วันจันทร์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เกาะลันตา

"ฟากฟ้ายามเย็นเห็นแสงรำไร อาทิตย์จะลับโลกไปพระจันทร์จะโผล่ขึ้นมา" แว่วเสียงเพลงแม่สายดังมาจากส่วนลึกของหัวใจ(เริ่มก็น้ำเน่าซะแล้ว) มันเป็นเรื่องปกติของผมไปซะแล้วที่จะต้องทำงานแบบข้ามวันข้ามคืน และเมื่อใดก็ตามที่อยู่ในช่วงเวลาที่ใกล้จะมืด ผมจะต้องร้องเพลงนี้ออกมาแทบทุกครั้ง วันนี้ก็เช่นกันครับที่ผมต้องนอนรออยู่ในรถเพื่อที่จะรอแพขนานยนต์ข้ามไปเกาะลันตา เพื่อที่จะไปทำงานตามหน้าที่ ที่รับผิดชอบเพื่อที่จะแลกกับเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงตามที่ตกลงกันไว้ในวันที่เซ็นสัญญาเข้ามาทำงาน ที่นี่ ผมมาทำงานวันนี้ เป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวเข้ามามากมาย เกาะลันตาวันนี้ไม่เหมือนเกาะลันตา ที่ผมมาครั้งแรกในชีวิตเลยครับ เกาะลันตาวันนี้เต็มไปด้วยแสงสี ถนนคอนกรีตเกือบจะรอบเกาะ แถวๆท่าเรือผู้คนก็มากมาย จนแทบจะเดินชนกัน

แต่ที่ผมจะเล่าจะเป็นเกาะลันตาที่ผมเห็นครั้งแรกในชีวิต คือเมื่อประมาณ สิบปีที่แล้ว ตอนนั้นที่เกาะลันตายังไม่มีสัญญาณของระบบ 1800 เลยครับ ผมมาทำงานตอนนั้นต้องใช้โทรศัพท์ระบบ 800 ต้องขับรถไปโทรหลังเกาะ ซึ่งจะรับสัญญาณมาจาก อำเภอสิเกา จังหวัดตรัง ไซท์แรกที่เราเปิดใช้งานบนเกาะลันตา คือ บ้านศาลาด่าน เสาจะอยู่บริเวณท่าเรือ ซึ่งเป็นแหล่งชุมชนใหญ่บนเกาะ

เวลาทำงานก็จะต้องมีการติดต่อกับทางชุมสาย ตอนนั้นต้องคุยกับทางชุมสายสุราษฎร์ธานี เวลาติดปัญหาทีนึงก็ต้องขับรถจากหน้าเกาะไปหลังเกาะ ไปกลับ เกือบๆห้าสิบกิโล เพื่อที่จะถามว่า ลิงค์ถึงหรือยัง OMU เวิร์คหรือยัง ถนนบนเกาะก็ยังเป็นถนนดินแดง ขับเร็วไม่ได้เลยเป็นหลุมเป็นบ่อเต็มไปหมด แถมยังมีเจ้าถิ่นขวางหน้าเป็นระยะๆ

เจ้าถิ่นบนเกาะนี้คือ ตะกวดครับ ผมเจอตะกวดตัวขนาดเกือบๆเท่าน่อง มองผ่านๆคิดว่าลูกจรเข้เลยทีเดียวเดินตัดหน้ารถ แถมเดินช้าๆแบบไม่กลัวใครด้วย เพราะคนบนเกาะที่ร้อยละเก้าสิบเป็นมุสลิม ไม่มีใครทำอะไรพวกมัน ผมต้องจอดรถให้มันเดินข้ามไปก่อน แต่หลังจากนั้นประมาณสามปีที่แล้วผมได้มาทำงานที่เกาะลันตาบ่อยขึ้น ผมไม่ได้เห็นพวกมันอีกเลย อาจจะเพราะมีคนต่างถิ่นเข้ามาอาศัยอยู่มากมายและที่สำคัญ เนื้อของพวกมันเป็นที่โปรดปรานของคนที่เข้ามาอยู่ใหม่ซะด้วยสิครับ มันเลยหายไปจากเกาะลันตาไม่เดินมาให้ผมเห็นอีกเลย

และสมัยนั้นที่พักก็ไม่ได้มีมากมายขนาดนี้ ผมเข้าพักที่บังกะโลแถวๆหาดคลองดาว ติดริมทะเล ราคาคืนละ 280 บาท กั้นด้วยไม้ไผ่ มีที่นอนกับพัดลมหนึ่งตัวเท่านั้น ทั้งห้องมีไฟอยู่สองดวงตรงกลางห้องหนึ่งดวงและในห้องน้ำอีกดวง ก่อนนอนผมจะไหว้พระก่อนนอน พอกราบลงที่หมอนครั้งแรกเท่านั้น เมื่อมือแตะถึงหมอนปรากฏว่าไฟดับวูบลงทันที เนื่องจากไฟฟ้าตกซึ่งเป็นเรื่องปกติของที่นี่ เพราะตอนนั้นการไฟฟ้ายังไม่ได้ขยายเขตแรงสูงเข้ามาเหมือนตอนนี้ คงไม่ต้องบอกนะครับว่าพอไฟดับตอนผมกราบลงถึงหมอนแล้วผมจะอยู่ในสภาพไหน คงไม่ต้องบอกนะครับว่าคืนนั้นผมจะนอนหลับสบายจริงหรือเปล่า การนอนคนเดียวในห้องที่กั้นด้วยไม้ไผ่ ไฟก็ดับๆติดๆ แถมเงียบซะจนได้ยินเสียงคลื่น ได้ยินเสียงลมพัดยอดมะพร้าวถ้าเป็นคุณ คุณจะนอนหลับหรือเปล่า

แต่คืนนี้ผมนอนในห้องพักราคาถูกที่สุดที่หาได้ในราคาคืนละ 1000 บาท(ตามอัตราค่าที่พักของบริษัท) ใช้ มือถือต่อเน็ต นอนดูเคเบิ้ล ทีวี ตากแอร์ แช่น้ำอุ่น โอ้ วันนั้นมันช่างต่างกับวันนี้ราวฟ้ากับดินจริงๆ

สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์ที่ผมต้องไปทำงานที่กระบี่ แถมมีงานค้างจากทีมที่เข้าไปทำงานเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ฝากมาอีกนิดหน่อยเลยดูเหมือนกับว่าจะมีอะไรๆทำเยอะมากๆ เริ่มจาก ต้องไปแก้ไขระบบไฟฟ้าที่มีปัญหา ไฟตก ไฟเกิน สลับไปสลับมา อุปกรณ์ภายในพังไปหลายตัว ผมทำงานอยู่ในความมืดพร้อมกับแสง ริบหรี่ ของไฟฉายที่ถ่านมันอ่อนเต็มที เพราะใช้มาตั้งแต่บนภูกระดึง เมื่อปลายปีที่แล้ว ยังไม่ได้เปลี่ยนถ่าน ทำไปเรื่อยๆจน สามทุ่มกว่าๆ ก็กลับไปนอน ค่อยมาใหม่อีกครั้งในเช้าวันต่อไป

แต่ที่ผมจะบ่นก็คือ ขนาดทำงานดึกๆแล้ว มันยังร้อนมากๆ ลมไม่พัดมาซักนิดเลยครับ เหงื่อ เต็มเลย ประกอบกับ สภาพร่างกายที่คล้ายกับไปทะเลาะกับช่างตัดผมมาทำให้มันยิ่งร้อนเข้าไปใหญ่ จนผมตัดสินใจว่า กลับไปถึงบ้านเมื่อไหร่จะตัดผมให้สั้นไปเลย

และเมื่อถึงเวลาเช้าผมก็กลับไปที่เดิม ทั้งๆที่วันนี้ผมมีงานที่จะต้องลงไปที่เกาะลันตา แล้วต้องกลับสุราษฎร์ มาเอาของอีกชุด ซึ่งมันต้องเดินทางร่วมๆ สองร้อยกิโลเลยทีเดียว ผมใช้เวลาที่นี่ไปอีกครึ่งวัน กว่าจะได้ลงแพขนานยนต์ ไปเกาะลันตาก็ปาเข้าไป บ่ายโมง ร้อนๆๆๆๆๆ จนเปิดกระจกไม่ได้เลย ดื่มน้ำเยอะมาก แต่ก็ยังรู้สึกอ่อนเพลีย แต่นั่นแค่เรื่องเล็กๆรอบตัวครับ สิ่งที่ผมจะเล่าก็คือ เรื่องที่เกี่ยวกับของชอบของพี่เดียร์ครับ ใช่แล้วครับ เรื่องสาวๆนั่นละครับ

เกาะลันตามีสิ่งที่ขึ้นชื่ออยู่อย่างนึง ที่ใครๆก็ยอมรับกัน ก็คือ เรื่องความสวยของสาวๆบนเกาะนี้ครับ แต่ต้องเป็นอีกฟากนึงของเกาะนะครับ คือฝั่ง สังกะอู้ หรือ ไปทางคลองหิน ด้านหลังเกาะ นะครับ สาวๆแถวนั้นจะสวยมากๆ ตาคม ผิวขาว ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้อาการอ่อนเพลียจากสภาพอากาศของผมหายไปในทันที

ผู้หญิงบนเกาะนี้จะเป็น มุสลิม เวลาออกไปข้างนอกก็จะมีผ้าคลุมปิดหน้าเอาไว้ แต่ถึงกระนั้นก็ตามครับ ปิดหมดเหลือแต่ลูกกะตา ก็ยังสวยครับ ยิ่งวันที่ผมไปนี่มีงานอะไรซักอย่าง ทำให้คนที่นี่แต่งตัวสวยมากเป็นพิเศษ ผ้าที่ใส่เป็นลายสวยๆ ทำให้ดูตื่นตาตื่นใจยิ่งนัก เสียดายที่ไม่มีภาพมาให้ชม เพราะผมคิดว่าคงจะเป็นการเสียมารยาทถ้า ไปถ่ายภาพมาโดยที่เค้า ไม่รู้ หรือไม่อนุญาต

" มาซีมาซี มารักกับพี่ ในแดนพุทธองค์ หากกรุณา เมตตาสมัคร ให้รักนี้ยืนยง ปักหลักรักนั้น ให้มั่นคง ศรัทธารักหลง ชั่วนิรันดร..." เสียงเพลงของพี่ สาลิกา แว่วๆเข้ามาในสมอง ผมร้องเพลงท่อนนี้ซ้ำไปซ้ำมา หันซ้ายก็สวย หันขวาก็งาม โอ้.....ลืมความร้อนไปได้ชั่วขณะเลยครับ และที่ผมเริ่มสังเกต อีกอย่างก็คือ มันมีเด็กสาว วัยรุ่น ขับมอเตอร์ไซค์กันเยอะมาก อ้อ สงสัยจะปิดเทอม เลยกลับมาอยู่บ้านกัน ที่มาช่วยที่บ้านขายของ ตามริมถนนก็เยอะ ทำให้เกาะลันตา วันนี้ช่างสวยงามมากจริงๆ

ลืมบอกไปเพลงที่ผมร้องชื่อเพลง "ลินดาที่รัก" พ่อจูเลี่ยม กิ่งทอง แต่งให้พี่ สาลิกา ขับร้องครับ เนื้อเพลงก็ ตามนี้ครับ ส่วนเพลงไปหาฟังเอาเองนะครับ มีโก๊ะตี๋ เอามาร้องใหม่อยู่ อัลบั้ม แต๋วจ๋า นั่นละครับไปหาฟังกันได้

ยะลายะลา ยะหา ยะลา ติดอุราเฝ้าเตือน
จากวันเป็นเดือน เดือนเลื่อนถึงปี วันหะรีระยอ
ทำบุญร่วมกัน สวรรค์จะรอ เมื่อหะรีระยอ พี่ขอสัญญา

ยังจำยังจำ คืนนั้นยังจำที่ได้อยู่คู่กัน
ใต้ดวงบุหลัน คืนนั้นทั้งคืน ดมกลิ่นบุหงา
จากมาไม่ได้กลับ เหมือนลับตา หลับตาเห็นหน้า จากมาแรมปี

โอ้ลินดา โอ้ลินดา ซบแอบอุรา พี่นี้ ฮา..
พี่เป็นชาวพุทธ สุดชีวี สำคัญเท่านี้ พี่ลืมไม่ลง

.มาซีมาซี มารักกับพี่ ในแดนพุทธองค์
หากกรุณา เมตตาสมัคร ให้รักนี้ยืนยง
ปักหลักรักนั้น ให้มั่นคง ศรัทธารักหลง ชั่วนิรันดร

โอ้ลินดา โอ้ลินดา โอ้ลินดา โอ้ลินดา ฮา....ฮา....


พูดถึงเรื่องสาวสวยเมืองกระบี่แล้ว ที่จะต้องกล่าวถึง อีกที่นึงก็คือ บ้านนาวง ครับ อยู่ทางไปท่าเรือแหลมกรวด ถ้าใครผ่านเข้าไปทางนั้น เวลาถึง คลองเขม้า จะมีตลาดนัดอยู่ที่นึง ลองมองๆดูสิครับ สวยๆทั้งนั้น ผิวขาวตาคม สวยมากๆ แต่... แต่นะครับ สาวๆเหล่านี้จะแต่งเนื้อแต่งตัวมิดชิด ตามหลักของศาสนา ไม่มีนุ่งสั้น สายเดี่ยวนะครับ คือจะเป็นแบบสวยธรรมชาติจริงๆ และเป็นสิ่งที่ผมแอบชื่นชมผู้คนเหล่านี้อยู่ลึกๆครับ ที่สามารถรักษาประเพณีดั้งเดิมไว้ได้อย่างงดงามและน่าภาคภูมิใจ

กลับมาที่เกาะลันตากันต่อครับ เมื่อผมจะกลับ ผมต้องมารอขึ้นแพขนานยนต์ ตอนที่รอแพอยู่นั้นผมเห็นร้านค้าแถวๆท่าเรือฝั่งเกาะลันตาปิดตัวลงไปเกือบหมดแล้ว คงจะขายไม่ดี เพราะตอนนี้บนเกาะเจริญมากๆ ผมลองนับดูเล่นๆร้าน 7-11 มีตั้ง เจ็ดร้าน แล้วร้านขายของเล็กๆน้อยๆที่ท่าเรือจะอยู่ได้อย่างไร

แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นครับ ที่ผมแอบ อมยิ้มก็คือ ที่ร้านค้าแห่งนี้ ผมมีความหลังครับ คือเมื่อ สองสามปีที่แล้ว ผมเคยมาไม่ทันแพเที่ยวสุดท้ายครับ อธิบายนิดนึงว่า การเดินทางไปเกาะลันตา ต้องข้ามแพขนานยนต์ สองครั้ง จากเกาะลันตาใหญ่ มาลันตาน้อย แล้วถึงจะข้ามกลับมาถึงแผ่นดินใหญ่ และแพเที่ยวสุดท้ายจะหมดตอน สี่ทุ่ม (ในตอนนั้น) ผมออกจากเกาะลันตาใหญ่มาตอนสามทุ่มกว่าๆ ยังไงๆก็ทันแน่นอนเพราะแพที่สองจะรอรถกับคนจากแพแรกอีกประมาณครึ่งชั่วโมง ก้ขับมาด้วยความสบายใจ แต่แล้ว... เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น พี่ที่เป็นหัวหน้าตอนนั้นโทรมาว่า ไหนๆก็ผ่านแล้ว เลี้ยวเข้าไปดู Alarm ที่บ้านคลองตะโหนด ให้หน่อย แกจะได้ไม่ต้องมา

ผมดูนาฬิกาในรถแล้วก็ คิดว่าทันแน่นอน แล้วผมก็ตรงไปทำงาน แทนที่จะเลี้ยวเข้าไปท่าเรือ และแน่นอนครับเมื่อผมทำงานเสร็จผมก็ต้องไม่ทันขึ้นแพ เพราะถ้าผมขึ้นแพทันเวลา ผมจะเล่าทำไม... และที่เจ็บปวดก็คือ ผมติดอยู่ที่เกาะกลางครับ ถ้าติดอยู่บนเกาะใหญ่ ก็จะมีโรงแรมที่พักให้ แต่ที่นี่ ผมต้องนอนในรถครับ นอนอยู่คันเดียวตรงสุดท่าเรือ มันเป็นประสบการณ์ ที่จะไม่ลืมเลยครับ แต่ผมก็หลับไปจนเช้าครับ ประมาณ หกโมง ก็เริ่มมีคนมากันแล้วมีรถมาต่อคิวกัน แต่ผมไม่รีบแล้วครับ ผมลงจากรถ เดินไปที่ร้านค้าแถวนั้น มีร้านนึงที่มีตู้แช่ขายน้ำ ผมก็กะว่าจะซื้อ กาแฟกระป๋องกินซะหน่อย เลยเดินเข้าไปในร้าน แม่ค้าร้านนี้ อายุประมาณ 30 หน้าตาดีค่อนไปทางสวยเลยละครับ หน้าร้านมีชาย คนนึงมาจอดมอเตอร์ไซค์ซื้อของ แต่ผมก็จำไม่ได้ว่าซื้ออะไร (ถ้าจำได้แสดงว่า ชีวิตนี้มีแต่เรื่องชาวบ้านแน่นอน)

วิทยุในร้านก็เปิดเพลง "ไม่มีเธอ จะให้บอกรักกับใคร" ของ หญิง ฐิติกานต์ พอดี ชายคนนั้นยิ้มกว้าง แล้วบอกแม่ค้าว่า "เพลงนี้ฟังแล้ว อิ่มดีนะ" แล้วก็ยิ้ม มันเป็นยิ้มที่แสดงความรู้สึกได้ดีทีเดียว แม่ค้าก็อมยิ้มแต่ก็ไม่แสดงทีท่าอะไรมากไปกว่านั้น แต่..พอชายคนนั้นขี่มอเตอร์ไซค์ออกไป แม่ค้าคนสวย ก็ยิ้มคนเดียว เหมือนกับว่าโลกนี้เป็นของเธอคนเดียว โอ้..........ผู้หญิง เข้าใจยากอะไรเยี่ยงนี้ และเมื่อเธอหันมาเห็นผม มันเหมือนเวลาที่เราปิดสวิทช์ไฟเลยครับ ยิ้มหุบลงทันทีหน้าตาเรียบเฉย "เอาอะไร" เสียงห้วนๆถามผมทันทีเช่นกัน "เอาเบอร์ดี้ กระป๋องนึง" "20บาท" โอ้แม่เจ้า ผมไม่รู้ว่ากับคนอื่นเธอขายราคานี้หรือเปล่า แต่ผมก็ส่งเงินให้ไป แล้วรีบเดินกลับมาที่รถทันที คิดซะว่าส่วนต่างที่จ่ายไปเป็นค่ายืนดู นิยายรักจากเกาะลันตา ก็แล้วกันครับ

หลังจากนั้นผมก็แทบจะลืมเรื่องนี้ไปแล้วนี่ถ้าไม่ขับรถมองสาวบนเกาะ ก็คงจะลืมไปแล้ว จริงๆแล้วเกาะลันตามีความหลังกับผมมากมายเหลือเกิน ในรอบเกือบสิบปีนี้ผมไปเกาะลันตานับครั้งไม่ถ้วน แต่ทำไมถึงจำอะไรไม่ค่อยจะได้ สงสัย รอบหน้าผมจะต้องแวะซื้อ กาแฟกระป๋อง ไปนั่งที่ท่าเรือ นั่งย้อนอดีตกันซักหน่อย เผื่อจะมีเรื่องอะไรๆมาเล่าให้ฟังกันอีกครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น