วันอังคารที่ 8 มิถุนายน พ.ศ. 2553

คนจนผู้ยิ่งใหญ่

ถึงยากจนไม่มองคนเหยียดๆ ไม่รังแกรังเกียจ คิดเบียดเบียนใจใคร
มีจนวัดใจคนไม่ได้ จนแต่รวยนํ้าใจผู้ยิ่งใหญ่แห่งความจน

ทรัพย์สินไม่สะสม อยู่ในสังคมด้วยความสุขขี
ปริญญาฉันไม่เคยมี ความรู้พอดีพออ่านออกเขียนได้
ไปทํางานรับจ้างก็ทําจริง ฉันทําทุกสิ่งยกเว้นประจบเจ้านาย
วัดคนเขาวัดกันที่นํ้าลาย ลาก่อนเจ้านายฉันไม่ใช่ควายจนตรอก

ไม่เคยใฝ่ฝันเป็นโตเป็นใหญ่ ไม่มีปัจจัยทั้งสี่ประการ
แค่สัตว์เลื้อยคลานสองข้างถนน เนื้อตัวยากจนแต่นํ้าใจยิ่งใหญ่

ถึงยากจนไม่มองคนเหยียดๆ ไม่รังแกรังเกียจ คิดเบียดเบียนใจใคร
มีจนวัดใจคนไม่ได้ จนแต่รวยนํ้าใจผู้ยิ่งใหญ่แห่งความจน

คนจน (จนแต่รวยนํ้าใจ) ใครจะว่ายากจน (คนจนผู้ยิ่งใหญ่)
(คนจน) จนแต่รวยนํ้าใจ (ใครจะว่ายากจน) คนจนผู้ยิ่งใหญ่

มีชีวิตย่อมมีความลําบากอดๆ อยากๆ ดังยาชูกําลัง
คามหวังแม้ว่ายังริบหรี่ เพราะสังคมวันนี้มันหางานการยาก
ยํ่าไปสมัครไปไม่เลือกหน้า ค่าจ้างราคาไม่สํามะคัญ
ลุยควันลุยท่อไอเสีย มีแต่ความอ่อนเพลีย ยังดีกว่าเสียขากัน

ไม่เคยใฝ่ฝันเป็นโตเป็นใหญ่ ไม่มีปัจจัยทั้งสี่ประการ
แค่สัตว์เลื้อยคลานสองข้างถนน เนื้อตัวยากจนแต่นํ้าใจยิ่งใหญ่

ปัจจัยคือเครื่องบาดใจ ศาสดาสอนไว้ในพระไตรปิฏก
ความจริงที่คู่ควรหยิบยก ชําระความสกปรกในสังคมเมืองไทย
จิตใจแห่งความเป็นพุทธ ใสบริสุทธิ์นั้นคือจุดหมาย
รวยล้นกระทําตนเหลวไหล ไม่ใช่ผู้ยิ่งใหญ่เป็นแต่ผู้ยิ่งเลว

ไม่เคยใฝ่ฝันเป็นโตเป็นใหญ่ ไม่มีปัจจัยทั้งสี่ประการ
แค่สัตว์เลื้อยคลานสองข้างถนน เนื้อตัวยากจนแต่นํ้าใจยิ่งใหญ่

ถึงยากจนไม่มองคนเหยียดๆ ไม่รังแกรังเกียจ คิดเบียดเบียนใจใคร
มีจนวัดใจคนไม่ได้ จนแต่รวยนํ้าใจผู้ยิ่งใหญ่แห่งความจน

คนจน (จนแต่รวยนํ้าใจ) ใครจะว่ายากจน (คนจนผู้ยิ่งใหญ่)
(คนจน) จนแต่รวยนํ้าใจ (ใครจะว่ายากจน) คนจนผู้ยิ่งใหญ่


จากเพลงของคาราบาวที่ผมฟังมาตั้งแต่เด็กจนแก่ แต่เพลงนี้มันก็ยังเป็นเพลงที่เข้าถึงทุกสถานะการณ์เหมือนเดิม เสียดายที่ตอนร้องเพลงนี้ที่บ้านป้าหน่อยไม่ได้มีการบันทึกไว้เผากัน

ผมสารภาพว่าทุกวันนี้ผมไม่ได้มีเงินเหลือเฟือเหมือนที่ใครหลายๆคนเข้าใจ มนุษย์เงินเดือนตัวเล็กๆอย่างผมใช้เงินหมดไปกับการใช้หนี้ ทั้งหนี้บ้านและหนี้ชีวิต คำว่าหนี้ชีวิต หลายๆคนอาจจะสงสัย แต่ถ้าคนที่อยู่ใกล้ๆตัวผมจะเข้าใจ ทุกวันนี้หนี้ชีวิต ที่ผมต้องตอบแทนคือพ่อแม่ ไม่ว่าพ่อกับแม่อยากได้อะไร ผมจะพยายามหามาให้ทุกอย่าง เพราะผมคิดแค่ว่า พ่อกับแม่ผมไม่สามารถหามาจากที่ไหนได้อีกแล้ว และชีวิตมันก็สั้นเสียเหลือเกินถ้ารอเวลา อาจจะไม่ทันที่จะตอบแทนก็ได้ "มีแม่ให้กอดตอนที่ท่านยังอยู่ย่อมดีกว่า ไปนั่งกอดเจดีย์เก็บกระดูกตั้งเยอะ" หรือใครว่าไม่จริง

คนจนผู้ยิ่งใหญ่ ไม่ทำลายความรู้สึกตัวเอง ผมดีใจที่มีเพื่อนมากมาย แต่จะไม่ชอบที่จะรับความช่วยเหลือจากใคร มีก็ใช้ไม่มีก็นอน ง่ายดี ไม่ซับซ้อน

ผมมีเพื่อนรุ่นพี่คนนึง(ไม่บอกนะว่าชื่ออะไร) ทำงานที่ภูเก็ต เพิ่งได้ไปนั่งคุยกันเมื่อสองสามวันที่แล้ว โดยมีเจ้าแอ๋วไปนั่งฟัง คนแก่เล่าความหลังอยู่ด้วย พี่คนนี้ผมรู้จักมาประมาณเจ็ดปี ทำงานร่วมกันบ้างห่างหายกันไปบ้าง แต่ความรู้สึกทุกอย่างก็เหมือนเดิม นานๆก็โทรคุยกันบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยได้เจอตัวเป็นๆกันซักเท่าไหร่ บางครั้งเจอกันในจังหวัด พังงา บ้างกระบี่บ้าง ก็ได้แค่เปิดกระจกโบกมือให้กัน แล้วก็ต่างคนต่างไป สัปดาห์นี้คือโอกาสที่ดีที่ผมจะได้เจอกันเพราะผมมีงานแถวๆจังหวัดพังงา เลยแว๊บเข้าไปนอนในจังหวัดภูเก็ต เพื่อที่จะได้ไปเยี่ยมพี่คนนี้ด้วย

คืนแรกที่ผมเข้ามาภูเก็ต เพื่อนๆอีกหลายๆคนก็ลากไปนั่งร้านตะวันแดง ไปกันร่วมๆสิบคนพี่คนนี้ก็ไปด้วย เรานั่งตรงข้ามกัน แต่ก็ไม่ๆได้คุยอะไรกันมาก คนรอบๆข้างก็คุยเรื่องนู้นเรื่องนี้กันอย่างสนุกสนาน บ้างก็นั่งดูน้องๆในร้านที่ดูขาวๆสาวยๆกันทั้งนั้น แต่ผมกลับรู้สึกเหงาๆ ทั้งๆที่คนอยู่รอบข้างมากมาย จนกระทั่งเที่ยงคืนกว่าๆก็กลับมานอนที่ห้อง

เช้าวันรุ่งขึ้นผมก็โทรไปนัดพี่คนนี้ว่าตอนเย็นๆจะไปหา น้ำชากาแฟกินกันที่ร้านเก่าที่พวกเราเคยนั่งกินกับประจำตั้งแต่ร้านนี้เปิดใหม่ๆ อยู่แถวๆหน้าโรงพยาบาลวชิระ แต่วันนี้ผมต้องผ่านโรงพยาบาลถลาง ผมเลยโทรไปชวนเจ้าแอ๋วน้องสาวผู้กวน... ออกมาด้วย ไม่รู้ว่าน้องแอ๋วจะเข็ดหรือเปล่าที่ต้องมานั่งฟังคนแก่ๆสองคนนั่งคุยเรื่องความหลัง ถามข่าวเรื่องครอบครัว เรื่องลูก เรื่องงาน เรื่องอนาคต และอื่นๆอีกมากมาย จนเมื่อกลับถึงห้องแล้วถึงจะนึกได้ว่า "เราไม่ได้คุยกับน้องแอ๋วเลยนี่หว่า"

ประมาณเจ็ดปีที่แล้ว ผมย้ายมาอยู่ที่จังหวัดภูเก็ต ช่วงนั้นเพื่อนๆที่อยู่ UCOM ยังโสดกันทั้งนั้น พวกเราเที่ยวกินเหล้ากันแทบจะทั่วเมืองภูเก็ต แต่พี่คนนี้ไม่ค่อยได้ออกมาเที่ยวกับพวกเรา เพราะมีครอบครัว แต่ก็เจอกันแทบทุกวันเพราะต้องทำงานร่วมกัน อยู่ภูเก็ตเหมือนกัน เลยสนิทกัน ผมเองก็ว่างเวลาดึกๆถ้าทาง พี่เค้ามีงานผมก็จะตามไปด้วยไปช่วยกันทำงาน พี่เค้าทำงานอยู่ที่ UCOM เป็นบริษัทลูกที่ชื่อ UIH ทำเกี่ยวกับ Fiber Optic และพวกวงจรเช่าต่างๆ เช่น พวกตู้ ATM ของธนาคารต่างๆ

อย่างคืนนึง มีงานแถวๆตะกั่วป่า ผมก็ออกไปเที่ยวด้วย จาก Job ที่ได้มาทำให้เรารู้ว่า น่าจะเป็น Fiber ขาด พี่เค้าก็เข้าที่ Site ต้นทางเช็คว่าระยะขาดมันห่างจากที่นี่เท่าไหร่ เมื่อเจอแล้วเราก็ไปทำการเชื่อมต่อ Fiber Optic กันทันที และที่สำคัญคือ Fiber Optic เส้นนั้นเป็นแบบ 24 Core ทำให้ใช้เวลานาน ทำไปก็บ่นกันไป "ฝนตกต้นไม้ล้มทับ Fiber ขาดนี่น่าเบื่อจริงๆ" กว่าจะทำงานเสร็จก็ตีสอง แต่เมื่อเช็ค Alarm ก็ไม่เคลียร์

เลยตัดสินใจขับรถไปดูที่ปลายทาง เช็คอีกรอบ ปรากฏว่า Fiber Optic เส้นนี้ขาดสองจุด และจุดที่เราเชื่อมต่อเสร็จไปแล้วนั้น อยู่ห่างจากจุดที่ขาดอีกช่วงนึงไม่ไกลมาก ทำให้เราไม่สามารถเชื่อมต่อได้อีกต้องทำการลากคร่อม ใหม่ทั้งเส้น สรุปว่า เสร็จงานเช้าพอดี หลับกันในรถ แต่ก็สนุกดีครับ ได้ประสบการณ์ชีวิตใหม่ๆไปอีกแบบ

การไปทำงานกับพี่คนนี้ทำให้ผมได้รู้อะไรเพิ่มขึ้นอีกหลายอย่าง อาทิเช่น จุดพักสาย Optic ไม่ควรอยู่ห่างจากเสาไฟฟ้ามากนัก หลายๆคนคงเคยเห็นสายสีดำเส้นใหญ่ๆที่พาดไปกับเสาไฟฟ้ากันบ้างแล้ว นั่นละครับ Fiber optic เวลาลากเราจะต้องเผื่อสายไว้เพื่อที่จะได้ร่นสายเอามาใช้เวลาที่ Fiber Optic ขาด แต่บางครั้งตอนลาก กับตอนซ่อมมักจะไม่ใช่ช่วงเวลาเดียวกัน อย่างแถวๆทุ่งมะพร้าว อำเภอท้ายเหมือง ตอนลากเป็นช่วงหน้าแล้ง ผู้รับเหมาเลยเอาแบบสะดวกๆ ม้วนได้ระยะตรงไหนก็เอาขึ้นตรงนั้น เวลาที่จะไปเอาลงมาใช้ก็ใช้บันไดไม้ไผ่พาดไปกับสายแล้วปีนขึ้นไปเอาลงมา

แต่วันนั้น วันที่พวกเราไปทำงานมันเป็นช่วงหน้าฝน สองข้างทางเต็มไปด้วยน้ำ แถมน้ำในคูข้างทางยังลึกประมาณเกือบถึงเอว แต่..เราก็ต้องทำเพราะตอนนั้นลูกค้าใช้งานไม่ได้อยู่ เราพาดบันไดลงในน้ำ ปีนขึ้นไป แต่คนที่ปีนไม่ใช่ผมหรอกครับ ผมแค่มาดูด้วยเท่านั้น มันไม่ใช่งานของผม ผมมาให้กำลังใจเฉยๆ

ซักพักผมได้ยินเสียงตูม หันไปดูก็เห็นเครื่องมือที่พี่เค้าเอาไปด้วยหล่นน้ำ เห็นพี่เค้าบ่นแบบหมีกินผึ้งเลยครับ ก็ต้องลงไปเก็บเครื่องมือในน้ำนี่นา สุดท้ายก็ต้องเปียกอย่างช่วยไม่ได้

แต่ที่เล่ามาไม่ใช่เป้าหมายหลักหรอกครับ ที่สำคัญคือ ผมขอผ้าพันคอ "คาราบาว" ของพี่เค้าไว้ เนื่องจากเมื่อสองสามปีที่แล้ว บริษัท UCOM ที่เปลี่ยนเป็น "เบญจจินดา" ได้จัดงานปีใหม่ แล้วเอาวงคาราบาวมาเล่น ของที่ระลึกคือผ้าพันคอ ที่ปักด้านนึงเป็นคำว่า เบญจจินดา อีกด้านเป็นรูปคาราบาว พี่เค้ารับปากว่าจะให้ผมแต่ต้องมาเอาเองจะไม่ยอมฝากใครไปให้เด็ดขาด ผมรออยู่สองปี จนในที่สุดวันนี้ผมก็ได้เป็นเจ้าของผ้าพันคอผืนนี้จนได้ ผมใช้มัน พันคอพร้อมกับฟังเพลงคาราบาวตลอดสองวันที่ผ่านมา เมื่อถึงเพลงคนจนผู้ยิ่งใหญ่ผมจะคิดถึงพี่คนนี้ทุกครั้ง และยังคิดถึงเรือที่พวกเรานั่งไปดำน้ำที่เกาะไข่ด้วย เรือลำนั้น ชื่อ คนจนผู้ยิ่งใหญ่เช่นกันครับ

เราออกจากร้านกาแฟร้านนั้น ด้วยการจ่ายเงินของพี่คนนี้พร้อมประโยคที่ว่า "ที่นี่ภูเก็ตบ้านพี่เจ้าบ้านต้องเลี้ยงแขก" รู้งี้บอกเจ้าแอ๋วสั่งขนมใส่ถุงกลับบ้านด้วยก็ดี..

คนจนผู้ยิ่งใหญ่ มิตรภาพที่ไม่ได้ซื้อหาด้วยเงินตรา แม้ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ทุกอย่างก็เหมือนเดิม ภรรยาพี่คนนี้ปกติจะไม่ค่อยให้พี่เค้าออกไปไหนซักเท่าไหร่ แต่ถ้าคำว่า "นภ มา" ภรรยาพี่เค้าจะไม่มีปัญหาแต่อย่างใด ก็ต้องขอบคุณ ทางครอบครัวพี่คนนี้ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

เขียนมาซะยาว ตอนนี้คุณคิดกันได้หรือยังว่าชีวิตนี้ คุณรู้จัก หรือว่าได้เจอ "เพื่อนดีๆในชีวิต" ของคุณหรือยัง เพื่อนที่ไม่สามารถใช้เงินซื้อ แม้ว่าจะดูต้อยต่ำในสายตาคนทั่วไป ไม่มีรถคันใหญ่ๆ ไม่มีบ้านหลังโตๆ ไม่มีเงินใช้มากมาย แต่เต็มไปด้วย ความรักและห่วงใย ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน คนจนผู้ยิ่งใหญ่คนนี้ ก็ยังเหมือนเดิม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น