สมัยเรียนมหาลัยในช่วงประมาณปี 2539-2540 ผมจะชอบเดินทางไปนู่นไปนี่อยู่เสมอจนเพื่อนรุ่นเดียวกันบางคนจะเรียกผมว่า ไอ้นักเดินทาง ก็เพราะว่าผมชอบเดินทางเป็นชีวิตจิตใจนั่นเองครับ ผมชอบที่จะไปนั่งกินเย็นตาโฟที่หน้าองค์พระปฐมเจดีย์คนเดียว แล้วก็นั่งรถกลับ ผมยังจำรสชาดเย็นตาโฟที่นครปฐมได้เป็นอย่างดี แม้กระทั่งทุกวันนี้ถ้าผมขับรถขึ้นไปบางกอกแล้วมีเวลามากพอผมจะแวะกินเย็นตาโฟที่นครปฐมแทบทุกครั้ง ผมจึงรู้สึกผูกพันธ์กับพระปฐมเจดีย์มาก ผมจะมีพระร่วงโรจนฤทธิ์เป็นพระประธานในห้องพระ อาจจะเพราะผมเกิดวันจันทร์ก็เป็นได้ ผมจึงรู้สึกศรัทธาและนับถือองค์พระร่วงโรจนฤทธิ์มากเป็นพิเศษ
เวลาผมเดินทางไปไหนมาไหนผมมักจะไปคนเดียวเพราะจะได้รู้สึกเป็นอิสระ ไม่ต้องคอยใครจะทำอะไรก็สะดวกดี มีอยู่วันนึงผมขึ้นรถไฟจากสุราษฎร์ธานี เพื่อที่จะไปบางกอก เมื่อรถไฟมาถึงสถานี ศาลายา ผมเห็นรถไฟอีกขบวนจอดรอหลีกอยู่ในรางที่สอง ป้ายข้างรถเขียนว่า ธนบุรี-น้ำตก เร็วกว่าความคิดอีกแล้ว ผมสะพายกระเป๋าแล้วลงจากรถขบวนที่ผมนั่งมาทันที วิ่งไปซื้อตั๋วไปน้ำตกกับขบวนที่จอดอยู่ทันที "น้ำตกนี่มันที่ไหนวะ" ผมไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าปลายทางของรถไฟขบวนนี้มันอยู่ที่ไหน แต่ก็ขึ้นมาแล้วนี่หว่าทำไงได้ ผมนั่งดูวิวไปเรื่อยๆแล้วขบวนรถก็แยกไปจากทางรถไฟสายใต้ที่ผมเดินทางมาเมื่อซักครู่ ผมมองป้ายข้างทางรถไฟที่เขียนว่า "กาญจนบุรี" ผมถึงได้รู้ว่าน้ำตกนี่อยู่ที่กาญจนบุรีนี่เอง ผมนั่งมองวิวข้างทางไปเรื่อยๆจนมาถึงสะพานที่ผมเคยเห็นในรูป คือสะพาน พรุกระแซง ผมก็ลงจากรถ แล้วก็เดินเล่นบนสะพานแห่งนั้น ผมตื่นเต้นมากที่ได้มองลงไปด้านล่าง "ทำไมมันสูงขนาดนี้วะ" ผมเดินไปบนไม้กระดานที่วางตรงกลางรางรถไฟแบบระมัดระวังกลัวจะตกลงไป แต่แล้วก็มีเสียงดังมาทางด้านหลัง ไม่ใช่รถไฟหรอกครับแต่มันเป็น"มอเตอร์ไซค์"
ต้องยอมรับฝีมือคนแถวนั้นครับว่าสุดยอดจริงๆ ผมเดินเฉยๆขายังสั่นแต่นี่พวกเล่นขับมอเตอร์ไซค์ ผ่านไปเฉยเลยครับ สุดยอดจริงๆ เสียดายที่สมัยนั้นผมไม่มีกล้องถ่ายรูปไม่งั้นคงจะได้ถ่ายรูปมาให้ดูกัน แต่ผมก็เก็บภาพเหล่านั้นไว้ในใจตลอดมาจนได้มาเขียนวันนี้ละครับ สรุปว่าผมใช้เวลาเดินทางจากสุราษฎร์ถึงบางกอก มากกว่า 24 ชั่วโมงเลยครับ แต่ก็นั่นละครับ จุดหมายปลายทางยังไงๆเราก็ไปถึงอยู่แล้ว สิ่งสำคัญคือสองข้างทางระหว่างการเดินทางมากกว่าว่าเราจะใส่ใจมันมากน้อยขนาดไหน การใช้ชีวิตก็เช่นกันครับ ปลายทางของชีวิตคนก็คือ "ความตาย" แต่กว่าจะตายในแต่ละวันเราน่าจะสนใจรายละเอียดของชีวิตกันบ้าง
ผมชอบที่จะเดินทางด้วยรถไฟเพราะรถไฟจะผูกพันธ์กับผมมาตั้งแต่เด็ก ดังนั้นชีวิตการเดินทางของผมจะมีรถไฟมาเกี่ยวข้องด้วยบ่อยมาก มีวันนึงผมข้ามจากฝั่งท่าพระจันทร์มาศิริราชเดินไปเดินมาจนมาถึงสถานีรถไฟบางกอกน้อย สมัยที่ยังไม่ยกให้กับทางศิริราช ยังเปิดเดินรถไปจนถึงสถานีรถไฟบางกอกน้อยเก่าแห่งนี้ ผมเห็นรถจอดอยู่ขบวนนึง ป้ายข้างรถเขียนว่า ธนบุรี-หลังสวน ผมซื้อตั๋วทันทีเป็นตั๋วแข็งที่ตอนนี้การรถไฟเลิกใช้ไปแล้ว (แต่ผมก็เก็บตั๋วใบนั้นไว้อย่างดีจนถึงทุกวันนี้เวลาเอากลับมาดูผมจะคิดถึงเหตุการณ์วันนั้นทุกที) ราคา 90 บาท ไม่แพงเลยสำหรับการซื้อประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆ ผมนั่งไปเรื่อยๆซื้อข้าวกินบนรถ ดูวิวข้างทาง หลับๆตื่นๆ จนมาถึงหลังสวนตอนประมาณตีห้า ผมลงจากรถไปซื้อกาแฟแก้วนึงนั่งกินที่ชานชาลาของสถานีหลังสวน นั่งดูคนที่มารอขึ้นรถไฟขบวน หลังสวน-ธนบุรี ซึ่งก็คือขบวนที่ผมมานั่นละครับแต่เป็นเที่ยวกลับ นั่งดูชาวบ้านขนผักขนของขึ้นรถ เพื่อที่จะเอาไปขายในตลาดชุมพร มันเป็นภาพวิถีชีวิตที่หาดูไม่ได้ง่ายนักในสมัยนี้ สมัยที่แทบทุกบ้านจะมีรถยนต์ กินกาแฟเสร็จแล้วผมก็ซื้อตั๋วกลับ รถขบวนนี้เป็นรถธรรมดาที่จอดทุกสถานี จึงเป็นขบวนรถที่รองรับการเดินทางของคนท้องถิ่นได้เป็นอย่างดี เวลารถจะเข้าสถานีและกำลังจะจอดผมจะเห็นกระเป๋านักเรียนลอยเข้ามาทางหน้าต่าง พอรถจอดสนิท จะมีเด็กนักเรียนวิ่งตามขึ้นมา นั่นก็คือการจองที่นั่งของเด็กนักเรียนที่ใช้รถไฟเดินทางไปเรียนนั่นเองครับ
เมื่อรถมาถึงสถานีชุมพร รถก็เริ่มว่างเพราะเด็กนักเรียนลงไปหมด ผมก็นั่งดูวิวไปเรื่อยๆจนถึงแถวๆประจวบคีรีขันธ์ มีแม่ค้าคนนึงหาบข้าวขึ้นมาขาย ด้านหน้าจะมีหม้อข้าว ด้านหลังจะมีแกงหนึ่งหม้อ กับทอดมัน ตักข้าวใส่กระทงใบตอง ผมซื้อมาสองกระทงนั่งกินพลางดูวิวข้างทางไปพลาง มันเป็นข้าวที่อร่อยมากๆที่สุดมื้อนึงในชีวิตผมเลยครับ ข้าวร้อนๆแกงอร่อย ทอดมันนิ่มๆ โอ๊ยๆๆๆๆๆ อร่อยกว่าร้านข้าวหรูๆในเมืองตั้งเยอะเลยครับ
นอกจากนั้น ผมก็นั่งไปฉะเชิงเทรา ไปไหว้หลวงพ่อโสธร ไปด้วยรถไฟจำได้ว่าค่ารถ 13 บาทเท่านั้นเองครับมันถูกว่านั่งรถ ปอ จาก ม.สยามไปอนุสาวรีย์ซะอีกครับ เวลาที่ผมเดินทางไปนู่นไปนี่มีบ่อยครั้งที่ผมหลงทาง ซึ่งมันก็เป็นเรื่องปกติของการเดินทางไปในที่ที่ไม่เคยไป จนถึงวันนึงที่ผมจะต้องจำไปนาน วันนั้นผมนั่งรถไฟไปสุพรรณบุรีแล้วก็ต่อรถไปวัดไผ่โรงวัวครับ ที่ไปวัดไผ่โรงวัวก็เพราะว่าเคยอ่านเจอในหนังสือมานานแล้ว พอมาถึงสุพรรณ เห็นรถไปวัดไผ่โรงวัวผมก็ขึ้นทันที หลังจากที่ผมเดินไปเดินมาๆอยู่ในวัดไปดูเปรตที่ผมสงสัยมานานแล้วว่ามีตัวไหนที่หน้าเหมือนผมบ้าง ก็มีคนเรียกผมว่า"ไอ้เปรต"อยู่บ่อยๆ แต่จนแล้วจนรอดผมก็ไม่เห็นว่ามีเปรตตัวไหนหน้าเหมือนผม และผมมั่นใจว่าผมหน้าตาดีกว่าพวกเปรตในวัดไผ่โรงวัวแน่นอน
หลังจากผมเดินไปเดินมาจนเบื่อก็คิดที่จะกลับ ผมเดินหารถโดยสารที่จะเข้าไปสุพรรณ เพื่อจะกลับเข้าบางกอก "ไม่มีแล้วพี่ ถ้าจะไปก็มีแต่รถไป กำแพงแสน แล้วค่อยไปต่อรถอีกที" เอาก็เอาวะไม่เคยไปก็ไปซะ แล้วก็เดินขึ้นรถเมล์คันนั้น ผมนั่งคุยกับเด็กรถมาเรื่อยๆจนถึงกำแพงแสน ผมเดินไปเดินมา จนเห็นรถทัวร์ กรุงเทพ-สุพรรณบุรี จอดที่ป้ายตรงตลาดผมวิ่งขึ้นรถไปทันที คนบนรถแน่นพอสมควรเลยทีเดียวเพราะตอนนั้นมันมืดแล้ว พอกระเป๋ารถมาเก็บเงินผมก็ยื่นเงินไปแล้วบอกว่า"กรุงเทพครับ" "ลงไหนนะพี่" "กรุงเทพครับ" ผมสังเกตเห็นคนบนรถหันมามองผมหลายคน กระเป๋ามองหน้าผมแล้วบอกว่า "ไปกรุงเทพขึ้นรถฝั่งนู้นคะพี่ ทางนี้รถเข้าสุพรรณ" ว่าแล้วเธอก็ตะโกนบอกคนขับให้จอด
สรุปว่าตอนนี้คนทั้งรถก็รู้แล้วครับว่า ไอ้บ้าคนนี้ขึ้นรถผิดทาง ผมลงจากรถแล้วมองไปรอบๆตัว มืดสนิท แถมรถก็ออกมาไกลจากป้ายรถที่ผมขึ้นมาไกลพอสมควร ช่างมันน่าเดินออกกำลังตอนค่ำซักหน่อยเดี๋ยวค่อยไปนอนบนรถ ผมเดินพลางปลอบใจตัวเองไปพลาง แต่ด้วยระยะทางที่ไม่ใกล้เลยแถมวันนี้ยังเหนื่อยมาทั้งวันทำให้ผมเดินช้ามากๆ แถมมีแวะพักเป็นระยะ และเมื่อเหลืออีกประมาณสองร้อยเมตรก่อนที่ผมจะถึงป้ายรถ มีรถทัวร์ กรุงเทพ-สุพรรณบุรี แซงผมไปมองตามไปก็เห็นรถจอดที่ป้ายรถข้างหน้าแล้วก็ออกไป เฮ้อ...ไม่ทันคันนี้ไปคันหลังก็ได้วะ ช้าไปอีกหน่อยคงไม่เป็นไร เมื่อผมมาถึงป้ายรถ ผมก็ซื้อน้ำมานั่งกินนั่งนวดขาไปเรื่อยๆ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีรถเข้ามาเลยถามที่ร้านขายของแถวนั้น "รถเที่ยวสุดท้ายเพิ่งออกไปก่อนน้องมาถึงแป๊บเดียวเอง"
แต่แถวๆนั้นก็ยังมีผู้ชายอีกคนมานั่งรอรถอยู่อีกคน เมื่อเริ่มจะเงียบเหงาผมก็เริ่มชวนคุยจึงรู้ว่า พี่คนนี้จะไปนครปฐม "ผมจะเข้ากรุงเทพแต่รถหมดแล้วผมจะทำไงดี" "อ๋อเดี๋ยวยังมีรถตู้ไปนครปฐม น้องไปต่อรถที่นครปฐมก็ได้" ผมเลยตกลงไปนครปฐมด้วยรถตู้พร้อมๆกับพี่คนนั้น จนมาถึงนครปฐม ตอนนั้นผมเหนื่อยและล้ามากๆแล้ว แต่ผมยังไม่แน่ใจจนกระทั่งทุกวันนี้ว่า ผมหาท่ารถทัวร์ นครปฐม-กรุงเทพไม่เจอ หรือว่ารถหมดแล้วกันแน่ เพราะผมจะนั่งรถมาลงที่นี่บ่อยๆ และผมจำได้ว่าท่ารถอยู่ตรงกับกับพระปฐมเจดีย์ฝั่งที่พระร่วงโรจนฤทธิ์ยืนอยู่แน่ๆ แต่ผมก็หาไม่เจอ "เอาไงดีวะกู"
แต่แล้วผมก็เดินทะลุมาถึงสถานีรถไฟนครปฐม ผมดูตารางเดินรถไฟที่จะเข้ามาถึงสถานีนครปฐม มีขบวนรถเร็วจากนครศรีธรรมราชจะมาถึงที่นี่ตอนตีสี่กว่าๆ ผมเลยตัดสินใจนั่งๆนอนๆอยู่แถวๆนี้จนตีสี่กว่าๆ ซื้อตั๋วรถไฟเข้ากรุงเทพ พอขึ้นรถไฟได้ผมก็นั่งหาที่ว่างแถวๆทางเดินตรงที่ล้างหน้า แล้วผมก็หลับไปจนถึงบางซื่อเลยครับ ตื่นมาก็นั่งคิดทบทวนว่า เมื่อวานจนถึงเมื่อคืนและจนมาถึงตอนนี้ เราทำอะไรไปวะเนี่ยทำไมมันต้องมาทรมานตัวเองขนาดนี้ จนรถไฟเข้าหัวลำโพง ผมก็ขึ้นรถเมล์สาย 7 กลับห้อง นอนอีกวันเต็มๆไม่ออกจากห้องไปไหนพร้อมทั้งตั้งใจว่า เดินทางครั้งหน้าจะไม่ให้ตัวเองลำบากแบบนี้อีกแล้ว แต่พอเอาเข้าจริงมันก็ยังลำบากอีกจนได้..
อีกเรื่องที่ไม่แน่ใจว่าจะเกี่ยวกับหลงทางหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆมันเกี่ยวกับการเดินทางแน่ๆ เรื่องของเรื่องก็คือมีอยู่วันนึงช่วงบ่ายๆผมนั่งๆนอนๆอยู่ที่ห้องพักนั่งคุยกับเพื่อนอีกคนชื่อ "ไอ้สิทธิ์" ไอ้สิทธิ์เป็นรุ่นพี่ผมปีนึงแต่ด้วยความเรียนเก่งของมันเรียนไปเรียนมามันก็ได้มาอยู่รุ่นเดียวกับผมจนได้ ไอ้สิทธิ์เป็นคนปราจีนบุรีในวันที่มันเกิดแต่ตอนนี้มันกลายเป็นคนสระแก้วไปแล้ว
ช่วงนั้นไอ้สิทธิ์กำลังเบื่อๆกับชีวิตเพราะน้องเจี๊ยบแฟนมันกำลังมีเรื่องงอนกันไปก็งอนกันมาอยู่ ส่วนผมก็เบื่อๆไม่ได้ไปไหนมาไหนมานานแล้วนอกจากตกเย็นก็กินเหล้า ซึ่งการกินเหล้าในช่วงนั้นถือเป็นหน้าที่ที่ต้องทำเลยครับ มีเพื่อนๆผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามาเยี่ยมทุกวัน มันแตะมือผลัดกันเข้ามากินเหล้าที่ห้องผมเหมือนกับไปตีเมืองอะไรซักอย่าง ผมกับไอ้สิทธิ์ ไอ้เม่น ไอ้เกรียง ที่อยู่ด้วยกันสี่คนตอนนั้นต้องทำหน้าที่ตั้งรับไม่ยอมให้เสียฟอร์มเจ้าบ้าน แต่ก็นั่นละครับ พอหลายๆวันผ่านไปมันก็เริ่มเบื่อ วันนั้นผมก็นั่งคุยกับไอ้สิทธิ์ "มึงรู้จักวัดบางพระหรือเปล่าวะ" "บางพระที่นครชัยศรีเหรอ" "เออ..มึงเคยไปเหรอ" "อือ เคยไปสิเพิ่งไปมาไม่กี่วันนี้เอง" "มึงพาไปหน่อยสิกูอยากไปกราบหลวงพ่อเปิ่น"
หลังจากนั้นไม่ต้องพูดอะไรกันมากผมเก็บของใส่กระเป๋าทหารใบเก่ง เดินออกมารอรถไปนครปฐมทันที "เดี๋ยวเราลงที่แยกท่านาแล้วรอรถตรงนั้นจะมีรถเข้าไปถึงหน้าวัดบางพระเลย" ผมรู้สึกสบายใจมากเลยครับที่จะได้ไปกับคนรู้ทางคราวนี้ไม่หลงอีกแล้วแน่ๆ
ตัดมาถึงตอนที่เราลงรถที่หน้าวัดบางพระกันเลยนะครับ ผมเดินเที่ยวในวัดไปดูปลาที่ริมน้ำไปไหว้พระเสร็จแล้วก็จะกลับ "รถหมดแล้วน้อง ต้องรอพรุ่งนี้เช้านู่น ถึงจะมีรถกลับ" อ้าวเวรแล้วละสิ ไม่เป็นไร วัดเป็นที่พึ่งของชาวบ้านได้เสมออยู่แล้ว "ที่พักเต็มหมดแล้วละโยม พอดีมีพวกทหารมาซ้อมเรือแข่ง นอนที่วัดกันเต็มไปหมด" แล้วคราวนี้จะทำไงกันดีละเนี่ย
"กูมีเพื่อนอยู่คนนึง อยู่แถวๆหน้าวัดนี่แหละ" "เออๆๆๆ มึงลองโทรไปหาเพื่อนมึงดูสิว่าเราจะไปนอนที่ไหนได้บ้าง" "มึงฟังกูก่อนนะ.. เพื่อนกูคนนี้เป็นผู้หญิงชื่อแอน(นามสมมุติ) รุ่นพี่มึงเคยจีบมัน แล้วก็มาเที่ยวบ้านไอ้แอนที่นี่ นั่งกินเหล้ากับพวกพี่ชายไอ้แอน คุยไปคุยมาอีท่าไหนไม่รู้ โดนพวกพี่ชายไอ้แอนกระทืบซะเกือบตาย ที่กูเคยมาก็เพราะว่ามาพามันกลับกรุงเทพ" เวรแล้วละสิ แต่ตอนนั้นฟ้าก็เริ่มมืดเข้าไปทุกที ผมเลยตัดสินใจให้ไอ้สิทธิ์หยอดตู้โทรศัพท์ โทรไปหาแอน "พวกมึงรออยู่นั่นแหละเดี๋ยวกูออกไปรับ" "เวลาไปถึงบ้านมันมึงอย่าพูดถึงไอ้เจ๋งนะ" ไอ้สิทธิ์กำชับไม่ให้ผมพูดถึงรุ่นพี่ของผมคนนั้นคงจะกลัวโดนกระทืบอีกรอบแน่ๆ
แล้วอีกซักครู่เราก็ได้นั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์ที่แอนขับออกมารับเข้าไปยังสถานที่ ที่รุ่นพี่ของผมเคยมาโดนกระทืบ.. บ้านของแอนเป็นร้านขายวัสดุก่อสร้างดูแล้วมีฐานะดีทีเดียว และน่าจะเป็นผู้กว้างขวางพอสมควรในละแวกนั้น ภาพแรกที่ผมเห็นก็คือมีชายหนุ่มสองสามคนนั่งกินเหล้าอยู่ใต้ต้นไม้มองมาทางพวกเราอย่างไม่เป็นมิตรนัก พอลงรถผมก็ยกมือไหว้พ่อของแอน พ่อแกรับไหว้แต่ไม่ยิ้มเลย สถานะการณ์ไม่ดีเลยครับสำหรับคนแปลกถิ่นอย่างพวกเรา "มาจากไหนกันละลูก"เสียงแม่ของแอนถามผมหันไปยกมือไหว้แล้วก็บอกไปว่า "ผมจะมากราบหลวงพ่อเปิ่นครับ ผมมาจากสุราษฎร์ ได้ยินชื่อเสียงหลวงพ่อมานาน วันนี้มีโอกาสเลยเข้ามากราบท่าน แต่พอดีไม่รู้ว่ารถมันจะหมด เลยไม่มีที่นอนครับ" "อ๋อ..มาหาพ่อเหรอ" เชื่อมั้ยครับว่าพอจบการสนทนาตรงนี้ เหตุการณ์ทุกอย่างพลิกหน้ามือเป็นหลังมือเลย ผมเห็นพ่อของแอนยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า "กินข้าวกินปลากันมาหรือยังละ ไปๆๆๆ กินข้าวกันก่อน" เหลือบไปดูชายหนุ่มสองสามคน ที่นั่งกินเหล้ากันอยู่ ก็ดูผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด จากกที่ดูเหมือนพร้อมที่จะเตะใครซักคนกลายเป็นนั่งคุยกันสบายๆ มันเปลี่ยนไปจนผมแปลกใจ
"ที่นี่นับถือพ่อกันทั้งนั้น" แม่ของแอนบอกผมตอนที่พวกเรากำลังนั่งกินข้าวกันอยู่ พอกินอิ่มเรียบร้อย พี่ชายของแอนมาชวนพวกเราไปดู วีดีโอ (สมัยนั้นยังไม่มี VCD ) ผมจำได้ไม่ลืมเลยครับว่ามันคือเรื่อง ID4 ดูจบแล้วแอนก็พาพวกเราไปที่ห้องนอนที่เตรียมไว้ โอ..บารมีหลวงพ่อเปิ่นช่างยิ่งใหญ่เหลือเกิน
แถมตอนเช้าเรายังได้กินกาแฟ กินขนมแล้วแม่ของแอนก็ให้พี่ชายแอนขับรถออกมาส่งพวกเราที่วัดอีกด้วย เห็นมั้ยครับว่า "บารมีหลวงพ่อเปิ่น วัดบางพระ ยิ่งใหญ่แค่ไหน"
ที่วัดบางพระในยามเช้า ประมาณ เก้าโมงเช้ามันยังค่อนข้างเงียบ ผมเดินเตร่ไปเรื่อยๆจนถึงศาลาที่เมื่อวานมีคนมาสักยันต์กันเต็มไปหมด วัดบางพระจะขึ้นชื่อมากเรื่องการสักยันต์ วันไหว้ครูของหลวงพ่อเปิ่นจะมีลูกศิษย์ลูกหามากันเยอะมาก ไว้วันหลังจะเล่าให้ฟังอีกทีนะครับ "ไหนๆก็มาแล้ว สักยันต์กันดีกว่าวะ จะได้เป็นลูกศิษย์หลวงพ่อเต็มตัว" ผมชวนไอ้สิทธิ์ "เออดีๆๆๆ เดี๋ยวลองถามดูสิว่าต้องทำไงบ้าง" หลังจากผมสอบถามพี่สาวที่อยู่ด้านล่างว่าต้องทำยังไงผมก็ได้พานครูมาชุดนึง มีบุหรี่หนึ่งซอง ดอกไม้ ธูป เทียนแล้วอะไรอีกผมก็จำไม่ได้ ผมถือพานเดินขึ้นไป พอโผล่หน้าเข้าไปเท่านั้น "เข้ามาเลยโยม มาเช้าๆแบบนี้ดีหน่อยไม่ค่อยมีคน" หลวงพี่กวักมือเรียกผมทันทีที่เห็น "เคยมาสักหรือเปล่า" "ไม่เคยครับมาครั้งแรก" "ครั้งแรกต้องลงยันต์ครู เก้ายอดก่อนนะ จะสักหมึกหรือสักน้ำมันละ" "สักน้ำมันครับจะได้มองไม่เห็น" หลังจากกราบหลวงพี่ยกพานครูเรียบร้อยแล้วแล้วผมก็นั่งลง ผมเห็นเข็มสักที่ตั้งอยู่ข้างๆหลวงพี่ แล้วก็แปลกใจ ทำไมมันไม่เหมือนที่เค้าสักกันแถวๆสะพานพุทธเลยวะ ก็เข็มสักยันต์แบบโบราณนั้นมันใหญ่โตดีเหลือเกิน ยิ่งเวลามันทิ่มเข้ามาในตัวเรามันเจ็บแปล๊บไปถึงกระดูกเลยครับ เสียงหลวงพี่ภาวนาคาถาต่างๆที่ผมฟังไม่เข้าใจบวกกับแรงที่กดลงมาพร้อมกับเข็มสักที่กดย้ำอยู่ตรงนั้นมันเป็นบรรยากาศที่บอกไม่ถูกเลยครับ
ผมกัดฟันจนน้ำตาไหล แต่หลวงพี่ก็บอกว่า "ไอ้หนุ่มเอ๊ย เข็มแค่นี้ถ้าเอ็งทนไม่ได้ต่อไปเจอมีดเจอดาบเอ็งจะทนได้เหรอ" เสียงนี้ทำให้ผมมีกำลังใจนั่งให้หลวงพี่สักยันต์ให้จนเสร็จ พอสักยันต์เก้ายอดเสร็จผมก้มลงจะกราบ หลวงพี่เอามือมารับไว้แล้วบอกว่า "เดินไปให้หลวงพ่อเป่าให้นะ หลวงพ่ออยู่ในกุฏิด้านซ้ายนี่แหละ" ผมเดินออกมาแล้วมองไปตามทางที่หลวงพี่บอก ความรู้สึกตอนนั้นฮึกเหิมอย่างบอกไม่ถูกผมเดินถอดเสื้อผ่าไปกลางกลุ่มทหารเกณฑ์ที่นั่งพักกันอยู่หลังจากซ้อมพายเรือ เข้าไปในกุฏิหลวงพ่อเปิ่นทันที วูบแรกที่ผมเห็นหลวงพ่อเปิ่น ขาผมอ่อนลงทันทีคุกเข่าลงกราบอยู่ตรงนั้น ผมได้รู้ว่าพระที่มีตบะบารมีนี่เป็นแบบนี้นี่เอง เห็นก็กลัว เห็นก็เกรง หลวงพ่อกวักมือเรียกผมเข้าไป แล้วเอามือลูบหัวแล้วเป่าให้ ผมเย็นวูบไปทั้งตัว แล้วก็กราบลาหลวงพ่อออกมาพร้อมกับพระของหลวงพ่อที่รับมาจากมือท่านองค์นึง เป็นพระเนื้อผง รูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของวัดบางพระ นั่นคือเป็นรูปหลวงพ่อเปิ่นนั่งขี่เสือนั่นเอง
แล้วผมก็คิดขึ้นมาได้ว่าไอ้สิทธิ์ละ ผมหันไปหันมามองหาเพื่อนผม ก็เจอมันนั่งอยู่ใต้ต้นไม้ แถวๆริมน้ำ "มึงสักหรือยัง" "ไม่เอาแล้ววะเห็นตอนเข็มที่หลวงพี่จิ้มให้มึงแล้ว กูอยู่เฉยๆดีกว่า" แล้วเราก็กลับกรุงเทพกัน ตอนแรกผมก็คิดว่าคงจะไม่ได้ไปที่วัดบางพระอีก แต่ผมคิดผิดครับ หลังจากนั้นผมมีเหตุให้ต้องไปที่นี่อีกครั้ง คราวนี้ไปสักยันต์แปดทิศเต็มกลางหลังเลยครับ แถมรอบนี้ผมไป-กลับ ด้วยรถตู้ที่เพิ่งเปิดวิ่งใหม่ๆในช่วงนั้นอีกด้วยครับ การไปวัดบางพระครั้งหลังนี้ ผมจึงไม่หลงทางอีกแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น