วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

สามก๊ก ตอน เตียวก๊ก โจรโพกผ้าเหลือง

เตียวก๊ก โจรโพกผ้าเหลือง

เตียวก๊ก ชื่อนี้คงจะถูกลืมไปแล้วจากคนที่เคยอ่านสามก๊กหรือติดตามสามก๊กมาอย่างต่อเนื่องผ่านงานเขียนของนักเขียนท่านต่างๆ ผมเองก็ลืมชื่อนี้ไปแล้ว แต่พอหยิบสามก๊กขึ้นมาเปิดอ่านใหม่อีกครั้ง ชื่อนี้ก็สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรามาคิดกันดีๆแล้ว ถ้าไม่มีเตียวก๊ก เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ก็คงจะไม่ได้เจอกัน วันนี้เรามาทำความรู้จักกับ "เตียวก๊ก" คนนี้กันครับ

ในขณะที่ในเมื่องหลวงเกิดแก๊งค์ สิบเสียงสี ขึ้นมาทำการฉ้อราษฏร์บังหลวง สั่งปลดขุนนางที่ไม่เข้าข้างพวกตน โยกย้ายให้ไปทำงานในที่ห่างไกลบ้าง ดึงรายชื่อออกจากโผโยกย้ายบ้างทำให้เดือดร้อนกันไปทั่วหน้า ที่หัวเมืองด้านนอกก็เกิดการปล้นชิงตั้งตนเป็นก๊กเป็นเหล่าต่างๆมากมาย ดังเช่นที่ เมืองกิลกกุ๋น มีชายสามพี่น้องชื่อ เตียวก๊ก เตียวโป้ และเตียวเหลียง ทำมาหากินอยู่อย่างปกติเหมือนชาวเมืองทั่วๆไป จนกระทั่งวันหนึ่ง เตียวก๊ก เดินเข้าป่าไปหายาสมุนไพร เดินไปจนถึงบนภูเขาแห่งหนึ่ง ก็ได้พบกับชายชราหน้าตาเด็ก..? ตาเหลือง ยืนถือไม้เท้ารออยู่ที่บนภูเขาแห่งนั้น เมื่อเจอเตียวก๊ก ก็บอกกับเตียวก๊กว่า อันตัวข้านั้นเป็นเทวดาที่อยู่บนเขาแห่งนี้ ถ้าเจ้าอยากเห็นอะไรดีๆ ก็จงตามข้ามา แล้วเทวดาก็พาเตียวก๊ก เข้าไปในถ้ำแถวๆนั้น ในถ้ำมีตำราโบราณอยู่ สามเล่ม ในหนังสือสามก๊กเรียกว่า "ไทแผงเยาสุด" เทวดามอบตำราทั้งสามเล่มให้กับเตียวก๊ก แล้วบอกว่า "ถ้าเอาตำรานี้ไปทำนุบำรุงคนทั้งปวง เจ้าจะอยู่เย็นเป็นสุข แต่ถ้าเจ้าคิดร้ายคิดไม่ซื่อต่อแผ่นดิน ภัยอีนตรายจะมาถึงตัว จะถูกยึดทรัพย์ ไม่มีแผ่นดินอยู่ ครอบครัวแตกแยกอย่างแน่นอน" กล่าวจบเทวดาก็หายตัวไป

ฝ่ายเตียวก๊กเมื่อได้ตำรามาก็กลับมาฝึกที่บ้าน ฝึกทั้งกลางวันกลางคืน จนสำเร็จวิชาทั้งปวงในตำรา สามารถเรียกลม เรียกฝน ได้ตามต้องการ มีวิชาความรู้มากมาย จนตั้งตนเองขึ้นเป็น โต๋หยิน ซึ่งแปลว่า พราหมณ์ผู้มีความรู้ ไม่แน่ใจว่าพราหมณ์เตียวก๊ก ได้เรียนวิชาเทเลือดหน้าทำเนียบมาด้วยหรือเปล่า ถ้าได้เรียนแสดงว่าวิชานี้เป็นวิชาที่เก่าแก่จริงอย่างที่ได้ยินคนยุคนี้บอกมา

ต่อมาเกิด ห่าลงเมืองกิลกกุ๋น ห่า หรือ อหิวาห์ตกโรค ทำให้คนเมืองนี้เจ็บไข้ได้ป่วยไปตามๆกัน เตียวก๊กเขียนยันต์ให้ชาวบ้านไปติดที่หน้าบ้าน ไม่รู้ว่าเป็นคำว่า "ห้ามห่าเข้าบ้าน" "บ้านนี้ไม่มีห่า" หรืออะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ โรคห่า หายไปจากเมืองนี้โดยสิ้นเชิง ทำให้เตียวก๊กได้รับการนับถือจากชาวเมืองนี้เป็นอันมาก เมื่อรักษาคนเมืองนี้หายดีทั้งหมดแล้วเตียวก๊กก็ออกเดินสาย ทัวร์ไปตามหัวมืองต่างๆ ใครเจ็บไข้ไม่สบายก็มาเอายันต์ไป ทั้งติดหน้าบ้าน ไปต้มน้ำกิน โรคร้ายทั้งหลายก็หายไปสิ้น ดังนั้นเตียวก๊กจึงมีลูกศิษย์ลูกหา นับถือมากขึ้นทุกวัน

เมื่อมีศิษย์มากขึ้น เตียวก๊ก ก็คัดเอาคนที่ดูดีมีอำนาจขึ้นมาปกครองลูกศิษย์ชั้นรองอีกที มีหัวหน้าการ์ด ไว้คอยรักษาความปลอดภัย แบ่งเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ หกพันคน จนถึง กลุ่มละหมื่นคน แต่ละกลุ่มจะมีสัญญลักษณ์เป็นธงรบ แต่จะสีอะไรในเรื่องไม่ได้บอกไว้ครับ

เมื่อมีกองกำลังเป็นของตัวเอง เตียวก๊กก็ตั้งตนเป็นพระยา (จงกุ๋น) สร้างแนวร่วมออกสร้างข่าวลือว่า แผ่นดินจะเปลี่ยนแล้ว ฟ้าจะส่งผู้มีบุญคนใหม่มาครองแผ่นดิน ให้ชาวเมืองที่นับถือตน เขียนตัวหนังสือด้วยปูนขาวไว้ที่หน้าบ้านว่า "ปีชวดบ้านเมืองจะเป็นสุข" เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าบ้านไหนเข้าข้างตนบ้าง ชาวเมืองแปดหัวเมืองในบริเวณนั้น คือเมืองกิลกกุ๋น เฉงจิ๋ว อิวจิ๋ว ชิวจิ๋ว เกงจิ๋ว ยังจิ๋ว กุนจิ๋ว ขอนแก่น..ไม่ใช่ๆๆๆ อิจิ๋ว ทั้งแปดหัวเมืองต่างหันมาขึ้นตรงกับพระยาเตียวก๊ก ทั้งสิ้นทุกบ้านเขียนชื่อเตียวก๊ก ไว้บูชาทุกบ้าน

คนเราเมื่อได้รับการสรรเสริญยกย่องมากขึ้นก็เริ่มลืมตัว เวลาเตียวก๊กจะเดินทางไปไหนก็ต้องมีคนมาห้อมล้อม อาจจะยังไม่ถึงขั้นมีธงมาสะบัดโบกต้อนรับ แต่ก็พยายามทำตัวเลียนแบบเจ้า เวลาใครเข้าหาก็ต้องคลานเข่าเข้าไปหา ใครที่อยากก้าวหน้าในหน้าที่การงาน อยากเป็นหัวหน้ากลุ่ม อยากมีเงินทองโดยไม่ต้องทำงานก็ต้องคุกเข่าคลานเข้าไปหา ยิ่งใครสอพลอ กล่าวยกย่องว่าบารมีท่านสูงยิ่งนักเหมือนเทวดาลงมาโปรด ก็ยิ่งชอบ เมื่อเตียวก๊กได้ยินคำสอพลอบ่อยๆเข้าก็เริ่มลืมตัว คิดทำการใหญ่ขึ้นมา

โดยหลังจากนั้น เตียวก๊ก ก็ส่งสายลับชื่อ "ม้าอ้วนยี่"เอาเงินทองมากมายไปติดสินบนขันทีใหญ่ในเมืองหลวง ขันทีผู้นั้นชื่อ "ฮองสี" เป็นหนึ่งใน สิบเสียงสี ที่มีอำนาจมากที่ในเมืองหลวง เมื่อฮองสี ยอมเป็นไส้ศึกให้กับเตียวก๊กแล้ว เตียวก๊ก ก็เริ่มขึ้นคิดการใหญ่ โดยปรึกษากับน้องชายทั้งคู่ว่า บัดนี้เราได้ใจไพร่ทั้งหลายมาเป็นของเรามากมายพอสมควรแล้ว ถึงเวลาที่เราจะเอาแผ่นดินเสียได้แล้ว น้องทั้งสองก็ตกลงเตรียมซ่องสุมเสบียงและอาวุธไว้เป็นจำนวนมาก

เมื่อตกลงกันชัดเจนแล้วว่าจะทำการยึดแผ่นดิน เตียวก๊ก ก็ให้สมุนอีกคนหนึ่งชื่อ "ตองจิ๋ว" เอาหมายกำหนดการไปแจ้งกับขันทีฮองสีเพื่อนัดหมายวัน ว. เวลา น. กันให้แน่นอน แต่เจ้าตองจิ๋วกลับทรยศ เพราะไม่ว่าจะรักเตียวก๊กแค่ไหน แต่ก็รักชาติมากกว่า ดังนั้นตองจิ๋วเลยเอาหนังสือลับไปมอบให้ขุนนางที่จงนักภักดีต่อพระเจ้าเลนเต้ เพื่อให้นำไปกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ให้ได้รับทราบ

เมื่อพระเจ้าเลนเต้ทราบเรื่องก็ส่งขุนนางใหญ่ชื่อ "โฮจิ๋น" ยกกองกำลังมาจับ ฮองสี ไปขังแล้วจับ ม้าอ้วนยี่ ฆ่าทิ้งทันที พร้อมกันนั้นพระเจ้าเลนเต้ก็สั่งเตรียมไพร่พลเพื่อยกทัพไปปราบพระยาเตียวก๊ก

ฝ่ายเตียวก๊กเมื่อรู้ว่าแผนที่เตรียมไว้ไม่เป็นตามนั้น แทนที่จะหยุดกลับอัพตำแหน่งให้ตัวเองขึ้นไปอีกขั้นโดยตั้งตนเป็น "เทียนก๋งจงกุ๋น" แปลว่าเจ้าพระยาสวรรค์ แต่งตั้งน้องทั้งสองคือ เตียวโป้ เป็น "แต้ก๋งจงกุ๋น" แปลว่าเจ้าพระยาแผ่นดิน เตียวเหลีบงเป็น "ยินก๋งจงกุ๋น"แปลว่า เจ้าพระยามนุษย์ เมื่อมีตำแหน่งกันทั้งสามพี่น้องแล้ว เตียวก๊กก็ประกาศกับชาวเมืองที่เข้าข้างตนว่า แผ่นดินพระเจ้าเลนเต้จะต้องสูญสิ้นไป ผู้มีบุญคนใหม่จะมาครองแผ่นดินแทน ขอให้คนทั้งปวง ทำตามคำเทวดาทำนายเถิด ถ้าเราทำสำเร็จ เราจะได้อยู่ใน"รัฐจีนใหม่"กันอย่างมีความสุข

การประกาศเช่นนี้ของเตียวก๊ก ทำให้มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย บางเมือง บางกลุ่ม ก็บอกว่า ที่มาอยู่ร่วมด้วยก็เพราะนับถือในภูมิปัญญาของเตียวก๊ก แต่ถ้าจะให้ ล้มเจ้าพลิกแผ่นดินก็ไม่ขอร่วมด้วยเด็ดขาด ฝ่ายเตียวก๊กเมื่อรู้ว่ามีคนไม่เห็นด้วย ก็รวบรวมทหารและการ์ดประจำตัว ออกโจมตีกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยทำให้เกิดสงครามย่อยๆขึ้นในบริเวณแปดหัวเมือง และเตียวก๊กก็ได้รับชัยชนะมาโดยตลอดทำให้มีไพร่พลมากขึ้นเรื่อยๆ

ในการศึก จำเป็นต้องมีสัญลักษณ์ประจำกองทัพ เพื่อที่จะได้รู้ว่านี่เป็นพวกเดียวกันจะได้ไม่ทำร้ายกัน ดังนั้นเตียวก๊กจึงให้ทหารทั้งปวงของฝ่ายตนโพกผ้าสีเหลือง เป็นเครื่องหมาย กองทัพโพกผ้าเหลืองของเตียวก๊ก ตีเมืองต่างๆได้มากมายได้กองกำลังทหารเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จน โฮจิ๋น ขุนนางใหญ่ที่เป็นเจ้าของคดีนี้มาตั้งแต่ต้น นำความเข้ากราบทูลพระเจ้าเลนเต้ว่า ตอนนี้เจ้าโจรโพกผ้าเหลืองมันมีกำลังมากขึ้นทุกที ยากที่กองกำลังของตนจะต้านทานไว้ได้แล้ว ขอให้พระเจ้าเลนเต้ หาคนมาช่วยด้วย พระเจ้าเลนเต้จึงมีตราไปทุกหัวเมือง (ส่งจดหมายมีตราประจำพระองค์ประทับ) ว่าใครมีความสามารถจับโจรโพกผ้าเหลืองเหล่านี้ได้จะมีรางวัลให้ และจะแต่งตั้งให้เป็นขุนนาง

ในตอนนี้จะแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความเสื่อมของราชสำนักในยุคของพระเจ้าเลนเต้ แม้แต่กองโจรเล็กๆ ก็หาคนดีมีฝีมืออกไปปราบไม่ได้ เข้าข่าย Failed State เหมือนกันนะเนี่ย แต่ด้วยการที่บ้านเมืองยังต้องมีกองทัพ ดังนั้นกองกำลังทหารของพระเจ้าเลนเต้ก็ยังพอมีอยู่บ้าง พระเจ้าเลนเต้จึงส่งทหารเอกของเมืองหลวง คือ "จงลงเจียง" "โลจิ๋น" "ฮองฮูสง" "จูฮี" สี่ทหารเอก ให้ไปตกลงกันเองว่าจะทำอย่างไรที่จะจับตัวเตียวก๊กมาให้ได้ ไม่ว่าเป็นหรือตาย เหล่าขุนพลทั้งสี่เลยแบ่งกำลังจัดทัพออกเป็นสามกองทัพเพื่อที่จะไปล้อมตีกองโจรโพกผ้าเหลืองตามคำสั่งที่ได้รับมา ส่วนใครจะเป็นทัพหน้า ซ้ายหรือขวานั้น ในตอนนี้ยังไม่ได้กล่าวถึง

มากล่าวถึงกองกำลังโพกผ้าเหลืองของเตียวก๊กกันบ้าง ชื่อของกองกำลังเหล่านี้อยู่ที่ฝ่ายไหนเป็นคนเรียก ถ้าฝ่ายเตียวก๊ก เองก็เรียกกองกำลังจากสวรรค์ กองกำลังโพกผ้าเหลือง แต่ถ้าฝ่ายเมืองหลวง ก็จะเรียก โจรโพกผ้าเหลืองบ้าง กบฏ บ้างแล้วแต่ถนัด แต่สรุปใจความหลักๆในหนังสือสามก๊กเล่มที่ผมอ่านจะเรียกว่า "โจรโพกผ้าเหลือง" ครับ ดังนั้น เราจะใช้ชื่อนี้ไปตลอดโดยไม่ต้องมีตัวย่อ เป็น จ.พ.ล แต่อย่างใด

โจรโพกผ้าเหลืองกลุ่มนี้นับวันจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะใช้ยุทธศาสตร์ กองทัพควบคู่กับยุทธศาสตร์ความเชื่อ เมื่อชาวบ้านมีความเชื่อว่าเตียวก๊กคือผู้มีบุญที่จะมาพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ทำให้ชาวบ้านเหล่านั้นยอมสู้ตาย เมื่อมีทหารที่ยอมตายแทนนายได้ กองกำลังก็เข้มแข็ง ยุทธวิธีสร้างความเชื่อแบบนี้ยังคงนำมาใช้ในทุกยุคทุกสมัย โชคดีที่ยุคนั้นสมัยนั้นไม่มี ทวิสเตอร์ ไม่มีเฟคบุ๊ค ไม่มีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ไม่งั้น กองทัพของเตียวก๊กคงจะยิ่งใหญ่กว่านี้อีกมาก

กลุ่มโจรโพกผ้าเหลือง ยกทหารตีเมืองต่างๆมาเรื่อยๆจนถึงเมือง อิวจิ๋ว เมืองนี้ชาวเมืองส่วนใหญ่เป็นฝ่าย เตียวก๊ก ไปเสียมาก ทหารต่างๆก็แอบมีใจให้เตียวก๊กอยู่ด้วยเช่นกัน แต่เจ้าเมืองไม่เหลืองด้วยครับ เพราะเจ้าเมืองที่ชื่อ "เล่าเอี๋ยน" คนนี้มีเชื้อสายของพระเจ้าฮั่นโกโจ มีเชื้อสายเจ้าเมืองเก่าแก่มาแต่เดิม ดังนั้นจึงยอมไม่ได้ที่จะให้ โจรร้ายมายึดแผ่นดินของบรรพบุรุษ ดังนั้นจึงปรึกษากับ "เจาเจ้ง" ทหารคนสนิทว่าจะทำอย่างไรกันดี เจาเจ้งก็บอกว่าตอนนี้ทหารของเราที่ใช้งานได้จริงๆ ไม่แอบเหลือง มีอยู่ไม่มากนัก เราต้องประกาศหาคนดีมีฝีมือมาร่วมรบกับเรา แต่ตอนนี้ รมต.ที่ดูกรมประชาสัมพันธ์ของเมืองเรา ไม่สามารถควบคุมสื่อต่างๆในเมืองได้ และอีกอย่างตอนนี้ท่านก็ไม่ว่างด้วย เห็นว่าต้องไปจัดงานร้องเพลงชาติอยู่ที่หัวเมืองต่างจังหวัด ดังนั้นวิธีเดียวที่เราจะประกาศข่าวนี้ให้ชาวเมืองต่างๆได้รับรู้ก็คือ พิมพ์ใบปลิวแล้วใช้ทหารเอาไปติดประกาศตามหัวเมืองเหมือนกับที่เคยทำกันมาในอดีต เล่าเอี๋ยนเห็นด้วยกับวิธีของเจาเจ้ง เล่าเอี๋ยนจึงสั่งพิมพ์หนังสือออกไปติดตามหัวเมืองต่างๆเพื่อรับสมัครคนที่มีใจรักชาติ รักแผ่นดิน และไม่เห็นด้วยกับนโยบาย ล้มเจ้า ของเตียวก๊ก ให้เข้ามาช่วยกันปกป้องแผ่นดิน

เหล่าทหารของเล่าเอี๋ยนจึงออกเดินทางปิดประกาศมาเรื่อยๆ จนมาถึงเมืองตุ้นก้วน เมืองตุ้นก้วนแห่งนี้เป็นที่กำเนิดของ วีรบุรุษ ของใครหลายๆคนที่ชอบอ่านสามก๊กครับ นั่นก็คือ เล่าปี่ และที่เมืองนี้ เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ได้สาบานเป็นพี่น้องกันที่นี่ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามได้ในตอนต่อไปครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น