"คิดถึง" พงษ์สิทธิ์ คำภีร์ ต้นฉบับจาก http://www.siamsouth.com/
ก่อนหน้านี้ซักสองสามสัปดาห์ ผมนึกยังไงก็ไม่รู้เอาเพลงของพี่ปู ไปฟังในรถทั้งๆที่ก่อนหน้านี้จะหนักไปทางเพลงของคาราบาวมากกว่า ก็อย่างที่รู้ๆกันละครับว่า ชีวิตผมนั้นเดินทางแทบทุกวัน วันละเป็นร้อยกิโล ดังนั้นสิ่งที่จะพอคลายเครียดได้ในระหว่างการเดินทางก็คือ เสียงเพลง ยิ่งเวลาที่ต้องขับรถกลับมาคนเดียวบนถนนสาย 44 ในตอนเที่ยงคืนหรือตีหนึ่ง มันช่างวังเวงซะเหลือเกิน ก็ได้อาศัยเสียงเพลงนี่ละครับที่เป็นเพื่อนร่วมทาง เปิดเสียงดังๆแล้วแหกปากร้องลั่นรถ พอให้คลายความเครียดไปได้บ้าง
แต่พอได้มาฟังเพลงของพี่ปู พงษ์สิทธิ์ ซึ่งผมไม่ได้ฟังมานานแล้ว มันมีความรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาอย่างประหลาด บางเพลงผมฟัง สองสามรอบ ฟังไปด้วยนั่งคิดถึงเรื่องราวเก่าๆไปด้วย เพราะถ้าจะนับจริงๆแล้วนั้น ผมว่าเพลงของพี่ปู คำภีร์ น่าจะเป็นเพลงร่วมสมัยของผมจริงๆที่สุด เพราะถึงแม้ว่าผมฟังคาราบาวมาตั้งแต่เด็กๆ ร้องตามได้แทบทุกเพลง แต่บางเพลงก็ไม่เข้าใจความหมาย บางเพลงของคาราบาว ที่คุ้นเคยมาตั้งแต่เด็ก และคิดว่าเข้าใจความหมายตอนนั้น แต่เพิ่งจะมาซาบซึ้งกับบทเพลงก็ต้องรอจนอายุปูนนี้ก็มี อย่างเพลง "ตุ๊กตา" เป็นต้น
แต่เพลงของพงษ์สิทธิ์ คัมภีร์ ฟังตอนนั้น เข้าใจตอนนั้น และมีความสุขตอนนั้น ช่วงที่ผมกำลังเป็นวัยรุ่น วัยที่เต็มไปด้วยฝันและจินตนาการ ต้องการที่จะหาคนต้นแบบทางความคิด ต้องการเป็นนักสู้ด้านอุดมการณ์ อย่างที่ พี่ๆ ที่เรียน รามคำแหง และ ราชมงคลสงขลา กำลังทำกันอยู่ แต่ด้วยวัยที่ยังอ่อนมากนักถ้าเทียบกับพี่ๆที่ เรียน มหาวิทยาลัย เด็ก ม.3 อย่างผมทำได้แค่ติดสติ๊กเกอร์แผ่นใหญ่ๆ ที่มีคำว่า "หยุดเขื่อน" ไปเรียน และก็โดนบังคับให้แกะทิ้งไปในที่สุด นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าโดนลิดรอนสิทธิของผม ทั้งๆที่ผมก็ไม่เข้าใจหรอกครับว่า สิทธิมนุษยชน ที่เค้าพูดกันนั้นมันคืออะไร
อาจจะเป็นที่ตอนนั้นช่วงปี 2532-2534 ที่สุราษฎร์ธานี กำลังมีการประท้วง การสร้างเขื่อน แก่งกรุง กันอยู่ และน้าแอ๊ดก็ออก อัลบั้ม "โนพลอมแพลม" ออกมา มี เพลง เขื่อน เพลงสนั่นป่า ออกมา มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกถึงพลังของมวลชนมากขึ้น และอัลบั้มชุดนี้ก็เป็น เทป ม้วนแรกที่ผมเก็บเงินซื้อเอง แต่ก็นั่นละครับ มันไกลเกินตัวมากจริงๆ และเมื่อผมจบ ม.3 เข้าเรียน ปวช สิ่งเหล่านี้ก็เริ่มหายไปทีละน้อยแต่ก็ไม่ถึงกับขาดหาย ในช่วงเวลานี้ ผมได้รู้จักกับพี่ที่เปิดร้านขายเทปอยู่ในเมือง สุราษฎร์ธานี พี่ชายคนนี้จะแนะนำ เทปเพลงใต้ดินให้ผมฟังอยู่บ่อยๆ แต่หนึ่งในนั้นก็มีเทป ชุดเสือ 11 ตัว รวมอยู่ด้วย ทำให้ผมได้รู้จักพงษ์สิทธิ์ คำภีร์ แบบเต็มๆม้วนซะที หลังจากที่เคย แว่วๆ เสียงเพลงที่มีเนื้อร้องว่า " ออกเดินจากบ้านสู่เมืองฟ้า สู่เมืองเทวา เมืองบางกอก เดินทางเดียวดายจากบ้านนอก มาเล่ามาเรียนมาศึกษา....." ผ่านมาทางคลื่นวิทยุ ตามร้านค้าที่เดินผ่าน
ขอย้อนกลับมาเล่าชีวิตวัยเด็กให้อ่านกันอีกนิดครับ ช่วงเด็กๆ ส่วนใหญ่ผมจะมีโอกาสได้ฟังเพลงจากเทป เท่านั้นครับ เพราะเครื่องเล่นเทปเครื่องนั้น เสามันหัก ฟัง FM ไม่ได้ ถึงฟังได้มันก็มีคลื่น FM อยู่สองหรือสามคลื่นเท่านั้น ส่วนกลางคืนก็ฟัง นิทานหรือละครวิทยุกับย่า ทางวิทยุ AM เท่านั้น เพราะผมเป็นเด็กต่างอำเภอที่ต้องเข้าไปเรียนในเมืองสุราษฎร์ ตื่นเช้า กลับเย็นมากๆ ทุ่ม สองทุ่ม แถวบ้านก็เงียบสนิท นานๆจะได้ยินเสียงขลุ่ย จากบ้าน ตาสอย ดังมาซักครั้ง แต่ตอนนั้นผมไม่ชอบเสียงขลุ่ยของตาสอยเอาซะจริงๆเลยครับ มันวังเวงยังไงก็ไม่รู้ กลับมาเรื่องพี่ปู ต่อดีกว่าครับ เดี๋ยวจะไหลไปไกลเกินกว่านี้
เมื่อผมรู้จักเทปชุดเสือ 11 ตัวแล้ว จะด้วยกลยุทธในการขายหรือจะอย่างไรก็ตาม ผมก็ได้เทปชุด ถึงเพื่อนมาอีกหนึ่งม้วน และทั้งสองม้วนนี้เป็นการฟังย้อนหลังทั้งสิ้น (ตอนเค้าออกมาใหม่ๆไม่รู้จักนี่นา) และชีวิตเด็กช่างอย่างผมในสมัยนั้นก็คงไม่ต่างกับหลายๆท่านมากมายนัก มีเพื่อนเยอะ ไปไหนมาไหนด้วยกัน ชอบอยู่กันเป็นกลุ่ม นั่งคุยกันบ้าง หา L ก ฮ มานั่งดื่มกันบ้างตามประสาวัยรุ่น แต่ตอนนั้น ผมไม่ดื่มเหล้า ไม่สูบบุหรี่ นะครับเป็นคนดี(จริง..?) แถมยังชอบว่าเพื่อนที่มันสูบบุหรี่ด้วย เพื่อนผมตอนนั้นบางคนสูบมาตั้งแต่มัธยม ต่อเนื่องมาถึง ปวช เลยละครับ แต่นั่นก็คือเรื่องราวสมัยนั้น.. ตอนนี้มันกลับเฟสกัน 360 องศา เลยครับ เพื่อนๆที่สูบบุหรี่ตอนนั้นมันเลิกหมดแล้ว แต่ไอ้คนดีตอนนั้นอย่างผม ตอนนี้วันนึงเกือบซองแล้วครับ
และอีกอย่างที่แน่นอนก็คือ ถ้ามีเหล้า ก็ต้องมี กีตาร์ มีกีตาร์ ก็ต้องมีเพลงเพื่อชีวิต เคาะกระติก เคาะขวด ไปตามเรื่องตามราว และช่วงนั้น พี่ปูมีอัลบั้ม บันทึกการเดินทางออกมาแล้ว เพื่อนๆที่มันเล่นกีตาร์เป็น พอมันเล่นกันสองคน แล้วเล่นเพลง คิดถึง หรือเพลงไทรโศก โอ้...มันช่างเพราะอะไรเช่นนั้น แต่เพลงส่วนใหญ่ก็ยังเป็นเพลง ลุงขี้เมา หรือ วณิพก ซึ่งช่วงนั้นก็เป็นเพลง ประจำวงเหล้า แทบจะทุกวงเลยละครับ นานๆจะมีเพลงเรียนและงาน หลุดออกมาซักครั้ง แต่ก็ไม่เป็นไรครับ ผมยังมีโลกอีกใบอยู่ในร้านเทปของพี่ชายคนนั้น และเมื่อผมคุยกับแกว่า ผมชอบเพลง "เธอผู้เสียสละ" ของพงษ์สิทธิ์ แกก้มลงไปหยิบเทปม้วนนึงขึ้นมา เป็นเทปรวมเพลงเก่าๆ มีเพลงเดือนตุลา รวมๆกันอยู่ในนั้น มีชื่อเพลง เธอผู้เสียสละ อยู่ด้วย แต่เป็นเสียงของน้า เศก ศักดิ์สิทธิ์ เชื้อกลาง ราคา 25 บาท ขาดตัว พี่แกบอกกับผมว่า ฟังเสียงพี่เศก ได้อารมณ์กว่าเยอะ และผมก็หวังเช่นนั้น..
แต่แล้ว ความฝันของผมก็พังทลายลงเมื่อเอาเทปม้วนนั้นยัดใส่เครื่องเล่นเทปที่บ้าน มันเป็นเทปที่น่าจะอัดแบบก็อปปี้กันเอง บวกกับเครื่องเล่นเทป เก่าๆที่ไม่เคยผ่านการล้างหัวเทป ของผมทำให้ฟังเสียงแทบจะไม่รู้เรื่อง ผมจึงเลิกฟังเวอร์ชั่นเก่า ฟังแต่เสียงของพี่ปู คนเดียว จนกระทั่งทุกวันนี้ ผมยังอยากจะลองกลับไปฟังเพลงนี้อีกซักรอบ แต่ก็ยังหามาฟังไม่ได้ แถมเทปทั้งหมดในช่วงนั้นก็หายไปหมดพร้อมๆกับการย้ายบ้านหลายๆหนของผม ยังนึกเสียดายอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้เลยครับ
และพอปี 2535 ผมเรียน ปวช ปีที่ 2 เกิดเหตุการณ์ พฤษภาทมิฬ และผมก็ได้(พยายาม)จะมีส่วนร่วมด้วย พยายามชวนเพื่อนๆไปประท้วง เดินไปที่ศาลากลางเก่า (ตอนนี้เป็นศาลหลักเมือง) แต่ก็คน สิบกว่าคนเท่านั้น ไม่ได้ทำอะไรให้ใครสะเทือนได้เลย เหลือไว้แต่ความอ่อนล้า ตอนกลับมาถึงบ้านเท่านั้นเอง
แต่เหตุการณ์ที่เปลี่ยนความรู้สึกของผมก็คือ หลังจากนั้น เวลาเพื่อนๆตั้งวง ผมก็จะขอเพลง ใครฆ่าประชาชน หรือ เพลงราชดำเนิน ซึ่งไม่ค่อยมีใครเล่นให้ผมฟัง "อยากร้องมึงร้องเองสิ ทั้งเพลงมีดนตรีนิดเดียว" (เพลงราชดำเนิน) ดังนั้นผมก็เริ่มคิดที่จะหัดเล่นกีตาร์ สมัยนั้น เรื่องกีตาร์ แทบจะเป็นเรื่องที่ไกลตัวกันมากๆ ร้านขายเครื่องดนตรีโดยเฉพาะจะไม่มี ถ้าอยากได้กีตาร์ ก็ต้องไปที่ร้านเครื่องเขียน ผมเดินไปยืนดูอยู่ที่หน้าร้านขายเครื่องเขียนที่หน้าโรงเรียน สุราษฎร์พิทยา อยู่เป็นเดือน กว่าจะกำเงิน 1200 บาทไปซื้อ กีตาร์ สีดำ ยี่ห้อ Champ มาได้ ตอนนั้นกีตาร์ มีฟูจิยามา กับแชมป์ แค่สองยี่ห้อเท่านั้นที่ขายอยู่ในร้านนี้ แถมผมเก็บเงินได้ไม่ถึงหรอกครับ แต่เพื่อนคนนึง ถอดแหวนทองไปจำนำ แล้วเอามาสมทบ ทำให้ผมได้กีตาร์ตัวนั้นมาหัดเล่นจนได้
แต่จนแล้วจนรอด ผมก็ยังเล่นไม่เป็นเรื่องเป็นราวซักทีพยายามไปหัดเล่นกับเพื่อน ไอ้เราก็ไม่มีเวลาเพราะต้องเดินทางข้ามอำเภอ สมัยก่อนนั้น ถ้าดึกหน่อยรถก็หมด ต้องรีบกลับบ้าน แถวๆบ้าน ทั้งพี่ๆน้องๆ ไม่มีใครเล่นดนตรีกันซักคน แถวนักดนตรีประจำชุมชน อย่างตาสอย ก็ เป่าขลุ่ยเป็นอย่างเดียวซะอีก เลยไม่รู้จะทำยังไงก็ปล่อย เลยตามเลยไปเรื่อยๆ
แต่ที่ผมประทับใจเพลงของพี่ปูมากๆ และยังจำมาจนกระทั่งทุกวันนี้เลยก็คือเพลง "ไถ่เธอคืนมา"ครับ หลายๆคนอาจจะประทับใจเพลงนี้จะด้วยสาเหตุอะไรก็ตาม แต่ก็คงจะไม่เหมือนผมแน่ๆครับ เรื่องของเรื่องก็คือ มีเพื่อนผมคนนึง พักอยู่กับแม่ที่เป็นแม่บ้านของหอพักแถวๆสี่แยกการุณ กลางเมืองสุราษฎร์ธานี ที่หน้าหอจะมี ต้นขนุนอยู่ต้นนึงมีม้านั่งเล็ก ขนาดพอนั่งได้ แค่สองสามคนอยู่ใต้ต้นขนุนต้นนั้น พวกเราก็จะชอบไปนั่งเล่นกันแทบจะทุกเย็น หลังเลิกเรียน ผมชอบไปนั่งมอง สาวอาชีวะ หน้าตาน่ารักๆ ที่มีบ้านอยู่แถวนั้น หรือที่พักอยู่ที่หอแห่งนี้อยู่ประจำ บางวันเพื่อนผมก็เอากีตาร์มานั่งเล่นโชว์สาว แถมมันยังเล่นเก่งอีกด้วย ผมตอนนั้นเป็นได้แค่ที่ทับกระดาษ คือ มีหน้าที่เอามือกดหน้าหนังสือเพลงไว้ไม่ให้มันพลิกเปลี่ยนหน้าลมพัดเท่านั้นเอง
แต่ผมก็จับคอร์ดได้บ้างแล้วนะครับ พวก G Am C D Em นี่พอจะได้อยู่บ้างแล้ว แต่พอเอามันมารวมกันในเพลงแล้ว มันเหมือน หมาเหยียบชามข้าวเลยครับ โป๊งๆ เป้งๆ ไปตามเรื่อง และในช่วงนั้น ผมก็แอบมองๆสาวคนนึงไว้ เธอชอบแอบมานั่งฟังเพลงที่เพื่อนผมเล่นบ่อยๆ แถมบางครั้งยังถามผมว่า "แล้วเธอ เล่นไม่เป็นเหรอ" ผมก็ยิ้มๆ บอกว่าแล้ววันนึงจะเล่นให้ฟัง และแล้วก็ถึงวันนั้น วันนั้นเพื่อนผมนั่งเล่นอยู่แล้วก็กลับเข้าไปในบ้าน ทิ้งผมนั่งอยู่กับกีตาร์ ที่ใต้ต้นขนุน และแน่นอนครับ เหมือนผีผลัก.. คนสวยของผมเดินมาพอดี แต่ดูเหมือนเธอจะรีบๆด้วยเห็นเดินก้าวยาวๆ มาแต่ไกล ไวเท่าความคิด ที่ทับกระดาษอย่างผม หยิบกีตาร์ขึ้นมาทันทีกะว่า พอเธอเดินมาใกล้ๆ แล้วก็บรรจงจับคอร์ด G แล้วกรีดลงไปพร้อมกับ "ผ่านไปสองปีที่เธอลาหายจาก... D Em ครบสามคอร์ด มาตรฐานที่ผมเล่นได้พร้อมๆกับเธอเดินผ่านไปพอดี เมื่อเธอเดินผ่านไปผมคลายออกจากคอกีตาร์ ในมือนี่เหงื่อเต็มเลยครับ และเพลงนี้เป็นเพลงแรกในชีวิตที่ผมร้องและเล่นให้คนอื่นฟัง แถมยังเป็นเธอคนนั้นอีกด้วย
และเมื่อผมฟังเพลงนี้เมื่อไหร่ผมก็จะคิดถึงเรื่องนี้ทุกทีแม้ว่ามันจะผ่านมาเกือบ 20 ปีแล้วก็ตามและทุกวันนี้ผมก็ยังเล่นเพลงนี้อยู่แทบทุกครั้งที่จับกีตาร์ (ปีละ ไม่เกิน 10 ครั้ง) แถมฝีมือก็พัฒนามาจากตอนนั้นอีกนิดหน่อยคือ ผมสามารถจับคอร์ด F#m ได้แล้วครับ ส่วนอย่างอื่นเหมือนเดิมทั้งหมดครับ เล่นคนเดียวฟังคนเดียวเหมือนเดิมเลยครับ
บ่นมาซะเยอะวันหลังค่อยมาบ่นใหม่ ขอบคุณคุณ แจ๊ค คำภีร์ ที่เข้ามาแนะนำ เวบ คำภีร์ดอท เนท www.kampee.net ทำให้คิดถึงวันเก่าๆขึ้นมา
ลองเข้าไปเยี่ยมชมและให้กำลังใจคนทำเวบนี้กันดูนะครับ เวบที่ตั้งใจทำอะไรดีๆแบบนี้น่าสนับสนุนมากๆเลยครับ
"มั่นคง" (จากความในใจในปกเทปชุดบันทึกการเดินทาง ของพี่ปู)
นภดล
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น