วันอาทิตย์ที่ 3 มกราคม พ.ศ. 2559

สะพายเป้ท่องมาเลเซีย ตอนที่ 2 KL Sentral

หลังจากที่หลับๆตื่นกันอยู่หลายชั่วโมง เราก็มาถึงสถานี KL Sentral หรือสถานีกลาง กัวลาลัมเปอร์ รถด่วนขบวนที่ 21 ที่เรานั่งมายังเดินทางต่อไปยังปลายทางที่สถานี JB Sentral ไม่ใช่สุดปลายทางที่สถานีนี้ ดังนั้นเราจึงต้องรีบแบกเป้ แบกกระเป๋า ออกมาจากขบวนรถกันภาพแรกที่เห็นของ สถานี KL Sentral มันเหมือนกับสนามบินแถวๆบ้านเรา มีบันไดเลื่อนพาเราขึ้นไปด้านบน มีป้ายบอกทางที่เป็นสากล ทำให้สามารถเดินทางได้ด้วยตัวเองโดยไม่ลำบากมากนัก


ภาพแรกที่เราเห็นหลังจากขึ้นมาจากบันไดเลื่อน ส่วนร้านค้าและการบริการอื่นๆยังปิดร้านเงียบอยู่ เพราะเรามาถึงในเวลา 4:30 น.หรือ 3:30 น. ตามเวลาในประเทศไทย หลังจากนี้เราก็จะใช้เวลาในประเทศมาเลเซียเป็นเวลามาตรฐานกันแล้วนะครับ สิ่งที่พวกเรามองหาเป็นอันดับแรกคือ ห้องน้ำ ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากบันไดเลื่อนที่เราขึ้นมา ส่วนเรื่องของกินคงจะยังไม่ต้องรีบร้อนเพราะยังเช้าอยู่มาก


ชั้นที่เราขึ้นบันไดเลื่อนขึ้นมาจะมีทางออกไปด้านนอกที่มีรถ แท๊กซี่จอดรออยู่และเป็นโรงแรมที่สะดวกสบาย แต่เราไม่ได้พักที่นี่เพราะราคาสูงเกินกว่านักเดินทางจนๆแบบพวกเราจะเอื้อมถึง 555 แต่ก็เหมาะสมกับลูกค้าในอีกระดับ ที่มีกำลังซื้อและเน้นความสะดวกสบายหรูหรา ที่สามารถเดินเข้าไปใช้บริการได้โดยไม่ต้องใช้ระบบขนส่งอื่นๆเลย


ผมเดินดูนั่น นี่ นู่น ไปเรื่อยๆเพื่อฆ่าเวลา เนื่องจากตอนนี้เป็นเวลาเช้ามากๆ เรายังเข้าเช็ค อิน โรงแรมที่จองไว้ไม่ได้ จะเดินทางไปเที่ยวที่ไหนก็ยังไม่สะดวก เนื่องจากรถไฟฟ้าเปิดให้บริการตอน 6:00 น. ที่มีให้บริการวิ่งไป มา อยู่ในตอนนี้คือ รถด่วนสนามบิน KLIA ที่ผมเองก็ไม่แน่ใจว่ามีบริการตลอด 24 ชั่วโมงหรือเปล่า ในชั้นนี้จะมีส่วนให้บริการของ ETS รถด่วนขบวนใหม่ของมาเลเซียอยู่ด้วย แต่ก็ยังไม่เปิดทำการด้วยเช่นกัน ดังนั้นบรรยากาศต่างๆจึงดูเงียบๆ เหงาๆ อย่างที่เห็น


เมื่อสมาชิกเข้าห้องน้ำกันเป็นที่เรียบร้อย พวกเราก็แบกเป้ สัมภาระ ลงไปยังโถงด้านล่าง ที่เป็นศูนย์รวมของการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าหลายๆสาย แต่ก่อนจะลงไปก็ขอถ่ายภาพสาวมาเลย์ คนแรกที่ผมได้เจอในสถานีรถไฟแห่งนี้เป็นที่ระลึกกันเสียก่อน



บันไดเลื่อนที่พาเราลงมาจากด้านบน

ในห้องโถงกลางด้านล่าง มีร้านอาหารที่เปิดบริการ 24 ชั่วโมงอยู่หลายร้าน เรียกได้ว่ามาอยู่ที่นี่ทั้งวันทั้งคืนก็ไม่น่าจะลำบากอะไรมากนัก ... ถ้ามีเงิน



บรรยากาศในยามเช้าของที่นี่ดูเงียบๆ เหงาๆ จนไม่น่าเชื่อว่าในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าจะเป็นสถานที่ ที่มีผู้คนพลุกพล่านมากๆอีกที่หนึ่งในมาเลเซีย แต่ก็ทำให้พวกเราได้บรรยากาศของการเอนตัวลงนอนที่หัวลำโพงบ้านเราได้เป็นอย่างดี แตกต่างกันตรงที่สถานีนี้มีเครื่องปรับอากาศตลอดเวลา ไม่ร้อนและสะอาดกว่ามาก และที่สะดุดตาเป็นอย่างยิ่งคือป้ายโฆษณาของ แอร์ เอเซีย สายการบินยักษ์ใหญ่ของมาเลเซีย ที่แขวนป้ายไว้อย่างสะดุดตา มีภาพแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจของประเทศต่างๆในอาเซี่ยนไว้ครบทุกประเทศ


เมื่อเราหาที่นั่งพักกันได้เรียบร้อยแล้ว ป็อก ออโต้บอย เพื่อนร่วมทริป ก็เริ่มออกหากาแฟมากิน เพื่อกระตุ้นร่างกายกันซักหน่อย โดยในสถานีจะมีตู้หยอดเหรียญตั้งอยู่หลายจุด ตู้เครื่องดื่มนี้ราคาจะถูกกว่าในร้านค้าอยู่นิดหน่อย อย่างกาแฟกระป๋องในตู้นี้จะราคา 2 ริงกิต แต่ถ้าเราซื้อที่ร้านค้าทั่วไปจะอยู่ที่ 2.2 ริงกิต ป็อกซื้อมาทั้งหมด 3 กระป๋อง มีคาปูชิโน่ ม็อดค่า และ ออริจินอล ซึ่งรสชาติ อร่อยใช้ได้ทีเดียว จนทำให้ในเวลาต่อมาที่เราอยู่ในมาเลเซีย เราได้ใช้บริการกาแฟกระป๋องเหล่านี้อยู่หลายครั้ง


หลังจากดื่มกาแฟกันเรียบร้อย เราก็เตรียมตัวเดินทางไปถ้ำบาตู ที่เคยเห็นในรีวิวของนักท่องเที่ยวท่านอื่นๆ ตามเวลารถจะออกในเวลา หกโมงกว่าๆ แต่พวกเรามีปัญหาเล็กน้อยที่สัมภาระเรามีกันหลายใบ ทำให้ไม่สะดวกมากนักในการเดินทาง เราจึงต้องเช่าล็อกเกอร์เพื่อฝากกระเป๋ากัน ที่นี่การให้บริการหลายอย่างเป็นการบริการตัวเอง ที่มีราคาสูงอยู่พอสมควร แต่ดูปลอดภัยและไม่หงุดหงิดใจ เหมือนการใช้บริการของรถไฟไทย ที่ผมคิดว่าเป็นจุดที่สมควรปรับปรุงอย่างยิ่ง ถ้ารถไฟไทยจะเรียกความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา การบริการสัมภาระของการรถไฟ ไม่มีมาตรฐานใดๆเลย ไปรับของ ต้องจ่ายค่ายกของโดยไม่มีราคาชัดเจน แถมพูดจาแบบไม่น่าจะเป็นผู้ให้บริการเลย ... ช่างมันเถอะ มาเข้าเรื่องของเราดีกว่า

ตู้เก็บของจะใช้วิธีการหยอดเหรียญ 4 เหรียญ โดยเราต้องแลกเหรียญจากตู้อัตโนมัติ เป็นราคา 20 ริงกิต หรือเกือบๆ 200 บาท แต่นั่นละครับ เสียเงินแต่ดีกว่าเสียความรู้สึกแบบรถไฟบ้านเรา ( อีกแล้ว) เราสามารถใส่แบงค์ หรือเหรียญก็ได้เข้าไปแล้ว เหรียญจะออกมาเหมือนกับการโดยสาร MRT บ้านเรา และวิธีการนี้จะใช้กับการซื้อตั๋วรถโมโนเรล ที่เราใช้เดินทางทุกๆวันอีกด้วย




ก่อนที่เราจะหยอดเหรียญ ตู้นี้จะล็อกไม่ได้ แต่พอเราหยอดเหรียญจนครบ จะสามารถล็อกและดึงกุญแจออกมาได้ แต่จะใช้ได้แค่ครั้งเดียว ถ้าเราเปิดออกอีกครั้ง เราจะล็อกอีกไม่ได้ต้องหยอดเหรียญใหม่อีก 20 ริงกิต ( อันนี้ผมมาลองตอนมารับกระเป๋า) เมื่อเราไม่มีภาระกับกับกระเป๋าแล้ว เราก็พร้อมออกเดินทาง โดยเส้นทางที่เราจะไปถ้ำบาตูนั้น สะดวกสบายเพราะสุดสายรถไฟฟ้าชานเมืองพอดี เราซื้อตั่ว ราคาคนละ 2.6 ริงกิต ซึ่งผมมองว่าไม่แพงเลยถ้าเทียบกับรถไฟฟ้าบ้านเรา สถานีถ้ำบาตู หรือ BATU CAVES เป็นสถานีปลายทางของรถไฟฟ้าขบวนนี้พอดี ดังนั้นเราจึงไม่ต้องเป็นห่วงว่าจะลงผิดสถานี


การเดินทางด้วยรถไฟที่สถานี KL Sentral นี้ปกติคือต้องลงบันไดเลลื่อนไปด้านล่าง เพราะเป็นสถานียกระดับ และที่บ้านเรากำลังทำอยู่คือสถานีกลางบางซื่อ ไปจนถึงสถานีตามเส้นทางสายสีแดง ที่กำลังก่อสร้าง คาดว่าอีกไม่นานพวกเราก็จะได้ใช้บริการสถานีรถไฟในลักษณะนี้เช่นกัน อดทนรออีกไม่นานครับ

ตอนนี้เอาแค่นี้ก่อนนะครับ ตอนต่อไปจะเป็นการเดินทางไปถ้ำบาตูครับ

นภดล มณีวัต

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น