วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ว่าง

ว่าง

ชื่อเรื่องแปลกๆอีกแล้ว หลายๆคนอาจคิดว่าว่าง คำนี้ผมคงหมายถึงความว่างจากการทำงาน เพราะวันนี้เป็นวันหยุด แต่เปล่าครับวันนี้หลายคนหยุดแต่สำหรับชีวิตคนเหล็กเหมือนพวกผมหยุดไม่เป็นหรอกครับ ทำงานเหมือนเดิมยิ่งช่วงเทศกาลยิ่งไม่ได้หยุดเลย แถมภาระกิจช่วงนี้เลิกพูดคำว่าว่างได้เลยครับ เหนื่อยยังไงโหดยังไง เจอหน้าถามได้นะครับโทรมาก็ได้แต่ผมจะไม่เขียนที่นี่อีกแล้วครับ เอาเป็นว่าถ้ายังไม่ตายยังมีแรงผมจะพยายามเขียนเรื่อยๆครับ

คำว่าว่างตัวนี้สำหรับผมแล้วมีความหมายคือการหยุดคิด หยุดทำในหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง ใครที่เคยอ่านคำสอนของท่านพุทธทาสคงจะเข้าใจ แก่นแท้ๆของพุทธศาสนาคือความว่าง ความว่างนี้ถ้าเราศึกษากันจริงๆแล้วมันคือสัจธรรมของโลกเลยครับ นักวิทยาศาสตร์ นักฟิสิกส์พยายามค้นหาหลักการต่างๆมากมายเพื่อค้นหาสิ่งใหม่ๆ แต่จริงๆแล้วที่พวกเค้าค้นพบ ไม่ใช่สิ่งใหม่เลย หากแต่ว่ามันเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วจริงในโลก แล้วมาค้นพบกันภายหลัง ทางพุทธศาสนาสอนเรื่องเหล่านี้มามากมายแต่เรากลับไม่เชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ แต่กลับเชื่อนักวิทยาศาสตร์ ทั้งๆที่ทุกอย่างที่มีอยู่ในหนังสือฟิสิกส์ต่างๆนั้นพระพุทธเจ้าค้นพบไว้แล้วเกือบสองพันหกร้อยปี แต่ก็มิอาจกล่าวว่าพระพุทธเจ้าสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา พระองค์ค้นพบสิ่งเหล่านั้นต่างหาก คำว่าพุทธ แปลว่าผู้รู้ พระพุทธเจ้าคือผู้รู้ที่ยิ่งใหญ่ ถ้าใครคิดว่าผมบ้าลองไปศึกษาดูได้เลยครับ เอาพระไตรปิฏก มาเทียบกันเลยกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เอาสมัยปัจจุบันที่ว่ากันถึงเรื่องที่เจาะลงไปถึง แรงและพลังงานต่างๆ รวมทั้งเรื่องต่างๆที่คิดว่าวิทยาศาสตร์จะรู้มากกว่า แล้วท่านจะค้นพบว่า พุทธศาสนา หรือศาสนาต่างๆ ก้าวไปไกลกว่าวิทยาศาสตร์มากมายนัก และเราสามารถที่จะเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตัวของเราเอง ใครทำใครได้ ใครศึกษาคนนั้นเข้าใจ ผมอยากให้ทุกๆคนศึกษาในคำสอนของศาสนาตนเองให้มาก อย่านับถือศาสนาเพียงแค่ว่าเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษเลยครับ

ความว่างของผมคือการหยุดคิด วางจิตเป็นอุเบกขา ซึ่งผมเองไม่สามารถทำได้ตลอดเวลาหรอกครับแต่ผมกำลังพยายาม ถ้าเราวางสิ่งต่างๆที่ยึดเหนี่ยวกันไว้มากๆในปัจจุบันนี้เราจะว่าง ตัวอย่างเช่นเราวางของในมือของเราลงซะบ้างทิ้งไปซะบ้าง มือเราก็จะว่างที่จะรับสิ่งอื่นๆเข้ามาอีก จิตก็เช่นกันถ้าเรารู้จักปล่อยวางสิ่งต่างๆที่มากระทบซะบ้าง จิตเราก็จะว่างพอที่องค์ความรู้ต่างๆจะก่อเกิดขึ้นในดวงจิต สิ่งเหล่านี้เริ่มต้นง่ายๆแต่ทำยากหน่อยในยุคปัจจุบันยุคที่แวดล้อมด้วยสิ่งเร้าต่างๆจากภายนอก เริ่มแรกทีเดียวเราต้องมีสติเสียก่อน ใช้สติพยายามกำกับในทุกๆอิริยาบทที่เรากระทำ เมือ่มีสติ เราก็จะมีศีล เพราะสติจะเป็นตัวบังคับให้เราไม่ผิดศีล เมื่อมีศีลเราก็จะมีสมาธิ เมื่อมีสมาธิ ก็จะเกิดปัญญา ผมกำลังเริ่มเดินครับจะไปตามแนวทางที่ครูบาอาจารย์สอนไว้ครับ ถึงแม้ว่าผมจะทำได้ไม่ดีหรือทำไม่ได้เลยแต่ผมก็อยากจะเขียนบอกให้หลายๆคนได้อ่านด้วย เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ที่เมตตาชี้แนวทางเหล่านี้ให้ผมมาครับ

ว่าง คำนี้มีความหมายมากมายจริงๆครับทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนว่างเปล่าทั้งนั้น ลองแยกส่วนประกอบของสิ่งต่างๆมาดูสิครับ แม้แต่ตัวเราก็ว่างถ้าเราแยกวัตถุกับพลังงานออกจากกันไปจนลึกที่สุดเราจะได้พลังงานและพลังงานนี้เองที่ทางพุทธสาสนาเรียกว่า วิญญาณธาตุ ในทางฟิสิกส์กล่าวว่า สสารของวัตถุไม่เคยหยุดนิ่ง มีสภาพเคลื่อนไหวเสมอ ตรงนี้เองทางพุทธศาสนากล่าวว่า มนุษย์ประกอบด้วยธาตุทั้งหก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุทั้งสี่ที่รู้กันดี และ อากาศธาตุ คือความว่าง และ วิญญาณธาตุ คือ พลังงาน ในทฤษฎีควอนตัม กล่าวว่าในวัตถุมีวิญญาณมีพลังงานความเคลื่อนไหวแม้ในความว่างเปล่า ซึ่งทางพุทธสาสนากล่าวไว้เป็นพันปีแล้ว ยังมีเรื่องราวอื่นๆอีกมากมายเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ไว้วันไหนผม ว่างจากงาน จะมาคุยเรื่องความว่างของจิตอีกซักครั้ง ผมยังย้ำคำเดิมครับว่า อยากให้ทุกท่านอ่านพระไตรปิฏกครับ เราต้องเชื่อด้วยการปฏิบัติจริงครับ อากาศเรามองไม่เห็นเรายังเชื่อว่ามี คลื่นความถี่มองไม่เห็นยังเชื่อว่ามี สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่พิสูจน์ก็อย่าคิดว่าไม่มีนะครับ ลองดูแล้วจะรู้ว่าความว่าง ความสงบสร้างความสุขให้เราได้อย่างไรบ้าง แล้วพบกันใหม่นะครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น