วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สามก๊ก ตอน ปฐมเหตุแห่งสามก๊ก

สามก๊กในความทรงจำ ตอน ปฐมเหตุแห่งสามก๊ก

ในช่วงนี้ผมโดนท่านผู้บังคับบัญชาการส่วนตัว สั่งการให้เขียนเรื่องสามก๊กให้อ่าน โดยมีการขีดเส้นตายไว้ให้ในแต่ละตอน ทำให้ผมต้องรีบหาข้อมูลเรื่องสามก๊กอย่างเร่งด่วน เรียกได้ว่าเป็นวาระแห่งชาติกันเลยทีเดียว เมื่อมานั่งคิดๆๆๆๆว่าจะเขียนอะไรดี ก็มีความรู้สึกว่ามนุษย์เดินทางอย่างผมที่ทำงานไม่เป็นเวลาและไม่ค่อยที่จะว่างเหมือนชาวบ้านซักเท่าไหร่ ถ้าเขียนเรื่องสามก๊กแบบ เอาตรงโน้นมาทีเอาตรงนี้มาทีก็คงจะทำให้ตัวผมสับสนเองเป็นแน่ ไม่รู้ว่าตรงไหนเป็นตรงไหน เพราะอย่างที่ทราบกันแล้วว่า สามก๊กมันยาวขนาดไหน เรื่องราวลึกลับซับซ้อนยิ่งกว่า ขบวนการใดๆทั้งบนดิน ใต้ดินที่ก่อตัวอยู่ในประเทศเราตอนนี้ซะอีก

ดังนั้นผมก็ตัดสินใจว่าจะเขียนตั้งแต่เริ่มต้นกำเนิดสามก๊กไปเรื่อยๆ เหนื่อยตอนไหน หรือ ติดงานไม่ว่างตอนไหนก็จะได้กลับมาเขียนต่อได้โดยไม่ข้ามไปข้ามมา และท่านผู้บัญชาการส่วนตัวจะได้เข้าใจเรื่องราวของสามก๊กได้อย่างไม่สับสน เพราะถ้าท่าน ผบ.สับสนผมคงจะต้องเดือดร้อนในหลายๆเรื่องเป็นแน่แท้...

สามก๊ก ความหมายคือสามกลุ่ม สามหัวเมืองที่แยกกันมีอำนาจ ไม่ขึ้นแก่กัน แต่ก่อนที่แผ่นดินจีนจะแบ่งเป็นสามก๊กนั้นเคยเป็นปึกแผ่นเป็นจีนเดียว โดยราชวงศ์สุดท้ายในช่วงนั้น ก่อนที่จะเป็นสามก๊ก คือ ราชวงศ์ของ "พระเจ้าฮั่นโกโจ" โดยพระเจ้าฮั่นโกโจ และราชวงศ์ครองราชย์สืบต่อมา สิบสองพระองค์ ก่อนที่จะถูกขุนนางที่ชื่อ"อองมัง" ก่อการยึดอำนาจ ในสามก๊กฉบับที่ผมอ่านเขียนว่า อองมัง ก่อการขบถชิงราชสมบัติ แต่ในยุคปัจจุบัน ขบถ หรือกบฏ จะใช้กับผู้ที่กระทำการไม่สำเร็จมากกว่า ถ้าบังเอิญว่า ผู้ที่กระทำการดำเนินการไปได้อย่างเรียบร้อย ผมเห็นในบ้านเราใช้คำว่าคณะปฏิวัติ รัฐประหาร หรือ คณะต่างๆที่ใช้ตัวย่อ ลงท้ายด้วยตัว ช.ช้าง กันทั้งนั้น.. โดย ช.ช้าง นั้นจะเป็นอักษรย่อแทนคำว่า แห่งชาติ ซึ่งบางครั้งผมก็สับสนว่า "มันเพื่อชาติ จริงหรือเปล่าหว่า"

กลับมาที่สมัยราชวงศ์พระเจ้าฮั่นโกโจกันต่อครับ หลังจาก อองมัง ยึดอำนาจแล้วครองอำนาจสืบต่อมาได้ สิบแปดปี เชื้อสายของพระเจ้าฮั่นโกโจ โดยมีศักดิ์เป็น หลานของพระเจ้าฮั่นโกโจ ชื่อ "ฮั่นกองบู๊" ก็ชิงเอาแผ่นดินคืนมาได้ โดยจับเอาอองมังฆ่าทิ้งตามประเพณีที่ทำกันเป็นเรื่องปกติในสมัยนั้น ซึ่งการทำสงคราม ฆ่าฟันกัน เป็นเรื่องปกติ เมื่อมีการยึดอำนาจกลับคืนมาได้ และผู้ที่ยึดอำนาจกลับมา มีเชื้อสายของราชวงศ์เดิม ดังนั้นจึงเป็นการนับราชวงศ์ต่อไป เป็นราชวงศ์ พระเจ้าฮั่นโกโจเช่นเดิม

พระเจ้าฮั่นกองบู๊ ครองราชย์สืบต่อกันมาได้อีก สิบสองพระองค์จนมาถึงสมัยของ"พระเจ้าฮั่นเต้" แผ่นดินที่เคยร่มเย็นก็เริ่มมีเค้าลางของความวิบัติแตกแยก..สาเหตุคือ พระเจ้าฮั่นเต้ไม่มีราชบุตรที่จะสืบราชวงศ์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงรับเอา "เลนเต้" มาเลี้ยง ซึ่งในหนังสือเล่มที่ผมอ่านก็ไม่ได้บอกว่า เลนเต้ เป็นใครมาจากไหนทำไมอยู่ดีๆถึงได้มีวาสนาใหญ่โตเช่นนั้น และเลนเต้ นี่เองที่เป็นต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งปวง เมื่อ เลนเต้ขึ้นครองราชย์ ในนาม "พระเจ้าเลนเต้"

พระเจ้าเลนเต้ในขณะที่ครองราชย์นั้น เป็นกษัตริย์ที่ไม่อยู่ใน ทศพิธราชธรรม อันเป็นธรรมสิบประการของผู้ที่ครองบ้านเมือง ทำให้อาณาประชาราษฏร์ เดือดร้อนมากมาย เมื่ออ่านมาถึงตอนนี้ทำให้ผมรู้ว่า คนไทยในยุคนี้โชคดีมากมายขนาดไหนที่พวกเรามีพระมหากษัตริย์ที่ทรง ทศพิธราชธรรม ปกครองบ้านเมืองให้ พสกนิกรชาวไทยได้อยู่เย็นเป็นสุขภายใต้พระบารมีได้อย่างไม่มีสิ่งใดมาเสมอเหมือน ดังนั้นผมจึงภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่เกิดเป็นคนไทย และไม่เคยคิดจะไปอยู่ที่ไหน หรือเปลี่ยนไปใช้สัญชาติใดๆในโลกอย่างแน่นอนครับ

พระเจ้าเลนเต้ เมื่อไม่อยู่ในโบราณราชประเพณี ไม่ใส่ใจประชาชน ดังนั้นเหล่าขุนนางที่จะเข้ากับนายประเภทนี้ได้จึงต้องเป็นคนที่มีนิสัยใจคอที่เหมือนกัน คนดีๆไม่ได้โต เอาคนโง่มาเป็นใหญ่ เอาคนพาลมาปกครองคนดี ดังนั้นชาวบ้านชาวเมืองในสมัยนั้นคงจะลำบากกันน่าดู ในกลุ่มขุนนาง หรือ ขันที ที่อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าเลนเต้นั้น มี "เทาเจียด" เป็นหัวหน้าขันที ซึ่งเจ้าเทาเจียดคนนี้เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าเลนเต้มาก จะทำอะไรก็น่ารักน่าเอ็นดูไปหมด ไม่มีอะไรผิดทั้งสิ้น ดังนั้น เทาเจียดจึงรวมหัวกับพวกขุนนางในสังกัด ขูดรีดชาวบ้าน ข่มเหงข้าราชการและขุนนางที่ไม่เข้าพวกกับเทาเจียดให้ได้รับความลำบากยากเข็ญเป็นอันมาก ใครจะโยกย้ายหรือเลื่อนตำแหน่งก็ต้องจ่ายเงิน ถ้าไม่จ่ายก็อย่าหวังว่าจะได้เลื่อนตำแหน่ง ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนหรืออายุราชการจะมากเพียงใด ถ้าไม่จ่ายใต้โต๊ะก็ทำได้แค่เพียงนั่งมองดูเด็กรุ่นหลังที่ไม่มีความสามารถแต่มีเงินเหยียบหัวขึ้นเป็นใหญ่แทน

ส่วนพวกที่ใช้เงินซื้อตำแหน่งเมื่อได้ตำแหน่งมาแล้วก็ทำการถอนทุน ด้วยการโกงงบประมาณ ขูดรีด ฮั้วประมูลทุกอย่าง เพื่อที่จะถอนทุนคืนและเก็บไว้เป็นทุนในการซื้อตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้น บางคนก็สั่งให้ลูกน้องไปตั้งด่านลอย ตรวจจับความเร็วเกวียน ดูใบอนุญาติขี่ม้า สารพัดที่จะทำ ประชาชนหาเช้ากินค่ำหรือเด็กนักเรียนจะไปเรียนหนังสือ โดนพวกขุนนางเหล่านี้กลั่นแกล้งจับผิดไปทุกๆเรื่อง และสิ่งที่น่าแปลกและเป็นวัฒนธรรมตกทอดมาจนถึงยุคนี้ก็คือ จับกับตอนเช้าๆ เกวียนเยอะๆ ม้าเยอะๆ การจราจรคับคั่ง พอได้ยอดแล้วก็หายหัวกันหมด ถ้าอ้างว่าเพื่อความปลอดภัยของประชาชน แน่จริงก็ตั้งด่านมันทั้งวันทั้งคืนสิวะ เวลาฝนตกก็อย่าหลบไปนอน ... นอกเรื่องแล้วละครับ เอาเรื่องส่วนตัวมาปนซะแล้ว ไปที่สามก๊กกันต่อดีกว่า

ดังนั้นในเมืองหลวงจึงเกิดกลุ่ม คลื่นใต้น้ำในหมู่ขุนนาง ที่จ้องจะทำการปฏิวัติที่ไม่ถึงกับการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ กล่าวคือ มีความคิดเพียงแค่จะล้มล้างอำนาจของเจ้าขันทีใหญ่ ที่ชื่อ เทาเจียด เท่านั้น ไม่ได้หวังถึงขั้นจะครองแผ่นดิน หนึ่งในกลุ่มขุนนางเหล่านั้น คือ กลุ่มที่มี "เตาบู" และ "ตันผวน" เป็นผู้นำ จึงดำเนินการปฏิวัติทันที แต่..ไม่สำเร็จ และโทษสถานเดียวของผู้ที่ปฏิวัติไม่สำเร็จคือ การประหารชีวิตทั้งคู่ และการปฏิวัติครั้งนั้น นอกจากจะไม่สำเร็จแล้ว ยังทำให้ เทาเจียดและพวก ระวังตัวมากขึ้น และกำเริบขึ้นมากกว่าเดิมเพราะคิดว่า คงจะไม่มีใครกล้ากระทำการเช่นนั้นอีกต่อไปอย่างแน่นอนเพราะได้ เชือดไก่ให้ลิงดู ไปแล้ว

เหตุการณ์ต่างๆดำเนินต่อมาจนถึงปีที่สิบสองของการครองราชย์ของพระเจ้าเลนเต้ ( สังเกตหลายครั้งแล้วว่า เหตุการณ์ต่างๆ ลงที่เลข สิบสองซะเป็นส่วนใหญ่ ) ก็เริ่มมีลางร้ายบอกเหตุ ต่างๆเกิดขึ้นในแผ่นดิน อาทิเช่น เกิดพายุใหญ่พัดกระหน่ำ แล้วบังเกิดมีงูเขียวใหญ่ ตกลงมาพันตรงเก้าอี้ ที่พระเจ้าเลนเต้ นั่งอยู่ พระเจ้าเลนเต้ ตกใจจนเป็นลม ขุนนางต่างๆต้องช่วยกันพยุงเข้าไปพักผ่อน ขุนนางบางคนเห็นงูใหญ่ก็ตกใจวิ่งหนี ซึ่งงูตัวนี้คงจะใหญ่มากถึงขนาดทำให้ ขุนนางตกใจวิ่งหนีได้ ตอนแรกๆที่อ่านผมเคยสงสัยว่าทำไมไม่เอา ดาบฆ่างูซะ วิ่งหนีกันทำไม แต่พอเริ่มอ่านหนังสือต่างๆมากขึ้น ก็เริ่มเข้าใจว่า เวลาเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีใครพกอาวุธกันหรอกครับ ต้องถูกเก็บไว้ในที่อันควรด้านนอก ก่อนที่จะเข้าเฝ้าทุกคนไม่มียกเว้น จากประเพณีข้างต้นก็ยังมีการสืบทอดกันมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ตำรวจที่เฝ้าระวังรักษาการณ์ บนเส้นทางเสด็จ จะสวมถุงมือขาว ที่ผมเข้าใจเอาเองว่า ถุงมือสีขาวจะทำให้มองเห็นได้ชัดว่าจะไม่มีสิ่งใดอยู่ในมือ และตำรวจเหล่านั้น ห้ามพกปืนโดยเด็ดขาด

เมื่องูเขียวใหญ่ตัวนั้นออกมาสร้างความตื่นตระหนกในราชสำนักจนพอใจแล้วงูตัวนั้นก็หายไปเฉยๆ แต่เมื่องูหายไปก็เกิดพายุใหญ่โหมกระหน่ำ เกิดลูกเห็บถล่มเมือง บ้านเรือนประชาชนเสียหายเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นที่กล่าวขวัญกันในหมู่ชนทั้งหลายเป็นอันมาก และกว่าจะใช้งบประมาณเยียวยาสภาพจิตใจประชาชนได้ก็ใช้เวลานานมากพอดูเลยทีเดียว

พระเจ้าเลนเต้ มีราชบุตร สององค์ด้วยกัน ชื่อ "หองจูเหียบ" กับ "หองจูเปียน" ซึ่งเราจะข้ามเรื่องราวของสององค์นี้ไปก่อน เพราะยังไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวตอนนี้ แต่จะมีบทบาทพอสมควรในตอนที่สิ้นพระเจ้าเลนเต้แล้ว ซึ่งถ้าไม่มีเหตุการณ์ใดๆที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น เป็นต้นว่า หิมะตก หรือ สึนามิถล่มที่บ้านผม ทำให้ผมไม่สามารถเขียนต่อได้แล้วนั้น ผมคงจะได้กล่าวถึง ราชบุตรทั้งสององค์ของพระเจ้าเลนเต้อย่างแน่นอนครับ

มาว่ากันต่อครับ หลังจากเหตุการณ์งูเขียวใหญ่ถล่มวังหลวงผ่านไปได้สี่ปี ( พ.ศ. ๗๒๖ ) ในเดือนยี่ปีนั้น ที่เมืองลกเอี๋ยง เกิดแผ่นดินไหว น้ำทะเลใหญ่เกิดท่วมบ้านเรือนราษฏร บ้านเรือนที่อยู่ริมฝั่งถล่มทลายไปเป็นจำนวนมาก ไก่ตัวเมียกลายเป็นไก่ตัวผู้ เหตุการณ์นี้คงจะเป็น สึนามิ ที่บ้านเราเคยเจอ แต่ที่ผมติดใจนิดนึงคือ ที่บ้านเราเกิดตอน 26 ธันวาคม 2547 น่าจะเป็นเดือนยี่ เช่นกันครับ ส่วนไก่ตัวเมียเป็นไก่ตัวผู้นี้ในหนังสือไม่ได้บอกว่าเป็นทั้งหมดหรือ แค่ตัวเดียว แต่สรุปว่าเกิดอาเภทขึ้นในบ้านเมืองทำให้ราษฏรเดือดร้อนเป็นอันมาก

ผ่านเดือนยี่ ย่างเข้าเดือนหก ฝนก็ตกพรำๆ กบมันก็ร้องงำงัมระงมไปทั่วท้องนา..ไม่ใช่สิ เดือนหกขึ้นหนึ่งค่ำปีนั้น เกิดไฟไหม้พระที่นั่งอุนต๊กเตี้ยน ซึ่งคงจะเป็นพระที่นั่งในพระราชวัง พอผ่านเดือนหก ขึ้นเดือนเจ็ด เกิดรัศมีของสายรุ้งลงในพระราชวัง ซึ่งเรื่องสายรุ้งนี้ผมเองก็ไม่ทราบว่าเป็นลางร้ายแบบไหน แต่เหตุที่เห็นได้ชัดคือ ภูเขารันซัว ถล่ม ในหนังสือบอกว่าเป็นภูเขาสูงใหญ่ และเมื่อภูเขาสูงใหญ่ถล่ม ก็คงจะมีชาวบ้านเดือดร้อนมากอีกเช่นกัน เมื่อเกิดเหตุร้ายมากมายเกิดขึ้นติดต่อกันเช่นนั้น พระเจ้าเลนเต้ก็เริ่มเกิดความวิตกกังวล เรียกประชุมขุนนางต่างๆเพื่อสอบถามว่า เหตุพวกนี้ เป็นลางร้ายมากมายขนาดไหน และเกิดขึ้นเพราะอะไร กลุ่มขุนนางชั่วก็บอกว่า เป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรมากมายส่วนพวกตามน้ำก็เฉยๆว่าไงว่าตามกันมิกล้าทักท้วง แต่ก็มี ขุนนางที่ไม่เห็นด้วยกับแก๊งค์เทาเจียด ที่ชื่อ "ยีหลง" ทำหนังสือลับ กราบทูล พระเจ้าเลนเต้ว่า เหตุทั้งปวงเกิดจากขันทีทั้งปวงกระทำล่วงพระราชอาญา ทำให้เทพเทวาบันดาลให้นิมิตรเหล่านี้ได้บังเกิด

พระเจ้าเลนเต้ก็ช่างกระไร..เมื่ออ่านหนังสือลับฉบับนั้นแล้วมิได้ตรัสสิ่งใด ลุกขึ้นเดินออกไปผลัดเปลี่ยนเครื่องทรงด้านใหม่ โดยที่ทิ้งหนังสือไว้ตรงนั้นโดยมิได้เก็บไว้ให้มิดชิดแต่อย่างใด ดังนั้นเทาเจียด ที่เป็นขันทีและขุนนางใกล้ชิด เลยได้เห็นหนังสือฉบับนั้นด้วย และแน่นอนครับว่า อนาคตราชการของ ยีหลง ต้องดับวูบลงไปในทันที ยีหลงถูกใส่ความโยนความผิดให้ออกจากราชการ แต่จะตายหรือไม่นั้นในเรื่องไม่ได้กล่าวถึง เดาเอาว่า ถ้ายีหลงไม่ถูกยึดทรัพย์แล้วไล่ออกไปอยู่นอกเมือง ก็คงจะถูกกองกำลังลับ ลอบสังหารด้วย "สไนเปอร์" เป็นแน่แท้

ฝ่ายเทาเจียด หลังจากกำเริบมานานโดยที่คิดว่าคงจะไม่มีใครกล้าต่อต้านก็รู้ตัวว่า ตนเองยังไม่สามารถยึดอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และงานใหญ่อันนี้คงจะทำกันแค่คนไม่กี่คนไม่ได้อีกแล้ว ก็เลยรวบรวมสมัครพรรคพวก อีก เก้า คนรวมเป็น สิบคน ส่วนจะมีชื่ออะไรบ้างนั้นก็คงจะขอข้ามไปก่อนเพราะเดี๋ยวจะมีตัวละครมากมายจนท่าน ผบ.สับสน เอาเป็นว่ามีเทาเจียดเป็นผู้นำ และอีกคนนึงที่มีอิทธิพลต่อพระเจ้าเลนเต้มาก มากถึงขนาดที่พระเจ้าเลนเต้ยกให้เป็นบิดาเลี้ยง (ตามในหนังสือ)เลยทีเดียว ท่านผู้นั้นมีชื่อว่า "เตียวเหยียง" ไม่ว่าเตียวเหยียงจะบอกเรื่องใด พระเจ้าเลนเต้ไม่เคยขัด ด้วยความเกรงใจในขุนนางผู้นี้ ดังนั้น แก๊งค์ สิบขันทีจึงมีอำนาจเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก มีชื่อเป็นทางการว่า "สิบเสียงสี"

คณะสิบเสียงสี ที่ทำการยึดอำนาจเงียบได้อย่างเด็ดขาดนั้น ก็เริ่มรีดไถราษฏร ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนมาก ขุนนางผู้ใดไม่เข้าด้วยกับพวกตนก็กลั่นแกล้งต่างๆนานา ให้ออกบ้าง ย้ายบ้าง ทำให้แผ่นดินร้อนรุ่ม ด้านหัวเมืองต่างๆก็เริ่มอดอยาก เริ่มมีโจรก๊กต่างๆออกปล้นชิง การปกครองเริ่มอ่อนแอ หรือที่เรียกว่า Failed State อย่างที่หลายๆคนอยากให้เกิดขึ้นในบ้านเรานั่นละครับ เมื่ออ่านสามก๊กมาถึงตอนนี้แล้ว ก็คิดว่า บ้านเราเมืองเรายังดีกว่านี้มากมายนัก ถึงแม้ว่าบางช่วงบางตอนเหตุการณ์ในบ้านเราจะพาไปจนเกือบถึงขั้น Failed State ก็เถอะ แต่ถึงยังไงแผ่นดินไทยก็ยังมีคนดีมีฝีมือที่จะมากอบกู้สถานการณ์ให้กลับคืนมาได้เสมอ แต่ถ้าเราไม่ช่วยกันต่อต้านกลุ่มคนที่โกงกิน นักการเมืองที่เห็นแต่ผลประโยชน์ของตัวเองแล้วคงอีกไม่นานหรอกครับ บ้านเมืองเราก็คงจะเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันกับในยุคสมัยพระเจ้าเลนเต้อย่างแน่นอน

วันนี้ปฐมบทแห่งสามก๊ก ก็ขอจบไว้เพียงแค่นี้ก่อนนะครับ ตอนต่อไปผมจะมาเล่าถึงเรื่องราวของหัวเมืองรอบนอกให้อ่านกัน ว่าในขณะที่เมืองหลวงเกิดการโกงกินกันอย่างมากมายนั้น ที่หัวเมืองด้านนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง

นภดล 26/5/2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น