วันพฤหัสบดีที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2553

"บางงอน" ในความทรงจำ ( 3 )

เมื่อผมโตขึ้นผมก็ไม่ค่อยได้ไปที่บางงอนบ่อยนัก นานๆจะแวะไปกราบตาหลวงหันซักครั้ง บางครั้งถ้าไปกับพ่อก็จะแวะไปที่บ้าน ยายสร้อย ที่อยู่หน้าวัดแวะเยี่ยมท่าน ท่านเป็นคนแก่ที่แข็งแรง ออกกำลังกายอยู่เสมอ มีหนังสือ ธรรมะ อยู่ใต้ถุนบ้านมีที่นั่งที่พักผ่อน ใครไปใครมาก็ได้ กินหมากกินน้ำ อ่านหนังสือ วันนึง ผมเข้าไปเยี่ยมท่านกับพ่อเช่นเคย ผมเห็นหม้อดินเผา ที่ชาวบ้านเอาไว้ใส่ข้าวสาร หรือที่เรียกว่า "ออม" ไว้วันหลังจะถ่ายภาพมาให้ชมครับ ผมเห็นว่าแปลกดี เลยเอ่ยปากขอท่านมา ท่านก็ให้มาหนึ่งใบ ตอนนี้ถ้าใครมาที่บ้านคงจะเคยเห็น หม้อใบนี้ จะตั้งอยู่ที่ในบ้านตรงประตู วางอยู่ใกล้ๆกับจานเก่าของวัดโพธาวาส ที่คุณปิงให้มา

ที่ผมเล่าเรื่องนี้ก็เพราะว่า เมื่อวานตอนที่ผมไปงานศพ ผมเจอ ป้าแดง ญาติที่อยู่แถวๆนั้น เมื่อทักทายกับพ่อผมแล้ว ก้หันมาทางผมแล้วบอกว่า " นี่มันไอ้คนบ้า "ออม" นี่นา" ทั้งๆที่เหตุการณ์นั้นผ่านมา สิบกว่าปี แต่ก็ยังจำกันได้ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงไมตรีจิตที่ดียิ่งของคน บ้านนอก พูดถึง เรื่องราวของคนบ้านนอกนั้น ป้าราตรี ได้นั่งคุยกันกับพ่อผมและผมก็นั่งฟังอยู่ด้วย ท่านพูดถึงเรื่องราวเก่าๆ ของบางงอน แต่ที่ผมชอบก็คือ ประโยคที่ว่า " คนป่า นับญาติ คนหลาด(ตลาด) นับเงิน" ซึ่งก็คงจะจริงตามนั้น ท่านยกตัวอย่างงานศพ คนชนบท ไม่มีเงินทองมากมายก็ต้องอาศัยญาติพี่น้อง มาช่วยกัน แต่ถ้าเป็นในเมืองมีเงินอย่างเดียวทุกอย่างก็จบ นอกจากนั้นลุงอีกคนที่อยู่แถวๆนั้นๆ แต่ผมไม่รู้จักก็บอกว่า งานศพนี่เราจะขาดไม่ได้เพราะเป็นงานสุดท้ายแล้ว เราอาจจะไม่ว่างไปงานบวช แต่เราได้ไปงานแต่ง อาจจะพลาดงานขึ้นบ้านใหม่ แต่เราไปงานอื่นๆ แต่ถ้าพลาดงานศพก็จบกันเลย งานศพเลยมีหลายคืนเพื่อให้ญาติมิตรได้มาเคารพศพกันเป็นครั้งสุดท้ายกันอย่างทั่วถึง

และที่ผมไม่ค่อยได้เล่าให้ใครฟังซักเท่าไหร่คือเรื่องราวของผมในตอนที่บวช ผมบวชที่นี่ครับ ที่วัดบางงอน ผมเลือกที่จะมาบวชที่นี่ วัดที่อยู่ห่างไกลจากสังคมเมือง เพราะผมศรัทธาในตาหลวงหัน ผมจำได้ว่าตอนที่ผมบวช ท่านกำชับว่าให้ท่องบทสวดให้ได้ ถ้าสวดไม่ได้ก็ไม่ต้องบวช เพราะเรื่องแค่นี้ถ้าทำไม่ได้บวชมาก้ไม่รู้ว่าจะบวชมาทำอะไร และผมเป็นนาคเดี่ยว บวชคนเดียวไม่มีคนช่วยด้วยเลยต้องขยันเป็นพิเศษ เมื่อเป็นพระแล้ว เพื่อนๆที่ไปร่วมงานบวช ก็ผลัดกันเอาเงินใส่ย่ามให้ กะๆดูแล้วก็หลายพัน เพราะผมเป็นคนที่เพื่อนเยอะ คนละร้อยสองร้อย แล้วเราก็ยืนคุยกันที่ใต้ต้นมังคุดในวัด ทันใดนั้นก็มีเสียงดังออกมาจากกุฏิเจ้าอาวาสว่า "บวชไม่ทันข้ามวัน หัดเล่นเงินแล้วเหรอ" ผมได้ยินก็รีบเดินเอาเงินทั้งหมดในย่ามไปให้โยมแม่ทันที เงินที่เขาฝากช่วยงานก็ต้องเอาไปช่วยงาน บวชแล้วไม่ต้องใช้เงิน

เรื่องเงินนี้ผมได้เห็นตาหลวงจัดการกับเงินที่ชาวบ้านถวายท่านแปลกๆ คือถ้าเป็นเงินทำบุญก็จะเข้าบัญชีของวัดไปแต่ที่โยมถวายให้ท่าน ท่านก็จะเก็บไว้ทั้งซอง วางกองๆไว้แถวๆที่นั่งของท่านนั่นละครับ ผมจำได้ว่าครั้งนึงเคยไปซื้อของกับท่านที่ในตลาด เวลาถามว่าของราคาเท่าไหร่ ผมต้องฉีกซอง ออกมานับทีละซองกว่าจะได้ครบจำนวนก้หลายซองอยู่ บางซองก็ ยี่สิบ ห้าสิบ ตามแต่กำลังศรัทธาของญาติโยม

บางครั้งท่านพูดกับผมว่า อย่าไปยุ่งตรงนั้นนะ (ชี้ที่แถวๆซองปัจจัยของท่าน) นั่นมันงูพิษ เดี๋ยวมันจะกัดเอา ด้วยเหตุนี้ผมจึงจำติดใจมาจนทุกวันนี้ ไม่ว่าจะทำอะไร ทุกครั้งจะมีคนจัดการเรื่องเงินเสมอ ผมจะไม่ยุ่งกับเงินเหล่านั้นด้วยตัวเองเลย

เมื่อผมบวชเรียบร้อย ท่านให้ผมนอนบนกุฏิเดียวกันกับท่าน เป็นห้องเล็กๆอยู่ที่มุมด้านใน ซึ่งไม่มีคนอยู่ ผมมารู้เรื่องจากพระที่บวชก่อนผมว่า เคยมีพระมานอนแต่พอเปิดหน้าต่าง ด้านหลังซึ่งติดกับคลองก็เจอบางอย่างโผล่มาทักทาย หลังจากนั้นก็ไม่มีใครมานอนอีกเลย แต่ผมไม่มีทางเลือกเลยต้องนอนที่นี่ไปจนถึงวันลาสิกขา
ผมนอนกับเสื่อผืนบางๆกับพื้นไม้กระดานแผ่นหนาๆ ตามแบบของกุฏิโบราณที่สร้างจากไม้ ในขณะนั้นตาหลวงเริ่มอาพาธ ต้องนอนบนเตียงพยาบาลสูง เป็นเตียงแบบเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล ในกุฏิก็มีกับแค่ผมกับตาหลวง แต่พอดึกๆ เวลาจะหลับก็จะได้ยินเสียงคนเดิน เพราะพื้นไม้มันต่อกันแต่พอเปิดประตูออกมาดูก็ไม่มีใคร แต่พออยู่ไปนานๆก็ชิน เวลาจะหลับก็ได้แต่บอกในใจว่า ฝากดูด้วยนะผมจะนอน แล้วก็หลับสบายทุกคืน

ตาหลวงสอนผมให้ฝึกสมาธิ ให้จุดเทียนแล้วเพ่งมอง (มาทราบทีหลังว่า เตโชกสิน) การฝึกทำให้ผมใจร้อน บางท่านว่าทำให้ดูแก่เร็ว แต่ผมคิดว่าเป็นเพราะโดนต่อมันต่อยมากกว่าน่า..555

ผมฝึกได้ไม่นานก็หยุด ไม่ได้ฝึกต่อสาเหตุเพราะว่า...หลังจากผมบวชได้สามวัน มีงานเผาศพที่วัดแห่งนึง จำไม่ได้แล้วว่าที่ไหน นิมนต์พระทั้งวัดไปสวดมาติกา ตาหลวงพูดกับผมว่า.. สวดกับเขาได้หรือเปล่า ถ้าสวดไม่ได้ก็อย่าไปเลย ไปนั่งหลอกชาวบ้านเปล่าๆ ผมเลยตัดสินใจ " ไม่ไป" ครับ แต่พอตอนเพลนี่สิ กับข้าวที่เดินบาตรมาในตอนเช้าก็ยังมีอยู่ แต่..ทั้งวัดเหลือผมคนเดียว ทำยังไงดีละทีนี้ ผมเดินไปที่โรงเรียนวัดที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก เรียกเด็กนักเรียนให้มาช่วยประเคนของให้แล้วนั่งฉันคนเดียวเงียบๆ ให้ยะถา สัพพี คนเดียว สวดยะถา สัพพี นี่ก็แปลก ผมท่องได้ตั้งแต่ยังไม่บวช ได้ฟังบ่อยๆได้ไปงานศพงานบุญ บ่อยๆ มันเลยจำได้เองมาจนกระทั่งทุกวันนี้

หลังจากนั่นผมมุ่งมั่นกับการสวดอภิธรรมเจ็ดคำภีร์ จนอีกสามวันต่อมาก็เริ่มที่จะสวดได้ทั้งหมด หลังจากนั้นผมไปทุกงานที่ชาวบ้านนิมนต์ได้อย่างไม่ต้องกลัวว่าจะไปนั่ง หลอกชาวบ้าน กินแรงเพื่อน อีกต่อไป

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น