วันอังคารที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2553

ด้วงคั่วเกลือ...

วันจันทร์ที่ 19 พฤษภาคม 2551

เปิดหัวข้อกระทู้แบบนี้จะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้นอกจากเรื่องงานของผมอีกแล้วครับท่าน สัปดาห์นี้วันจันทร์เป็นวันหยุดของคนทั่วๆไป(วันวิสาขบูชา) แต่สำหรับผมแล้ววันนี้ก็เหมือนวันอื่นๆ คือต้องทำงานครับวันจันทร์มีงานด่วนเข้ามาตอนสายๆ ผมขับรถไปทำงานแถวๆบ้านช่องพลี จังหวัดกระบี่เช่นเดิม อาการแบบที่เห็นในจ็อบ ปกติแล้วไม่ยากเลยแต่วันนี้กลับเคลียร์ไม่จบต้องขอตัวช่วยมาช่วยแก้ไข แต่เรื่องงานวันนี้ช่างมันเถอะครับที่ผมอยากจะบอกคือ เมื่อเสร็จงานแล้วผมก็เติมน้ำมัน เต็มถังเหมือนเดิม ปกติผมจะไม่ค่อยได้ดูราคาซักเท่าไหร่ แต่วันนี้นึกยังไงไม่รู้ผมหันไปดูที่หัวจ่าย 2,220 บาท โห เมื่อก่อน(สมัยหนุ่มๆ) ผมเติมน้ำมันเต็มถังเขย่ารถให้น้ำมันลงไปเพื่อที่จะให้เติมได้อีก ยังไงๆก็ไม่เกิน 800 บาท แต่วันนี้ 2,220 (สองพันสองร้อยยี่สิบบาทถ้วน) แต่ก็ยังเฉยๆครับ แล้วผมก็ขับรถกลับบ้าน ปกติตอนกลับผมจะไม่ขับรถเร็วมากนัก จะขับแบบสบายๆ แต่วันนี้บังเกิดมีรถรุ่นใหญ่มาเลียบๆเคียงๆ แถมถนนก็ว่างเลยลองหยอกๆชวนพี่เค้ามาใช้ความเร็วกันซักหน่อย ขับไปขับมาความเร็วรถของผมไปอยู่ที่ 160 กว่าๆ แต่ก็ยังกินกันไม่ลงจนเข้าเขตจังหวัดสุราษฎร์ธานี ถนนเริ่มไม่เรียบ มีการทรุดตัวของถนนอยู่เยอะมาก ก็เลยเลิกเล่นกัน แล้วผมก็เหลือบมองเข็มวัดน้ำมัน เฮ้ยๆๆ ลดลงมา 1/3 เลยที่เดียว เมื่อกี้ยังเต็มอยู่เลย 2,220 บาท ขับเล่นๆไม่ถึงร้อยกิโล หายไปเจ็ดร้อยกว่าบาท

แต่ที่ผมรู้สึกอีกอย่างก็คือ "ที่แข่งกันมาเป็นยังไงไม่รู้ รู้แต่ว่า ที่ไอ้รถคันนั้นแพ้ผมแน่ๆก็คือ "น้ำมัน" ครับ ก็ของเค้าเติมเงินส่วนตัว ของผมมันน้ำมันบริษัทนี่นา 555 (ตัวอย่างไม่ดีผู้ปกครองควรพิจารณา เราควรช่วยกันประหยัดพลังงานนะครับ)และที่ผมมั่นใจอีกอย่างก็คือ ไม่ว่ายี่ห้อไหนที่โฆษณาว่าประหยัดน้ำมัน ถ้าขับเกิน 120 Km/h แล้วละก็ ผลาญน้ำมันสุดยอดเหมือนๆกันทั้งนั้นครับ

วันนี้เพื่อนชวนไปเวียนเทียน แต่ผมไม่ได้ไป ผมรู้สึกเหนื่อยมากเลยต้องพักผ่อนก่อนเพราะว่าพรุ่งนี้(วันอังคาร)คงต้องไปกระบี่อีกแล้ว

วันอังคารที่ 20 พฤษภาคม 2551

วันนี้ตื่นนอนขึ้นมาผมก็ทำเหมือนเดิมทุกวันคือหยิบโทรศัพท์มาอ่านข้อความที่ไม่ได้อ่านเมื่อคืน อือ 14 ข้อความที่ยังไม่ได้อ่าน น้อยดีจริงๆ อ่านหมดแล้วก็นอนต่อเลยครับไม่มีงานเข้ามาเลยเมื่อคืนนี้มีเฉพาะsms แจ้งไฟฟ้าดับแจ้งไฟฟ้าจ่าย ตามปกติเท่านั้น นอนอีกงีบดีกว่า

จนสายๆตื่นมา ออน MSN คุยกะคนโน้นคนนี้ไปเรื่อยเผลอแป๊บเดียว เที่ยงอีกแล้ว ตัดใจปิดคอม อาบน้ำ ไปเบิกของที่สโตร์ เพื่อจะไปเกาะยาวน้อย ในวันพฤหัส อีกอย่างวันนี้ผมจะมีคนมาช่วยงานอีกคนนึงแล้ว (จะสบายแล้ว) ผมก็ขับรถออกจากบ้านขับไปเรื่อยๆสบายๆก็มันไม่มีงานนี่ครับ จนมาถึงสโตร์ ผมเข้าไปตรวจสอบอุปกรณ์ที่ส่งมาจากบางกอก ปรากฏว่า ขาดไปสองชิ้น สอบถามไปก็ถึงได้รู้ว่าของยังไม่มีต้องรอก่อน โอ้ สวรรค์ กลับบ้านนอนอีกรอบดีกว่า ว่าแล้วผมก็โทรบอก เพื่อนร่วมทีมของผมว่า"ไม่มีงานว่ะ มึงทำธุระไปไปก่อนได้เลย ถ้ามีงานด่วนเดี๋ยวค่อยโทรตาม" แต่เหมือนสวรรค์ชังดั่งนรกแกล้งพอวางสายจากเพื่อนได้แป๊บเดียวกำลังจะออกจากสโตร์เพื่อกลับบ้าน เสียง น้องตั๊กแตน ชลดา (อยู่บ้านเรา ยามหนาวก็หนาวแค่เพียงกาย....) ก็เรียกให้ผมต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาดู "เบอร์น้องก้อยนี่หว่า" วันนี้นึกไงถึงโทรมาหนอ

"พี่นภๆๆ อยูไหนครับพี่" "สุราษฎร์" "แล้วพี่ไม่มากระบี่เหรอ" "ยังไม่มีงาน ทำไมเหรอ" "พอดีวันนี้ผมเสร็จงานเร็ว ตอนนี้อยู่ที่กระบี่ ว่าจะเลี้ยงพี่ซักหน่อย ว่าจะ ว่าจะ อยู่หลายทีแล้ว" ผมคิดอยู่ประมาณ สองวินาทีแล้วตอบไปว่า

"เดี๋ยวไม่เกินห้าโมงเย็นพี่ไปถึง กินร้านไหน บอกด้วย" แล้วผมก็เปลี่ยนแผนทันที โทรกลับไปบอกไอ้รุณว่า ไม่ต้องไปไหนแล้วนะเตรียมตัวไว้เลย "มีงานด่วนว่ะ"

ด้วยความเร็ว 160 กว่าๆ เร็วเท่าที่ Dmax จะรีดออกมาให้ผมได้ ประมาณ สี่โมงเย็นผมก็เข้าเขตตัวเมืองกระบี่ พอเข้าเขตปุ๊บ ผมกดโทรศัพท์ทันที "อยู่ไหนวะ" "ผมอยู่โลตัสครับพี่" "เออ...เดี๋ยวเข้าไป" แล้วผมก็เลี้ยวไปทางอำเภอเหนือคลองมุ่งตรงไป โลตัส สาขาจังหวัดกระบี่ทันที แต่แล้วน้องตั๊กแตนก็ร้องเพลงเดิมอีกรอบ "พี่ๆๆ เดี๋ยวผมไปส่งน้องๆในทีมเข้าที่พักก่อนนะ อีกครึ่งชั่วโมงเจอกัน" อ้าวผมมาถึงโลตัสแล้วนี่ทำไงได้ก็เลยชวนไอ้รุณเข้าไปกินข้าวในห้างเดินชมโน่นชมนี่ แล้วก็เสียตังค์กับค่าหนังสือที่ร้านซีเอ็ดไปอีก สองร้อยกว่าบาท

น้องก้อยยังเงียบอยู่ยังไม่ส่งข่าวมาผมเลยชวนไอ้รุณเข้าที่พักกันก่อน แต่เหมือนกับน้องก้อยจะรู้ความเคลื่อนไหวของผมตลอดเวลาพอเปิดประตูห้อง เสียงน้องตั๊กแตนก็ดังอีกแล้ว (อยู่บ้านเรา ยามหนาวก็หนาวแค่เพียงกาย....) "ครับน้องก้อย" "พี่ผมเสร็จงานแล้วนะพี่พักที่ไหนมาหาเบียร์กินกันดีกว่า ก่อนนอนซักขวดสองขวด" "ได้ๆๆๆ เอาแบบนี้ดีกว่าน้องมาที่โรงแรมที่พี่พักดีกว่า หน้าโรงแรมมีร้านข้าวต้มอยู่" "ครับๆๆเดี๋ยวผมไปหานะพี่"

ไอ้รุณที่อยู่เงียบๆทำหน้าสงสัยๆตั้งแต่ออกมาจากสุราษฎร์ก็ถามผมว่า "นี่ใช่มั้ยงานด่วนของมึง" "เออ" ผมตอบอย่างสุภาพแล้วลากมันลงมาข้างล่างทันที

ด้านล่างของโรงแรมตรงหัวมุมจะเป็นร้านข้าวต้มแต่ว่าไม่โต้รุ่ง ปิดประมาณเที่ยงคืนพอมาถึงพร้อมหน้าปรากฏว่า น้องก้อยพาเพื่อนมาอีกคน ชื่อ โจ เป็นพนักงานชั่วคราวที่ทำงานร่วมกันมาด้วย เราเลยเลือกนั่งโต๊ะริมถนน สี่คนพอดี ให้ไอ้รุณสั่งกับข้าวกับแกล้มมา สามสี่อย่าง โดยที่ผมนั่งติดกับน้องก้อย น้องก้อยไม่พูดหล่ามทำเพลงใดๆทั้งสิ้น สั่งเบียร์ทันที "ลีโอ ขวดนึง"


อือก็ดีนะ นานๆกินลีโอซักทีก็ดีเหมือนกัน พอเบียร์ยกมาตั้งรินกันคนละแก้วรวดเดียวหมดไปหนึ่งขวด ยกแก้วกันคนละสองทีหมดไปแล้วหนึ่งขวด น้องก้อยหันไปชู หนึ่งนิ้วกับแม่ค้าเป็นสัญญาณว่าเอามาอีกขวด ในขณะที่เบียร์ขวดแรกหมดนี่อย่าว่าแต่กับข้าวจะมาเลยครับ จานชามช้อนยังแจกกันไม่ทันหมดเลย เหมือนกับว่าไม่ได้เจอน้ำสีเหลืองๆนี่มานานมากๆ


พวกเรานั่งคุยถามข่าวคราวกันตามประสาคนที่ไม่ได้เจอกันมานานมาก ...... ลืมบอกไปว่าน้องก้อยทำงานส่วนงานขายดูแลพื้นที่จังหวัดตรังกับจังหวัดกระบี่ ขนาดมาทำงานอยู่จังหวัดเดียวกันแท้ๆ ผมกับน้องก้อยยังไม่เคยเจอกันที่กระบี่เลยครับ ต่างคนต่างทำงาน วันนี้คงจะเป็นฤกษ์งามยามดีที่เราได้เจอกัน ปกติผมจะไม่ค่อยกินเหล้ากินเบียร์ซักเท่าไหร่ถ้าอยู่ใน วงที่มีคนที่ไม่สนิทหรือว่ามีคนอื่นที่ไม่รู้จักนั่งอยู่ด้วย แต่วันนี้มีแต่คนกันเองทั้งนั้นแถมไม่ต้องขับรถ แบบนี้ก็เต็มที่เลยครับ


กับข้าวทยอยนำมาตั้งให้พวกเราชิมกันอยู่เรื่อยๆ ยำไข่เยี่ยวม้า (มีพี่คนนึงไม่กินไข่เยี่ยวม้าด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นคนไม่กินของดำ )
แล้วก็กระดูกหมูทอดกระเทียม แล้วอะไรอีกอย่างผมก็จำไม่ได้ เพราะมัวแต่นั่งดูน้องก้อยยกนิ้วอยู่เรื่อยๆ เดี๋ยวก็ยก เดี๋ยวก็ยก ส่วนโจนั้นพอหมดแก้วแรกก็คุยโทรศัพท์ ส่วนรุณ ก็ติดสายเหมือนกัน กลายเป็นว่าผมนั่งคุยกับน้องก้อยกันสองคน กินเบียร์ไปด้วยคุยนั่นคุยนี่ ไม่รู้ไปสรรหามาจากไหนกันนักหนา(นี่แหละน้า เขาถึงบอกใครได้ผัวขี้เหล้า ต้องทนทั้งขี้เมา ขี้โม้ ขี้คุย ) จนพอผ่านขวดที่หก น้องก้อยเริ่มบ่นให้ฟัง "พี่นภ ผมมาอยู่กระบี่กับตรังนี่ผมคิดหนักเลยนะ ซื้อบ้านไว้ที่สุราษฎร์ แฟนผมก็อยู่สุราษฎร์ ห่างมานานๆ คิดถึงเหมือนกันนะเนี่ย" โอ้ช่างเป็นคำพูดที่ถูกใจผมเหลือเกิน ไม่ต้องรอให้น้องก้อยยกนิ้วแล้วครับ คราวนี้ ผมยกนิ้วเองเลยครับ เรียกว่ายกกันมาอย่างไม่ขาดสาย จนกระทั่ง..... เสียงโทรศัพท์ของน้องก้อยดังขึ้น

บทความต้นฉบับ ที่ http://www.siamsouth.com

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น