วันพฤหัสบดีที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2553
ท้อได้แต่อย่าถอย
วันนี้มาแปลกๆอีกแล้ว(ก็แปลกทุกทีนี่นา) วันนี้ผมจะจะมาเล่าเรื่องราวการทำงานให้ฟังอีกแล้ว จั่วหัวข้อไว้ว่า ท้อได้แต่อย่าถอย คำๆนี้ใครก็พูดกันไปทั่วได้ยินกันบ่อยๆ แต่จะมีกี่คนที่ทำได้จริงๆหนอ ผมทำงานที่บริษัทแห่งนี้ (คงจะทราบนะครับว่าที่ไหน) มีเรื่องราวมากมายที่ต้องอดทนต้องทำงานในเวลาที่จำกัด งานเหนื่อยและหนัก ทั้งแบกทั้งหาม ใช้สมองและกำลังในเวลาเดียวกันซึ่งงานแบบนี้หาได้ยากในส่วนงานอื่นๆ อดหลับอดนอน พักผ่อนไม่เป็นเวลา วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องราวและวิธีคิดให้ได้ลองอ่านกันครับ
การทำงานทุกอย่างย่อมที่จะมีปัญหาและอุปสรรค อยู่ที่ว่าเราจะท้อหรือเปล่าก็เท่านั้น ก่อนหน้าที่ผมจะมาอยู่ส่วนงาน Maintenance ผมอยู่ส่วนงาน Ground work คือส่วนงานติดตั้งด้านล่างภายในตู้คอนเทนเนอร์ งานนี้จะหนักนิดนึงตรงที่ต้องแข่งกับเวลา เราต้องทำให้เสร็จให้เร็วที่สุดเพื่อที่จะให้ทีมต่อไปเข้ามาทำงานต่อ ในปี 2542 เรามีการขยายเครือข่าย 1800 ออกสู่ภูมิภาคอย่างมากมาย
และปีนั้นเองที่ทำให้ผมได้เข้ามามีส่วนร่วมในองค์กรณ์แห่งนี้ ผมเข้ามาอยู่ในทีมใช้แรงงาน ทำหน้าที่ติดตั้งระบบไฟฟ้าภายในตู้ วางระบบ Battery Back up แต่ที่เหนื่อยก็คือ แต่ละที่ที่ตู้ไปวางไว้นั้น มันยังไม่มีไฟฟ้าเข้ามาเลยครับ เราต้องใช้เครื่องปั่นไฟ เพื่อที่จะให้ทำงานได้ แถมในตู้ก็ร้อนเหลือเกิน ดีนะที่ช่วงนั้นหุ่นยังดี เลยไม่เป็นไรมาก ถ้าเป็นช่วงนี้ละก็ เหงื่อออกขนาดนั้นคงกลายเป็น "หมูน้ำตก" แน่ๆ ที่ผมประทับใจในช่วงที่ผมทำงานส่วนงานนั้นก็คือ มีวันนึงผมไปติดตั้งกันที่จังหวัดตรัง ข้างๆโรงงานปุ้มปุ้ย แถวๆบ้านคลองเต็ง ที่นั่นไม่มีไฟฟ้าต้องปั่นไฟเหมือนเดิม แถมงานยังช้า จนกระทั่งฟ้าเริ่มมืด ผมลงมานั่งที่ใต้ตู้คอนเทนเนอร์ นั่งดูรถไฟขบวนสุดท้าย(รถด่วน ตรัง-กรุงเทพ)วิ่งผ่านไป มองแสงอาทิตย์ที่กำลังจะหายไปฟ้าที่เริ่มจะมืด "รถไฟขบวนนี้ผ่านบ้านเราด้วย" ในใจผมคิดขึ้นมาประกอบกับฟ้ากำลังจะมืด ทำให้ผมคิดถึงบ้านคิดถึงแม่ อยากจะหนีกลับบ้านซะให้รู้แล้วรู้รอด แต่งานก็ยังไม่เสร็จถ้ากลับก็ต้องมาอีก มันเหนื่อยมันล้าเกินกว่าจะบรรยาย แต่สุดท้ายตัดสินใจที่จะสู้ ผมเดินขึ้นไปข้างบนอีกครั้ง
เพื่อนๆอีกสองคนก็ลุกขึ้นสู้ด้วยกันอีกครั้ง จนเราทำงานเสร็จในคืนนั้น นี่อาจจะเป็นสาเหตุนึงที่เพื่อนร่วมงานที่อยู่กันมาจนถึงตอนนี้ถึงรักกันมาก วัฒนธรรมองค์กรณ์ในส่วนงานที่ผมอยู่มันดีกว่าหลายๆที่ แผนกของผมที่อยู่ส่วนงานสุราษฎร์ได้ทำงานร่วมกันมาตั้งแต่สมัยวัยรุ่นจนเริ่มจะแก่ แถมบางคนยังเรียน ปวส มาด้วยกัน บางคนเรียนมาด้วยกันกับผมตั้งแต่ มัธยมต้น จนตอนนี้ก็เจอหน้ากันมายี่สิบกว่าปี "รู้จักกันมานานจนไม่รู้จะทะเลาะอะไรกันแล้วว่ะ" ผมเคยบอกใครบางคนที่ถามว่าทำไมบางครั้งผมถึงไม่โวยวายเวลาที่เพื่อนบางคนบ่นว่าหรือทำอะไรที่ไม่น่าจะทำกับผม
การได้กินนอนร่วมกันมันทำให้เรารู้จักกันมากขึ้น การได้ผ่านปัญหาและอุปสรรคมาด้วยกันทำให้เรารู้ว่าใครเป็นยังไง ไม่เหมือนเด็กรุ่นหลังที่เข้ามาในช่วงที่บริษัทสบายแล้ว บางครั้งผมได้ยิน น้องๆหรือคนที่เข้ามาทำงานที่นี่ไม่นาน บ่นว่า เหนื่อยจังเลย เงินก็น้อย สารพัดที่จะบ่น ผมอยากจะบอกว่า เมื่อก่อนเราเหนื่อยกันกว่านี้มาก เงินก็น้อยกว่านี้ แต่เราอยู่กันได้ด้วยใจ ผมยังจำภาพสมัยที่เราเหนื่อยล้า นอนหมดแรงกันใต้ตู้คอนเทนเนอร์ ส่งน้ำเย็นให้กินกันเวลาที่เหนื่อยมากๆ นั่งรูดใบกระท่อม กินพร้อมๆกับฉลามหรือ กระทิงแดง
ภาพเหล่านั้นจะส่งผลมาถึงวันนี้ พวกเราสู้มาด้วยกัน เคยท้อกับนโยบายบ้าๆของบริษัทมาด้วยกัน เวลามีนโยบายบ้าๆจากส่วนกลางมาให้ปฏิบัติ พวกเราจะมีคำตอบอยู่ในใจที่คล้ายๆกันเวลาอ่านประกาศแล้วขัดใจหรือลำบากใจเราจะมีคำที่จะพูดกันเสมอคือ "ช่างแม่งงงงง" แล้วก็ทำงานกันต่อ แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่มีพวกงี่เง่านะครับ คนแบบนี้มีทุกที่ เพียงแต่ว่าที่ส่วนงานผมมันน้อยแค่นั้นเอง ทำให้เวลาเหนื่อยหรือท้อ ผมถึงได้หายเร็วเพราะอย่างน้อยก็มีพี่ๆ เพื่อนๆ ที่ดีๆอยู่รอบๆตัวนั่นเองครับ
หลังจากที่ผ่านงานติดตั้ง ผมก็มาอยู่ส่วนงาน Out door ส่วนงานนี้จะทำหน้าที่ติดตั้ง Feeder และ Antenna เป็นส่วนงานที่ต้องอยู่ในที่สูง มันเป็นงานที่ท้าทายดีเหลือเกินผมจำได้ว่า ที่แรกที่ผมลองขึ้นเสาคือที่ กระบุรี จังหวัดระนอง ผมขึ้นไปได้แค่ 12 เมตรเหนื่อยมากเพราะผมขึ้นไม่เป็น ปีนไม่เป็นถ่ายน้ำหนักตัวไม่เป็น วันนั้นทำให้ผมได้รู้ว่า งานแต่ละงานมีความชำนาญที่ไม่เหมือนกันคนที่เก่งเรื่องนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะเก่งเรื่องอื่นด้วย การที่เราได้เจอคนมากมายทำให้ได้รู้ว่า โลกนี้ยังมีคนเก่งอีกมากเลยครับที่ไม่ได้ออกมาเปิดเผยตัวหรือออกมาคุยโม้โอ้อวด ผมชอบที่จะนั่งคุยกับพี่บู๊เรื่องไก่ชน พี่บู๊เก่งมากเลยครับในเรื่องนี้ ทั้งการดูไก่ซ้อมไก่ทำเดือยสวมให้ไก่เวลาเอาไปชน ชอบที่จะคุยกับพี่รินทร์เรื่องประสบการณ์สมัยแกเป็นทหารอยู่สัตหีบ หรืออีกหลายๆเรื่อง
หลังจากวันนั้นพี่ๆก็สอนผมในเรื่องของการปีนเสา การปีนเสาไม่ใช่ว่าปีนขึ้นไปได้อย่างเดียวมันต้องเรียนรู้หลายๆอย่างมากทั้งเรื่องการทำงานบนเสาการผ่อน เบลล์อย่าให้รัดล็อคตรงไหนถึงจะปลอดภัย ช่วงแรกๆนี้ผมยังขึ้นไม่ถึงยอดเสาหรอกครับ ช่วยได้แค่กลางๆเสาเท่านั้น มันรู้สึกเหนื่อยล้าเหลือเกินที่จะขึ้นไปให้ถึงยอดเสาที่ความสูง 60 เมตร จนวันนึงมีเหตุให้ผมต้องขึ้นไปเปลี่ยนไฟยอดเสาผมจำได้ว่าเป็นเสาที่สูง 60 เมตรต้นแรกของผม คือที่ อำเภอเคียนซา จังหวัดสุราษฎร์ธานี ผมปีนพลางมองยอดเสาไปพลาง "ทำไมมันยังไม่ถึงซักทีวะ" ก็ถ้าเราขึ้นไปที่สูงเราจะต้องใช้แรงเยอะเพื่อที่จะดึงตัวเองให้พ้นจากแรงโน้มถ่วงของโลก ผมเหนื่อยและเริ่มพักบ่อยขึ้น ใจมันท้อจนอยากจะกลับลงไป ไม่ทำแล้ว
แต่สุดท้ายก็คิดว่า ถ้าลงมันก็ต้องขึ้นมาใหม่ ความสูงที่เหลือมันไม่เท่าเดิมแล้วน่า อดทนอีกนิด แล้วผมก็พยายามตะเกียกตะกายขึ้นไปจนได้ ผมเปลี่ยนไฟเสร็จผมนั่งอยู่บนยอดเสานานมาก มองวิวจากบนยอดเสา มองไปรอบๆจนหายเหนื่อย ลมบนนั้นมันเย็นจนไม่รู้สึกถึงความร้อนของแดด ผมแอบภูมิใจอยู่ลึกๆว่า เราก็ทำได้ หลังจากนั้นผมก็ไม่กลัวการปีนเสาอีกเลย หลายๆครั้งผมมาคิดว่าถ้าวันนั้นผมท้อแล้วผมถอยลงมา วันนี้ผมคงจะยังเป็นคนที่ทำอะไรไม่สำเร็จซักอย่างแน่ๆ โชคดีที่ใจยังสู้ ทำให้ผ่านปัญหาและอุปสรรคต่างๆมาได้
หลังจากนั้นผมก็เป็นส่วนนึงของทีม out door อีกเหตุการณ์ที่ประทับใจก็คือ ที่เสาของการสื่อสารที่อำเภอห้วยยอดจังหวัดตรัง เราต้องทำการเพิ่มอุปกรณ์อีกชุดนึงทั้ง indoor และ out door ผมเลือกขึ้นเสากับพี่รินทร์ ตอนนั้นยังเป็นเสาต้นเก่า อยู่หลังบ้านพักตำรวจอำเภอห้วยยอด เราก็ขึ้นไปทำงานกันเรื่อยๆแบบไม่เร่งรีบ ส่วนด้านล่างก็ทำงานกันไปเช่นกัน
แต่เหมือนนรกชังสวรรค์แกล้ง ฝนตกลงมาครับ ตอนนั้นเราทำได้ครึ่งเสาแล้ว เหลือแค่ยึดสายนำสัญญาณให้แน่นจากกลางเสาลงไปถึงด้านล่าง พี่รินทร์ตะโกนเรียกพวกที่อยู่ด้านล่างว่าจะเอายังไง แต่ก็ไม่มีเสียงตอบรับ ทุกคนเข้าไปอยู่ในตู้กันหมด โทรศัพท์ก็ไม่มีเพราะตอนนั้นพนักงานยังไม่ได้โทรศัพท์กันทุกคน ในแต่ละทีมมีเครื่อง 800 กับ 1800 อย่างละเครื่องแค่นั้น "เอาพรือดี" พี่รินทร์ถามผม จะลงไปก่อนหรือว่าทำให้เสร็จ "ทำให้เสร็จดีกว่า" พี่รินทร์ตกลงทันที ตอนนั้นพวกเราทำงานกันแบบว่าไงว่าตามกัน ลุยงานกันเต็มที่ไม่เกี่ยงไม่ถอยอยู่แล้ว เราทำกันจนเสร็จเปียกไปหมดทั้งตัว แถมเสาก็เป็นเสาเก่ามีตะไคร่น้ำเกาะอยู่มาก พอโดนฝนมันจะลื่นมากๆๆ ทั้งที่มือและที่เท้า เราต้องระวังตัวกันมากเป็นพิเศษ พอใกล้จะเสร็จผมยืนพักเอาเสื้อเช็ดหน้าเช็ดน้ำฝนที่ไหลมาเข้าตา แล้วผมก็ได้เห็นว่า ที่แฟลตตำรวจสี่ชั้นที่อยู่ด้านหลัง มีคนมานั่งอยู่ที่ระเบียงมองดูพวกเรากันเต็มไปหมด ผมเลยบอกให้พี่รินทร์หันไปดู "สงสัยมันคิดว่าพวกเราเมายาบ้าแน่ๆ"
ก็ถ้าเป็นผมผมก็คิดแบบนั้นแหละครับ คนดีๆที่ไหนจะมาทำงานกลางฝนอยู่แบบนั้นละครับ จนลงมาถึงข้างล่างเราสองคนก็ได้รู้ว่าทำไมพวกที่อยู่ด้านล่างถึงไม่ตอบรับตอนที่พี่รินทร์ตะโกนลงมา ก็ไอ้ป๋องเอาโน๊ตบุ๊ค เปิดหนัง X ดูกันอยู่ นอนดูกันอย่างสบายใจ แถมพอหันมาเจอพวกเรามันยังถามหน้าตายอีกว่า "อ้าว คิดว่าหายไปไหน ไปทำอะไรมาทำไมเปียกเป็นลูกหมากันทั้งคู่แบบนั้น" หลังจากอวยชัยให้พรพวกมันไปนิดหน่อยเราก็เก็บของหาข้าวหาเหล้ากินแล้วก็นอนเอาแรงเพื่อที่จะทำงานกันต่อในวันต่อไป พี่รินทร์นั่งคุยกันตอนที่นั่งกินข้าวคืนนั้นว่า "ผมก็ลืมไปนั่นถ้าฟ้าผ่าลงมาที่เสาละก็ สบายทั้งพี่ทั้งน้องเลยละ" เออใช่สินะผมลืมเรื่องนั้นไปเลย คิดแล้วยังเสียวไม่หาย หลังจากนั้นถ้าไม่จำเป็นพวกเราจะไม่ทำงานกลางฝนอีกเลย
การปีนเสาของพวกเรานั้นจะพิเศษกว่าคนเมายาบ้าตรงที่ เราต้องมีถุงเพื่อใส่ของเพื่อขึ้นไปทำงานด้วย เราทำมันขึ้นมาจากกระสอบปุ๋ยใบเล็กๆ เอาลวดมาทำเป็นวงกลมที่ปากถุงมีเชือกผูกกับเอวเวลาขึ้นไปทำงาน การทำงานถ้าเป็นการติด Antenna ก็จะขึ้นไปประมาณสามคนอยู่บนยอดสุดสองคน ยืนล่างลงมาเพื่อคอยประคองอีกคนเพื่อล็อค สายนำสัญญาณเวลาปีนก็จะปีนตามๆกันไปคนละหน้าคนละด้านของเสาเพื่อป้องกันเวลาที่ของหล่นลงมาจากคนข้างบน จะได้ไม่โดนคนข้างล่าง แต่มันก็มีเหตุจนได้ วันนั้นไอ้เทนขึ้นไปเป็นคนแรก พี่รินทร์ตามขึ้นไปเป็นคนที่สอง ผมอยู่ล่างสุด ผมจึงนั่งรอที่ อาร์มบริเวณกลางเสาต้องรอให้สองคนนั้นขึ้นไปให้ถึงยอดก่อนผมถึงจะตามไป
เพราะถ้าเราขึ้นพร้อมๆกันเสามันจะสั่นน่ากลัวต้องค่อยๆขึ้นไป ขณะที่ผมนั่งชมวิวอย่างสบายใจนั่นก็ได้ยินเสียง เป้งๆๆ ลงมาเหมือนใครเอาอะไรขว้างซักพักก็ได้ยินเสียงพี่รินทร์ตะโกนลั่น "มึงดูถุงมึงด้วยสิวะ ถุงมันรั่ว" น็อตต่างๆที่อยู่ในถุงกำลังทยอยร่วงออกมาทางรูก้นถุงผมทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า เอามือปิดหัวแล้วรอรับชะตากรรม เวลาตอนนั้นมันผ่านไปช้าเหลือเกิน หูก็ยังได้ยินเสียง เป้งๆๆ มาเป็นระยะ น็อตมันตกกระทบเสาเด้งไปเด้งมา กว่าจะสงบได้ เล่นเอาใจหายเหมือนกัน
แต่ผมก็ไม่เคยคิดที่จะถอยหรือเหนื่อยล้าจากการทำงานพวกนี้เลย เหนื่อยนักพักซักนิดเดี๋ยวก็หาย แล้วก็ทำงานกันต่อไปครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น