วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เพลงกับชีวิต

เพลงกับชีวิต

วันที่ 11 มีนาคม 2549

ทุกท่านคงเคยฟังเพลงกันทุกคน ใช่ครับถ้าไม่หูหนวกหรือมีความผิดปกติทางการรับฟังก็คงต้องเคยฟังเพลงกันมาแล้วทุกคน แต่ที่ผมจะนำมาฝากวันนี้ ผมจะถามเรื่องอารมณ์ของเพลงครับ เรื่องของเรื่องก็คือ ผมได้ฟังเพลงประกอบละคร แคนลำโขง (สวรรค์บ้านนอก) ไอ้ละครเรื่องนี้ผมไม่เคยดูหรอกครับแต่พอดีเปิดมาเจอตอนจบพอดี และก็ได้ยินเพลงนี้ ก่อนหน้านี้ผมเคยฟังที่พี่สุเทพ กับพี่แดงวงโฮป ร้องไว้นานมาแล้ว ได้อารมณ์ไปอีกแบบคือ เสียงพี่แดง นี่ฟังดูบ้านๆกว่าที่ผมได้ฟังวันนี้ วันนี้เสียงเพลงสวรรค์บ้านนอกมันฟังแปลกๆหู อาจจะเพราะสำหรับคนหลายคนแต่สำหรับผม มันเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปยิ่งกว่าใจของผู้นำบางคนอีกครับ เสียงพี่แดง พี่สุเทพฟังเป็นธรรมชาติแสดงถึงความซื่อๆของท้องถิ่นอีสานจริงๆ แต่เสียงเพลงสวรรค์บ้านนอกที่ผมได้ฟังวันนี้ รู้สึกถึงความเปลี่ยนไปเลยครับถ้าใครหลับตาฟังเพลงตอนนี้คงรู้สึกได้ถึง อีสานยุคใหม่ ยุคที่สั่งข้าวเหนียว ส้มตำ ผ่าน อินเตอร์เนต หรือภาพชาวนาไถนาไปพลางคุยโทรศัพท์มือถือไปพลาง (คล้ายๆตอนเราขับรถไปด้วยคุยโทรศัพท์ไปด้วย) แต่ผมไม่ได้ว่าเพลงไม่ดีนะครับ ต้องอธิบายให้เข้าใจ เดี๋ยวพวกหมาข้างๆเวป อ่านแล้วเอาไปรุมด่าผมกันอีก แค่อยากบอกว่า เพลงคือสื่อที่แสดงอารมณ์ในแต่ละยุคครับ ถ้าไม่เชื่อลองเอาเพลง ทับหลังของคาราบาวที่ เคยชื่นชอบตอนนั้นมาฟังตอนนี้ ตอนที่คาราบาวต้องใช้เครื่องจักรที่ใช้ผลิตเครื่องดื่มควายๆ ที่สามารถผลิตได้วันละสิบสองล้านขวด นำเข้ามาจากประเทศที่ไปแต่งเพลง ด่าเค้าไว้นั่นแหละ ลองฟังดูว่ายังจะได้อารมณ์นั้นอีกหรือเปล่า

ช่วงนี้มีเพลงออกมาในท้องตลาดมากมาย ทั้งดีและไม่ชอบ(ไม่ใช่ไม่ดี) เพลงสามารถทำให้เราอารมณ์เย็น หรือรุนแรงก็ได้ ให้รัก ให้เกลียด สามารถทำได้ในเพลงแต่ละเพลง เราลองกลับมาฟังเพลงเก่าๆดูเราจะคิดถึงเวลานั้นว่าเราทำอะไรอยู่ ผมเคยกอดคอเพื่อนนั่งกินเหล้าแล้วแหกปากร้องเพลง เราและนาย ของ โลโซหลังจากที่เราใช้เวลาในการไปหาเรื่องตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก กันมาตามประสาวัยรุ่น ตอนนั้นเหมือนกับว่าโลกนี้มีเพียงเพื่อน แต่พอมาฟังตอนนี้ื ไม่ใช่สิ ผมไปนั่งดื่มเหล้ากับพวกคู่หูอันตราย พี่รินทร์ ศักดิ์วุฒิ ที่ริมทะเล สิชลมีคาราโอเกะหยอดเหรียญผมเลยร้องเพลงนี้ แต่ไม่ว่าจะแหกปากยังไีงก็ยังไม่ถึงความรูุู้้สึกตอนนั้นเลย ผมเคยฟังเพลงฝากจันทร์ของ คาราบาวแล้วคิดถึงบ้านแต่เพื่อนผมที่ไปเรียนด้วยกัน มันต้องฟังเพลง คิดถึงบ้านของพงษ์เทพ ถึงจะได้อารมณ์

์ก็แล้วแต่คนครับ เพลงเป็นแค่สื่อ แต่ความรู้ความเข้าใจต้องใช้อารมณ์ของแต่ละคนครับ ฟังเพลงเศร้าตอนที่เราสนุก ฟังเพลงรักตอนอกหัก มันก็ไม่ค่อยเข้ากันซักเท่าไหร่ เราเลยต้องหาฟังเอาเองตามความรู้สึกของเราในขณะนั้น

แต่ ๆๆๆ ใช่ครับมีแต่ ทางพุทธศาสนา กล่าวไว้ว่า จิตเป็นตัวกำหนดรูปทุกอย่างคือความว่างเปล่า ทุกสิ่งเริ่มจากความว่างเปล่า ภาชนะจะใส่อะไรไมได้อีกถ้ามันเต็ม ถ้าเราจะรับรู้สิ่งใดเราต้องทำใจให้ว่างเสียก่อน เราจะรับสิ่งใดเราต้องทำมือให้ว่างเสียก่อน ถ้ามือยังยึดยังถืออยู่เราก็จะไม่สามารถรับสิ่งใดมาได้ เราต้องรู้จักคำว่า ปล่อยวางเสียก่อนครับ เขียนมาเหมือนผมจะเป็นคนดี แต่ขอบอกครับ ผมไม่ใช่คนดีครับ ผมไม่ใช่ผ้าขาวที่มีสีดำหยดใส่ แบบหลายๆคน ผมเป็นผ้าดำ ที่พยายามเอาสีขาวหยดใส่ลงไปเรื่อยๆ ผมพยายามคิดว่าแม้ว่าผมจะไม่สามารถเป็นคนดีได้ ผมจะไม่ยอม เลวไปกว่านี้แล้วครับ

พูดเรื่องเพลงมาดีๆ ออกนอกเรื่องอีกแล้ว ผมต้องเป็นโรคอะไรที่เกี่ยวกับความทรงจำแน่ๆเลยครับ เพลงตอนนี้ที่ผมฟังทุกวัน (ทุกวันจริงๆเพราะตั้งเป็นเสียงเรียกเข้า) คือเพลงของคาราบาวนั่นแหละ ฟังเพลงแต่ไม่ชอบคนร้องไม่แปลกครับ อารมณ์เป็นตัวที่ทำให้เราเข้าใจเพลงครับ สภาพผมตอนนี้คงฟังเพลง รักทุกคน คงไม่ได้ ฟังเพลง ตายกันไปข้าง ก็คงไม่ไหว ได้เต็มที่สบายๆ ก็็้แค่นี้แหละครับ "ไปทำงานรับจ้างก็ทำจริงฉันทำทุกสิ่งยกเว้นประจบเจ้านาย วัดคนเขาวัดกันที่น้ำลาย ลาก่อนเจ้านายฉันไม่ใช่ควายจนตรอก"

จนถึงบรรทัดนี้หลายๆคนคงนึกถึงเพลงที่รัก พรรคที่ชอบกันได้แล้วใช่มั้ยครับ จะฟังหมอลำ มโนราห์ ก็ไม่แปลกครับ ไม่มีคำว่าเชยหรือล้าสมัย คนที่ว่าคนอื่นว่าฟังเพลงบ้านนอกบ้างละ ไม่ทันสมัยบ้างละ ต้องฟังเำพลงฝรั่งบ้างละ คนแบบนั้นไม่มีทางเข้าถึงอารมณ์ของเพลงได้หรอกครับ เราลองมาหาเพลงที่เราชอบเป็นเพลงของเราเองกันดู บางครั้ง บางที เราอาจจะเข้าใจได้ว่า อารมณ์ของเราจริงๆแล้วต้องการความเงียบ ความสงบมากกว่าเสียงใดๆซะอีกครับ


หมายเหตุ

เป็นเรื่องเก่าๆกับความรู้สึกเก่าๆในตอนนั้น กลับมาอ่านวันนี้อาจจะดูแปลกๆไปบ้าง ผมนำมาลงใหม่เพื่อระลึกถึงอดีตในช่วงนั้นครับ ถ้ามีอะไรไม่เหมาะสมก็ขออภัยด้วยครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น