วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สามก๊ก ตอน รู้จักเล่าปี่

เมื่อหน่วย ปจว ของเล่าเอี๋ยน เดินทางมาถึงเมืองตุ้นก้วน ก็เริ่มดำเนินการติดป้ายประชาสัมพันธ์ไว้ที่หน้าประตูเมืองเพื่อรับสมัครผู้กล้าทั้งหลายเข้ามาร่วมรบกับกลุ่มโจรโพกผ้าเหลือง และที่เมืองตุ้นก้วนแห่งนี้ก็เป็นต้นกำเนิดของพระเอกในใจของคนอ่านสามก๊กหลายๆท่าน นั่นก็คือ"เล่าปี่"..ผู้ซึ่งเป็นผู้นำของก๊กใหญ่ก๊กหนึ่งในบรรดาก๊กทั้งสามที่เป็นที่มาของเรื่องสามก๊ก เรามาทำความรู้จักกับเล่าปี่กันก่อนดีกว่าครับว่าเล่าปี่มีประวัติความเป็นมาอย่างไร เพราะถ้าอ่านๆไปจนถึงเวลาเล่าปี่ไปเป็นใหญ่เป็นโตแล้วจะได้ไม่ต้องกลับมาขุดเรื่องราวเก่าๆเอาไปอภิปรายในสภา เวลายื่นถอดถอนหรือไม่ไว้วางใจกันอีก

เล่าปี่นี้เมื่อตอนเด็กๆ มีชื่อว่า เหี้ยนเต๊ก มีเชื้อสายเจ้า มีเชื้อสายของพระเจ้าฮั่นโกโจ ปฐมวงศ์ของราชวงศ์ที่ปกครองแผ่นดินอยู่ในตอนนี้ โดยผ่านมาทางเชื้อสายของ"พระเจ้าฮั่นเกงเต้"เล่าปี่กำพร้าบิดา เหลือแต่แม่ที่เป็นผู้เลี้ยงดูเล่าปี่จนเติบโต และเล่าปี่เองเป็นคนมีใจกตัญญูทำนุบำรุงมารดา มิให้ต้องลำบากใดๆ แม้ว่าครอบครัวของเล่าปี่จะเป็นคนยากจนมีอาชีพทอเสื่อขายเลี้ยงชีพ ( ในหนังสามก๊ก ตอนโจโฉแตกทัพเรือ กล่าวว่าเล่าปี่ มีอาชีพถักรองเท้าฟาง ) แต่ที่ผมสงสัยก็คือทำไมทั้งๆที่เล่าปี่มีเชื้อพระวงศ์ แล้วทำไมต้องมาลำบากอยู่ที่หัวเมืองที่ห่างไกลความเจริญขนาดนี้ แล้วเมื่อพระเจ้า ฮั่นเต้ ไม่มีราชบุตร ทำไมถึงเอา เลนเต้มาเลี้ยงแล้วยกราชสมบัติให้ ทั้งๆที่ถ้าสืบความกันดีๆแล้วยังมีเชื้อสายของพระเจ้าฮั่นโกโจอยู่อีกมากมาย

หรือเลนเต้เองก็มีเชื้อสายของพระเจ้าฮั่นโกโจเช่นกัน..?

เล่าปี่นั้นไม่ค่อยที่จะรักในเรื่องการเรียนหนังสือเท่าใดนัก อาจจะด้วยฐานะทางบ้านที่ยากจนหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ และในสมัยนั้นก็ยังไม่มีโครงการกู้ยืมเพื่อการศึกษาอีกด้วย ดังนั้นเล่าปี่จึงไม่ได้เป็น จอหงวน ไม่ได้เป็นขุนนาง เพราะถ้าเล่าปี่ขยันเรียนสอบจอหงวนได้ แล้วเข้าไปรับราชการในเมืองหลวง เรื่องสามก๊กก็คงจะเอวังลงแต่เพียงเท่านี้ ผมก็คงจะไม่มีอะไรมานั่งเล่าให้ฟังอีก ดังนั้นจึงถือว่าโชคดีของผมที่เล่าปี่ไม่ขยันที่จะเรียนหนังสือครับ ทำให้มีเรื่องมาเล่าตามประสาคนแก่ไปได้อีกนานเลยทีเดียว

เล่าปี่เป็นคนใจกว้าง มีน้ำใจกับเพื่อนฝูง ใครไปใครมาก็ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี เป็นคนสุขุม ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่พอใจ สีหน้าก็เรียบเฉย เป็นคนเก็บอารมณ์ได้เป็นอย่างดี คนที่มีลักษณะสุขุม เก็บสีหน้าท่าทางไว้ได้เช่นนี้ มีโอกาสที่จะเป็นใหญ่เป็นโตได้ไม่ยากนัก การที่จะเป็นคนที่เก็บอารมณ์ความรู้สึกไว้ได้อย่างมิดชิดนั้น ต้องอาศัยวุฒิภาวะ ระดับการศึกษา และอีกหลายๆอย่างมาประกอบกัน เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าใครๆก็ทำได้ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่คำว่า ไพร่ กับผู้ดี มาแยกแยะให้เห็นกันอย่างชัดเจนแน่นอน เล่าปี่มีรูปร่างสูงใหญ่ สมบูรณ์ หูยานถึงบ่า (ไม่มีใครดีงแน่ๆ ) มือยาวถึงเข่า หน้าขาว ปากแดง ตาเรียวยาวสามารถชำเลืองมองเห็นใบหูได้ ลักษณะแบบนี้ถ้ามาปรากฏในสมัยนี้คงจะดูแปลกๆตาจนมีคนสนใจมาดู อาจจะโด่งดังไปไกลถึงต่างประเทศผ่านทางยูทูป อาจจะได้ออก ซีเอ็นเอ็น โดยผ่านการสัมภาษณ์ของนายแดน ริเวอร์ส ก็เป็นได้ แต่ในสมัยนั้นลักษณะเช่นนี้จัดได้ว่าเป็นลักษณะของผู้มีบุญกันเลยทีเดียว

บ้านที่เล่าปี่อาศัยอยู่ มีชื่อว่า บ้านเล่าซองฉุน คงจะเหมือนชื่อบ้านจันทร์ส่องหล้า บ้านบางแค ในสมัยนี้ ที่ชอบตั้งชื่อกันอย่างสวยหรู แต่น่าแปลกที่บ้านเหล่านี้ ไม่ค่อยมีคนอยากอยู่ หรือไม่ก็อยากจะอยู่แต่กลับมาอยู่ไม่ได้ ที่บ้านเล่าซองฉุนมีต้นหม่อนต้นใหญ่อยู่หนึ่งต้น กิ่งต้นหม่อนมีลักษณะเป็นพุ่มฉัตรมีร่มเงากว้างขวาง เคยมีหมอดูเดินผ่านบ้านของเล่าปี่ แล้วบอกว่าบ้านนี้มีผู้มีบุญอาศัยอยู่ น่าเสียดายที่แม้ว่าลักษณะท่าทางของเล่าปี่รวมทั้งที่อยู่อาศัยจะบ่งบอกว่าเป็นคนมีบุญแต่ครอบครัวของเล่าปี่ยังยากจนต้องทอเสื่อขาย ไม่มีเงินทองใช้จ่ายมากมายนัก จะด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มี สแกนกรรม สเกตกรรม ขยำกระดาษ ฟันธง มาช่วยแก้ปัญหาชีวิต และเทคโนโลยีในสมัยนั้นไม่พัฒนาถึงขั้นสูงสุดเหมือนสมัยนี้ ที่มีป้าย "บ้านนี้อยู่แล้วรวย" มาติดที่หน้าบ้าน แล้วทำให้รวยได้โดยไม่ต้องทำงาน ดังนั้นเล่าปี่จึงต้องอดทนรับความลำบากกันต่อไป

สมัยเด็ก เล่าปี่ก็เหมือนเด็กทั่วไป วิ่งเล่นไปรอบๆบ้าน ส่วนจะตีไก่กัดปลาด้วยหรือเปล่านั้นผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆเล่าปี่ในสมัยเด็กไม่ได้ออกไปขับมอเตอร์ไซค์ป่วนเมืองเหมือนเด็กๆสมัยนี้แน่นอนครับ เด็กชายเล่าปี่ทำได้แค่วิ่งเล่นไล่จับ เล่นซ่อนหา อาจจะมีมอญซ่อนผ้าด้วยแต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เด็กชายเล่าปี่เป็นที่รู้จักของเด็กในหมู่บ้านโดยไม่ต้องถ่ายคลิปตัวเองลงในอินเตอร์เนต แต่เป็นที่รู้จักด้วยความที่เป็นคนใจกว้างโอบอ้อมอารี รักเพื่อนฝูง ดังนั้นเล่าปี่เลยถูกยกให้เป็นพี่ใหญ่ เป็นผู้นำเด็กและเยาวชนในหมู่บ้านในการจัดสรรพื้นที่วิ่งเล่น เป็นคนออกหมายกำหนดการเดินทางไปเล่นในสถานที่ต่างๆโดยที่ไม่มีใครกล้าขัดแย้ง เมื่อถึงเวลาสายๆหลังจากกินข้าวกินปลากันเรียบร้อยเหล่าเด็กๆในหมู่บ้านก็มารวมตัวกันที่บ้านเล่าปี่กันอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อไปหาที่เล่นสนุกกันโดยไม่ต้องมี เฟสบุ๊ค หรือ เอ็มเอสเอ็น ในการติดต่อกันแต่อย่างใด

ในวันหนึ่งเล่าปี่ เล่นกับเพื่อนๆทั้งหลายตามปกติ เมื่อมาถึงต้นหม่อนต้นนี้ เล่าปี่ก็ประกาศกับเพื่อนๆว่า "ถ้ากูได้เป็นเจ้า กูจะเอาต้นหม่อนต้นนี้ไปทำเศวตรฉัตร" เมื่อความนี้รู้ไปถึง "เล่าอ้วนกี"ผู้เป็นอา เล่าอ้วนกี แทนที่จะว่ากล่าวตักเตือนหลานชาย ว่าอย่าคิดอะไรที่ไกลเกินตัว เดี๋ยวจะเดือดร้อนไม่มีแผ่นดินอยู่ แต่ผู้เป็นอากลับคิดว่าเล่าปี่จะต้องเป็นผู้มีบุญ ต่อไปจะได้เป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมืองอย่างแน่นอน ทั้งๆที่ในความรู้สึกของผมแล้ว ถึงจะมีบุญจริงๆก็ไม่ค่อยชอบที่ใครจะมาพูดแบบนี้ ในหนังสือเรื่องสามก๊กอาจจะแต่งเติมขึ้นไปให้เล่าปี่ดูเหมือนกับคนมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ เกินความเป็นจริงไปซักหน่อย แต่ก็ยังรับได้ครับ ก็หนังสือแต่งมาเพื่อความบันเทิงนี่ครับจะไปคิดอะไรกันมากมาย..

ดังนั้นเล่าอ้วนกี จึงแอบเอาเงินมาสนับสนุนพรรค(...ไม่ใช่ๆๆ) มาสนับสนุนเล่าปี่อยู่เนืองๆ ให้เงินเล่าปี่เพื่อนำไปเลี้ยงดูมารดา ให้เงินกินขนม เผื่อว่าโตขึ้นเล่าปี่ได้เป็นใหญ่เป็นโตขึ้นมาจริงๆ อาจะได้สบายด้วย หรือไม่ก็จะได้ฝากลูกฝากหลานไปเป็นรัฐมนตรีได้โดยที่ไม่ต้องมีความสามารถ เหมือนกับสมัยนี้ที่รัฐมนตรีในรัฐบาลแทบจะทุกรัฐบาล ต้องมี"หมาหลง" เข้ามาเป็นรัฐมนตรี ไอ้คำว่าหมาหลง ปกติใช้กับผู้สมัคร ส ส ที่ไม่ใช่คนพื้นที่ หรือมาสมัครรับเลือกตั้งในจังหวัดที่ไม่ใช่บ้านเกิด รัฐมนตรีหมาหลง ก็คล้ายๆกันครับ มาจากไหนก็ไม่รู้ ทำงานเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นโควต้าของกลุ่มที่สนับสนุนพรรคการเมืองเลยได้มาเป็นรัฐมนตรีเล่นๆ เพื่อยกระดับหน้าตาในสังคม.. (หยุดพัก ไว้อาลัยให้ประเทศไทย สองนาทีครับ) แสดงว่าเรื่องแบบนี้มีมานานแล้วจริงๆด้วย

ในด้านการศึกษา ถึงเล่าปี่จะไม่ได้เรียนหนังสือถึงขั้นสูง แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นคนไร้การศึกษา เล่าปี่ได้เรียนหนังสือเมื่อตอนอายุ สิบห้าปี (ถ้าเป็นยุคนี้ น่าจะเรียกเด็กโข่ง) โดยมารดาฝากให้ไปเรียนกับ อาจารย์ เต้เหี้ยน เล่าปี่มีเพื่อนร่วมรุ่น อยู่สองคน คือ "โลติด" กับ "กองซุนจ้าน" น่าเสียดายที่เพื่อนร่วมรุ่นน้อยไปหน่อย ถ้ามีมากๆ วันดีคืนดีอาจจะร่วมกัน ปฏิวัติ เล่นๆ แบบพวกนักเรียนโรงเรียนนายร้อยบางประเทศก็เป็นได้

พูดถึงโรงเรียนนายร้อยในบางประเทศแถวๆนี้ ผมเริ่มสงสัยว่ามันมีวิชา จำพวก "ทฤษฏีปฏิวัติ" "การปฏิวัติเบื้องต้น" เป็นวิชาเลือกให้เรียนอยู่ด้วยหรือเปล่า เห็นจบมาทำงานแล้วถ้าไม่ปฏิวัติก็ต้องมีคำว่าปฏิวัติอยู่ในหัวกันแทบทุกคน และถ้ามีอยู่จริงอยากจะฝากให้ใส่วิชา "ปฏิวัติแล้วควรทำอะไร" เป็นวิชาบังคับไว้ด้วย เผื่อว่าบังเอิญปฏิวัติสำเร็จแล้วจะได้รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป..หลังจากยึดอำนาจมาได้

เล่าปี่เรียนที่สำนักของอาจารย์เต้เหี้ยนอยู่ถึงสิบปีจะเป็นเพราะหลักสูตรระยะยาวหรือสอบตกต้องเรียนซ้ำชั้นในหนังสือไม่ได้บอกไว้ครับ ส่วนจะได้วุฒิการศึกษาระดับใดนั้นในเรื่องไม่ได้บอกไว้ เรื่องวุฒิการศึกษาคงจะไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเล่าปี่เพราะไม่ได้คิดจะเล่นการเมือง หรือถ้าคิดจะเล่นการเมืองจริงๆก็คงจะพอหาซื้อได้ไม่ยากนัก เห็นนักการเมืองบางประเทศจะจบ ด็อกเตอร์กันแล้ว ภาษาอังกฤษยังไม่กระดิกเลยก็มี

เอาเป็นว่าเล่าปี่แยกทางกับ โลติด และ กองซุนจ้าน ตอนอายุยี่สิบห้าปี นี่ถ้าเป็นคนไทยก็คงจะบวชเพื่ออุทิศส่วนบุญให้เจ้ากรรมนายเวรกันก่อน เพราะเข้าเบญจเพสแล้วเดี๋ยวจะโชคไม่ดี จะโดนรถชน ตกงาน แฟนทิ้ง และอื่นๆอีกมากมาย แต่เท่าที่ผมอ่านสามก๊กมา ไม่เห็นคนยุคนี้พูดถึงเรื่องเบญจเพสนี้เลย ไม่มีเรื่องราวถึงพิธีบวชตอนอายุยี่สิบห้า ไม่เห็นนักบวชในสมัยนั้น บังคับคนไปรดน้ำมนต์ รีดเงินทำบุญด้วยคำขู่ที่ว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" ถึงจะไม่มีใครในสมัยนั้นทำบุญใหญ่หรือบวชตอนอายุยี่สิบห้า แต่ก็ไม่เห็นมีใคร โดนเกวียนชน ตกม้า หมากัด ให้ต้องไป โทษเวร โทษกรรม โทษอายุตัวเองเลยแม้แต่คนเดียว

เพื่อนร่วมสำนักของเล่าปี่ทั้งสองคนหลังจากที่เรียนจบที่นี่ก็ไปเรียนต่อและไปทำงานที่ต่างเมืองได้ดิบได้ดีกันตามความรู้ความสามารถ แต่เล่าปี่ไม่ออกไปไหนเพราะมีหน้าที่ต้องเลี้ยงดูมารดา ตามลักษณะของลูกกตัญญู โดยที่เพื่อนของเล่าปี่ทั้งสองคนนี้ถึงแม้ว่าจะแยกย้ายกันไปอยู่ห่างไกลกัน แต่ก็ไม่ลืมกัน ยังส่งข่าวคราวถึงกันอยู่เป็นระยะ และในภายหลังก็มีส่วนในการเป็นใหญ่เป็นโตของเล่าปี่อยู่มากพอสมควร โดยกองซุนจ้านนั้นมีส่วนสำคัญในการพา เล่าปี่ กวนอูและเตียวหุยติดตามกองทัพของตนไปร่วมปราบโจรโพกผ้าเหลือง เรียกได้ว่าเป็นนักปั้นตัวจริงเลยทีเดียว ถ้าเล่าปี่เป็นอั้ม พัชราภา กองซุนจ้านก็เป็น อุ๊บ วิริยะ ละครับ

จะเห็นได้ว่า ตัวเล่าปี่เอง ไม่ได้มีความพร้อมใดๆที่จะเป็นใหญ่เป็นโตได้เลย เรียนก็ไม่เก่ง ฐานะก็ยากจน แต่ทำไมในบั้นปลายถึงได้เป็นเจ้า เป็นผู้ปกครองแคว้นใหญ่หนึ่งในสามก๊ก ตอบได้ว่า เป็นเพราะความใจกว้าง รักเพื่อนรักฝูง รู้จักคบคนดี ไม่เอาเปรียบเพื่อน ดังเช่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องของการมีกัลยาณมิตร เรื่องราวภูมิหลังของเล่าปี่ก็คงจะจบลงแค่นี้ ไว้ตอนหน้าจะมาเล่าถึงตอนที่เล่าปี่ได้เจอกับ พี่น้องร่วมสาบาน กวนอูและเตียวหุยให้ฟังกันครับ

นภดล 5/6/2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น