สามก๊กในความทรงจำ ตอน สามพี่น้องเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย กลับมาอีกครั้งหลังจากหายไปหลายวันครับ
เล่าปี่เมื่อเห็นชาวบ้านออกไปเป็น "จีนมุง" อยู่ที่หน้าประตูเมือง ก็ออกไปดูกับเขาด้วยและได้อ่านข้อความในประกาศที่ติดอยู่ที่หน้าประตู อ่านไปอ่านมาก็ ถอนหายใจออกมา เล่าปี่คงจะถอนหายใจมากมายจนถึงขั้นเกือบจะปิดบัญชี จนทำให้ดังไปถึงชาย รางใหญ่ ตากลมโต คางใหญ่ ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ชายผู้นั้น มีเสียงที่ดังปานฟ้าร้อง กิริยาดังม้าควบ เมื่อได้ยินเล่าปี่ถอนหายใจก็ถามขึ้นว่า
"ถอนหายใจทำไม" "เป็นชายชาติทหารไม่คิดช่วยชาติแล้วจะมาถอนหายใจทำไม"
เล่าปี่ซึ่งเป็นผู้มีสติปัญญาดีเลิศ ผู้ซึ่งมีสติปัญญาหลักแหลม ก็พลิกสถานการณ์ ที่จะต้องตอบคำถาม กลับเป็นผู้ถามแทน "ท่านละชื่ออะไร"
ชายผู้นั้นจึงตอบว่า ข้าชื่อ "เตียวหุย เอ๊กเต๊ก" อยู่บ้านตุ๊นก้วน มีทรัพย์สินมากมาย จัดได้ว่ามีฐานะร่ำรวยเลยทีเดียว มีกิจการมากมาย ร้านสุกร สุรา มีหมด ขาดแต่ดาวเทียม ที่ตอนนั้นประมูลมาทำไม่ได้ด้วยไม่มีเส้นสายภายในเหมือนใครบางคน แต่ถึงเราจะไม่ได้อยู่ในแวดวงโทรคมนาคม แต่เราก็มีจิตใจที่กว้างขวาง รักที่จะคบเพื่อนฝูงที่มีสติปัญญา ยิ่งวันนี้ข้ามายืนอยู่นานแล้ว ไม่เห็นใครเลยที่จะใส่ใจกับเรื่องบ้านเรื่องเมือง เพิ่งเห็นท่านเป็นคนแรกที่อ่านจดหมายน้อย ที่หน้าประตูแล้วมีอาการ จึงอยากจะสอบถามว่าท่านคิดเห็นเป็นประการใด
เล่าปี่จึงตอบว่า "เราเป็นเชื้อสายพระเจ้า ฮั่นเกงเต้ ในราชวงศ์ พระเจ้าฮั่นโกโจ ได้ยินข่าวว่า โจรโพกผ้าเหลือง มาทำร้ายคุกคามแผ่นดิน เลยคิดอาสาจะไปปราบโจร แต่ขัดสนว่า ข้ามันจน ไม่มีงบประมาณทั้ง งบประมาณแผ่นดิน งบลับ หรือ งบใต้โต๊ะ อย่างข้าราชการในประเทศแถวๆด้านล่างๆของเมืองจีนใช้กัน ดังนั้นจึงได้แต่ ถอนหายใจระบายอารมณ์เท่านั้น
เตียวหุยจึงว่า เรื่องเงินไม่ต้องห่วง เรามีเยอะเดี๋ยวเราจะให้งบท่านไปใช้เอง แต่ท่านต้องรับปากข้าว่าท่านจะไม่ใช้ผิดประเภทนะ เพราะถ้าท่านนำเงินบริจาคของข้าไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ แล้วถูก กกต ชี้มูลความผิดแล้วละก็..ความผิดถึงขั้นยุบพรรคเลยนะ
เล่าปี่ก็บอกว่า ท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอก ถึงแม้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าก็ปลอดภัยไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะข้าจะให้ กรรมการบริหารพรรค ดำเนินการแทน... ดังนั้นทั้งสองคนจึงชักชวนกันเข้าไปหาสุรามานั่งกิน นั่งคุย วางแผนกันว่าจะเอาอย่างไรกันต่อไปดี
ขระที่เริ่มตั้งวงดื่มไปได้ไม่นาน ดื่มไปคนละนิดแบบว่าไม่ต้องกลัวเครื่องตรวจแอลกอฮอร์ ตามข้างทาง ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาในร้านเหล้า แล้วตะโกนบอกคนขายเหล้า ให้รีบนำเหล้ามาให้โดยเร็ว โดยตนเองจะรีบไปอาสาแผ่นดิน เพื่อปราบโจรโพกผ้าเหลือง เล่าปี่นั่งสังเกตลักษณะท่าทางของชายผู้นั้นอยู่ก็เห็นว่า เป็นชายร่างสูงใหญ่ หน้าแดง ดวงตาเรียวยาว เข้าลักษณะที่ดี น่าจะทำความรู้จักไว้ เล่าปี่จึงเข้าไปชวน ชายผู้นั้นมาร่วมวงสุราด้วยกัน
"เราชื่อกวนอู" ชายผู้มาใหม่รายงานตัว หรือ อีกชื่อหนึ่งคือ หุนเตี๋ยง ( มีหลายชื่อคล้ายๆกับคนแถวๆนี้ที่เวลาไปจีบนักร้องจะใช้ชื่ออื่นๆ ที่ไม่ใช่ชื่อตัวเอง) ประวัติส่วนตัวก็เป็นคนเรียบร้อย บ้านเดิมอยู่ที่เมือง ฮอตั๋งไกเหลียง ในเมืองที่อยู่ มีคนๆหนึ่ง ถือว่าตนเองมีทรัพย์สินมาก มีพวกเยอะ จะรุกที่ดินสาธารณะ จะบุกป่าสงวน หรือจะข่มเหงชาวบ้าน อย่างไรก็ได้ เราทนไม่ได้จึงจัดการ ฆ่าเสีย แล้วหนีออกมาท่องเที่ยวไปตามเมืองต่างๆ จนได้มาเห็น จดหมายน้อยปิดอยู่ที่หน้าประตู เลยเข้ามาเพื่อจะสมัครไปเป็นทหารอาสา
เล่าปี่จึงแจ้งแก่กวนอูว่า ท่านคิดเช่นเดียวกับเราทั้งสอง ดังนั้นขอเชิญท่านทั้งสองไปที่บ้านเราเถิด เพื่อที่จะได้เตรียมการณ์ใดๆ เพื่ออาสาแผ่นดินกันต่อไป เล่าปี่พาทั้งสองคนเข้ามาที่สวนหลังบ้านอันเป็นที่สงบเงียบ มีดอกยี่โถ บานอยู่มากมาย ทั้งสามเห็นพ้องต้องกันว่า ถ้าจะทำการณ์ใหญ่ เราควรมาสาบานปฏิญาณตนต่อเทวดา ว่าจะไม่หักหลังกัน เวลาที่เป็นใหญ่หรือ ถีบหัวส่งเวลาที่มีผลประโยชน์เหมือนนักการเมืองในประเทสทางตอนใต้ของจีน ดังนั้นทั้งสามก็ชวนกันไปที่บ้านเตียวหุยกันก่อน เพื่อที่จะไปเอาเครื่องเซ่นบูชาเทวดา
เตียวหุยจัดเอาม้าขาว ควายดำ และข้าวของทั้งปวงมาจัดพิธีที่สวนดอกไม้บ้านเล่าปี่ จุดธูปเทียนบูชา เทวดา แล้วตั้งสัตย์สาบานว่าจะเป็นพี่น้องกันจนวันตาย จะช่วยกันทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เป็นสุข จะไม่ทิ้งกันจนวันตาย ถ้าใครไม่ซื่อสัตย์ขอให้เทวดาลงโทษได้ทันที (โดยไม่ต้องรอศาลรัฐธรรมนูญตีความ) และตามอายุทำให้เล่าปี่เป็นพี่เอื้อย กวนอูเป็นน้องกลาง เตียวหุย เป็นน้องสุดท้อง
เมื่อสาบานกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งสามก้เริ่มจัดตั้งกองกำลังของตัวเองทันที จัดเตรียมอุปกรณ์ อาวุธ เสบียงอาหาร นับรวมไพร่พลได้ สามร้อยเศษ ขาดแต่พาหนะที่จะใช้ทำศึก นั่นก็คือ ม้า ทั้งสามช่วยกันคิดหา ม้า รวมทั้งบอกกล่าวไปยังบ้านเมืองใกล้เคียงว่าที่นี่ขาดแคลนม้า ต้องการผู้สนับสนุนด่วน แต่สุดท้ายก็ยังหาไม่ได้ บางเมืองก็ตอบมาว่า เดี่ยวนี้ม้า ไม่มีแล้ว ท่านผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งตอนมีอำนาจ สร้างผลงานสุดยอดให้กับบ้านเมือง ด้วยการเปลี่ยนชื่อ ยาม้า เป็น ยาบ้า ไปซะแล้ว ( ด้วยความสัตย์ ทั้งชีวิตผมไม่เคยจดจำผลงานของท่านผู้นี้ได้เลย นอกจากเรื่องนี้ )
ดังนั้นสามพี่น้องจึงยังต้องดิ้นรนหาม้า กันต่อไป แต่แล้วเหมือนโชคช่วย เทวดาหนุนส่ง มีพ่อค้าม้าสองคน ชื่อ เตียวสิเผง กับ เล่าสง ต้อนม้าเข้ามาในเมือง แล้วบอกกับเล่าปี่ว่า ทั้งสองเป็นพ่อค้าม้ามาหลายปี แต่ปีนี้ออกไปค้าม้าไม่ได้ เนื่องจากขายสู้เจ้าหน้าที่ไม่ได้..(ไม่ใช่แล้ว) เนื่องจากพบโจรกลางทางไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ เล่าปี่จึงชักชวนทั้งสองเข้าไปในบ้าน ตั้งโต๊ะ เลี้ยงข้าวเลี้ยงสุราอย่างเต็มที่
และเมื่อพ่อค้าม้า ได้ทราบความคิดของ เล่าปี่ กวนอู และเตียวหุย แล้วก็ชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง บอกว่าทั้งสามนั้นคิดเหมือนกันกับทั้งสองดังนั้นจึงยกม้า ห้าสิบตัว กับเงิน ห้าร้อยตำลึง เหล็กร้อยหาบ ให้กับกองกำลังของเล่าปี่ เล่าปี่เมื่อได้เหล้กมาแล้ว ก็หาช่างเหล็กฝีมือดีมาตีกระบี่ สำหรับถือ สองเล่ม กวนอูได้ง้าว ยาวสิบเอ็ดศอก หนักแปดสิบสองชั่ง ส่วนเตียวหุยได้ทวนยาวสิบศอก หนักแปดสิบห้าชั่ง ( เตียวหุยสั้นกว่ากวนอู แต่ใหญ่กว่านิดนึง) นอกจากนี้ยังทำเกราะ อานม้าสำหรับออกรบและเข้าไปเกลี่ยกล่อมชาวบ้านมาเพิ่มจนได้กำลังถึง ห้าร้อยคน
เมื่อมีกองกำลัง มีอาวุธ มีเงิน จะเข้าไปหาใคร ก็มีแต่คนต้อนรับ อยากให้เป็นหัวคะแนนให้ทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ต่อมา เจาเจ้ง จะพาทีมงานเล่าปี่เข้าไปพบ เล่าเอี๋ยน ที่เป็นเจ้าเมืองในขณะนั้น เมื่อสอบถามกันแล้ว เล่าเอี๋ยนรู้ว่า แซ่เล่า เหมือนกัน จึงรับเล่าปี่ไว้เป็นหลานชาย
พูดถึงเรื่องนี้ เล่าปี่อยู่ที่เมืองนี้มานาน เรียนหนังสือ ทำงานทำมาหากินอยู่นาน ติดแต่ว่า จน ไม่มีฐานะ ดังนั้นจึงไม่ได้มีโอกาสนับญาติกับเจ้าเมือง แต่พอ มีพรรคพวก มีกองกำลัง มีอาวุธ มีเงิน อยู่ดีๆก็ได้เป็นหลานชายเจ้าเมืองซะงั้น.. เหมือนกันทุกยุคทุกสมัยจริงๆเลยครับ
ไว้มาเล่าต่อในโอกาสหน้านะครับ
นภดล มณีวัต 11/7/2553
ต้นฉบับ http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=16105.0
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น