วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

ศาลพระภูมิที่เมืองตรัง

วันนี้ ผมต้องเดินทางไกลอีกครั้งเพื่อไปร่วมงานศพพ่อของเพื่อนที่ตรัง เพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนสมัยเรียน ปวส ที่วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี และก็เป็นเพื่อร่วมงานของผมในปัจจุบันนี้ด้วย ผมสนิทกับครอบครัวนี้พอสมควรเพราะทุกครั้งที่เราแวะไปทำงานที่ตรังเราจะต้องมากินข้าวที่บ้านนี้แทบทุกครั้ง ผมออกเดินทางจากสุราษฎร์ธานีไปเรื่อยๆ โดยขับรถล่วงหน้ากันไปก่อนสองคัน เมื่อเข้าเขตพื้นที่อำเภอทุ่งสงจังหวัดนครศรีธรรมราช ผมก็กดโทรศัพท์ไปหาเพื่อนที่อยู่อำเภอห้วยยอด เพื่อแจ้งข่าวเรื่องการเสียชีวิตของพ่อเพื่อนคนนี้

"รู้ข่าวพ่อเจ้าน้อยเสียหรือยัง"

"ยังเลยยังไม่มีใครบอกเลย"

"อ๋อ เมื่อคืนเพิ่งจัดงาน ศพเพิ่งมาถึง เพราะพ่อเสียที่ มอ หาดใหญ่"

"แล้วเข้างานวันไหน"

"ก็วันนี้แหละ แต่เมื่อคืนก็น่าจะสวดแล้วนะ"

"งั้นก็เผาพรุ่งนี้แล้วสิ"

"เผาวันศุกร์หน้า"

"เผาศุกร์หน้าแล้วเข้างานวันนี้ได้ไงต้องเข้างานอาทิตย์หน้าสิ"

ผมเริ่มงงกับคำถามของเพื่อนคนนี้ เลยตัดบทบอกว่า งั้นเดี๋ยวเข้าไปเจอกันที่งานศพที่ในตัวเมืองตรังก็แล้วกันจะได้คุยกันง่ายๆหน่อย เพราะผมเองก็เริ่มสับสนกับคำถามของเพื่อนคนนี้เช่นกัน "อะไรของมันวะ เข้างานวันไหน" ผมเก็บความสงสัยไว้ในใจเงียบๆ ก่อนที่จะขับรถต่อไปจนถึงบ้านที่จัดงานศพ

ที่บ้านงานศพ ผมทักทายเจ้าภาพ และเพื่อนๆที่มาจากหาดใหญ่ที่มานั่งกินข้าวกันอยู่ก่อน พร้อมทั้งหันไปถามเจ้าเอก เพื่อนที่มาด้วยกันว่า "ไหนไอ้จอกมันบอกว่า เข้างานอาทิตย์หน้าวะ นี่ก็เห็น มีเตนท์ มีกับข้าวมากมาย มีเลี้ยงข้าวกันอยู่นี่หว่า"

หลังจากผมกินข้าวที่งานพอเป็นพิธี ( สองจานใหญ่) ผมก็ได้นั่งคุยกับพี่พร พี่สาวของเจ้าน้อยเพื่อนผมที่เป็นเจ้าภาพงานนี้

"นี่ถ้าว่าง วันพุธนี้เข้ามาด้วยนะมาช่วยงานหน่อย มานอนที่นี่ก็แล้วกัน"

"ทำไมต้องวันพุธละครับ ก็เผาวันศุกร์ มาวันพฤหัสก็น่าจะทันนี่นา"

"เผาวันศุกร์ก็เข้างาน วันพุธกับพฤหัสไง"

เมื่อเห็นผมทำหน้างงๆ ไอ้จอกที่เพิ่งเข้ามาถึงในงานก็เริ่มอธิบายให้ผมฟังว่า

"ที่นี่วันจัดงานก็จัดกันปกติ กลางคืนก็เลี้ยงน้ำชา กาแฟ ขนม ทั่วๆไป แต่ที่เรียกว่า "วันเข้างาน" ก็คือวันก่อนวันเผา สองวัน ในวันเข้างานนั้นจะมีคนมามากมาย เอาซองมาช่วยงานกันในสองวันสุดท้าย แล้วทางเจ้าภาพก็จะทำกับข้าวมากกว่าปกติไว้เลี้ยงแขกที่จะมากันมากมายใน วันเข้างาน

เมื่อก่อนเวลาที่บ้านไหนมีงานศพ ก็จะพิมพ์ใบประกาศ เอาไปติดไว้ตามที่ชุมชน อย่างร้านกาแฟตอนเช้าเพื่อที่จะได้บอกข่าวต่อๆกันไป แต่เดี๋ยวนี้มันน้อยลงแล้วเพราะโทรศัพท์บอกข่าวกันเร็วกว่ามาก

อ๋อ.. ก็ที่บ้านผมไม่ได้เรียกแบบนี้นี่นา ที่บ้านผมถ้าเป็นงานศพก็จะเลี้ยงแขกกันทุกวัน ทั้งกลางวันกลางคืน ใครมางานก็จะเอาซองมาช่วยงานทุกวัน ไม่ได้แบ่งเป็นวันธรรมดาหรือวันเข้างานแบบที่ตรังเลย ... เกิดมาจนอายุปูนนี้ก็เพิ่งได้รู้เรื่องวันเข้างาน ของคนตรังก็วันนี้เองครับ

ผมกินข้าวอิ่มแล้วก็เริ่มหามุมสงบๆส่วนตัวเอนหลังแป๊บนึง ตามประสาเด็กกำลังกินกำลังนอน นอนไปพลางมองดูสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวไปพลาง ผมก็ได้เห็นภาพสวยๆงามๆ ที่ประทับใจมากมาย ผมเห็นลุงคนนึงขับรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง เข้ามาจอดที่หน้าบ้าน แล้วเรียกเพื่อนผมออกไป เอาถั่วฝักยาวมัดใหญ่ ที่แกเอามาช่วยงาน ผมเห็นป้าคนนึงเดินหิ้วหมากถุงใหญ่มาให้ โดยไม่ได้มีการตีราคาออกมาเป็น กระดาษ ที่เราเรียกว่าเงินเลย มันเป็นน้ำจิตน้ำใจที่หาได้ยากในสังคมเมืองใหญ่ๆ แต่ที่นี่มันยังมีอยู่มากจนล้นเหลือภาพที่เห็นการทักทายกัน ระหว่างคนรู้จัก ป้ากอดหลาน ทักทายแขกที่มาเคารพศพ มันดูเป็นธรรมชาติที่น่าประทับใจ ผมแอบเก็บความรู้สึกนี้ไว้ในใจเงียบๆ จนกระทั่งสายตาที่ซุกซนของผมไปสะดุดตากับสิ่งนี้ครับ



ด้วยความสงสัยผมเลยเดินเข้าไปถามไอ้จอกอีกครั้ง ว่า เอาผ้าขาวไปคลุมศาลพระภูมิทำไม

"ที่บ้านมึงไม่คลุมเหรอ"

"ไม่คลุม ... เพิ่งเคยเห็นที่นี่แหละ"

"ที่นี่จะคลุมผ้าขาวที่ศาลพระภูมิ บางบ้านจะคลุมที่หิ้งพระด้วย น่าจะเป็นความเชื่อที่ว่า เวลาคนตายกลับมาที่บ้าน สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จะได้มองไม่เห็น วิญญาณคนตายจะได้มาอยู่กับลูกกับหลานได้อีกซักช่วงหนึ่ง หรือจะได้มาทักทายกับแขกที่มาเคารพศพได้"

"อ๋อ.. ผมเริ่มเข้าใจอีกครั้ง แต่ในใจก็ยังคงสงสัยอะไรไปเรื่อยๆตามประสาเด็กที่กำลังอยากรู้อยากเห็น แต่ก็คิดว่า แต่ละพื้นที่มีประเพณีและความเชื่อที่ไม่เหมือนกัน มีการปฏิบัติที่แตกต่างกัน ขนาดว่าผมเคยมาทำงานที่ตรังอยู่ตั้งสองปี แต่เรื่องพวกนี้ผมกลับไม่เคยรู้มาก่อนเลย แล้วแบบนี้ในประเทศไทยของเราจะมีเรื่องราวที่แตกต่างหรือแปลกๆที่ผมยังไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นอีกมากมายอีกขนาดไหนกัน

เมื่อผมกลับถึงบ้านที่สุราษฎร์ธานี ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาเกือบๆตีสองแล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเก็บเรื่องนี้มาบันทึกไว้เสียก่อน กลัวว่าถ้าปล่อยเวลาผ่านไปมากกว่านี้ เดี๋ยวผมจะลืม แล้วปล่อยค้างไว้เหมือนพวกเรื่องต่างๆที่ค้างอยู่หลายเรื่องในตอนนี้ ที่เริ่มโดยทวงบทความจากหลายๆท่านเข้ามาแล้ว อย่างเรื่องภูกระดึงที่ดองมาหก เจ็ด เดือน แล้ว ไหนจะ สามก๊กในความทรงจำ ที่ขาดตอนมานานแล้ว ตอนนี้เห็น ป้านก เริ่มทวงเรื่อง พะงัน เกาะเต่า เข้ามาอีกแล้ว แต่วันพรุ่งนี้ผมมีกำหนดการณ์ว่าจะไปเดินถ่ายภาพและหาข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ที่ไชยา และถ้ากลับมาไม่ดึกมากนัก ผมคงจะได้มีเวลานั่งเขียนเรื่องราวอื่นๆเพิ่มเติมอีกครั้ง

อย่างน้อยการเดินทางไปกลับ ระยะทาง สี่ร้อยกว่ากิโล ของผมในวันนี้ นอกจากการที่ได้ไปเคารพศพของบุคคลที่เคารพนับถือกันเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ผมยังได้ความรู้ที่ไม่เคยได้เรียนในสถาบันการศึกษาใดๆ เพิ่มเข้ามาอีกถึงสองเรื่อง ทั้งเรื่อง "วันเข้างาน" และ "การคลุมศาลพระภูมิ" ถือว่าการเดินทางวันนี้คุ้มค่ามากจริงๆ

นภดล 25/6/2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น