วันพุธที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เมื่อแรกรู้จัก "คาราบาว"

หวนคิดคํานึงถึงตอนที่ฉันยังเป็นเด็กๆ
ตุ๊กตาที่ตัวเล็กๆ ก็ดูจะมีความหมาย
เติบโตในจินตนาการ กว้างไกลดังท้องทะเลทราย
เร่าร้อนดังฟ่อนฟืนรุมสุมไฟ แต่ต้องไปให้ตรงเส้นทาง
เปรียบได้ดังเส้นทางรถไฟ เปรียบได้ดังขบวนรถไฟ

หวนคิดคํานึงถึงตอนที่ฉันเข้ามาบางกอก
เรื่องราวข่าวคราวบ้านนอกนั้นดูจะมีความหมาย
เปรียบเมืองเป็นรถเป็นเรือ อย่างเราเป็นเกวียนเทียมควาย
เส้นทาง....มากมายไม่มีสิทธิ์เดิน เก็บส่วนเกินเอาไว้ในใจ
ออกยํ่าไปค้นหาความจริง ออกยํ่าไปค้นหาความจริง

หวนคิดคํานึงถึงตอนนี้ฉันไม่ใช่เด็กๆ
ตุ๊กตาที่ตัวเล็กๆ ก็เลยไม่มีความหมาย
ผ่านทางทั้งรถทั้งเรือ เพื่อนฝูงบางคนล้มตาย
ดับสูญไปตามกาลเวลา ภาพตุ๊กตาในมือของเด็ก
เปรียบได้ดังความจริงมากมาย เช่นสนตะพายใช้เป็นงัวงาน
เช่นสนตะพายใช้เป็นงัวงาน สนตะพายใช้เป็นงัวงาน


เพลงตุ๊กตา เป็นเพลงที่ผมชอบมากๆและเป็นเพลงแรกๆของคาราบาวที่ผมร้องได้ ชีวิตผมเป็นเด็กบ้านนอกธรรมดาๆคนนึงที่เติบโตมากับจินตนาการในวัยเด็กที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่นและมีพลังมากมาย การได้วิ่งเล่นในพื้นที่กว้าง กระโดดน้ำคลอง การได้ช่วยครอบครัวทำงานในสวนตั้งแต่เด็ก การที่ได้นอนฟังนิทานจากคนแก่ๆ การได้ตามย่าไปวัดทุกวันพระ สิ่งเหล่านี้มันซึมซับอยู่ในจิตใจลึกๆของผมมาโดยตลอด และมันจะโผล่ขึ้นมาเตือนตัวผมเองในทุกๆครั้งที่ผมรู้สึกเหนื่อยล้า และท้อ ที่ผมร้องเพลงตุ๊กตาได้เป็นเพราะวันนึงแม่ผมกลับมาจากไปทำงานแม่กลับมาพร้อมกับเทปม้วนนึงหน้าปกเป็นสีเขียวๆ ซึ่งผมเองก็ไม่รู้หรอกว่ามันคือเพลงอะไร เพราะปกติผมก็ไม่ค่อยได้ฟังเพลงซักเท่าไหร่ จะฟังก็แต่นิทานที่ออกอากาศทาง AM จากวิทยุของย่าก่อนนอนเท่านั้น

และหลังจากแม่ผมเปิดเทปม้วนนี้ ชีวิตผมก็เปลี่ยนไป "ค่ำคืนเขายืนเดียวดายกอดปืนแนบกายอุ่นใจในลมหนาว..." "เด็กชายคนนั้นดูหงอยเหงาในมือของเขามีทินเนอร์" เพลงหลากหลายเหล่านี้ดังขึ้นในบ้านของผม แม่ผมนั่งฟังอยู่ห่างๆแต่ผมสนใจเพลงเหล่านี้มากๆ ตอนนั้นผมอายุเท่าไหร่ก็จำไม่ได้ แต่ก็พอจะอ่านหนังสือได้แล้ว "คาราบาว" ชื่อนี้จำฝังใจผมเลยทีเดียว ตามปกติในเวลาปิดเทอมผมจะอยู่ที่บ้านกับย่าและลุง ลุงจะเข้าสวนไปขุดดินถางหญ้าไปตามเรื่องทุกวัน ผมก็จะตามไปด้วยเสมอ และที่เหมือนๆกันทุกบ้านคือจะมีวิทยุ ทรานซิสเตอร์ ใส่ถ่านไปฟังเวลาทำงานด้วย ผมก็เลยได้ฟังเพลงลูกทุ่งเก่าๆไปในตัว

วันนั้นผมได้ยินเสียงเพลง "มาร่วมกันร้องบรรเลง มาร่วมกันร้องบรรเลงร้อง บรรเลง มนต์เพลงคาราบาว" ทางวิทยุ ที่ลุงเปิดตอนทำงานในสวน "เพลงอะไรหนอ แต่เสียงแล้วเนื้อร้องมันบอกว่า คาราบาวนี่นา" สมัยนั้นข่าวสารมันไม่รวดเร็วเช่นสมัยนี้ ข่าวก็ต้องดูเย็นๆ และค่ำๆ โทรทัศน์เปิดปิดเป็นเวลา หนังสือพิมพ์นานๆถึงจะได้เห็นซักครั้ง ผมจึงได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจเงียบๆ แต่หลังจากนั้นผมจะเปิดวิทยุบ่อยขึ้น หมุนหาคลื่นต่างๆเพียงเพื่อจะฟังเสียงผู้ชายคนที่ชื่อ คาราบาว ผมไม่รู้หรอกว่าคาราบาวเป็นชื่อวงดนตรี มีกี่คนมีใครบ้างผมรู้แต่ว่า ผมหลงเสน่ห์ คาราบาวเข้าเต็มๆแล้วละครับ ผมไม่รู้หรอกว่าชุดไหนออกก่อนหรือหลัง ผมรู้แต่ว่า เสียงร้องเพลงของคนคนนี้มันสร้างความรู้สึกดีๆให้ผมมากมายเลยละครับ

จนวันนึงทางบ้านพาผมไปเที่ยวหาดใหญ่ พี่ๆน้องๆต่างเดินดูของกินของใช้กันอย่างเพลิดเพลิน แต่ผมกลับติดตาติดใจกับเทปที่วางขายอยู่บนแผงริมถนน หน้าปกสีแดงมีรูปหัวควาย แถมร้านยังเปิดเพลงของคาราบาวอยู่ด้วย ผมจึงบอกกับแม่ว่าผมขอไปรอที่รถ แล้วผมก็แอบมายืนฟังเพลงอยู่ที่ริมถนนด้วยความรู้สึกกระหายอยากจะได้เทปม้วนนั้นมาฟังที่บ้านเป็นอย่างมาก "จึงมาเป็นวนิพกพเนจร" ผมจำท่อนนี้ได้เป็นอย่างดีแม้ว่าผมจะกลับมาสุราษฎร์ธานีโดยที่ไม่มีเทปม้วนนี้มาก็ตาม อาจจะเพราะความรู้สึกในวัยเด็กตอนนั้น ทำให้วันที่ผมเห็นเสื้อ คาราบาวที่ร้านมูลนิธิคาราบาวที่สวนจตุจักร ที่ทำออกมารุ่นนึงเป็นภาพหน้าปกเทปชุดนี้ผมจึงไม่ลังเลเลยที่จะซื้อเสื้อตัวนี้ในราคา 250 บาท ทั้งๆที่ในกระเป๋าผมมีเงินอยู่ สามร้อยกว่าบาท และผมจะใส่มันบ่อยมาก จนมาเว้นว่างไม่ใส่เอาหลังจากที่มีการประท้วงกันนี่ละครับ นี่อาจจะเป็นส่วนนึงของความทรงจำในวัยเด็กที่ส่งผลตอนโตอีกอย่างนึงที่ผมจำได้

ผมฟังเพลงชุด ท ทหารอดทนซ้ำแล้วซ้ำอีก จนแม่ผมรู้ว่าผมชอบคาราบาว ผมจะดูโทรทัศน์อย่างตั้งใจเมื่อเห็นคาราบาวมาออกรายการต่างๆ ผมจำเพลง ลาวเดินดินได้ฝังใจ จากการที่แอ๊ด คาราบาว มาร้องในรายการประตูดวง "เขาเป็นคนไทยแท้ๆ อย่าเห็นเป็นลาวเดินดิน...เมืองที่ยุ่งที่เหยิงรถราก็ติดเป็นแถวยาวมีแต่ข่าวฆาตกรรม"นับวันผมจะคลั่งใคล้ คาราบาว มากขึ้นทุกทีๆแล้วสินะ แม่ผมซื้อเทปคาราบาวมาให้อีกครั้งกับอัลบั้ม กัมพูชา เพลงเดี่ยวของ ยืนยง โอภากุล ผมชอบเพลง "คนหลังเขา" มากๆ ร้องตามจนนับครั้งไม่ถ้วน คราวนี้พี่ๆน้องๆลุงป้าน้าอา ต่างก็รู้แล้วว่าผมชอบคาราบาว ใครไปไหนมาไหนก็จะเอาเทปมาฝากไอ้หลานชายคนนี้เสมอ แม่ยกเครื่องเล่นเทปเครื่องนั้นให้เป็นสมบัติส่วนตัวของผม ซึ่งทุกวันนี้ถึงแม้ว่ามันจะใช้ไม่ได้แล้ว แต่ผมก็ยังเก็บมันไว้ อายุของมันยี่สิบกว่าปีแล้ว ไว้วันไหนจะถ่ายรูปมาให้ดูครับ ผมมีโอกาสได้ฟังคาราบาวแทบจะทุกชุด และตอนเรียน ป สาม ผมออกไปร้องเพลงหน้าห้องเรียนด้วยเพลง นางงามตู้กระจก ในอัลบั้มเมดอินไทยแลนด์ ที่ดังทะลุฟ้าของคาราบาว มันทำให้ผมซึมซับความเป็นคาราบาวไว้แทบจะทุกอนูของความรู้สึก ผมไม่รู้หรอกว่าดนตรีคืออะไร ใครเล่นเก่งหรือไม่เก่ง ผมรู้แต่ว่า ผมชอบเพลงแบบนี้ ชอบดนตรีแบบนี้ ชอบเสียงร้องของคนคนนี้

ผมมีพี่ชายลูกของลุงอยู่สองคน สองคนนี้จบ ม.หก ก็ขึ้นไปเรียนต่อที่บางกอกเช่นเดียวกับเด็กต่างจังหวัดทั่วๆไป พี่ชายผมสองคนนี้เรียนรามคำแหงครับ สถาบันที่เด็กใต้ชอบไปเรียนกันมากๆในสมัยนั้น หรืออาจจะถึงสมัยนี้ ผมได้ไปเที่ยวบางกอกไปเยี่ยมญาติๆ และแวะไปนอนกับพี่ชายที่บ้านของอาที่แถวๆบางมด ในห้องนอนของพี่ชายมีเทปของ คาราบาว ชุดทับหลัง อยู่ม้วนนึง ผมเปิดฟังผ่านๆแค่เที่ยวเดียว แต่ใจผมตอนนั้น ความคิดของเด็กๆตอนนั้น ผมว่านี่ไม่ใช่คาราบาวที่ผมรู้จัก

ผมอยากฟังเสียงกีตาร์นิ่มๆอยากฟังเสียงเพลงซื่อๆที่หลับตาฟังแล้ว เห็นภาพตามไปด้วยอย่างที่ผ่านมา แต่ก็เป็นแค่ความคิดในช่วงนั้น จนผมกลับมาสุราษฎร์ธานีและสอบเข้าเรียน ม.หนึ่ง ที่โรงเรียนสุราษฎร์ธานี มีอยู่วันนึงผมได้ไปดูงานเลี้ยงส่งพี่ๆม.หก ที่จบการศึกษา วันนั้นมีวงดนตรี"กองฟาง"มาเล่นที่โรงยิม ผมได้ฟังเพลง"มิสชาวนา" ซึ่งอยู่ในชุดทับหลังที่ผมไม่ค่อยชอบ แต่วันนั้นมันช่างมันสะใจอะไรอย่างนั้น วันนั้นคือวันที่เปลี่ยนความรู้สึกด้านเสียงเพลงจากหัวสมองผมอย่างสิ้นเชิง แถมเพลง อับดุลเลาะห์ ของซูซู ก็กำลังกระหึ่มอยู่ในช่วงเวลานั้น ทำให้ผมชอบเพลงสนุกๆมากขึ้น

เพลงมิสชาวนา ศิลปิน คาราบาว

ยามเช้าสาวนางนั้นปักดําข้าวกล้าในนา
ยามบ่ายตะวันแอบฟ้าดังสุริยาจะเผาแผ่นดิน
ยามเย็นสาวนางนั้นกัดฟันไม่พูดไม่จา
เธอเป็นนางสาวชาวนาปักดําข้าวกล้าในนา
ผิวกายโชกชุกไปด้วยเหงื่อไคล ตะวันบ่ายเผาจนผิวเธอดํา
เรือนร่างห่อผ้าขาดๆ ดวงตาส่อแววความหวัง

สองเท้าสาวชาวนาย่องย่างอย่างนกกระยาง
ยืนแช่กลางผืนนากว้างแผ่นหลังสู้ฟ้าท้าฝน
สองแขนไม่แอ่นอ่อนฟ้อนรําไม่จําเริญตา
เธอเป็นนางสาวชาวนาปักดําข้าวกล้าในนา

หว่านเม็ดข้าวลงนาแปลง จะแตกโผล่ดําได้อีกสิบแปลง
ถ้าปีนี้ฟ้าฝนไม่แล้ง หรือนํ้าหลากกลบกล้าเน่าตาย
มีผู้ใดเห็นใจเธอบ้าง แม่น้องนางกลางดินกลางนา
ผู้ปลูกข้าวเลี้ยงคนเรื่อยมา ทุ่มกายเป็นประโยชน์สังคม
ไยสังคมกระหนํ่าซํ้าหญิง กินทั้งข้าวหิวทั้งตัณหา
เปลือยผู้หญิงเป็นอาหารตา คือที่มาการประกวดนางงาม

รวงข้าวคือรวงทองแห่งท้องทุ่งนาปีนาปรัง
ข้าวเปลือกคือความหวังแห่งอนาคตสาวชาวนา
มงกุฎประดับช่อเพชรบําเหน็จแห่งกิเลสตัณหา
อาหารปากกับอาหารตาข้าวเปลือกกับชุดชั้นใน
เธอนุ่งลมห่นเตี่ยวจนเสียวไส้ เป็นขวัญใจของใคร ใครกันเล่า
ก็บังเอิญเดินดินอย่างเรา ต้องกินข้าวกับนางสาวชาวนา....ชาวนา


ผมหันกลับไปฟังเพลง มหาลัย ราชาเงินผ่อน ใหม่อีกครั้ง และ สุดท้าย เทปม้วนแรกที่ผมเก็บเงินซื้อด้วยตัวเองคือชุด โนพรอมแพรม มันเป็นการเก็บเงินค่าขนมที่นานมากๆสำหรับเด็กต่างจังหวัดอย่างผม อัลบั้มชุดนี้ฝังใจเด็กที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่นอย่างผมมากพวกเราอินกับเพลงมาก ร่วมใจอนุรักษ์ ร่วมต้านการสร้างเขื่อนเพื่อนของผมคนนึง พี่มันอยู่ที่ราชมงคลวิทยาเขตสงขลา ส่งสติ๊กเกอร์ "หยุดเขื่อน" มาให้ พวกเราติดที่กระเป๋ากันทุกคน ผมยังจำภาพที่พ่อผมแอบแกะมันออกจากกระเป๋าใส่หนังสือของผมได้ดีเลยครับ ช่วงนั้นที่สุราษฎร์มีการประท้วงเขื่อนแก่งกรุงกันอยู่ พวกเราก็เอากับเขาด้วย แต่สุดท้าย "เขื่อนก็ไม่ได้ไม้ก็หมด รู้งี้ให้สร้างเขื่อนดีกว่าอีก"

พอๆกับจิตวิญญาณของคำว่านักศึกษาที่หายไป สมัยผมเด็กๆ คำว่านักศึกษาคือพลังที่ยิ่งใหญ่ มีพลังรักชาติ รักประชาธิปไตย แต่เดี๋ยวนี้ถ้าพูดคำว่านักศึกษาเหรอครับ ทุกคนจะคิดถึง"สาวๆนุ่งกระโปรงสั้นๆ ใส่เสื้อรัดๆ"กันทั้งนั้น หรือว่าไม่จริงครับ

แต่ก็สรุปได้ว่า หลังจากนั้น ผมชอบฟังเพลงของคาราบาวในจังหวะสนุกสนานมากกว่าเพลงช้าครับ มีงานที่ไหนต้องไปอยู่หน้าเวทีตลอด สนุกสนานไปพร้อมๆกับการเปลี่ยนแปลงของคาราบาวในทุกๆด้าน หลังจากนี้ผมจะเล่าความรู้สึกที่เกี่ยวข้องกับเพลงของคาราบาวในแต่ละช่วงเวลาของชีวิตให้อ่านกันนะครับ

นภดล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น