวางเลย แล้วค่อยทำพิธี พุทธาภิเษก ท่านบอกว่า แบบนั้นมันง่ายเกินไป การทำพระประธาน ต้องทำให้ถูกต้อง การที่เราทำตามฤกษ์ ยาม ทำการเททอง หล่อ ให้ชาวบ้านได้มาร่วมกันสร้าง ดีกว่ามาร่วมกันซื้อ เพราะจะได้หล่อหลอมจิตใจของชาวบ้านเข้าไว้ด้วยกัน สร้างความสามัคคีได้อย่างมากด้วย และทุกวันนี้พระประธานองค์นี้ก็ยังอยู่ มีหลายคนสงสัยว่าพระองค์ใหญ่ มาหล่อทีหลัง จะเอาเข้าโบสถ์ ได้อย่างไร คำถามนี้ผมเคยอ่านเจอในหนังสืออะไรซักอย่างเกี่ยวกับพระที่อยุธยา ว่าหลวงพ่อในโบสถ์สร้างก่อนหรือโบสถ์สร้างก่อน ถ้าพระสร้างทีหลังจะเอาเข้าโบสถ์ได้อย่างไร ผมงงอยู่นาน ทั้งๆที่เคยเห็นวิธีการเอาพระเข้าโบสถ์ มาแล้วในสมัยเด็กๆ นี่ถ้าไม่มางานศพ ไม่กลับมาเดินเที่ยวในวัด ผมคงจะลืมไปแล้วจริงๆ

ต้นฉบับจาก http://www.siamsouth.com/

วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553

รอยไถแปรกับ คาราบาว

เพิ่งดูจบไปครับ สำหรับรายการรู้จริงป่ะ ทางช่องสามเมื่อกี้นี้..
ได้เห็นอะไรหลายอย่างมากๆ อดรนทนไม่ไหวเลยมานั่งบ่นผ่านจอ อีกซักรอบก่อนนอนครับ

ที่มา http://www.siamsouth.com/

ดูรายการนี้แล้วเหมือนรำลึกความหลังอะไรหลายๆอย่างเลยครับ สิ่งแรกที่มองเห็นและสะดุดความรู้สึกครั้งแรกเลยก็คือ วงซูซู ครับ ปีนั้น ปีที่ น้าซู ออกชุด สู่ความหวังใหม่( อาจจะของน้าซูเอง ที่แยกออกมาจากกระท้อน) ผมได้ฟังครั้งแรก ไม่ได้สะดุด เสียงน้าซูหรอกครับ แต่ผมจำได้ว่านี่เป็นเสียง ของ แอ๊ด คาราบาว นี่นา เลยสนใจที่จะฟังต่อไปแล้วก็ชอบ แทบจะทุกเพลงของซูซู อาจจะเรียกได้ว่า ผมฟังซูซู ครั้งแรก เพราะ แอ๊ด คาราบาวก็ว่าได้ครับ

คงจะเหมือนกับเพลง รอยอดีต ของวง อะไรนะ.... ที่มีอาจารย์ ไข่ มาลีฮวนน่า มาร้องด้วย ทำให้ผมฟังเพราะจะฟังเสียง อาจารย์ไข่ นั่นละครับ
แล้วก็นั่งดูนั่งฟังไปเรื่อยๆ มาสะดุด (อีกแล้ว) กับภาพที่กล้องซูมเข้าไปใกล้ๆ เฮ้อ... น้าแอ๊ด แก่ลงไปมากแล้วจริงๆ ก็ทำไมจะไม่แก่ละครับ ขนาดผมเองก็จะครบ สามรอบอยู่แล้วนี่นา นี่เราฟังเพลงคาราบาวมายี่สิบกว่าปีแล้วเหรอเนี่ย โอ้...สังขารมันเป็นเช่นนั้นเอง..

แต่ที่ผมตั้งใจจะเขียนก็คือเพลง รอยไถแปรครับ เพลงนี้ แต่งโดยครูสุรพล สมบัติเจริญ ขับร้องโดยก้าน แก้วสุพรรณ มีเนื้อร้องว่า...

ทุ่งนาแดนนี้ไม่มีความหมาย เหลือเพียงกลิ่นโคลนสาบควาย เห็นซากคันไกแล้วเศร้า
เห็นนาที่ร้างนั้นมีแต่ฟางแทนรวงข้าว เห็นเคียวที่เกี่ยวติดเสา เล่นเอาใจเราสะท้อน

ทุ่งนาแดนนี้ข้าเคยไถทำ สองมือข้าเคยหว่านดำ ฤดูฝนพร่ำหน้าก่อน
แต่มาปีนี้ฤดีข้าแสนจะสะท้อน เพราะมาไร้คู่กอดเคียงหมอน ทิ้งให้เรานอนระกำ

รอยไถเอยข้าเคยไถหว่าน เดี๋ยวนี้เจ้ามาทิ้งจาก ถากให้เป็นรอยไถช้ำ
เจอรอยไถใหม่ ทิ้งรอยไถเก่าระกำ อกใครใครบ้างไม่ช้ำ เมื่อยามเห็นรอยไถแปร

ทุ่งนาแดนนี้คงร้างไปอีกนาน ข้าเองก็เหลือจะทาน เพราะมันแสนสุดจะแก้
หมดกำลังใจแล้วเรียมเอ๋ยข้าคงตายแน่ ถ้าไถไปอีกก็กลัวแพ้
เพราะรอยมันแปรเสียแล้วเรียมเอย


เพลงนี้ ถ้าฟังซื่อๆก็ไม่มีอะไร แต่ถ้าฟังแบบ ทะลึ่งนิดๆก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ แสดงให้เห็นถึงความละเมียดละมัยของผู้แต่งได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวครับ จริงๆแล้วเพลงของครูสุรพล ที่ผมชอบ อีกเพลง คือเพลงสาวสวนแตง ที่ได้เห็นบรรยากาศ สมัยนั้นทุกครั้งที่ฟังครับ

กลับมาๆๆๆๆๆๆๆ นอกเรื่องทุกที ไอ้ผมมันก็ประเภท เขียนไป บ่นไป ไร้ สคริป นึกอะไรได้ก็จิ้มไปเรื่อย ไม่ค่อยตรงกับชื่อเรื่องซักเท่าไหร่ กลับมาเรื่องรอยไถแปร กับ คาราบาว กันต่อครับ

สมัยนั้นผมเป็นเด็กหัวเกรียน แต่จะเกรียนด้วยหรือเปล่าไม่แน่ใจครับ ได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรก จากที่ไหนก็จำไม่ได้ ไม่รู้ว่า ทีวี หรือ วิทยุ แต่เป็นเวอร์ชั่นนี้แหละครับ เสียงน้าแอ๊ดร้อง ส่งคนดูกลับบ้าน ผมจำเนื้อร้องได้บางท่อนเท่านั้นแต่ประทับใจมาก มันเหมือนกับอะไรบางอย่างที่ติดฝังอยู่ในความทรงจำ ไม่รู้ว่าเพลงนี้มันของใครแต่ชอบทำนองเพลงนี้เหลือเกิน จนผมเรียน ที่โรงเรียนสุราษฎร์ธานี ผมจำไม่ได้ว่า ม. ไหน แต่ เป็น ม.ต้น แน่นอนครับ เพราะผมเรียนแค่นั้น ก่อนจะข้ามมาเรียน เทคนิค

ผมไปสมัครอยู่ ชมรมเพลงไทยเดิมได้อย่างไรก็ไม่ทราบ จำได้ลางๆว่ามีกันอยู่ไม่ถึง 10 คน อาจารย์ที่ปรึกษาชมรม เป็น อาจารย์ภาษาไทย ถ้าจำไม่ผิด น่าจะชื่อ อาจารย์ สุกานดา (ถ้าจำผิดก็ขออภัย เพราะมันนานมาแล้ว) ได้ฝึกร้องเพลง เขมรไทรโยค ที่จำท่อนแรกมาได้จนกระทั่งทุกวันนี้ และนอกจากนั้นก็มีเพลงเก่าๆ ที่แน่ๆเลยก็มีเพลง "แม่ศรีเรือน" มันทำให้ผมฝังใจกับเพลงแนวๆนี้พอสมควร ประกอบกับน้าแอ๊ด มักชอบเอาเพลงลูกทุ่งมาร้องเล่นๆเสมอ เวลาที่วงคาราบาวพักสูบบุหรี่กัน ทำให้แรงกระตุ้น จากเพลง "ทุ่งนาแดนนี้".. มันผุดขึ้นมาอีกครั้ง ผมเรียกชื่อเพลงนี้แบบนั้นจริงๆ เพราะไม่รู้ว่าใครร้องและมันชื่อเพลงอะไร

และแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เฉลยออกมา เมื่อ นิค นิรนาม ออกอัลบั้ม หยิบสิบ ที่มีเพลงนี้รวมอยู่ด้วย ตอนนั้น นิธิทัศน์ ดังมากๆ มีหยิบสิบ มีซุปเปอร์ฮิต ออกมามากมายหลายวง และผมก้ได้เทปม้วนนั้นมาฟังจนได้ ด้วยการบวกพ่วงไปกับ เทป ของ ไพจิตร อักษรณรงค์ ที่แม่ผมตั้งใจไปซื้อ พูดถึงไพจิตร อักษรณรงค์ "เพลง สาว ต.จ.ว." เพราะมาก ลูกสาวกำนัน ก็น่าฟัง ลองไปหากันมาฟังนะครับ จะได้บรรยากาศของเพลงช่วงนั้นได้เป็นอย่างดีครับ

หลังจากนั้น ผมก็พยายามร้องเพลงนี้จนได้ และจะเอามาร้องเล่นบ่อยๆเวลาที่อยู่คนเดียว สาบานได้เลยครับว่า เมื่อวันจันทร์ หลังจากออกมาจากห้องประชุม และปั่น รายงานส่งหัวหน้าเสร็จ ผมลากสังขารที่อ่อนล้า เดินลงมาจากชั้น สามของที่ทำงาน ผมยังร้องเพลงนี้อยู่เลยครับ

จนวันนี้พอได้ดูภาพเก่าๆ ฟังเพลงเก่าๆ จากนักร้องเก่าๆ มันเหมือนกับการจุดประกายความอบอุ่นออกมาอีกครั้ง เพลงที่ผมได้ฟังครั้งแรก ได้เห็นภาพนั้นอีกครั้ง มันทำให้ผมรู้สึก เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอีกอย่างที่ผมสังเกตได้ก็คือ ภาพ พี่เล็ก ยกมือขึ้นมาโบกให้แฟนเพลงครับ

จะมีภาพ พี่เล็ก นั่งอยู่แบบเซ็งๆ คงจะเสียใจที่เล่นคอนเสิร์ตไม่จบ ผมสังเกตเห็นที่มือขวา มีบุหรี่ หนีบอยู่ ... เฮ้ย..พี่เล็กยังดูดบุหรี่อยู่เลย มองแล้วยิ้ม เพราะสมัยนั้นเรื่องบุหรี่เป็นเรื่องปกติครับ ใครๆก็สูบกัน และตอนนี้ พี่เล็กก็เลิกไปแล้ว (หรือเปล่า) นั่นคือมุมมองที่เปลี่ยนไปตามเวลาครับ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ผมก็ยังสูบอยู่ครับ ฮีโร่ ในดวงใจเลิกแล้ว แต่สาวก อย่างผม ยังคีบบุหรี่อยู่โดยที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด 555

ผมนั่งดูรายการนี้จนจบ พร้อมด้วยความหวังที่ว่า ทางน้าแอ๊ด จะร่วมมือกับ ทางเวบ คาราบาว ดอท เนท ทำที่รวบรวมเรื่องราวของคาราบาว เพื่อจะได้เป็นประวัติศาสตร์กันต่อไปให้สำเร็จ เพราะคาราบาวคือ ตำนานที่มีชีวิต ก็ขอเอาใจช่วยให้ทำสำเร็จนะครับ ผมจะไปเยี่ยมชมแน่นอนครับ

ขอบคุณรายการรู้จริงป่ะ ที่ทำให้ผมมีแรงขึ้นมาอีกครั้ง คล้ายๆกับ ทุกครั้งที่ผมเหนื่อย ผมจะดูหนัง เสียงเพลงแห่งเสรีภาพ ครับ ไม่รู้ว่าทำไม ผมดูหนังเรื่องนี้แล้วมีแรงขึ้นมาทุกที อาจจะเป็นความสามารถส่วนบุคคลห้ามลอกเลียนแบบก็เป็นได้ครับ แต่ผมก็เป็นของผมแบบนี้จริงๆ

ไว้วันหน้าจะมาบ่นใหม่นะครับ ไปนอนก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะร้องเพลงส่งทุกท่านจนออกไปถึงหน้าประตูเลยนะครับ

ทุ่งนาแดนนี้ไม่มีความหมาย เหลือเพียงกลิ่นโคลนสาบควาย เห็นซากคันไกแล้วเศร้า
เห็นนาที่ร้างนั้นมีแต่ฟางแทนรวงข้าว เห็นเคียวที่เกี่ยวติดเสา เล่นเอาใจเราสะท้อน.............


อ้าวๆๆๆ แล้วทำไมไม่เดินกันต่อละครับ ผิดสัญญานี่ครับ คนสุพรรณ เขาถือ นะครับ...เดินไปเรื่อยๆครับ

ทุ่งนาแดนนี้คงร้างไปอีกนาน ข้าเองก็เหลือจะทาน เพราะมันแสนสุดจะแก้
หมดกำลังใจแล้วเรียมเอ๋ยข้าคงตายแน่ ถ้าไถไปอีกก็กลัวแพ้
เพราะรอยมันแปรเสียแล้วเรียมเอย..........


สวัสดีครับ

วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

เข้าที่กำบัง

วันนี้ 9/7/2009 ผมตื่นออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้ามืดเพื่อขึ้นไปทำงานที่ฐานทัพเรือ นย 411 ซึ่งเป็นที่ตั้งของเรือนรับรองที่ประทับ สาเหตุเพราะว่ามี Alarm ไฟฟ้ามาตลอดทั้งคืนและ site ก็ up down ตลอดเวลา

ผมไปถึงตอนเจ็ดโมงกว่าๆ เมื่อจอดรถหน้าตึกบัญชาการ เสียง "สวัสดีครับ" ดังมาจากหลายๆที่ มันเป็นวัฒนธรรมของทหารที่เมื่อแรกเจอกันในแต่ละวันจะทำความเคารพกัน สวัสดีกัน ก็คงจะคิดว่าผมมาธุระอะไรแน่ๆ และสาเหตุที่ทหารมากมายทำงานกันตั้งแต่เช้า เพราะว่ามีการระดมกำลังพลไปรักษาความปลอดภัย ที่ภูเก็ต ในงานประชุมอาเชี่ยน ที่เลื่อนมานั่นเองครับ

ผมเดินขึ้นไปบนยอดเขาด้วยความสดชื่น อากาศตอนเช้าๆทำให้ไม่เหนื่อย แต่พอเห็นสภาพของอุปกรณ์ที่อยู่ด้านบนทำให้ผมเริ่มรู้แล้วว่า "งานนี้หนักแน่ๆ"
Rectifier สวิงขึ้นลงๆอยู่ตลอดเวลา จากที่เคยเจอทำให้รู้ว่าไฟไม่พอ แต่จะด้วยสาเหตุอะไรก็ต้องหากันต่อไป ถ้าไม่ไฟตก ก็เป็น นิวตรอนขาดแน่ๆ

เลยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการต่อแต่ไลน์ไฟฟ้า ดึงโหลดลงให้น้อยที่สุด เพื่อที่จะให้ site ใช้งานได้ก่อน สาเหตุที่สามารถใช้งานได้ก็เพราะ กราวด์ที่นี่ไม่หายเพราะอยู่ในพื้นที่ของทหาร กระแสไฟฟ้าเลยวิ่งครบวงจรลงดินไปเลยครับ แต่นั่นจะใช่สาเหตุที่แท้จริงหรือเปล่าต้องหากันต่อไป

ผมลงมาด้านล่างเจอกับนายทหารเวร เลยนั่งคุยกัน พี่คนนี้นิสัยดีมากๆ เลยคุยกันยาว แกพาไปชี้ที่มิเตอร์ของค่ายลูกนึง มีการต่อพ่วงโดยการบากสายไฟแล้วพ่วงสายเข้าไป "ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้านี่หรือเปล่า" "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน น้องถอดออกเลยก็ได้" ผมเดินมองไปมองมา มันต่อพ่วงก่อนเข้ามิเตอร์นี่หว่า
ถ้าถอดก็ต้องถอดกันสดๆ เอาก็เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว และเมื่อผมถอดสายไฟที่พ่วงออก วัดไฟก็มา 230 V น่าจะปกติแล้วนะ ผมเลยเดินขึ้นเขาอีกเป็นรอบที่สอง

แต่สิ่งที่คิดก็ยังไม่ใช่ ไฟด้านบนยังมา ร้อยกว่าๆ เหมือนเดิม ผมเลยต้องกลับลงไปอีกรอบ คราวนี้ทั้งทหารช่าง ทั้งนายทหารเวร มาช่วยกันหาจุดต้นเหตุกันหลายคน ทำให้ได้รู้ว่าไฟฟ้าในค่ายทหารดับอยู่หลายตึกเช่นกัน จนแล้วจนรอดก็หาไม่เจอ เลยโทรตามการไฟฟ้ามาดูให้ และเป็นที่รู้กันว่า เมื่อแจ้งการไฟฟ้าแล้วให้รออย่างน้อย หนึ่งชั่วโมงกว่าท่านจะมาถึง ผมเลยได้นั่งคุยนั่งดูทหารๆเก็บข้าวของกันครับ

วันนี้มีทหารหลายคนที่กำลังทำงานเทปูนถนนทางเข้าอยู่ มีจ่าอ้วน คอยกำกับดูแล ที่ผมจำชื่อได้ก็เพราะพี่ทหารเวรเรียกชื่อแก และที่สำคัญรูปร่างแกก็สมกับชื่อจริงๆ พี่ทหารเล่าว่าแกเพิ่งย้ายมาจากนราธิวาส ตอนอยู่ที่โน่นเวลาเข้าเวรไม่ได้มาเดินอ้อยอิ่งแบบนี้หรอกครับ ต้องระวังกันมากมาย มาอยู่ที่นี่สบายกว่ากันเยอะเลย

ผมเห็นชุดของแกที่ใส่เข้าเวร มีกระติกน้ำห้อยเอวอยู่ด้วย เลยถามว่ามีน้ำหรือเปล่า แกตอบว่า "ใส่ทำไมให้หนัก" อยากกินอะไรบอกมาได้เลย ว่าแล้วแกก็ไขกุญแจเปิดประตูห้องสวัสดิการ ด้านในมีของทุกอย่างขาย แต่ที่ปิดไว้เพราะไฟฟ้าดับ น้ำไม่เย็น และทหารก็ไม่มีต้องออกไปปฏิบัติภาระกิจกันหมด

เรานั่งคุยกันไปซักพักก็มีจ่าอีกคนเดินมาแล้วบอกว่าจะตามนายลงไปด้านล่าง เข้าไปในเมืองที่ห้องสวัสดิการต้องการอะไรบ้าง ใครจะฝากซื้ออะไรบ้าง

ตอนนี้เลยเห็นน้องทหารเกณฑ์ ที่มาช่วยงานลงมือจดรายการ และชื่อผู้สั่งซื้อแล้วส่งมาให้พี่ทหารเวร "เฮ๊ยๆๆๆๆๆ ทหารชั่วนี่มันอะไรวะ" เสืยงพี่เค้าตะโกนถามน้องทหารคนนั้น (สอบถามภายหลังได้ความว่ามาจาก นครสวรรค์) "ไหนครับ" "อ๋อ อ่านว่า ทหารช่างครับ" พี่ทหารเวรเอากระดาษมาดูอีกที แล้วหัวเราะ ก็ทหารเกณฑ์ บางคนเรียนมาก็ไม่ได้มากมาย เลยเขียน ทหารช่าง เป็น ทหารชั่งคนตาไม่ดีเลยอ่านเป็น ทหารชั่ว ไปได้ น่า..เอาเป็นว่าเข้าใจก็แล้วกัน

หลังจากนั้นก็มีพวกพี่ๆยศจ่ามานั่งคุยด้วยอีกหลายคนจนการไฟฟ้าขึ้นมาถึง ผมเดินไปประสานงาน ก็ได้รู้ว่ามีกิ่งไม้พาดไปโดนสายไฟแรงสูง และที่สายไฟแรงสูงมีรอยบาดทำให้ฟิวส์ด้านล่างขาด เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าตัดกิ่งไม้เสร็จก็บอกผมว่า เดี๋ยวไปสับฟิวส์แล้วจะขึ้นใหม่ เมื่อการไฟฟ้าลงไปแล้ว ผมและพี่ๆทหารก็ยืนคุยกันบนถนน ตาก็มองกันไปตามทางเพื่อรอรถของการไฟฟ้ากลับขึ้นมา ทันใดนั้น เสียงบึ้มก็ดังขึ้นที่พวกเรามองเห็นคือบนหม้อแปลงมีควันขึ้น นับว่าเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นแบบนี้ ส่วนใหญ่ได้ยินเสียงหันไปมองก็เจอแต่ควัน แต่รอบนี้มันเห็นคาตาเลยครับ พี่ๆทหารก็เห็นเหมือนผม ในขณะนั้น ผมก็ไม่ได้คิดอะไร แต่มีเสียง พี่จ่าคนนึงตะโกนไปทางทหารเกณฑ์ที่กำลังเทปูนอยู่ว่า "ได้ยินเสียงระเบิดทำไมพวกมึงไม่เข้าที่กำบัง" "ถ้าไปรบละก็ตายห่ากันหมดแล้ว ฝึกมาไม่รู้จักจำ" พวกทหารเกณฑ์ก็หน้าเสียไปตามๆกัน แต่พวกจ่าแถวนั้นหัวเราะกันใหญ่

ซักพักไฟฟ้าก็กลับเข้ามา บอกว่าจ่ายไม่ได้น่าจะมีส่วนที่ยังมีปัญหา พวกเราเลยชี้ให้ดู แล้วก็นั่งดูการไฟฟ้าแก้ไข เสียดายที่ผมไม่ได้ถ่ายรูปไว้ในหลายๆขั้นตอนมานึกได้ก็ตอนที่ไฟฟ้ากำลังแก้ไข มาลองชมภาพกันซักภาพนะครับ




และเมื่อไฟฟ้าแก้ไขเสร็จก็ลงไปจ่ายไฟจากด้านล่าง ผมก็เดินขึ้นเขาอีกรอบ และรอจนไฟจ่ายปกติแล้วจึงเดินลงมา เหงื่อเปียกเสื้อไปหมด และเมื่อลงมาถึงรถไฟฟ้ากลับออกไปแล้ว ผมก็เดินกลับไปที่เรือนนอนที่พี่ทหารเวร คนนั้น ประจำการอยู่ พวกพี่ๆยังนั่งคุยกันอยู่ที่นอกตึกตรงใต้ต้นไม้เพราะในอาคารมันร้อน "เสร็จแล้วเหรอ" เมื่อผมบอกว่าเสร็จแล้ว แกก็ให้ทหารเกณฑ์ ที่อยู่แถวนั้นลองเปิดไฟดู "ติดแล้วครับ" เสียงดังฟังชัดแว่วออกมาจากในเรือนนอน

"ไฟมาแล้วทำไมมึงไม่เป่านกหวีดวะ กูจะได้รู้" เสียงแกตะโกนถามพวกทหารเกณฑ์ แต่ผมก็ไม่รอคำตอบแล้วละครับ ร่ำลาลงมาทันทีเพราะตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินข้าวนี่ก็เกือบจะเที่ยงแล้วด้วย ขับรถพลางคิดไปพลางว่า "วันนี้คงไม่มีอะไรแล้วมั้ง" แต่ผมก็คิดผิดครับ มีงานอีกเยอะมากแถมอยู่กลางแดดจนแขนทั้งสองข้างของผมแดงไปหมด หน้าแสบไปหมดเช่นกัน แถมได้กินข้าวคำแรกตอนสี่โมงเย็น กินข้าวแล้วผมก็หลับไปงีบนึงแล้วก็ตื่นขึ้นมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังกันก่อนที่ผมจะลืมไป เหมือนกับเรื่องราวของคนอีกหลายๆคนที่ผมเริ่มจะลืมมันไปแล้วในตอนนี้ครับ

พรุ่งนี้กลับบ้าน หาวิธีเข้าที่กำบังบ้างดีกว่า ช่วงนี้โดนหนักๆทั้งนั้น

วันอังคารที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2553

Ten Great Tips For Each Day

Ten Great Tips For Each Day สิบแง่คิดดีดี

1. Stay out of trouble
จงหลีกห่างจากความยุ่งยาก เพราะถ้าตกลงไปแร้วมันขึ้นมาได้ยาก .

2. Aim for greater heights.

มองเป้าหมายให้สูงๆหน่อย เผื่อเหนียวเอาไว้ พลาดไปเดี๋ยวเดือดร้อน

3. Stay focused on your job.
ทำความชัดเจนในเป้าหมายของงานที่ทำ ผิดเป้าหมายแล้วจะเหนื่อย

4. Exercise to maintain good health.
ออกกำลังกายสม่ำเสมอเพื่อสุขภาพ เพราะไม่มีใครช่วยเราได้

5. Practice team work.
ต้องเล่นกันเป็นทีม เพื่อเสริมพลัง

6. Rely on your trusted partner to watch your back. Take your time trusting others.
ให้เพื่อนร่วมงานที่ดีคอยช่วยสังเกตุงานเราและเราก็แบ่งเวลาไปช่วยเพื่อนด้วย

7. Save for rainy days.
ใช้ทรัพยากรเผื่อเหลือเผื่อขาดไว้ด้วยในยามฉุกเฉิน

8. Rest and relax.
มีเวลาหยุดพักผ่อนและบันเทิงบ้าง ให้รางวัลกับตัวเอง

9. Always take time to smile.
ยิ้มเสมอในทุกสถานะการณ์ เดี๋ยวดีเอง

AND
และ

10. Realize that nothing is impossible.
รู้ไว้ว่า ไม่มีอะไรที่เป็นไปไม่ได้

This should make you smile:
และนี่จะทำให้คุณยิ้มออก...

THE SENILITY PRAYER : Grant me the senility to forget the people I never liked anyway, the good fortune to run into the ones I do, and the eyesight to t! ell the difference.
คำอธิษฐานของผู้อาวุโส : ให้ฉันชราลงเถอะ ฉันจะได้จำคนที่ฉันไม่ชอบไม่ได้ เป็นโชคดีของฉันแล้วที่ผ่านวัยมาจนวันนี้และได้เห็นความเปลี่ยนแปลงแห่งชีวิต

Now,give this to a bunch of your friends if you can remember who they are!!!
ส่งข้อความนี้ต่อไปให้เพื่อนๆอีก ถ้าคุณยังจำได้ว่ามีใครเป็นเพื่อน

Always Remember:
จำไว้เสมอว่า:

You don't stop laughing because you grow old, you grow old because you stop laughing!!!
คุณไม่หยุดหัวเราะเพราะคุณแก่ขึ้น แต่คุณแก่ลงเพราะคุณหยุดหัวเราะ ฮาฮา

วันเสาร์ที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2553

Welcome To Thailand.

Thailand "Land of smile."

When you hear the word ?Thailand? what do you think about?? Yeah!!ย You can think about beautiful smile, very nice ladies, spicy Thai food ?Tom Yam Kung?or nice greeting of ?Wai?or Sawasdee (the way we say hello), beautiful white sandy beaches or even sex? Whatever you can think about, as a Thai people, I will take you to visit Thailand in the different part you have known about Thailand. And this board are welcomed everyone who would like to learn more about Thailand. We can share our comments and experience together, please feel free to joy us?.

Tips about Thailand

Are you Farang?

Farang is the word that Thais use for foreigners. Why?ย Farang is derived from the word for French (farangseht) and can be merely descriptive, mildly derogatory or openly insulting, depending on the situation. Thais call white European people, Americans and foreigners who got colored hairs, nice big nose and white skin as Farang. Hey!! Do not be worried Farang doesn?t always mean bad word.

Did you know?

Thailand is 543 years ahead of the west, at least according to the Thai calendar that measures fro the beginning of the Buddhist Era (in 543 BC.)

Royal Family is the highest respect of Thais. His Majesty Bhumibol Adulyadej, on the throne for more than 60 years, is the longest-reigning current monarch worldwide.

It is illegal to step on money in Thailand, as the king?s image is on coins and notes.

Feet are the lowest and dirties part of the body in Thailand. Keep your feet on the floor, not on a chair, never touch anyone or point with your foot, never step over someone sitting on the ground. Take your shoes off when you enter a house or a temple.

Dress modestly and don?t sunbath topless.

Why Wai?

Traditionally, Thais greet each other not with a hand shake but with a prayer-like palms together gesture, know as a Wai. The placement of the fingertips in relation to the features varies with the recipient?s social rank and age. The safest, least offensive spot is to place the tips of your fingers to nose level and slightly bow your head.

However, just you express Wai to them in the right way or not; they will always smile and express Wai back to you.

วันศุกร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2553

"คิดถึง" พงษ์สิทธิ์ คำภีร์

"คิดถึง" พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ ต้นฉบับจาก http://www.siamsouth.com/

ก่อนหน้านี้ซักสองสามสัปดาห์ ผมนึกยังไงก็ไม่รู้เอาเพลงของพี่ปู ไปฟังในรถทั้งๆที่ก่อนหน้านี้จะหนักไปทางเพลงของคาราบาวมากกว่า ก็อย่างที่รู้ๆกันละครับว่า ชีวิตผมนั้นเดินทางแทบทุกวัน วันละเป็นร้อยกิโล ดังนั้นสิ่งที่จะพอคลายเครียดได้ในระหว่างการเดินทางก็คือ เสียงเพลง ยิ่งเวลาที่ต้องขับรถกลับมาคนเดียวบนถนนสาย 44 ในตอนเที่ยงคืนหรือตีหนึ่ง มันช่างวังเวงซะเหลือเกิน ก็ได้อาศัยเสียงเพลงนี่ละครับที่เป็นเพื่อนร่วมทาง เปิดเสียงดังๆแล้วแหกปากร้องลั่นรถ พอให้คลายความเครียดไปได้บ้าง

แต่พอได้มาฟังเพลงของพี่ปู พงษ์สิทธิ์ ซึ่งผมไม่ได้ฟังมานานแล้ว มันมีความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด บางเพลงผมฟัง สองสามรอบ ฟังไปด้วยนั่งคิดถึงเรื่องราวเก่าๆไปด้วย เพราะถ้าจะนับจริงๆแล้วนั้น ผมว่าเพลงของพี่ปู คำภีร์ น่าจะเป็นเพลงร่วมสมัยของผมจริงๆที่สุด เพราะถึงแม้ว่าผมฟังคาราบาวมาตั้งแต่เด็กๆ ร้องตามได้แทบทุกเพลง แต่บางเพลงก็ไม่เข้าใจความหมาย บางเพลงของคาราบาว ที่คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก และคิดว่าเข้าใจความหมายตอนนั้น แต่เพิ่งจะมาซาบซึ้งกับบทเพลงก็ต้องรอจนอายุปูนนี้ก็มี อย่างเพลง "ตุ๊กตา" เป็นต้น

แต่เพลงของพงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ ฟังตอนนั้น เข้าใจตอนนั้น และมีความสุขตอนนั้น ช่วงที่ผมกำลังเป็นวัยรุ่น วัยที่เต็มไปด้วยฝันและจินตนาการ ต้องการที่จะหาคนต้นแบบทางความคิด ต้องการเป็นนักสู้ด้านอุดมการณ์ อย่างที่ พี่ๆ ที่เรียน รามคำแหง และ ราชมงคลสงขลา กำลังทำกันอยู่ แต่ด้วยวัยที่ยังอ่อนมากนักถ้าเทียบกับพี่ๆที่ เรียน มหาวิทยาลัย เด็ก ม.3 อย่างผมทำได้แค่ติดสติ๊กเกอร์แผ่นใหญ่ๆ ที่มีคำว่า "หยุดเขื่อน" ไปเรียน และก็โดนบังคับให้แกะทิ้งไปในที่สุด นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าโดนลิดรอนสิทธิของผม ทั้งๆที่ผมก็ไม่เข้าใจหรอกครับว่า สิทธิมนุษยชน ที่เค้าพูดกันนั้นมันคืออะไร

อาจจะเป็นที่ตอนนั้นช่วงปี 2532-2534 ที่สุราษฎร์ธานี กำลังมีการประท้วง การสร้างเขื่อน แก่งกรุง กันอยู่ และน้าแอ๊ดก็ออก อัลบั้ม "โนพลอมแพลม" ออกมา มี เพลง เขื่อน เพลงสนั่นป่า ออกมา มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกถึงพลังของมวลชนมากขึ้น และอัลบั้มชุดนี้ก็เป็น เทป ม้วนแรกที่ผมเก็บเงินซื้อเอง แต่ก็นั่นละครับ มันไกลเกินตัวมากจริงๆ และเมื่อผมจบ ม.3 เข้าเรียน ปวช สิ่งเหล่านี้ก็เริ่มหายไปทีละน้อยแต่ก็ไม่ถึงกับขาดหาย ในช่วงเวลานี้ ผมได้รู้จักกับพี่ที่เปิดร้านขายเทปอยู่ในเมือง สุราษฎร์ธานี พี่ชายคนนี้จะแนะนำ เทปเพลงใต้ดินให้ผมฟังอยู่บ่อยๆ แต่หนึ่งในนั้นก็มีเทป ชุดเสือ 11 ตัว รวมอยู่ด้วย ทำให้ผมได้รู้จักพงษ์สิทธิ์ คำภีร์ แบบเต็มๆม้วนซะที หลังจากที่เคย แว่วๆ เสียงเพลงที่มีเนื้อร้องว่า " ออกเดินจากบ้านสู่เมืองฟ้า สู่เมืองเทวา เมืองบางกอก เดินทางเดียวดายจากบ้านนอก มาเล่ามาเรียนมาศึกษา....." ผ่านมาทางคลื่นวิทยุ ตามร้านค้าที่เดินผ่าน

ขอย้อนกลับมาเล่าชีวิตวัยเด็กให้อ่านกันอีกนิดครับ ช่วงเด็กๆ ส่วนใหญ่ผมจะมีโอกาสได้ฟังเพลงจากเทป เท่านั้นครับ เพราะเครื่องเล่นเทปเครื่องนั้น เสามันหัก ฟัง FM ไม่ได้ ถึงฟังได้มันก็มีคลื่น FM อยู่สองหรือสามคลื่นเท่านั้น ส่วนกลางคืนก็ฟัง นิทานหรือละครวิทยุกับย่า ทางวิทยุ AM เท่านั้น เพราะผมเป็นเด็กต่างอำเภอที่ต้องเข้าไปเรียนในเมืองสุราษฎร์ ตื่นเช้า กลับเย็นมากๆ ทุ่ม สองทุ่ม แถวบ้านก็เงียบสนิท นานๆจะได้ยินเสียงขลุ่ย จากบ้าน ตาสอย ดังมาซักครั้ง แต่ตอนนั้นผมไม่ชอบเสียงขลุ่ยของตาสอยเอาซะจริงๆเลยครับ มันวังเวงยังไงก็ไม่รู้ กลับมาเรื่องพี่ปู ต่อดีกว่าครับ เดี๋ยวจะไหลไปไกลเกินกว่านี้

เมื่อผมรู้จักเทปชุดเสือ 11 ตัวแล้ว จะด้วยกลยุทธในการขายหรือจะอย่างไรก็ตาม ผมก็ได้เทปชุด ถึงเพื่อนมาอีกหนึ่งม้วน และทั้งสองม้วนนี้เป็นการฟังย้อนหลังทั้งสิ้น (ตอนเค้าออกมาใหม่ๆไม่รู้จักนี่นา) และชีวิตเด็กช่างอย่างผมในสมัยนั้นก็คงไม่ต่างกับหลายๆท่านมากมายนัก มีเพื่อนเยอะ ไปไหนมาไหนด้วยกัน ชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม นั่งคุยกันบ้าง หา L ก ฮ มานั่งดื่มกันบ้างตามประสาวัยรุ่น แต่ตอนนั้น ผมไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ นะครับเป็นคนดี(จริง..?) แถมยังชอบว่าเพื่อนที่มันสูบบุหรี่ด้วย เพื่อนผมตอนนั้นบางคนสูบมาตั้งแต่มัธยม ต่อเนื่องมาถึง ปวช เลยละครับ แต่นั่นก็คือเรื่องราวสมัยนั้น.. ตอนนี้มันกลับเฟสกัน 360 องศา เลยครับ เพื่อนๆที่สูบบุหรี่ตอนนั้นมันเลิกหมดแล้ว แต่ไอ้คนดีตอนนั้นอย่างผม ตอนนี้วันนึงเกือบซองแล้วครับ

และอีกอย่างที่แน่นอนก็คือ ถ้ามีเหล้า ก็ต้องมี กีตาร์ มีกีตาร์ ก็ต้องมีเพลงเพื่อชีวิต เคาะกระติก เคาะขวด ไปตามเรื่องตามราว และช่วงนั้น พี่ปูมีอัลบั้ม บันทึกการเดินทางออกมาแล้ว เพื่อนๆที่มันเล่นกีตาร์เป็น พอมันเล่นกันสองคน แล้วเล่นเพลง คิดถึง หรือเพลงไทรโศก โอ้...มันช่างเพราะอะไรเช่นนั้น แต่เพลงส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเพลง ลุงขี้เมา หรือ วณิพก ซึ่งช่วงนั้นก็เป็นเพลง ประจำวงเหล้า แทบจะทุกวงเลยละครับ นานๆจะมีเพลงเรียนและงาน หลุดออกมาซักครั้ง แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ผมยังมีโลกอีกใบอยู่ในร้านเทปของพี่ชายคนนั้น และเมื่อผมคุยกับแกว่า ผมชอบเพลง "เธอผู้เสียสละ" ของพงษ์สิทธิ์ แกก้มลงไปหยิบเทปม้วนนึงขึ้นมา เป็นเทปรวมเพลงเก่าๆ มีเพลงเดือนตุลา รวมๆกันอยู่ในนั้น มีชื่อเพลง เธอผู้เสียสละ อยู่ด้วย แต่เป็นเสียงของน้า เศก ศักดิ์สิทธิ์ เชื้อกลาง ราคา 25 บาท ขาดตัว พี่แกบอกกับผมว่า ฟังเสียงพี่เศก ได้อารมณ์กว่าเยอะ และผมก็หวังเช่นนั้น..

แต่แล้ว ความฝันของผมก็พังทลายลงเมื่อเอาเทปม้วนนั้นยัดใส่เครื่องเล่นเทปที่บ้าน มันเป็นเทปที่น่าจะอัดแบบก็อปปี้กันเอง บวกกับเครื่องเล่นเทป เก่าๆที่ไม่เคยผ่านการล้างหัวเทป ของผมทำให้ฟังเสียงแทบจะไม่รู้เรื่อง ผมจึงเลิกฟังเวอร์ชั่นเก่า ฟังแต่เสียงของพี่ปู คนเดียว จนกระทั่งทุกวันนี้ ผมยังอยากจะลองกลับไปฟังเพลงนี้อีกซักรอบ แต่ก็ยังหามาฟังไม่ได้ แถมเทปทั้งหมดในช่วงนั้นก็หายไปหมดพร้อมๆกับการย้ายบ้านหลายๆหนของผม ยังนึกเสียดายอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้เลยครับ

และพอปี 2535 ผมเรียน ปวช ปีที่ 2 เกิดเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ และผมก็ได้(พยายาม)จะมีส่วนร่วมด้วย พยายามชวนเพื่อนๆไปประท้วง เดินไปที่ศาลากลางเก่า (ตอนนี้เป็นศาลหลักเมือง) แต่ก็คน สิบกว่าคนเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรให้ใครสะเทือนได้เลย เหลือไว้แต่ความอ่อนล้า ตอนกลับมาถึงบ้านเท่านั้นเอง

แต่เหตุการณ์ที่เปลี่ยนความรู้สึกของผมก็คือ หลังจากนั้น เวลาเพื่อนๆตั้งวง ผมก็จะขอเพลง ใครฆ่าประชาชน หรือ เพลงราชดำเนิน ซึ่งไม่ค่อยมีใครเล่นให้ผมฟัง "อยากร้องมึงร้องเองสิ ทั้งเพลงมีดนตรีนิดเดียว" (เพลงราชดำเนิน) ดังนั้นผมก็เริ่มคิดที่จะหัดเล่นกีตาร์ สมัยนั้น เรื่องกีตาร์ แทบจะเป็นเรื่องที่ไกลตัวกันมากๆ ร้านขายเครื่องดนตรีโดยเฉพาะจะไม่มี ถ้าอยากได้กีตาร์ ก็ต้องไปที่ร้านเครื่องเขียน ผมเดินไปยืนดูอยู่ที่หน้าร้านขายเครื่องเขียนที่หน้าโรงเรียน สุราษฎร์พิทยา อยู่เป็นเดือน กว่าจะกำเงิน 1200 บาทไปซื้อ กีตาร์ สีดำ ยี่ห้อ Champ มาได้ ตอนนั้นกีตาร์ มีฟูจิยามา กับแชมป์ แค่สองยี่ห้อเท่านั้นที่ขายอยู่ในร้านนี้ แถมผมเก็บเงินได้ไม่ถึงหรอกครับ แต่เพื่อนคนนึง ถอดแหวนทองไปจำนำ แล้วเอามาสมทบ ทำให้ผมได้กีตาร์ตัวนั้นมาหัดเล่นจนได้

แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ยังเล่นไม่เป็นเรื่องเป็นราวซักทีพยายามไปหัดเล่นกับเพื่อน ไอ้เราก็ไม่มีเวลาเพราะต้องเดินทางข้ามอำเภอ สมัยก่อนนั้น ถ้าดึกหน่อยรถก็หมด ต้องรีบกลับบ้าน แถวๆบ้าน ทั้งพี่ๆน้องๆ ไม่มีใครเล่นดนตรีกันซักคน แถวนักดนตรีประจำชุมชน อย่างตาสอย ก็ เป่าขลุ่ยเป็นอย่างเดียวซะอีก เลยไม่รู้จะทำยังไงก็ปล่อย เลยตามเลยไปเรื่อยๆ

แต่ที่ผมประทับใจเพลงของพี่ปูมากๆ และยังจำมาจนกระทั่งทุกวันนี้เลยก็คือเพลง "ไถ่เธอคืนมา"ครับ หลายๆคนอาจจะประทับใจเพลงนี้จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แต่ก็คงจะไม่เหมือนผมแน่ๆครับ เรื่องของเรื่องก็คือ มีเพื่อนผมคนนึง พักอยู่กับแม่ที่เป็นแม่บ้านของหอพักแถวๆสี่แยกการุณ กลางเมืองสุราษฎร์ธานี ที่หน้าหอจะมี ต้นขนุนอยู่ต้นนึงมีม้านั่งเล็ก ขนาดพอนั่งได้ แค่สองสามคนอยู่ใต้ต้นขนุนต้นนั้น พวกเราก็จะชอบไปนั่งเล่นกันแทบจะทุกเย็น หลังเลิกเรียน ผมชอบไปนั่งมอง สาวอาชีวะ หน้าตาน่ารักๆ ที่มีบ้านอยู่แถวนั้น หรือที่พักอยู่ที่หอแห่งนี้อยู่ประจำ บางวันเพื่อนผมก็เอากีตาร์มานั่งเล่นโชว์สาว แถมมันยังเล่นเก่งอีกด้วย ผมตอนนั้นเป็นได้แค่ที่ทับกระดาษ คือ มีหน้าที่เอามือกดหน้าหนังสือเพลงไว้ไม่ให้มันพลิกเปลี่ยนหน้าลมพัดเท่านั้นเอง

แต่ผมก็จับคอร์ดได้บ้างแล้วนะครับ พวก G Am C D Em นี่พอจะได้อยู่บ้างแล้ว แต่พอเอามันมารวมกันในเพลงแล้ว มันเหมือน หมาเหยียบชามข้าวเลยครับ โป๊งๆ เป้งๆ ไปตามเรื่อง และในช่วงนั้น ผมก็แอบมองๆสาวคนนึงไว้ เธอชอบแอบมานั่งฟังเพลงที่เพื่อนผมเล่นบ่อยๆ แถมบางครั้งยังถามผมว่า "แล้วเธอ เล่นไม่เป็นเหรอ" ผมก็ยิ้มๆ บอกว่าแล้ววันนึงจะเล่นให้ฟัง และแล้วก็ถึงวันนั้น วันนั้นเพื่อนผมนั่งเล่นอยู่แล้วก็กลับเข้าไปในบ้าน ทิ้งผมนั่งอยู่กับกีตาร์ ที่ใต้ต้นขนุน และแน่นอนครับ เหมือนผีผลัก.. คนสวยของผมเดินมาพอดี แต่ดูเหมือนเธอจะรีบๆด้วยเห็นเดินก้าวยาวๆ มาแต่ไกล ไวเท่าความคิด ที่ทับกระดาษอย่างผม หยิบกีตาร์ขึ้นมาทันทีกะว่า พอเธอเดินมาใกล้ๆ แล้วก็บรรจงจับคอร์ด G แล้วกรีดลงไปพร้อมกับ "ผ่านไปสองปีที่เธอลาหายจาก... D Em ครบสามคอร์ด มาตรฐานที่ผมเล่นได้พร้อมๆกับเธอเดินผ่านไปพอดี เมื่อเธอเดินผ่านไปผมคลายออกจากคอกีตาร์ ในมือนี่เหงื่อเต็มเลยครับ และเพลงนี้เป็นเพลงแรกในชีวิตที่ผมร้องและเล่นให้คนอื่นฟัง แถมยังเป็นเธอคนนั้นอีกด้วย

และเมื่อผมฟังเพลงนี้เมื่อไหร่ผมก็จะคิดถึงเรื่องนี้ทุกทีแม้ว่ามันจะผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้วก็ตามและทุกวันนี้ผมก็ยังเล่นเพลงนี้อยู่แทบทุกครั้งที่จับกีตาร์ (ปีละ ไม่เกิน 10 ครั้ง) แถมฝีมือก็พัฒนามาจากตอนนั้นอีกนิดหน่อยคือ ผมสามารถจับคอร์ด F#m ได้แล้วครับ ส่วนอย่างอื่นเหมือนเดิมทั้งหมดครับ เล่นคนเดียวฟังคนเดียวเหมือนเดิมเลยครับ

บ่นมาซะเยอะวันหลังค่อยมาบ่นใหม่ ขอบคุณคุณ แจ๊ค คำภีร์ ที่เข้ามาแนะนำ เวบ คำภีร์ดอท เนท www.kampee.net ทำให้คิดถึงวันเก่าๆขึ้นมา

ลองเข้าไปเยี่ยมชมและให้กำลังใจคนทำเวบนี้กันดูนะครับ เวบที่ตั้งใจทำอะไรดีๆแบบนี้น่าสนับสนุนมากๆเลยครับ

"มั่นคง" (จากความในใจในปกเทปชุดบันทึกการเดินทาง ของพี่ปู)

นภดล

วันพฤหัสบดีที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2553

มาติด Google adsense กันเถอะ

ก่อนอื่นบอกไว้ก่อนนะครับว่าผมไม่ใช่เซียนหรือผู้เชี่ยวชาญ ในการทำเรื่องพวกนี้หรอกนะครับ แค่อยากจะบอกให้เพื่อนๆที่เข้ามาอ่านได้ลองหารายได้กันบ้างก็แค่นั้นเองครับ

ผมทำเวบไว้ที่นึง เอาไว้เป็นที่พบปะสังสรรค์กับเพื่อนๆและรวบรวมบทความเรื่องราวต่างๆไว้เป็นความรู้ให้คนทั่วๆไป ทำมาหลายปีแล้วครับ แต่ก็ไม่ได้หารายได้จริงจัง จะได้บ้างก็แค่ของที่ระลึกเล้กๆน้อยๆ แต่ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากมาย คิดว่าทำเพื่อความสบายใจมากกว่า

แต่วันนึงผมได้อ่านหนังสือที่ในร้าน ซีเอ็ด เรื่องการหารายได้ออนไลน์ เห้นมีเรื่องเกี่ยวกับการวางโฆษณา ของ Google เลยมาลองทำดูครับ ผมวางโฆษณาไว้ในหน้าเพจของเวบที่ผมทำอยู่ ได้ซักเดือนนึงได้แล้วครับ มองดูยอดรายได้ผมก็ว่ามันน่าสนใจดีอยู่ครับ พอจ่ายค่าเนต ของ 3BB ได้อย่างสบายๆเลยอยากจะมาเล่าสู่กันฟังให้เพื่อนๆได้ลองทำกันดูบ้าง (สำหรับคนที่ยังไม่ได้ทำนะครับ) โฆษณาของ Google ก็แบบที่เห็นติดอยู่ที่ด้านขวาของบทความนี่ละครับ เวลาคลิ๊กเข้าไปก็จะเป็น เรื่องราวของผู้ที่มาประกาศ โฆษณา กับ Google โดยเราจะได้ค่าคลิ๊กเป็น เงิน ดอลลาห์ แต่ละครั้งก็จะไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับว่า โฆษณานั้นๆจะจ่ายแพงหรือเปล่า

ส่วนที่ว่าจะเป็นโฆษณาตัวไหนนั้น ทาง google จะเลือกมาให้เราเองครับ โดยจะดูจะบทความหรือเรื่องราวที่อยู่ในบล็อค ของเรา ( พี่กู ...เกิ้ล เก่งจริงๆ) แต่โดยหลักๆแล้วหน้าภาษาไทยอย่างที่ผมหรือพวกเราทำอยู่ จะได้ไม่มากครับ ประมาณ 0.01-0.05 ดอลลาห์ เท่านั้น (จากที่ผมสังเกต นะครับอาจจะมากกว่าก็ได้) แต่ก็ดีกว่าอยู่เฉยๆใช่มั๊ยละครับ เรามีบล็อคมีเวบกันอยู่แล้ว จะปล่อยมันไว้ว่างๆทำไมกันละครับ เอามันมาหารายได้กันดีกว่าครับ

ย้ำอีกทีว่า ผมเขียนจากประสบการณ์ ของผมนะครับ อาจจะไม่ละเอียด หรืออาจจะไม่ดี เท่าในหนังสือที่วางขายกันอยู่ แต่ก็คงจะพอเป็นแนวทางได้นะครับ

สิ่งที่ต้องมี

อันดับแรก Gmail ครับ แต่คนที่มีบล็อค น่าจะมี Gmail ใช้กันอยู่แล้ว
อันดับสอง เนื้อหาและบทความในบล้อค ที่น่าสนใจ ประมาณ 10 หัวข้อขึ้นไป เพราะทาง Google จะให้ความสำคัญกับลูกค้าที่มาซื้อ โฆษณา มากนะครับ กลัวว่าจะไปแสดงอยู่ในบล็อค ที่ตายไปแล้ว คือไม่มีการอัพเดท แล้วทางลูกค้าจะเสียโอกาสไป

และที่สำคัญ เนื้อหาและข้อมูลในบล้อค หรือเวบ ของท่านต้องไม่ผิดกฎหมาย ไม่ขายของเถื่อน หรือไม่มีภาพโป๊ ที่ขัดกับศิลธรรมอันดีที่คนดีๆทั่วไปพึงจะกระทำกันด้วยนะครับ มิฉะนั้น ท่านจะถูกทาง google แบนเอานะครับ

เมื่อเราสร้างบล็อค ที่มีเนื้อหาสาระได้พอสมควรแล้ว เราค่อยไปสมัคร google Adsense กันโดยวิธีสมัครก็ไม่ยากหรอกครับ ไปที่หน้า Google.com ที่ใต้ช่องค้นหา จะมีคำว่า โปรแกรมโฆษณาอยู่ คลิ๊กเข้าไปได้เลยครับ ข้างในจะแบ่งเป็นสองส่วน ด้านซ้ายสำหรับคนที่จะซื้อโฆษณา ด้านขวาก็สำหรับ พวกเรา ที่จะทำการสมัครเอาโค๊ดของ กูเกิ้ล มาวาง

ผมคงอธิบายทั้งหมดไม่ได้ละเอียดนัก แต่เมื่อมาถึงหน้านี้ก็กด เรียนรู้เพิ่มเติม เข้าไปอ่านได้เลยครับ ในนั้นอธิบายไว้อย่างละเอียดแล้วเพราะ Google Adsense รองรับภาษาไทยครับ

บางคนอาจจะแปลกใจว่าผมเปิดบล้อกมาสามสี่วันทำไมถึงมีโฆษณา ของ google มาติดอยู่ได้ ก็เพราะว่าผมใช้บัญชีที่เปิดไว้แล้ว ที่เวบ http://www.siamsouth.com มาใช้ครับ ซึ่งสะดวกมากมาย และหลังจากนี้ถ้าเพื่อนๆได้รับการตอบรับมาแล้ว ก็สามารถเอาโค๊ด ไปวางได้ในทุกๆเวบ ที่มีอยู่ได้เลยครับ

ช่วงแรกๆ ก็อาจจะได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ถ้าเราทำเวบให้มีคุณภาพ มีสิ่งดีๆหรือเรื่องราวที่น่าสนใจ แล้วมีคนเข้ามาอ่านหรือมาเยี่ยมชมอยู่บ่อยๆ มี Traffic มากๆ ก็อาจจะได้โฆษณาที่ค่า คลิ๊กแพงๆ ซึ่งจะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นแน่นอนครับ

นอกจากนี้เราสามารถเข้าไปตรวจสอบรายได้ของเราเองได้ตลอดเวลา ซึ่งผมว่ามันตื่นเต้นดีครับ เข้าไปดูว่า วันนี้ได้เท่าไหร่ ยอดรวมเท่าไหร่ มันเป็นรายได้ที่ไม่ต้องลงทุนและสามารถหาได้จริงบนโลกออนไลน์ ครับ

ลองไปสมัครกันดูนะครับ ได้ผลอย่างไรก็มาเล่าสู่กันฟังด้วยนะครับ ไว้วันหน้า ผมจะมาเล่าประสบการณ์ตรงนี้ให้อ่านกันอีกรอบครับ

ปล...

อย่าลืมว่าต้องสร้างเวบและ บล็อกให้มีเนื้อหา สาระ พอสมควรก่อนนะครับแล้วก็ ไม่ผิดกฎ ของ Google (ไปอ่านได้ใน เรียนรู้เพิ่มเติม)แล้วค่อยสมัคร Adsense มิฉะนั้น ท่านอาจจะไม่ได้รับการตอบรับจาก กูเกิ้ล นะครับ มันจะทำให้เสียกำลังใจไปซะเปล่าๆ

นภดล http://www.siamsouth.com/

วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

ด้วงคั่วเกลือ (2)

น้องก้อยมองเบอร์ที่โทรศัพท์แล้วหันมาบอกผมว่า พี่ ซ (นามสมมุติ) โทรมา ทำไงดีพี่ ผมลิ้นเริ่มพันแล้วเนี่ย
พี่ ซ (นามสมมุติ)ของน้องก้อย คือหัวหน้าที่ควบคุมงานขายของน้องก้อยนี่แหละครับ เป็นเพื่อนผมเอง รู้จักกันมาตั้งแต่เข้างานใหม่ๆ จนทุกวันนี้เพื่อนผมแต่งงานมีลูกสองไปแล้ว ผมยังตะลอนๆอยู่เหมือนเดิม


"ก็คุยแบบถนอมตัวสิวะเรื่องแค่นี้ต้องให้บอก คิดอะไรไม่ออกก็ครับๆๆๆ ไปก่อน" แล้วน้องก้อยก็ต้องรับสายหัวหน้าที่ขยันมากๆเรียกประชุมลูกทีมทั้งหกทีมผ่านทางโทรศัพท์ตอนสี่ทุ่มกว่าๆ พอน้องก้อยไปคุยโทรศัพท์ผมก็เริ่มมีเวลาพินิจพิจารณา อาหารบนโต๊ะ ปรากฏว่าไม่มีอะไรเหลือแล้วมีแต่ผักกับกระเทียม ผมเลยเหลือบมองไปที่กระดานที่ติดอยู่ในร้าน กระดานที่เขียนเมนูแนะนำของร้าน อาจจะเป็นเพราะเรานั่งกันข้างนอกเวลามองเข้าไปแล้วแสงไฟมันสะท้อน หรือว่า เพราะผมสายตาสั้น หรือว่า เพราะผมเริ่มเมา หรือว่า...... บ้ากันแน่


ก็เมนูทั้งกระดานผมกลับมองอย่างอื่นไม่เห็น แต่ผมดันไปสะดุดตากับ "ด้วงคั่วเกลือ" เข้าผมก็เลยสั่งมาลองดู ไอ้รุณ ถามผมว่า "มึงเคยกินเหรอ" "ไม่เคยกิน ร้านนี้ กูก็เพิ่งมานั่งครั้งแรกนี่แหละ ปกติไปกินที่อื่น เห็นมันแปลกดีเลยลองสั่งดู" โจที่คุยโทรศัพท์จนแบตหมดไปเครื่องนึงแล้ว ก็ถามว่า "พี่ว่ามันจะเป็นยังไงเหรอ ไอ้ด้วงคั่วเกลือของพี่เนี่ย" "มันก็คงจะคล้ายๆตัวต่อแหละว้า แหมๆๆๆ พวกหนอนรถด่วนยังกินกันได้เลย อร่อยดีด้วย เออน่า เดี๋ยวก็รู้" แล้วไอ้รุณก็เล่าเรื่องที่ภูเก็ตว่าที่โรงแรม เพียว แมนชั่น เวลาพวกเราจะตั้งวงกันมันจะไม่มีร้านอาหารแบบนี้ พวกเราเลยต้องนั่งกินใต้ตึกที่พัก กับแกล้มก็ไม่มี จนวันนึงมีรถขายพวกแมลงทอดเข้ามาขาย ต่างคนต่างก็ไม่เคยกิน กลัวว่าจะกินไม่ได้เลยซื้อมาอย่างละนิดละหน่อย พอกินดูปรากฏว่าอร่อย หลังจากวันนั้น ทุกครั้งที่ตั้งวงกัน พวกเราจะรอว่า มันจะมาขายมั้ยหนอๆๆๆ ผมก็ สมทบทันทีว่า
"เห็นมั้ยไอ้ที่ไม่เคยกินก็ใช่ว่าจะไม่อร่อย เดี๋ยวพวกมึงคอยดูแล้วกัน ถ้าอร่อยอย่ามาแย่งกูนะโว๊ย"

และพอน้องก้อยคุยโทรศัพท์เสร็จปุ๊บ ด้วงคั่วเกลือของผมก็มาวางตรงหน้าพวกเราทันที และทันทีที่จานตั้งลงกับโต๊ะพวกเราก็นั่งมองกันอย่างประหลาดใจ ความเงียบเกิดขึ้นมาชั่วขณะ
แล้วไอ้รุณก็ทำลายความเงียบขึ้นมาว่า "มึงสั่งมาแล้วไหนมึงลองกินซิ" "เอ กูว่ามันแปลกๆนะ กูเคยกินที่ทุ่งสงมันหน้าตาดีกว่านี้นี่นา ด้วงที่นี่ทำไมมันไม่หล่อเลยวะ" "น้องก้อยที่นั่งข้างๆตักด้วงใส่จานผมหนึ่งตัวแล้วพูดว่า "ในฐานะที่พี่อาวุโสและเป็นคนสั่งตัวแรกผมให้พี่ก่อนเลย" เมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้วผมกลั้นใจนำด้วงนรกตัวนั้นใส่ปากแล้วเคี้ยว นี่ถ้าไม่มีสติพอผมคงพ่นออกมาแล้วครับ ขนาดว่าผมเป็นคนที่กินอะไรๆได้แทบทุกอย่างยังกระอักกระอ่วนใจเหลือคณานับ แต่แล้วน้องตั๊กแตน ชลดา ก็ช่วยยืดชีวิตผมไปได้อีกนิดนึง "พี่จิ๋ง" โทรมาฝากให้เอาของกลับไปที่สุราษฎร์ด้วย ปกติผมจะคุยโทรศัพท์ไม่นาน คุยพอรู้เรื่องเข้าใจกันก็วาง แต่ตอนนี้ "พี่อยู่ไหนครับ" "พี่ทานข้าวหรือยัง" "ฝนตกมั้ย"สารพัดเรื่องที่จะคุย สามคนที่นั่งดูอาการผมอยู่เห็นผมคุยโทรศัพท์นานก็เลยตัดสินใจตักด้วงใส่ปากกันคนละตัว หลังจากผมวางสาย สารพัดคำพูดที่จะคิดขึ้นมาได้ประเคนใส่หูผมจนฟังไม่ทันเลยครับ ขนาดเจ้าโจ ไม่ค่อยพูดแล้วนะยังไม่วาย บ่นว่า "นี่ถ้าพี่คิดอะไรไม่ออกจริงๆสั่งหอยแครงลวกมานั่งแกะ ก็ยังไม่มีใครว่าพี่ซักคำเลยนะ" พอดีหยิบโทรศัพท์ถ่ายรูปเก็บไว้ด้วยเลยเอามาให้ดู



ไอ้รุณนั่งมองๆๆๆแล้วบอกว่าสงสัยต้องใช้กระเทียมดับกลิ่นคาวของมัน ว่าแล้วก็เอากระเทียมที่เหลือในจานของหมูทอดกระเทียมลงไปคลุกๆ แล้วลองตักด้วง(หนอนชัดๆ)กินพร้อมกับกระเทียม แล้วมันก็พูดว่า "เหมือนเดิมเลยวะ" หลังจากเกี่ยงกันอีกพักใหญ่ๆ พอแม่ค้าเอาเบียร์มาตั้งน้องก้อยก็บอกให้แม่ค้าเอาไปผัดอีกรอบ บอกว่าเอาให้แห้งๆเลยนะ แล้วเราก็นั่งคุยกันเรื่องนู้นเรื่องนี้กันต่อด้วยความหวังที่ว่า มันกลับมารอบหน้าคงจะพอกินได้บ้าง แล้วเราก็นั่งกินเบียร์นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ และแล้วไอ้ด้วงเจ้าปัญหาก็กลับมาอยู่เบื้องหน้าพวกเราอีกครั้ง..?
น้องก้อยเห็นว่าหน้าตามันเปลี่ยนไปแล้วเริ่มมีสีดำๆแห้งๆบ้างแล้วแถมมีกลิ่นหอมมายั่วยวน เลยตักคำใหญ่ใส่ปาก แล้วทำหน้า.. ;d แล้วพูดว่า "เหมือนเดิมเลยไอ้ที่ดูว่าแห้งๆ นั่นเป็นกระเทียมที่พวกเราเอาลงไปคลุกตอนแรกนั่นแหละ" และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครแตะต้องมันอีกเลย เราก้มหน้าก้มตากินเบียร์กันต่อไปจนผมเริ่มสังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ก็โต๊ะที่เรานั่งมันติดถนนทำให้ผมเห็นคนมาขับรถผ่านไปผ่านมาได้สะดวก นั่งมองไปมองมา เอ๊ะ ไอ้คนขับมอเตอร์ไซค์คนนี้หน้าตาคุ้นๆ อือๆๆนี่มันเด็กเสริฟในร้านนี่หว่า หันไปดูที่ในร้าน ปิดไฟหมดแล้วเหลือเจ้าของนั่งทำท่าจะหลับอยู่สองคน เหลือบมองนาฬิกา อ้าวเที่ยงคืนกว่าแล้วนี่หว่า เลยเรียกเก็บตังค์ (ลืมบอกไปว่าตอนหัวค่ำผมมีงานเข้ามาจ็อบนึง เป็น Cell down บนเกาะ พีพี อุตส่าห์หนีเกาะยาวน้อยมาได้ กลับต้องไปเกาะ พีพี อีกจนได้) แล้วเมื่อบิลมาวางบนโต๊ะ ราคา 950 บาท น้องก้อยจะจ่ายแต่ผมก็บอกว่าไม่ต้องไว้วันหน้าก็แล้วกัน(สำนึกผิดจากเมนูด้วงนรก ) แล้วผมก็เอาบิลมาดู แล้วก็ส่งคืนไป หลังจากได้เงินทอนแล้วไอ้รุณก็ถามว่า "เรากินเบียร์ไปกี่ขวดวะ" "ไม่รู้" "ก็เห็นมึงเอาบิลไปดูนี่หว่า" "กูเอามาดูราคาค่าไอ้ด้วงนรกนี่อย่างเดียวเลย เห็นราคาแล้วก็ไม่ได้ดูอย่างอื่นเลย" "ด้วงนรกจานนี้ราคา 65 บาท แพงกว่ายำจานใหญ่ของมึงอีกวะ" ผมบอกทีมงานแล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนด้วยความช้ำใจกับไอ้ด้วงจานนี้จริงๆ


ยังครับยังไม่หมดความซวยของผมยังไม่หมด ยังมีอีกนิดนึงเนื่องจากงานของเช้าวันใหม่ของผมเป็นงานที่ต้องทำบนเกาะพีพี เรือโดยสารออกตอน 10.00 น.ทำให้ผมมีเวลา ลันล้า ลันล้า ไฉไลได้อีกซักพักใหญ่ๆ ผมเลยเข้ามานั่งแปลงไฟล์ วีดีโอเป็น MP4 เพื่อใช้กับ iPod อยู่ในห้อง ส่วนไอ้รุณก็อาบน้ำ พออาบน้ำเสร็จมันกระโดดขึ้นเตียงแล้วมันก็หลับเลยครับ ทิ้งผมนั่งอยู่คนเดียวดูเวลาแล้วก็ตีหนึ่งกว่าๆแล้ว ผมก็เตรียมตัวอาบน้ำ แต่แล้วพอผมหยิบเป้คู่ใจของผมขึ้นมา "เฮ้ยนี่มันโดนอะไรมาวะเนี่ย" มันเปียกๆเหนียวๆ พอเปิดดูด้านใน ก็เห็นความผิดปกติบางอย่าง ผมเลยเทของทั้งหมดออกมาดู ปรากฏว่า สบู่เหลวที่นำมาด้วยน่าจะมีการปิดฝาไม่แน่น (ไม่ต้องน่าจะ..มันไม่แน่นจริงๆ)มันหกออกมาเลอะเทอะไปหมด ผมต้องเอาวัสดุที่สามารถล้างน้ำได้ ไปล้างในห้องน้ำเปิดน้ำร้อนอย่างเดียวล้างทีละชิ้น ส่วนของที่ล้างน้ำไม่ได้ก็ดึงกระดาษทิชชู่มาเช็ด กว่าจะเสร็จทั้งหมดก็ตีสองกว่า แถมเป้ใบนี้ยังเลอะเทอะไปหมด เอาไงดีหว่า..? ไวกว่าความคิด ผมเปิดน้ำร้อนอีกครั้ง ฉีดๆๆๆๆๆ แล้วก็ลงมือ ลงเท้า ซักเป้ใบนั้นทันที พอซักเสร็จแล้วผมถึงจะคิดได้ว่า แล้วคราวนี้จะทำไงให้มันแห้งวะเนี่ย พรุ่งนี้จะเอาอะไรใส่ของกลับ ไหนจะต้องไปเกาะพีพี อีกด้วย แต่แล้วก็มีทางออกเมื่อผมเดินออกมาที่ระเบียงด้านนอก เหลือบมองเห็นพัดลมแอร์กำลังทำงานอยู่ อ้อ.เอามาตากผึ่งลมที่นี่ดีกว่า ว่าแล้วผมก็ปฏิบัติการณ์ตามรูปแล้วก็ไปอาบน้ำ

"คราวนี้คงจะได้นอนซะที"





แต่มันยังไม่จบแค่นั้นครับ อากาศมันเริ่มเย็นเพราะโรงแรมนี้อยู่ใกล้ทะเล พออุณหภูมิภายในได้ตามที่เราตั้งไว้ คอมเพรสเซอร์ก็หยุดทำงาน พัดลมคอยล์ร้อนด้านนอกก็หยุดหมุน แล้วถ้าพัดลมไม่หมุนจะเอาลมที่ไหนไปเป่าเป้ของผมให้แห้งละเนี่ย และแล้วผมก็จำเป็นต้องตั้งอุณหภูมิแอร์ไปอยู่ที่ 19 องศา เพื่อที่ว่าแอร์จะได้ทำงานตลอด (ผลาญพลังงานเหลือเกิน) แล้วผมก็มุดเข้าไปใต้ผ้าห่มเหลือบดูเวลา ปาเข้าไปตีสามกว่าแล้วกว่าจะหลับน่าจะเกือบตีสี่ แต่แล้วเหมือนกับกรรมมันยังไม่หมดไม่สิ้น ผมหลับไปได้งีบนึงต้องสะดุ้งตื่น เมื่อมีส่วนขาโผล่ออกไปนอกผ้าห่ม อากาศเย็นมากๆ ผมต้องมุดเอาทั้งตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มหนาวจนตัวสั่น นอนไม่หลับ จะลุกไปปิดแอร์ก็ไม่กล้า กลัวจะแข็งตายระหว่างทาง (สงสัยชาติก่อนคงเคยทำกรรมกับนกเพนกวินมาชาตินี้จึงต้องชดใช้) หลับๆตื่นๆจนแปดโมงก็ต้องรีบตื่นรีบกินอาหารเช้ารีบออกไปเอาของให้พี่จิ๋ง เพราะคิดไว้ว่า กลับจากเกาะพีพีแล้วจะกลับสุราษฎร์เลยจะไม่ย้อนเข้ามาในเมืองกระบี่อีก

โอ นี่ผมได้นอนกี่ชั่วโมงเนี่ย

ด้วงคั่วเกลือ...

วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม 2551

เปิดหัวข้อกระทู้แบบนี้จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเรื่องงานของผมอีกแล้วครับท่าน สัปดาห์นี้วันจันทร์เป็นวันหยุดของคนทั่วๆไป(วันวิสาขบูชา) แต่สำหรับผมแล้ววันนี้ก็เหมือนวันอื่นๆ คือต้องทำงานครับวันจันทร์มีงานด่วนเข้ามาตอนสายๆ ผมขับรถไปทำงานแถวๆบ้านช่องพลี จังหวัดกระบี่เช่นเดิม อาการแบบที่เห็นในจ็อบ ปกติแล้วไม่ยากเลยแต่วันนี้กลับเคลียร์ไม่จบต้องขอตัวช่วยมาช่วยแก้ไข แต่เรื่องงานวันนี้ช่างมันเถอะครับที่ผมอยากจะบอกคือ เมื่อเสร็จงานแล้วผมก็เติมน้ำมัน เต็มถังเหมือนเดิม ปกติผมจะไม่ค่อยได้ดูราคาซักเท่าไหร่ แต่วันนี้นึกยังไงไม่รู้ผมหันไปดูที่หัวจ่าย 2,220 บาท โห เมื่อก่อน(สมัยหนุ่มๆ) ผมเติมน้ำมันเต็มถังเขย่ารถให้น้ำมันลงไปเพื่อที่จะให้เติมได้อีก ยังไงๆก็ไม่เกิน 800 บาท แต่วันนี้ 2,220 (สองพันสองร้อยยี่สิบบาทถ้วน) แต่ก็ยังเฉยๆครับ แล้วผมก็ขับรถกลับบ้าน ปกติตอนกลับผมจะไม่ขับรถเร็วมากนัก จะขับแบบสบายๆ แต่วันนี้บังเกิดมีรถรุ่นใหญ่มาเลียบๆเคียงๆ แถมถนนก็ว่างเลยลองหยอกๆชวนพี่เค้ามาใช้ความเร็วกันซักหน่อย ขับไปขับมาความเร็วรถของผมไปอยู่ที่ 160 กว่าๆ แต่ก็ยังกินกันไม่ลงจนเข้าเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี ถนนเริ่มไม่เรียบ มีการทรุดตัวของถนนอยู่เยอะมาก ก็เลยเลิกเล่นกัน แล้วผมก็เหลือบมองเข็มวัดน้ำมัน เฮ้ยๆๆ ลดลงมา 1/3 เลยที่เดียว เมื่อกี้ยังเต็มอยู่เลย 2,220 บาท ขับเล่นๆไม่ถึงร้อยกิโล หายไปเจ็ดร้อยกว่าบาท

แต่ที่ผมรู้สึกอีกอย่างก็คือ "ที่แข่งกันมาเป็นยังไงไม่รู้ รู้แต่ว่า ที่ไอ้รถคันนั้นแพ้ผมแน่ๆก็คือ "น้ำมัน" ครับ ก็ของเค้าเติมเงินส่วนตัว ของผมมันน้ำมันบริษัทนี่นา 555 (ตัวอย่างไม่ดีผู้ปกครองควรพิจารณา เราควรช่วยกันประหยัดพลังงานนะครับ)และที่ผมมั่นใจอีกอย่างก็คือ ไม่ว่ายี่ห้อไหนที่โฆษณาว่าประหยัดน้ำมัน ถ้าขับเกิน 120 Km/h แล้วละก็ ผลาญน้ำมันสุดยอดเหมือนๆกันทั้งนั้นครับ

วันนี้เพื่อนชวนไปเวียนเทียน แต่ผมไม่ได้ไป ผมรู้สึกเหนื่อยมากเลยต้องพักผ่อนก่อนเพราะว่าพรุ่งนี้(วันอังคาร)คงต้องไปกระบี่อีกแล้ว

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม 2551

วันนี้ตื่นนอนขึ้นมาผมก็ทำเหมือนเดิมทุกวันคือหยิบโทรศัพท์มาอ่านข้อความที่ไม่ได้อ่านเมื่อคืน อือ 14 ข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน น้อยดีจริงๆ อ่านหมดแล้วก็นอนต่อเลยครับไม่มีงานเข้ามาเลยเมื่อคืนนี้มีเฉพาะsms แจ้งไฟฟ้าดับแจ้งไฟฟ้าจ่าย ตามปกติเท่านั้น นอนอีกงีบดีกว่า

จนสายๆตื่นมา ออน MSN คุยกะคนโน้นคนนี้ไปเรื่อยเผลอแป๊บเดียว เที่ยงอีกแล้ว ตัดใจปิดคอม อาบน้ำ ไปเบิกของที่สโตร์ เพื่อจะไปเกาะยาวน้อย ในวันพฤหัส อีกอย่างวันนี้ผมจะมีคนมาช่วยงานอีกคนนึงแล้ว (จะสบายแล้ว) ผมก็ขับรถออกจากบ้านขับไปเรื่อยๆสบายๆก็มันไม่มีงานนี่ครับ จนมาถึงสโตร์ ผมเข้าไปตรวจสอบอุปกรณ์ที่ส่งมาจากบางกอก ปรากฏว่า ขาดไปสองชิ้น สอบถามไปก็ถึงได้รู้ว่าของยังไม่มีต้องรอก่อน โอ้ สวรรค์ กลับบ้านนอนอีกรอบดีกว่า ว่าแล้วผมก็โทรบอก เพื่อนร่วมทีมของผมว่า"ไม่มีงานว่ะ มึงทำธุระไปไปก่อนได้เลย ถ้ามีงานด่วนเดี๋ยวค่อยโทรตาม" แต่เหมือนสวรรค์ชังดั่งนรกแกล้งพอวางสายจากเพื่อนได้แป๊บเดียวกำลังจะออกจากสโตร์เพื่อกลับบ้าน เสียง น้องตั๊กแตน ชลดา (อยู่บ้านเรา ยามหนาวก็หนาวแค่เพียงกาย....) ก็เรียกให้ผมต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู "เบอร์น้องก้อยนี่หว่า" วันนี้นึกไงถึงโทรมาหนอ

"พี่นภๆๆ อยูไหนครับพี่" "สุราษฎร์" "แล้วพี่ไม่มากระบี่เหรอ" "ยังไม่มีงาน ทำไมเหรอ" "พอดีวันนี้ผมเสร็จงานเร็ว ตอนนี้อยู่ที่กระบี่ ว่าจะเลี้ยงพี่ซักหน่อย ว่าจะ ว่าจะ อยู่หลายทีแล้ว" ผมคิดอยู่ประมาณ สองวินาทีแล้วตอบไปว่า

"เดี๋ยวไม่เกินห้าโมงเย็นพี่ไปถึง กินร้านไหน บอกด้วย" แล้วผมก็เปลี่ยนแผนทันที โทรกลับไปบอกไอ้รุณว่า ไม่ต้องไปไหนแล้วนะเตรียมตัวไว้เลย "มีงานด่วนว่ะ"

ด้วยความเร็ว 160 กว่าๆ เร็วเท่าที่ Dmax จะรีดออกมาให้ผมได้ ประมาณ สี่โมงเย็นผมก็เข้าเขตตัวเมืองกระบี่ พอเข้าเขตปุ๊บ ผมกดโทรศัพท์ทันที "อยู่ไหนวะ" "ผมอยู่โลตัสครับพี่" "เออ...เดี๋ยวเข้าไป" แล้วผมก็เลี้ยวไปทางอำเภอเหนือคลองมุ่งตรงไป โลตัส สาขาจังหวัดกระบี่ทันที แต่แล้วน้องตั๊กแตนก็ร้องเพลงเดิมอีกรอบ "พี่ๆๆ เดี๋ยวผมไปส่งน้องๆในทีมเข้าที่พักก่อนนะ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน" อ้าวผมมาถึงโลตัสแล้วนี่ทำไงได้ก็เลยชวนไอ้รุณเข้าไปกินข้าวในห้างเดินชมโน่นชมนี่ แล้วก็เสียตังค์กับค่าหนังสือที่ร้านซีเอ็ดไปอีก สองร้อยกว่าบาท

น้องก้อยยังเงียบอยู่ยังไม่ส่งข่าวมาผมเลยชวนไอ้รุณเข้าที่พักกันก่อน แต่เหมือนกับน้องก้อยจะรู้ความเคลื่อนไหวของผมตลอดเวลาพอเปิดประตูห้อง เสียงน้องตั๊กแตนก็ดังอีกแล้ว (อยู่บ้านเรา ยามหนาวก็หนาวแค่เพียงกาย....) "ครับน้องก้อย" "พี่ผมเสร็จงานแล้วนะพี่พักที่ไหนมาหาเบียร์กินกันดีกว่า ก่อนนอนซักขวดสองขวด" "ได้ๆๆๆ เอาแบบนี้ดีกว่าน้องมาที่โรงแรมที่พี่พักดีกว่า หน้าโรงแรมมีร้านข้าวต้มอยู่" "ครับๆๆเดี๋ยวผมไปหานะพี่"

ไอ้รุณที่อยู่เงียบๆทำหน้าสงสัยๆตั้งแต่ออกมาจากสุราษฎร์ก็ถามผมว่า "นี่ใช่มั้ยงานด่วนของมึง" "เออ" ผมตอบอย่างสุภาพแล้วลากมันลงมาข้างล่างทันที

ด้านล่างของโรงแรมตรงหัวมุมจะเป็นร้านข้าวต้มแต่ว่าไม่โต้รุ่ง ปิดประมาณเที่ยงคืนพอมาถึงพร้อมหน้าปรากฏว่า น้องก้อยพาเพื่อนมาอีกคน ชื่อ โจ เป็นพนักงานชั่วคราวที่ทำงานร่วมกันมาด้วย เราเลยเลือกนั่งโต๊ะริมถนน สี่คนพอดี ให้ไอ้รุณสั่งกับข้าวกับแกล้มมา สามสี่อย่าง โดยที่ผมนั่งติดกับน้องก้อย น้องก้อยไม่พูดหล่ามทำเพลงใดๆทั้งสิ้น สั่งเบียร์ทันที "ลีโอ ขวดนึง"


อือก็ดีนะ นานๆกินลีโอซักทีก็ดีเหมือนกัน พอเบียร์ยกมาตั้งรินกันคนละแก้วรวดเดียวหมดไปหนึ่งขวด ยกแก้วกันคนละสองทีหมดไปแล้วหนึ่งขวด น้องก้อยหันไปชู หนึ่งนิ้วกับแม่ค้าเป็นสัญญาณว่าเอามาอีกขวด ในขณะที่เบียร์ขวดแรกหมดนี่อย่าว่าแต่กับข้าวจะมาเลยครับ จานชามช้อนยังแจกกันไม่ทันหมดเลย เหมือนกับว่าไม่ได้เจอน้ำสีเหลืองๆนี่มานานมากๆ


พวกเรานั่งคุยถามข่าวคราวกันตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันมานานมาก ...... ลืมบอกไปว่าน้องก้อยทำงานส่วนงานขายดูแลพื้นที่จังหวัดตรังกับจังหวัดกระบี่ ขนาดมาทำงานอยู่จังหวัดเดียวกันแท้ๆ ผมกับน้องก้อยยังไม่เคยเจอกันที่กระบี่เลยครับ ต่างคนต่างทำงาน วันนี้คงจะเป็นฤกษ์งามยามดีที่เราได้เจอกัน ปกติผมจะไม่ค่อยกินเหล้ากินเบียร์ซักเท่าไหร่ถ้าอยู่ใน วงที่มีคนที่ไม่สนิทหรือว่ามีคนอื่นที่ไม่รู้จักนั่งอยู่ด้วย แต่วันนี้มีแต่คนกันเองทั้งนั้นแถมไม่ต้องขับรถ แบบนี้ก็เต็มที่เลยครับ


กับข้าวทยอยนำมาตั้งให้พวกเราชิมกันอยู่เรื่อยๆ ยำไข่เยี่ยวม้า (มีพี่คนนึงไม่กินไข่เยี่ยวม้าด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นคนไม่กินของดำ )
แล้วก็กระดูกหมูทอดกระเทียม แล้วอะไรอีกอย่างผมก็จำไม่ได้ เพราะมัวแต่นั่งดูน้องก้อยยกนิ้วอยู่เรื่อยๆ เดี๋ยวก็ยก เดี๋ยวก็ยก ส่วนโจนั้นพอหมดแก้วแรกก็คุยโทรศัพท์ ส่วนรุณ ก็ติดสายเหมือนกัน กลายเป็นว่าผมนั่งคุยกับน้องก้อยกันสองคน กินเบียร์ไปด้วยคุยนั่นคุยนี่ ไม่รู้ไปสรรหามาจากไหนกันนักหนา(นี่แหละน้า เขาถึงบอกใครได้ผัวขี้เหล้า ต้องทนทั้งขี้เมา ขี้โม้ ขี้คุย ) จนพอผ่านขวดที่หก น้องก้อยเริ่มบ่นให้ฟัง "พี่นภ ผมมาอยู่กระบี่กับตรังนี่ผมคิดหนักเลยนะ ซื้อบ้านไว้ที่สุราษฎร์ แฟนผมก็อยู่สุราษฎร์ ห่างมานานๆ คิดถึงเหมือนกันนะเนี่ย" โอ้ช่างเป็นคำพูดที่ถูกใจผมเหลือเกิน ไม่ต้องรอให้น้องก้อยยกนิ้วแล้วครับ คราวนี้ ผมยกนิ้วเองเลยครับ เรียกว่ายกกันมาอย่างไม่ขาดสาย จนกระทั่ง..... เสียงโทรศัพท์ของน้องก้อยดังขึ้น

บทความต้นฉบับ ที่ http://www.siamsouth.com

วันจันทร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2553

เล่าความหลังกันซักนิด

ไหนๆก็เริ่มแล้ว ลองเอาบทความเก่าๆมาลงบ้างดีกว่าครับ


ท่ามกลางสายฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนักจนแทบจะมองทางไม่เห็นในเวลาตีสอง เวลาที่หลายๆคนกำลังนอนอยู่ใต้ผ้าห่มหรือนอนกอดแฟนอยู่อย่างมีความสุข แต่ผมก็ยังคงต้องออกไปทำงานและต้องใช้ความเร็วไม่ต่ำกว่า ร้อยยี่สิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงทั้งๆที่มองทางแทบไม่เห็น เพื่อที่จะไปให้ถึงจุดหมายตามเวลาที่กำหนด
เสียงแม่ที่บอกกับผมก่อนที่ผมจะออกมาจากบ้านว่า "อย่าขับรถเร็วนะลูกมันอันตราย" แว่วเข้ามาในความรู้สึก ในขณะที่บนถนนสายนี้มีแค่ความมืดกับสายฝนเท่านั้นที่เป็นเพื่อนผมอยู่ ในช่วงเวลาแบบนี้ผมจะไม่เปิดเพลงในรถเพราะต้องใช้สมาธิในการขับรถเป็นอย่างมาก
หลายๆครั้งในเวลาที่สภาพอากาศดีๆ ผมจะใช้ความเร็วถึงร้อยหกสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อที่จะไปทำงานให้ทันตามที่กำหนด หลายคนอาจจะสงสัยว่าผมทำงานอะไร จะรีบไปไหน เปล่าครับผมไม่ได้รีบไปส่งยาบ้าอย่างที่คุณๆคิดกันหรอกครับ ผมเป็นพนักงานบริษัทด้านสื่อสารโทรคมนาคมแห่งหนึ่งที่ หลายๆคนใช้บริการอยู่ มีหน้าที่ดูแลรักษาเครือข่าย เวลาที่สถานีฐานใช้งานไม่ได้ ผมก็จะต้องไปแก้ไขภายในพื้นที่รับผิดชอบ พื้นที่รับผิดชอบของผมจะอยู่ไกลจากสำนักงานใหญ่ประมาณสองร้อยกว่ากิโลเมตร และทางบริษัทให้เวลาในการแก้ไข 4 ชั่วโมง ลองคิดดูนะครับว่าถ้าผมขับรถตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อประหยัดน้ำมันคือ เก้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมง ผมจะทำงานทันหรือเปล่า
กว่าจะอาบน้ำเก็บของก็เสียเวลาไปร่วมๆชั่วโมงแล้ว กว่าจะถึงกว่าจะทำงาน บางครั้งก็ใช้เวลาเกินเวลาที่กำหนดไว้ ต้องชี้แจงกันวุ่นวายอีก ไหนจะโดนลูกค้าบ่นอีก

ผมเคยเจอที่บ้านหล่อยูง จังหวัดพังงา ผมกำลังแก้ไขสัญญาณโทรศัพท์อยู่ที่เสาสัญญาณ หรือที่เรียกกันว่า Cell Siteที่นี่มีปัญหาเกิดจากฟ้าผ่า ทำให้อุปกรณ์เสียหายทั้งหมดต้องรอเพื่อนเอาอุปกรณ์จากสุราษฎร์มาให้ ระหว่างที่รออยู่ก็มีลุงคนนึง ขับมอเตอร์ไซค์ ผ่านมา พอแกเห็นผมนั่งอยู่ที่ Site แกขับรถเข้ามาเลยครับแล้วก็บ่นสารพัดอย่างเท่าที่แกจะนึกขึ้นมาได้ สัญญาณไม่ดีเลยเมื่อไหร่จะใช้ได้ ถ้าเป็นแบบนี้เปลี่ยนไปใช้ระบบอื่นดีกว่าอีก
ผมก็ไม่รู้จะทำยังไง พยายามจะบอกว่าผมรออุปกรณ์ครับ ผมมาแก้ตั้งแต่เช้าแล้ว ข้าวยังไม่ได้กินเลย แกก็ไม่ฟัง บ่นอีกพักใหญ่ๆจนแกสะใจแล้วก็ขับรถออกไป พอลุงแกไปซักพักผมก็เดินข้ามถนนไปซื้อเครื่องดื่มชูกำลังที่ครั้งหนึ่ง นักร้องเพื่อชีวิตรุ่นใหญ่มากเคยกล่าวไว้ว่ามันเป็นสิ่งมอมเมาคนใช้แรงงาน แต่ตอนนี้พี่ท่านกลับทำออกมาขายอย่างเป็นล่ำเป็นสันจนแทบจะไม่มีที่เก็บเงินอยู่แล้ว พอผมเดินเข้าไปในร้านเจ๊เจ้าของร้านก็ถามว่า "คุยอะไรกับลุงแกเหรอ" ผมก็เล่าให้ฟัง เจ๊แกหัวเราะใหญ่แล้วบอกผมว่า "อย่าไปถือสาลุงแกเลย แกสติไม่ค่อยดี มือถือแกไม่เคยใช้หรอกนี่คงได้ยินชาวบ้านแถวนี้บ่นๆกันแกเลยจำไปพูด" อ้าวเวรกรรมนี่ผมนั่งฟังคนบ้าบ่นอยู่ได้ตั้งนานหรือนี่
สายฝนตอนนี้ก็ยังคงตกลงมาอย่างไม่หยุดยั้งราวกับว่าจะแกล้งให้ผมไปทำงานไม่ทันแต่ผมก็ยังคงต้องขับรถต่อไปในหัวก็คิดเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปเรื่อย สิ่งที่พวกผมหรือรวมทั้งผู้ใช้ถนนทั้งหลายต้องเคยเจอก็คือ ต ร ใช่ครับเตารีด ไม่ใช่สิตำรวจครับ ที่ผมจะเล่าให้อ่านกันนี่เป็นส่วนน้อยนะครับไม่ใช่ทั้งหมด น้อยจริงๆครับแต่ผมก็บังเอิญเคยเจอ โดนไปครั้งละร้อยต่อก็ไม่ได้ ลดก็ไม่ได้ เคยถามว่าทำไมทีรถสิบล้อยังจ่าย ยี่สิบบ้างห้าสิบบ้าง ทำไมของผมตั้งร้อย พี่แกบอกว่าก็บริษัทกำไรปีนึง ตั้งเยอะ ร้อยเดียวไม่เดือดร้อนหรอก โธ่พี่ครับบริษัทกำไรแต่พวกผมได้เงินเดือนเท่าเดิมแถมค่าใช้จ่ายพวกนี้เบิกก็ไม่ได้ไม่สงสารกันบ้างเลย พอเจอแบบนี้ผมอยากจะแกะสติ๊กเกอร์ข้างรถออกซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่ทางบริษัทก็ไม่ยอมอีก
แต่มีครั้งนึงที่พี่ๆเคยเจอแล้วมาเล่าสู่กันฟัง ที่ปากพนัง จังหวัดนครศรีธรรมราช พี่แกโดนเรียกจับความเร็วหรืออะไรนี่แหละครับ พอตำรวจเดินมาที่รถแกก็ส่งเงินให้ ตำรวจสวนกลับมาเลยครับว่า ไม่เอาหรอกไอ้น้อง เงินร้อยนึงคนที่นี่ไม่เอาหรอก คนที่นี่ทำนากุ้งกำไรกันเป็นล้าน ไปจ่ายค่าปรับที่โรงพักนะน้อง จ๋อยไปเลย แต่แบบนี้นานๆเจอทีครับ

และแล้วผมก็มาถึงที่ทำงาน คือเสาสัญญาณโทรศัพท์ ที่ทุกท่านเคยเห็นกันนั่นแหละครับ แต่ที่นี่มันรกมาก รกจนผมคิดว่าทางบริษัทน่าจะส่งเข้าร่วมโครงการปลูกป่าถาวรกับกรมป่าไม้ซะเลย เผื่อจะได้รับรางวัลกะเค้าบ้าง ที่นี่นอกจากรกแล้วยังมืดอีกด้วยและแถวๆภาคใต้นี่งูชุมมากด้วย พูดถึงงูนี่มีทุกที่เลยครับก่อนหน้านี้ผมเคยดูแลพื้นที่จังหวัดภูเก็ตเคยคิดเล่นๆว่างูมันข้ามทะเลมาอยู่บนนี้ได้ยังไง แต่ก็ไม่เคยได้คำตอบ แต่ที่แน่ๆคราบงูมีอยู่ทุก Site เหมือนกับมันจะขู่พวกเราว่า เวลาทำอะไรเกรงใจกันบ้างให้รู้ซะบ้างว่าที่นี่ใครเป็นเจ้าของตัวจริงแต่แปลกอยู่อย่างนึงคือไม่ว่าคราบงูจะมากขนาดไหน แต่พวกผมไม่เคยขึ้นไปเจอเวลาที่มันลอกคราบซักครั้งเลยครับ ไม่รู้ว่ามันมีสายคอยรายงานจากด้านนอกเข้าไปหรือเปล่า ไม่แน่นะงูอาจใช้โทรศัพท์ระบบที่ผมทำงานอยู่ก็ได้ พอผมขับรถเข้าไปไอ้ตัวที่อยู่ด้านหน้าก็โทรเข้าไปบอกตัวที่อยู่ด้านในให้หลบไปไกลๆตัวอันตรายกำลังเข้ามาแล้ว ก็มีคนเคยบอกว่ามนุษย์คือตัวอันตรายของธรรมชาตินี่ครับ 55555
ตามเสาสัญญาณทั่วไปปกติแล้วจะมีไฟส่องสว่างอยู่ด้านหน้าแต่ที่นี่ทำไมไฟไม่ติด สงสัยฟิวส์ขาดผมคิดในใจ ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่เกิดขึ้นได้ในเวลาที่ฝนตก แต่พอดูที่หม้อแปลงแล้วฟิวส์แรงสูงก็ไม่ขาด แต่พอวัดไฟที่ด้านในกลับไม่มี โชคดีที่ที่นี่มีสัญญาณที่รับมาจากเสาต้นอื่นอยู่บ้างเลยโทรแจ้งการไฟฟ้า ซึ่งการติดต่อกับการไฟฟ้าเรื่องการซ่อมแซม หรือสอบถามเรื่องการปรับปรุงระบบไฟฟ้าเป็นเรื่องปกติสำหรับพวกผมอยู่แล้ว และก็เป็นไปตามความคาดหมายครับ ไม่มีคนรับสาย คือเวลาตีสามกว่าๆแบบนี้ถ้า การไฟฟ้าส่วนภูมิภาคที่ไหนรับสาย บอกผมด้วยนะครับ ผมจะจดบันทึกไว้เป็นให้ลูกให้หลานของผมได้อ่านในอนาคต
เมื่อการติดต่อกับการไฟฟ้าไร้ผล ผมเลยนอนเอาแรงในรถ กะว่าอีกซักพักจะโทรใหม่เผื่อว่าถ้าผมโชคดีเจ้าหน้าที่ตื่นมาเข้าห้องน้ำอาจจะมีคนรับสาย แต่อาจจะเพราะความเพลียจากการขับรถทำให้ผมหลับสนิทมาตื่นอีกทีก็พระอาทิตย์ขึ้นแล้วครับ เมื่อมีแสงสว่างผมก็เห็นว่า สิ่งที่หายไปก็คือสายไฟครับ สายไฟที่ออกจากหม้อแปลงไปที่อุปกรณ์ของผมมันหายไปครับ เมื่อโทรกลับไปแจ้งหัวหน้าทางหัวหน้าผมบอกว่า โดนมาหลายที่แล้วครับโดนทุกระบบเพราะช่วงนี้ทองแดงราคาแพง ทางบริษัทต้องเปลี่ยนเป็นสาย อลูมิเนียมแทน เพื่อป้องกันการโดนขโมย
เฮ้อ เศรษฐกิจช่วงนี้ช่วงที่คนใหญ่คนโตทั้งหลายพยายามบอกว่าแก้ไขปัญหาความยากจนได้แล้ว แต่ทำไมโจรเยอะจังเลย แต่ คุณรู้ไหมครับว่าสายอลูมิเนียมที่หัวหน้าผมบอกว่าจะป้องกันการขโมยได้นั้นป้องกันได้จริงแต่มันมีเรื่องให้เจ็บใจมาแทนคือพวกขโมยเวลามันมาตัดมันจะไม่รู้ว่าสายเป็นทองแดงหรืออลูมิเนียม มันตัดก่อนพอไม่ใช่ทองแดงแล้วมันก็ไป พวกผมต้องวิ่งตามแก้เหมือนเดิม เหนื่อยด้วยช้ำใจด้วย และโดนแบบนี้กันทุกที่เหมือนเดิม จนมีระบบนึงทำป้ายเลยครับ มาติดไว้ที่มิเตอร์ไฟฟ้าว่า เป็นสายอลูมิเนียมแล้วอย่าตัดนะครับ นี่ถ้ากราบได้คิดว่าพวกเราคงต้องกราบกันแล้วครับ ว่าอย่าตัดเลย ผมต้องอดนอนขับรถกลางคืนเสี่ยงเป็นเสี่ยงตาย เพื่อที่จะมาแก้ไขสิ่งที่พวกเห็นแก่ได้ไม่กี่คนกระทำขึ้นมา มันไม่คุ้มกันเลย เมื่อแก้ไขโดยการต่อไฟชั่วคราวให้ใช้งานได้แล้วผมก็ขับรถกลับบ้านแต่ขากลับนี่จะขับช้าๆครับเพราะเหนื่อยจากตอนมาแล้ว พวกเราส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้แหละครับตอนไปเหมือนไก่จะบิน ตอนกลับมาเหมือน ห่าจะกินกันทุกคน
จนบางครั้งก็คิดเหมือนกันครับว่า นี่เหรอ ผลจากการทำงานหนักของเรา นอนในรถกิน มาม่าที่ เซเว่น แล้วเมื่อไหร่จะได้พักซักที แต่พอคิดถึงพ่อ แม่ ที่อยู่ทางบ้านทำให้มีเรี่ยวแรงขึ้นมาอีก พอมีงานเข้ามาก็กลับไปทำงานได้อีก เคยมีบางครั้งพอกลับมาถึงบ้านแล้วมีงานเข้ามาอีกต้องออกไปทำงานต่อเลยก็มีครับ ชีวิตแบบนี้ใครคิดว่าสนุก ก็ลองมาอยู่กับผมซัก สอง สามวันนะครับ อาหาร ที่พัก ฟรี พาเที่ยวทุกที่ที่คุณอยากไปครับ แต่เวลาผมทำงานต้องไปกับผมด้วยนะครับ อย่าทิ้งกันไปไหนแล้วคุณจะรู้ว่า นรกมีจริงครับ
ต้นฉบับจาก http://www.siamsouth.com/

วันแรกกับบล็อก

คิดยังไงก็ไม่รู้เลยสมัครบล็อกนี้ขึ้นมา อาจจะเป็นเพราะได้คุยกับพี่เปียก็เป็นได้ วันนี้นั่งคุยกันเลยแนะนำให้พี่เปียมาสมัครบล็อกเพื่อเขียนเรื่องราว แชร์ประสบการณ์ เกี่ยวกับเรื่องการขาย กิฟฟารีน เลยลองสมัครมาด้วย

สมัครมาแล้วก็เลยลองใช้งานซะเลย ปกติก็ทำเวบของตัวเองอยู่แล้ว ที่ http://www.siamsouth.com/ แต่ก็ดีเหมือนกัน จะได้มีลู่ทางในการพบปะกับเพื่อนๆได้มากขึ้น เอาไว้มีความคืบหน้าหรือมีข้อความใหม่ๆจะเอามาอัพเดท ให้อ่านกันเรื่อยๆนะครับ

นภดล