วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

ด้วงคั่วเกลือ (2)

น้องก้อยมองเบอร์ที่โทรศัพท์แล้วหันมาบอกผมว่า พี่ ซ (นามสมมุติ) โทรมา ทำไงดีพี่ ผมลิ้นเริ่มพันแล้วเนี่ย
พี่ ซ (นามสมมุติ)ของน้องก้อย คือหัวหน้าที่ควบคุมงานขายของน้องก้อยนี่แหละครับ เป็นเพื่อนผมเอง รู้จักกันมาตั้งแต่เข้างานใหม่ๆ จนทุกวันนี้เพื่อนผมแต่งงานมีลูกสองไปแล้ว ผมยังตะลอนๆอยู่เหมือนเดิม


"ก็คุยแบบถนอมตัวสิวะเรื่องแค่นี้ต้องให้บอก คิดอะไรไม่ออกก็ครับๆๆๆ ไปก่อน" แล้วน้องก้อยก็ต้องรับสายหัวหน้าที่ขยันมากๆเรียกประชุมลูกทีมทั้งหกทีมผ่านทางโทรศัพท์ตอนสี่ทุ่มกว่าๆ พอน้องก้อยไปคุยโทรศัพท์ผมก็เริ่มมีเวลาพินิจพิจารณา อาหารบนโต๊ะ ปรากฏว่าไม่มีอะไรเหลือแล้วมีแต่ผักกับกระเทียม ผมเลยเหลือบมองไปที่กระดานที่ติดอยู่ในร้าน กระดานที่เขียนเมนูแนะนำของร้าน อาจจะเป็นเพราะเรานั่งกันข้างนอกเวลามองเข้าไปแล้วแสงไฟมันสะท้อน หรือว่า เพราะผมสายตาสั้น หรือว่า เพราะผมเริ่มเมา หรือว่า...... บ้ากันแน่


ก็เมนูทั้งกระดานผมกลับมองอย่างอื่นไม่เห็น แต่ผมดันไปสะดุดตากับ "ด้วงคั่วเกลือ" เข้าผมก็เลยสั่งมาลองดู ไอ้รุณ ถามผมว่า "มึงเคยกินเหรอ" "ไม่เคยกิน ร้านนี้ กูก็เพิ่งมานั่งครั้งแรกนี่แหละ ปกติไปกินที่อื่น เห็นมันแปลกดีเลยลองสั่งดู" โจที่คุยโทรศัพท์จนแบตหมดไปเครื่องนึงแล้ว ก็ถามว่า "พี่ว่ามันจะเป็นยังไงเหรอ ไอ้ด้วงคั่วเกลือของพี่เนี่ย" "มันก็คงจะคล้ายๆตัวต่อแหละว้า แหมๆๆๆ พวกหนอนรถด่วนยังกินกันได้เลย อร่อยดีด้วย เออน่า เดี๋ยวก็รู้" แล้วไอ้รุณก็เล่าเรื่องที่ภูเก็ตว่าที่โรงแรม เพียว แมนชั่น เวลาพวกเราจะตั้งวงกันมันจะไม่มีร้านอาหารแบบนี้ พวกเราเลยต้องนั่งกินใต้ตึกที่พัก กับแกล้มก็ไม่มี จนวันนึงมีรถขายพวกแมลงทอดเข้ามาขาย ต่างคนต่างก็ไม่เคยกิน กลัวว่าจะกินไม่ได้เลยซื้อมาอย่างละนิดละหน่อย พอกินดูปรากฏว่าอร่อย หลังจากวันนั้น ทุกครั้งที่ตั้งวงกัน พวกเราจะรอว่า มันจะมาขายมั้ยหนอๆๆๆ ผมก็ สมทบทันทีว่า
"เห็นมั้ยไอ้ที่ไม่เคยกินก็ใช่ว่าจะไม่อร่อย เดี๋ยวพวกมึงคอยดูแล้วกัน ถ้าอร่อยอย่ามาแย่งกูนะโว๊ย"

และพอน้องก้อยคุยโทรศัพท์เสร็จปุ๊บ ด้วงคั่วเกลือของผมก็มาวางตรงหน้าพวกเราทันที และทันทีที่จานตั้งลงกับโต๊ะพวกเราก็นั่งมองกันอย่างประหลาดใจ ความเงียบเกิดขึ้นมาชั่วขณะ
แล้วไอ้รุณก็ทำลายความเงียบขึ้นมาว่า "มึงสั่งมาแล้วไหนมึงลองกินซิ" "เอ กูว่ามันแปลกๆนะ กูเคยกินที่ทุ่งสงมันหน้าตาดีกว่านี้นี่นา ด้วงที่นี่ทำไมมันไม่หล่อเลยวะ" "น้องก้อยที่นั่งข้างๆตักด้วงใส่จานผมหนึ่งตัวแล้วพูดว่า "ในฐานะที่พี่อาวุโสและเป็นคนสั่งตัวแรกผมให้พี่ก่อนเลย" เมื่อเรื่องราวมาถึงขั้นนี้แล้วผมกลั้นใจนำด้วงนรกตัวนั้นใส่ปากแล้วเคี้ยว นี่ถ้าไม่มีสติพอผมคงพ่นออกมาแล้วครับ ขนาดว่าผมเป็นคนที่กินอะไรๆได้แทบทุกอย่างยังกระอักกระอ่วนใจเหลือคณานับ แต่แล้วน้องตั๊กแตน ชลดา ก็ช่วยยืดชีวิตผมไปได้อีกนิดนึง "พี่จิ๋ง" โทรมาฝากให้เอาของกลับไปที่สุราษฎร์ด้วย ปกติผมจะคุยโทรศัพท์ไม่นาน คุยพอรู้เรื่องเข้าใจกันก็วาง แต่ตอนนี้ "พี่อยู่ไหนครับ" "พี่ทานข้าวหรือยัง" "ฝนตกมั้ย"สารพัดเรื่องที่จะคุย สามคนที่นั่งดูอาการผมอยู่เห็นผมคุยโทรศัพท์นานก็เลยตัดสินใจตักด้วงใส่ปากกันคนละตัว หลังจากผมวางสาย สารพัดคำพูดที่จะคิดขึ้นมาได้ประเคนใส่หูผมจนฟังไม่ทันเลยครับ ขนาดเจ้าโจ ไม่ค่อยพูดแล้วนะยังไม่วาย บ่นว่า "นี่ถ้าพี่คิดอะไรไม่ออกจริงๆสั่งหอยแครงลวกมานั่งแกะ ก็ยังไม่มีใครว่าพี่ซักคำเลยนะ" พอดีหยิบโทรศัพท์ถ่ายรูปเก็บไว้ด้วยเลยเอามาให้ดู



ไอ้รุณนั่งมองๆๆๆแล้วบอกว่าสงสัยต้องใช้กระเทียมดับกลิ่นคาวของมัน ว่าแล้วก็เอากระเทียมที่เหลือในจานของหมูทอดกระเทียมลงไปคลุกๆ แล้วลองตักด้วง(หนอนชัดๆ)กินพร้อมกับกระเทียม แล้วมันก็พูดว่า "เหมือนเดิมเลยวะ" หลังจากเกี่ยงกันอีกพักใหญ่ๆ พอแม่ค้าเอาเบียร์มาตั้งน้องก้อยก็บอกให้แม่ค้าเอาไปผัดอีกรอบ บอกว่าเอาให้แห้งๆเลยนะ แล้วเราก็นั่งคุยกันเรื่องนู้นเรื่องนี้กันต่อด้วยความหวังที่ว่า มันกลับมารอบหน้าคงจะพอกินได้บ้าง แล้วเราก็นั่งกินเบียร์นั่งคุยกันไปเรื่อยๆ และแล้วไอ้ด้วงเจ้าปัญหาก็กลับมาอยู่เบื้องหน้าพวกเราอีกครั้ง..?
น้องก้อยเห็นว่าหน้าตามันเปลี่ยนไปแล้วเริ่มมีสีดำๆแห้งๆบ้างแล้วแถมมีกลิ่นหอมมายั่วยวน เลยตักคำใหญ่ใส่ปาก แล้วทำหน้า.. ;d แล้วพูดว่า "เหมือนเดิมเลยไอ้ที่ดูว่าแห้งๆ นั่นเป็นกระเทียมที่พวกเราเอาลงไปคลุกตอนแรกนั่นแหละ" และหลังจากนั้นก็ไม่มีใครแตะต้องมันอีกเลย เราก้มหน้าก้มตากินเบียร์กันต่อไปจนผมเริ่มสังเกตุเห็นความเปลี่ยนแปลงบางอย่าง ก็โต๊ะที่เรานั่งมันติดถนนทำให้ผมเห็นคนมาขับรถผ่านไปผ่านมาได้สะดวก นั่งมองไปมองมา เอ๊ะ ไอ้คนขับมอเตอร์ไซค์คนนี้หน้าตาคุ้นๆ อือๆๆนี่มันเด็กเสริฟในร้านนี่หว่า หันไปดูที่ในร้าน ปิดไฟหมดแล้วเหลือเจ้าของนั่งทำท่าจะหลับอยู่สองคน เหลือบมองนาฬิกา อ้าวเที่ยงคืนกว่าแล้วนี่หว่า เลยเรียกเก็บตังค์ (ลืมบอกไปว่าตอนหัวค่ำผมมีงานเข้ามาจ็อบนึง เป็น Cell down บนเกาะ พีพี อุตส่าห์หนีเกาะยาวน้อยมาได้ กลับต้องไปเกาะ พีพี อีกจนได้) แล้วเมื่อบิลมาวางบนโต๊ะ ราคา 950 บาท น้องก้อยจะจ่ายแต่ผมก็บอกว่าไม่ต้องไว้วันหน้าก็แล้วกัน(สำนึกผิดจากเมนูด้วงนรก ) แล้วผมก็เอาบิลมาดู แล้วก็ส่งคืนไป หลังจากได้เงินทอนแล้วไอ้รุณก็ถามว่า "เรากินเบียร์ไปกี่ขวดวะ" "ไม่รู้" "ก็เห็นมึงเอาบิลไปดูนี่หว่า" "กูเอามาดูราคาค่าไอ้ด้วงนรกนี่อย่างเดียวเลย เห็นราคาแล้วก็ไม่ได้ดูอย่างอื่นเลย" "ด้วงนรกจานนี้ราคา 65 บาท แพงกว่ายำจานใหญ่ของมึงอีกวะ" ผมบอกทีมงานแล้วก็แยกย้ายกันไปพักผ่อนด้วยความช้ำใจกับไอ้ด้วงจานนี้จริงๆ


ยังครับยังไม่หมดความซวยของผมยังไม่หมด ยังมีอีกนิดนึงเนื่องจากงานของเช้าวันใหม่ของผมเป็นงานที่ต้องทำบนเกาะพีพี เรือโดยสารออกตอน 10.00 น.ทำให้ผมมีเวลา ลันล้า ลันล้า ไฉไลได้อีกซักพักใหญ่ๆ ผมเลยเข้ามานั่งแปลงไฟล์ วีดีโอเป็น MP4 เพื่อใช้กับ iPod อยู่ในห้อง ส่วนไอ้รุณก็อาบน้ำ พออาบน้ำเสร็จมันกระโดดขึ้นเตียงแล้วมันก็หลับเลยครับ ทิ้งผมนั่งอยู่คนเดียวดูเวลาแล้วก็ตีหนึ่งกว่าๆแล้ว ผมก็เตรียมตัวอาบน้ำ แต่แล้วพอผมหยิบเป้คู่ใจของผมขึ้นมา "เฮ้ยนี่มันโดนอะไรมาวะเนี่ย" มันเปียกๆเหนียวๆ พอเปิดดูด้านใน ก็เห็นความผิดปกติบางอย่าง ผมเลยเทของทั้งหมดออกมาดู ปรากฏว่า สบู่เหลวที่นำมาด้วยน่าจะมีการปิดฝาไม่แน่น (ไม่ต้องน่าจะ..มันไม่แน่นจริงๆ)มันหกออกมาเลอะเทอะไปหมด ผมต้องเอาวัสดุที่สามารถล้างน้ำได้ ไปล้างในห้องน้ำเปิดน้ำร้อนอย่างเดียวล้างทีละชิ้น ส่วนของที่ล้างน้ำไม่ได้ก็ดึงกระดาษทิชชู่มาเช็ด กว่าจะเสร็จทั้งหมดก็ตีสองกว่า แถมเป้ใบนี้ยังเลอะเทอะไปหมด เอาไงดีหว่า..? ไวกว่าความคิด ผมเปิดน้ำร้อนอีกครั้ง ฉีดๆๆๆๆๆ แล้วก็ลงมือ ลงเท้า ซักเป้ใบนั้นทันที พอซักเสร็จแล้วผมถึงจะคิดได้ว่า แล้วคราวนี้จะทำไงให้มันแห้งวะเนี่ย พรุ่งนี้จะเอาอะไรใส่ของกลับ ไหนจะต้องไปเกาะพีพี อีกด้วย แต่แล้วก็มีทางออกเมื่อผมเดินออกมาที่ระเบียงด้านนอก เหลือบมองเห็นพัดลมแอร์กำลังทำงานอยู่ อ้อ.เอามาตากผึ่งลมที่นี่ดีกว่า ว่าแล้วผมก็ปฏิบัติการณ์ตามรูปแล้วก็ไปอาบน้ำ

"คราวนี้คงจะได้นอนซะที"





แต่มันยังไม่จบแค่นั้นครับ อากาศมันเริ่มเย็นเพราะโรงแรมนี้อยู่ใกล้ทะเล พออุณหภูมิภายในได้ตามที่เราตั้งไว้ คอมเพรสเซอร์ก็หยุดทำงาน พัดลมคอยล์ร้อนด้านนอกก็หยุดหมุน แล้วถ้าพัดลมไม่หมุนจะเอาลมที่ไหนไปเป่าเป้ของผมให้แห้งละเนี่ย และแล้วผมก็จำเป็นต้องตั้งอุณหภูมิแอร์ไปอยู่ที่ 19 องศา เพื่อที่ว่าแอร์จะได้ทำงานตลอด (ผลาญพลังงานเหลือเกิน) แล้วผมก็มุดเข้าไปใต้ผ้าห่มเหลือบดูเวลา ปาเข้าไปตีสามกว่าแล้วกว่าจะหลับน่าจะเกือบตีสี่ แต่แล้วเหมือนกับกรรมมันยังไม่หมดไม่สิ้น ผมหลับไปได้งีบนึงต้องสะดุ้งตื่น เมื่อมีส่วนขาโผล่ออกไปนอกผ้าห่ม อากาศเย็นมากๆ ผมต้องมุดเอาทั้งตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มหนาวจนตัวสั่น นอนไม่หลับ จะลุกไปปิดแอร์ก็ไม่กล้า กลัวจะแข็งตายระหว่างทาง (สงสัยชาติก่อนคงเคยทำกรรมกับนกเพนกวินมาชาตินี้จึงต้องชดใช้) หลับๆตื่นๆจนแปดโมงก็ต้องรีบตื่นรีบกินอาหารเช้ารีบออกไปเอาของให้พี่จิ๋ง เพราะคิดไว้ว่า กลับจากเกาะพีพีแล้วจะกลับสุราษฎร์เลยจะไม่ย้อนเข้ามาในเมืองกระบี่อีก

โอ นี่ผมได้นอนกี่ชั่วโมงเนี่ย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น