วันพุธที่ 10 มีนาคม พ.ศ. 2553

เข้าที่กำบัง

วันนี้ 9/7/2009 ผมตื่นออกจากโรงแรมตั้งแต่เช้ามืดเพื่อขึ้นไปทำงานที่ฐานทัพเรือ นย 411 ซึ่งเป็นที่ตั้งของเรือนรับรองที่ประทับ สาเหตุเพราะว่ามี Alarm ไฟฟ้ามาตลอดทั้งคืนและ site ก็ up down ตลอดเวลา

ผมไปถึงตอนเจ็ดโมงกว่าๆ เมื่อจอดรถหน้าตึกบัญชาการ เสียง "สวัสดีครับ" ดังมาจากหลายๆที่ มันเป็นวัฒนธรรมของทหารที่เมื่อแรกเจอกันในแต่ละวันจะทำความเคารพกัน สวัสดีกัน ก็คงจะคิดว่าผมมาธุระอะไรแน่ๆ และสาเหตุที่ทหารมากมายทำงานกันตั้งแต่เช้า เพราะว่ามีการระดมกำลังพลไปรักษาความปลอดภัย ที่ภูเก็ต ในงานประชุมอาเชี่ยน ที่เลื่อนมานั่นเองครับ

ผมเดินขึ้นไปบนยอดเขาด้วยความสดชื่น อากาศตอนเช้าๆทำให้ไม่เหนื่อย แต่พอเห็นสภาพของอุปกรณ์ที่อยู่ด้านบนทำให้ผมเริ่มรู้แล้วว่า "งานนี้หนักแน่ๆ"
Rectifier สวิงขึ้นลงๆอยู่ตลอดเวลา จากที่เคยเจอทำให้รู้ว่าไฟไม่พอ แต่จะด้วยสาเหตุอะไรก็ต้องหากันต่อไป ถ้าไม่ไฟตก ก็เป็น นิวตรอนขาดแน่ๆ

เลยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการต่อแต่ไลน์ไฟฟ้า ดึงโหลดลงให้น้อยที่สุด เพื่อที่จะให้ site ใช้งานได้ก่อน สาเหตุที่สามารถใช้งานได้ก็เพราะ กราวด์ที่นี่ไม่หายเพราะอยู่ในพื้นที่ของทหาร กระแสไฟฟ้าเลยวิ่งครบวงจรลงดินไปเลยครับ แต่นั่นจะใช่สาเหตุที่แท้จริงหรือเปล่าต้องหากันต่อไป

ผมลงมาด้านล่างเจอกับนายทหารเวร เลยนั่งคุยกัน พี่คนนี้นิสัยดีมากๆ เลยคุยกันยาว แกพาไปชี้ที่มิเตอร์ของค่ายลูกนึง มีการต่อพ่วงโดยการบากสายไฟแล้วพ่วงสายเข้าไป "ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้านี่หรือเปล่า" "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน น้องถอดออกเลยก็ได้" ผมเดินมองไปมองมา มันต่อพ่วงก่อนเข้ามิเตอร์นี่หว่า
ถ้าถอดก็ต้องถอดกันสดๆ เอาก็เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว และเมื่อผมถอดสายไฟที่พ่วงออก วัดไฟก็มา 230 V น่าจะปกติแล้วนะ ผมเลยเดินขึ้นเขาอีกเป็นรอบที่สอง

แต่สิ่งที่คิดก็ยังไม่ใช่ ไฟด้านบนยังมา ร้อยกว่าๆ เหมือนเดิม ผมเลยต้องกลับลงไปอีกรอบ คราวนี้ทั้งทหารช่าง ทั้งนายทหารเวร มาช่วยกันหาจุดต้นเหตุกันหลายคน ทำให้ได้รู้ว่าไฟฟ้าในค่ายทหารดับอยู่หลายตึกเช่นกัน จนแล้วจนรอดก็หาไม่เจอ เลยโทรตามการไฟฟ้ามาดูให้ และเป็นที่รู้กันว่า เมื่อแจ้งการไฟฟ้าแล้วให้รออย่างน้อย หนึ่งชั่วโมงกว่าท่านจะมาถึง ผมเลยได้นั่งคุยนั่งดูทหารๆเก็บข้าวของกันครับ

วันนี้มีทหารหลายคนที่กำลังทำงานเทปูนถนนทางเข้าอยู่ มีจ่าอ้วน คอยกำกับดูแล ที่ผมจำชื่อได้ก็เพราะพี่ทหารเวรเรียกชื่อแก และที่สำคัญรูปร่างแกก็สมกับชื่อจริงๆ พี่ทหารเล่าว่าแกเพิ่งย้ายมาจากนราธิวาส ตอนอยู่ที่โน่นเวลาเข้าเวรไม่ได้มาเดินอ้อยอิ่งแบบนี้หรอกครับ ต้องระวังกันมากมาย มาอยู่ที่นี่สบายกว่ากันเยอะเลย

ผมเห็นชุดของแกที่ใส่เข้าเวร มีกระติกน้ำห้อยเอวอยู่ด้วย เลยถามว่ามีน้ำหรือเปล่า แกตอบว่า "ใส่ทำไมให้หนัก" อยากกินอะไรบอกมาได้เลย ว่าแล้วแกก็ไขกุญแจเปิดประตูห้องสวัสดิการ ด้านในมีของทุกอย่างขาย แต่ที่ปิดไว้เพราะไฟฟ้าดับ น้ำไม่เย็น และทหารก็ไม่มีต้องออกไปปฏิบัติภาระกิจกันหมด

เรานั่งคุยกันไปซักพักก็มีจ่าอีกคนเดินมาแล้วบอกว่าจะตามนายลงไปด้านล่าง เข้าไปในเมืองที่ห้องสวัสดิการต้องการอะไรบ้าง ใครจะฝากซื้ออะไรบ้าง

ตอนนี้เลยเห็นน้องทหารเกณฑ์ ที่มาช่วยงานลงมือจดรายการ และชื่อผู้สั่งซื้อแล้วส่งมาให้พี่ทหารเวร "เฮ๊ยๆๆๆๆๆ ทหารชั่วนี่มันอะไรวะ" เสืยงพี่เค้าตะโกนถามน้องทหารคนนั้น (สอบถามภายหลังได้ความว่ามาจาก นครสวรรค์) "ไหนครับ" "อ๋อ อ่านว่า ทหารช่างครับ" พี่ทหารเวรเอากระดาษมาดูอีกที แล้วหัวเราะ ก็ทหารเกณฑ์ บางคนเรียนมาก็ไม่ได้มากมาย เลยเขียน ทหารช่าง เป็น ทหารชั่งคนตาไม่ดีเลยอ่านเป็น ทหารชั่ว ไปได้ น่า..เอาเป็นว่าเข้าใจก็แล้วกัน

หลังจากนั้นก็มีพวกพี่ๆยศจ่ามานั่งคุยด้วยอีกหลายคนจนการไฟฟ้าขึ้นมาถึง ผมเดินไปประสานงาน ก็ได้รู้ว่ามีกิ่งไม้พาดไปโดนสายไฟแรงสูง และที่สายไฟแรงสูงมีรอยบาดทำให้ฟิวส์ด้านล่างขาด เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าตัดกิ่งไม้เสร็จก็บอกผมว่า เดี๋ยวไปสับฟิวส์แล้วจะขึ้นใหม่ เมื่อการไฟฟ้าลงไปแล้ว ผมและพี่ๆทหารก็ยืนคุยกันบนถนน ตาก็มองกันไปตามทางเพื่อรอรถของการไฟฟ้ากลับขึ้นมา ทันใดนั้น เสียงบึ้มก็ดังขึ้นที่พวกเรามองเห็นคือบนหม้อแปลงมีควันขึ้น นับว่าเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นแบบนี้ ส่วนใหญ่ได้ยินเสียงหันไปมองก็เจอแต่ควัน แต่รอบนี้มันเห็นคาตาเลยครับ พี่ๆทหารก็เห็นเหมือนผม ในขณะนั้น ผมก็ไม่ได้คิดอะไร แต่มีเสียง พี่จ่าคนนึงตะโกนไปทางทหารเกณฑ์ที่กำลังเทปูนอยู่ว่า "ได้ยินเสียงระเบิดทำไมพวกมึงไม่เข้าที่กำบัง" "ถ้าไปรบละก็ตายห่ากันหมดแล้ว ฝึกมาไม่รู้จักจำ" พวกทหารเกณฑ์ก็หน้าเสียไปตามๆกัน แต่พวกจ่าแถวนั้นหัวเราะกันใหญ่

ซักพักไฟฟ้าก็กลับเข้ามา บอกว่าจ่ายไม่ได้น่าจะมีส่วนที่ยังมีปัญหา พวกเราเลยชี้ให้ดู แล้วก็นั่งดูการไฟฟ้าแก้ไข เสียดายที่ผมไม่ได้ถ่ายรูปไว้ในหลายๆขั้นตอนมานึกได้ก็ตอนที่ไฟฟ้ากำลังแก้ไข มาลองชมภาพกันซักภาพนะครับ




และเมื่อไฟฟ้าแก้ไขเสร็จก็ลงไปจ่ายไฟจากด้านล่าง ผมก็เดินขึ้นเขาอีกรอบ และรอจนไฟจ่ายปกติแล้วจึงเดินลงมา เหงื่อเปียกเสื้อไปหมด และเมื่อลงมาถึงรถไฟฟ้ากลับออกไปแล้ว ผมก็เดินกลับไปที่เรือนนอนที่พี่ทหารเวร คนนั้น ประจำการอยู่ พวกพี่ๆยังนั่งคุยกันอยู่ที่นอกตึกตรงใต้ต้นไม้เพราะในอาคารมันร้อน "เสร็จแล้วเหรอ" เมื่อผมบอกว่าเสร็จแล้ว แกก็ให้ทหารเกณฑ์ ที่อยู่แถวนั้นลองเปิดไฟดู "ติดแล้วครับ" เสียงดังฟังชัดแว่วออกมาจากในเรือนนอน

"ไฟมาแล้วทำไมมึงไม่เป่านกหวีดวะ กูจะได้รู้" เสียงแกตะโกนถามพวกทหารเกณฑ์ แต่ผมก็ไม่รอคำตอบแล้วละครับ ร่ำลาลงมาทันทีเพราะตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินข้าวนี่ก็เกือบจะเที่ยงแล้วด้วย ขับรถพลางคิดไปพลางว่า "วันนี้คงไม่มีอะไรแล้วมั้ง" แต่ผมก็คิดผิดครับ มีงานอีกเยอะมากแถมอยู่กลางแดดจนแขนทั้งสองข้างของผมแดงไปหมด หน้าแสบไปหมดเช่นกัน แถมได้กินข้าวคำแรกตอนสี่โมงเย็น กินข้าวแล้วผมก็หลับไปงีบนึงแล้วก็ตื่นขึ้นมาเล่าเรื่องนี้ให้ฟังกันก่อนที่ผมจะลืมไป เหมือนกับเรื่องราวของคนอีกหลายๆคนที่ผมเริ่มจะลืมมันไปแล้วในตอนนี้ครับ

พรุ่งนี้กลับบ้าน หาวิธีเข้าที่กำบังบ้างดีกว่า ช่วงนี้โดนหนักๆทั้งนั้น

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น