วันพุธที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ประเทศไทย...คิดแล้วกลุ้ม

วันนี้เกือบจะว่างหลังจากไม่ได้นอนมาตั้งแต่เมื่อคืน ทั้งงานประจำที่มี Cell Down ที่อำเภอเขาพนม จังหวัดกระบี่ และทำการอัพเดทหน้าแรกของเวบ (เอาแค่พอดูได้) นั่งคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อยๆ คิดแล้วก็ปลง ดูทีวีก็มีแต่ข่าว แย่งอำนาจทางการเมือง ดูรอบๆตัวก็เห็นแต่วิถีชีวิตที่ดิ้นรนแก่งแย่ง รอยยิ้มเราหายไปทุกทีแล้ว ทำไม.....หนอ

ทุกวันนี้เจอแต่คนที่พยายามคิดว่า แพ้ไม่เป็น ไม่ยอมรับว่าตัวเองผิดในทุกกรณีคนที่คิดต่างจะเป็นฝ่ายผิดทันที ทำอะไรก็ได้ให้ตัวเองชนะไม่สนใจเรื่องศิลธรรมและความถูกผิด ผมนั่งดูชีวิตเด็กเดี๋ยวนี้แล้วอดคิดไม่ได้ว่า ต่อไปจะเหลืออะไรให้ลูกหลานรุ่นต่อไปกันบ้าง เด็กๆ ที่ติดเกมส์ ติดยา ติดเที่ยว ทำทุกอย่างให้ได้เงินมาใช้ โดยไม่เคยคิดว่าการอดออมเป็นอย่างไร

เมื่อสองสามวันที่แล้วผมเดินอยู่ในบางกอก เดินในห้างใหญ่เห็นเด็กๆ เดินไปเดินมา เด็กเหล่านั้นมีทุกอย่างที่คนบ้านนอกไม่มี มีเงินหลายพันในกระเป๋า มีโทรศัพท์รุ่นใหม่ มีเสื้อผ้าแบบที่หลุดมาจากในทีวี ทั้งๆที่อายุไม่น่าถึง สิบห้า ไม่สามารถหาเงินได้ด้วยตัวเอง แต่สามารถใช้เงินได้อย่างสบายๆ ผมนั่งมองดูอยู่เงียบๆโดยที่เพื่อนๆที่อยู่ด้วยกันไม่รู้ว่าผมมองอะไร คิดอะไร นอกจากนี้ผมได้เห็นชีวิตของคนอีกหลากหลาย เหมือนมด เหมือนปลวก ลงมาจากตึกเหมือนปลวกออกมาจากจอมปลวกใหญ่ๆแถวๆหลังบ้านผม เห็น คนขึ้นมาจากดินเหมือน แย้ที่ออกมาหากินในทุ่งข้างบ้าน

ทุกชีวิตคิดอย่างเดียวว่าทำอย่างไรจะอยู่รอดได้ในเมืองนี้ เมืองที่หายใจเป็นเงิน มีคนเยอะแต่ไม่รู้จักกัน เดินชนกันแล้วเดินจากไปเป็นเรื่องปกติ ผมนั่งมองสาวๆเมืองกรุงแล้วคิดถึงเพลง "ไอดินกลิ่นสาว" จนต้องร้องมันออกมาหลายครั้งกับท่อนที่ว่า "อยู่กรุงเทพผิวพรรณมันซีด ผู้หญิงในเมืองคอนกรีตมีแต่ชีวิตไม่มีชีวา" มันเหมือนหุ่นยนต์ยังไงก็ไม่รู้ ผมได้เห็นการเดินกอดกัน หอมแก้มกันในที่สาธารณะ ทั้งๆที่ผมเองก็ชอบเรื่องสาวๆ ชอบมองคนสวยๆเป็นนิสัยอยู่แล้ว ยังรู้สึกอายแทน "ยางอายคงจะแห้งไปหมดแล้ว" ผมคิดในใจ แต่ก็ได้แค่มอง

เพราะสังคมมอมเมาที่พวกเรายัดเยียดให้เด็ก ทำให้เด็กทุกวันนี้คิดอย่างเดียวว่าทำอย่างไรให้ได้เงินโดยไม่ต้องทำงาน หรือทำงานไม่มากแต่ให้ได้เงินมาก ซึ่งในความเป็นจริงมันเป็นไปไม่ได้เลย แต่เด็กเหล่านี้ก็เลือกที่จะทำ เลือกที่จะขายตัว ค้ายา ฉ้อโกง เพียงเพื่อนำเงินมาปรนเปรอกิเลส ที่ผู้ใหญ่สะสมไว้จนแบกไม่ไหวเลยแบ่งไปมอมเมาเด็กต่อ ทำให้ทุกวันนี้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ แบกกิเลสกันทั้งเมือง หาเงินมาซื้อวัตถุมาถมกิเลส ที่ถมอย่างไรก็ไม่เต็ม บ่มเพาะความเห็นแก่ตัว คิดแค่ว่า คนมีเงินเท่านั้นที่เป็นใหญ่ บูชาเงิน มากกว่าความดี แล้วแบบนี้ .......... ประเทศไทยจะเหลืออะไร

เดือนที่แล้วผมเคยถามพี่ที่ทำงานที่เดียวกันว่าพี่ทำยอดขาย แบบไหน ก็ได้คำตอบว่า พี่ไปเจาะกลุ่มเด็กนักเรียน พวกนี้ไม่ค่อยคิดมาก ผมเลยถามว่า แล้วถ้าเด็กพวกนั้นเป็นลูกพี่ละ พี่จะคิดยังไง เงินของเด็กคือเงินของผู้ปกครอง บางครั้ง งานที่ทำเราอาจจะต้องคิดถึงความรับผิดชอบต่อสังคมด้วย

"ถ้าเราไม่ทำคนอื่นก็ทำ"

คำนี้ผมได้ยินมาเกือบทั้งชีวิตใช่ครับ เราไม่ทำคนอื่นก็ทำ แต่ถ้าเราไม่ทำอย่างน้อยก็ลดแรงจูงใจให้เด็กหลงผิดไปได้ส่วนนึงเช่นกัน เหตุการณ์พวกนี้ทำให้ผมเริ่มเบื่อชีวิตการทำงานบริษัท แต่ก็ไปไหนไม่รอด ต้องอยู่ที่นี่เพื่อ "ปลดหนี้บ้าน" ให้หมดซะก่อน หมดเมื่อไหร่ผมคงจะหางานที่พอเลี้ยงตัวได้ ใช้ชีวิตสงบๆเสียที ผมไม่ปฏิเสธเทคโนโลยี แต่ผมก้ไม่เห็นด้วยที่จะใช้ เทคโนโลยี มาหาเงินด้วยการมอมเมา ทุกวันนี้ประเทศชาติหนักหนาสาหัสพออยู่แล้ว

จนถึงวันนี้ผมยังไม่ได้คุยกับพี่คนนี้เลยไม่รู้ว่าแกจะเปลี่ยนแนวคิดหรือเปล่า แต่ก็ช่างเถอะ ผมคงห้ามอะไรใครไม่ได้นอกจากก้มหน้าก้มตาทำของผมต่อไป

ทุกวันนี้เราเหนื่อยกับสิ่งที่อยู่รอบตัวเรามามากแล้ว อยากให้ใครก็ตามที่ทนอ่านเรื่องที่ผมบ่นมานี้ พยายามคิดถึงคนอื่นให้มากกว่าตัวเอง ลดความคิดที่ว่าเราจะต้องถูกเสมอ จะทำอะไรก็เราความสะดวกของตัวเองไว้ก่อน ถ้าเราเริ่มจากตัวเราได้ต่อไปมันจะขยายวงกว้างออกไปเอง แต่ทุกอย่างต้องเริ่มจากตัวเราเอง ทั้งภาษาไทยที่เราพิมพ์ก็อยากให้ใช้ให้ถูกต้อง เพราะมันออกมาจากปลายนิ้วของเราเอง ไม่มีใครมาบังคับ อยากให้คิดถึงความถูกต้อง ผมไม่อยากเห็น รถยนต์ใช้ไฟกระพริบฉุกเฉินเพื่อจอดในที่ห้ามจอด เพียงแค่คิดว่าไม่เป็นไรหรอก มันเป็นความคิดที่เข้าข้างตัวเองโดยไม่สนใจว่ารถคันหลังจะติดขนาดไหน

ผมก็บ่นไปตามเรื่องตามราวของผม ใครจะว่าอย่างไรก็ช่าง ผมคิดของผมแบบนี้ ผมคงจะพูดอะไรมากไม่ได้

"เราจะอยู่กับคนที่อยู่กับเราได้เท่านั้น"

ประเทศไทยวันนี้น่าสงสารนะครับ น่าสงสารบรรพบุรุษ น่าสงสารลูกหลานของเรา แต่ผมคงจะทำอะไรไม่ได้มากไปกว่า คิด แล้วก็บ่น แบบนี้แหละครับ

ไว้วันหน้าค่อยมาบ่นใหม่ วันนี้ไปรดน้ำต้นไม้ดีกว่าครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น