วันเสาร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2553

โลกสมมุติ มาโนช พุฒตาล

เมื่อคืน ผมนอนพลิกซ้ายพลิกขวา นอนไม่หลับเพราะอากาศที่ร้อนพอสมควรและที่บ้านก็ไม่มีเครื่องปรับอากาศ เพราะผมยังคิดว่า อากาศประเทศไทย ยังไงๆก็ยังไม่ได้ร้อนมากมายถึงขนาดที่ต้องมีเครื่องปรับอากาศกันทุกหลังคาเรือน เพราะช่วงนี้พอถึงตอนเช้า ผมก็ต้องห่มผ้าคลุมทั้งตัวเพราะความหนาวอยู่ดี แล้วจะติดแอร์ไปทำไม

หลังจากที่เมื่อวานนี้ 19/5/2553 มีการขอคืนพื้นที่การชุมนุม ที่ในบางกอก มีการเผาบ้านเผาเมืองกันป่นปี้ เผาสถานีโทรทัศน์ ข่มขู่คุกคาม ประกาศเคอร์ฟิวส์ โดยที่ไม่รู้ว่าใครเป็นใคร ผมก็เริ่มจะเดือดร้อนกับมาตรการอันนี้ของรัฐบาลด้วยเช่นกัน คือผมไม่มีรายการอะไรดูเลย ข่าวสารบ้านเมืองก็ไม่เห็นมีช่องไหนรายงานกันอีก มีแต่ภาพเก่าๆ อาจจะกลัวการโดนถล่มสถานีเลยเอาเทปเก่าๆมาฉายวนไปวนมาอยู่แบบนั้นทั้งคืน

ในความโชคร้ายก็มีความโชคดี ผมเลื่อนรีโมทไปมา แบบไม่มีความหวังอะไรมากมาย จนมาถึงช่อง เนชั่น เห็นเป็นรายการแสดงดนตรี เพลงสากล ตอนแรกก็คิดว่าเป็นวงทั่วๆไปที่ตอนนี้มีให้ชมอยู่มากมาย แต่ที่ผมหยุดดูก็เพราะสะดุดตากับกีตาร์ตัวนึง คือกีตาร์ตัวนี้เป็นกีตาร์ในฝันที่ผมอยากได้มานานมากๆๆ เป็นกีตาร์ Fender Telecaster สวยมากๆเลยหยุดมองดูเพื่อรอฟังเสียงของกีตาร์ตัวนี้

และเมื่อตั้งใจดูชัดๆก็เห็นว่า คนที่เล่นกีตาร์ตัวนี้คือ พี่ซัน มาโนช พุฒตาล นั่นเอง ชื่อนี้ ผมไม่ได้คุ้นชินในฐานะ นักดนตรีที่เก่งกาจหรือ นักจัดรายการวิทยุที่มีคนติดตามกันมากมาย ผมไม่เคยฟังพี่ซันเล่น ไม่เคยฟังพี่ซันจัดรายการ ผมรู้แค่ว่า ถ้าไม่มีคน คนนี้ "มาลีฮวนน่า" จะไม่มีทางโด่งดังได้ถึงขนาดนี้ ตอนนั้นเพลงใต้ดินที่ กลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่า บุปผาชน ทำออกมาขายกันเองนั้นก็ทำสถิติขายได้มากมายในแนวทางของเพลงใต้ดิน แต่ก็คงจะจบแค่นั้น ถ้าไม่มีค่ายเพลงไมล์สโตน ผมเองชอบฟังเพลงของมาลีฮวนน่าพอสมควร แต่ผมก็ฟังแค่ชุดแรก ถึงชุดเพื่อนเพ เท่านั้น หลังจากเพื่อนเพ กลายเป็นเพื่อนพัง ผมก็ฟังอยู่แบบห่างๆ เพราะมันขาดหลายๆอย่างไป ไม่ครบด้วยจิตวิญญาณ เหมือนเมื่อก่อน

หนึ่งในทีมของมาลีฮวนน่า ที่ยังอยู่กับพี่ซัน หลังจากที่ทีมของอาจารย์ไข่ กับพี่ธง แยกออกไปทำชุดเพื่อนเพ แล้วนั้น คือ พี่สมพงศ์ ศิวิโรจน์ พี่สมพงศ์จะเป็นคนเขียนเพลงดีๆมากมายในนามของ มาลีฮวนน่า และผมคิดว่า คนนี้ต่างหากคือจิตวิญญาณ ที่แท้จริงของมาลีฮวนน่า

โอ๊ย.......... เขียนเรื่องพี่ซัน เลยออกไป มาลีฮวนน่าจนได้

ประโยคแรกที่ผมได้ยินพี่ซันพูด แล้วผมรู้สึกว่า เออ..นี่แหละ ใช่เลย คือ ผมไม่แต่งหน้า ไม่ทำผม ไม่ใส่เสื้อที่รีด เพราะผมไม่ชอบพิธีกรรม ใช่ครับ ทุกวันนี้ เราอยู่ได้ด้วยพิธีกรรมมากมาย ต้องทำอย่างนั้นในเวลาอย่างนี้ แม้แต่พระสงฆ์ กว่าจะทำอะไรก็ต้องมีพิธีกรรม พิธีกรรมคือ สิ่งที่นำมาสร้างศรัทธา มาเพิ่มความเชื่อ แต่ไม่ได้พัฒนาความรู้ ไม่ได้พัฒนาจิตใจของคนเราเลย

พิธีกรรมและความเชื่อทำเอาคนเราเดือดร้อนมามากมาย อย่างเช่น ในที่ทำงานของใครบางคน..(ไม่บอกหรอกครับว่าที่ไหน) ด้านล่างของตึกมีร้านกาแฟระดับโลกอยู่ร้านนึง แก้วนึงร้อยกว่าบาท แพงบรรลัยเลยครับ และคนที่นี่ก็มีความเชื่อว่า ถ้าไม่กินกาแฟ เจ้านี้แล้ว จะไม่สามารถเดินเข้าลิฟท์ ไปทำงานข้างบนได้ หรือแม้ว่าเข้าไปได้ก็จะต้องถูกประนามเหยียดหยาม หรืออะไรทำนองนั้น

คิดดูว่าถ้าเดือนนึงมาทำงาน 20 วัน วันละ ร้อยกว่าบาท ไหนจะขนมที่จะต้องเอามากินพร้อมๆกับกาแฟอีก ไหนจะ เวลาสร้างพิธีกรรมหน้าใหญ่ เลี้ยงเพื่อนอีก เดือนนึงตกหลายๆพันบาท เพียงแค่ พิธีกรรมก่อนการทำงาน ไม่นับรวมพิธีกรรมตอนทำงานและหลังทำงานนะครับ มิน่าละ ไอ้พวกนี้เมื่อผ่านพิธีกรรมเหล่านี้มามากๆ ก็เลยต้องตกเป็นทาสมนต์ดำของบัตรเครดิต ต่างๆมากมาย เหมือนๆกับความเชื่อที่ว่า มีบ้านต้องติดแอร์นั่นละครับ ผมยังจำเสียงของพี่สาวคนนึงได้เลยครับ ที่ถามผมว่า "ยังมีอีกเหรอ บ้านที่ไม่ติดแอร์" ก็บ้านผมนี่ละครับที่ไม่ติด เครื่องทำน้ำอุ่นก็ไม่มี ไม่รู้จะติดมันไปทำไม

เวลานอนที่โรงแรมเวลาไปทำงานต่างจังหวัดผมก็อาบน้ำเย็นเป็นเรื่องปกติ บ่อยครั้งที่ผมเปิดกระจกขับรถ ผมว่าอากาศข้างนอกมันสดชื่นดี มันไม่ได้มีกฏห้ามนี่ครับว่า ขับรถต้องปิดกระจก เปิดแอร์ หลากหลายเรื่องราว ของพิธีกรรมเหล่านี้ มันเกิดจาก ความตั้งใจและไม่ตั้งใจของมนุษย์ นักบวช สร้างพิธีกรรมขึ้นเพื่อเรียกหาศรัทธา เพื่อให้ได้มาซึงลาภยศ เงินทองและเมื่อผมฟังเพลง โลกสมมุติของพี่ซัน ที่อยู่ในอัลบั้มชุด "ในทรรศนะของข้าพเจ้า"แล้ว ทำให้ผมรู้ว่าคืนนี้ผมโชคดีแค่ไหน ที่นอนไม่หลับ โชคดีแค่ไหน ที่บ้านเมืองไม่สงบ โชคดี มากมายที่มีเคอร์ฟิวส์ และอีกมากมายสารพัดที่ระดมกันเข้ามาในสมอง เพราะถ้าตอนนี้บ้านเมืองปกติ ผมคงจะนอนแล้วละครับ หรือไม่ก็มีอะไรดูมากมายเกินกว่าจะเลื่อนมาดูช่องนี้ได้ และถ้าเหตุการณ์ปกติ ช่องเนชั่น คงจะไม่เอารายการพวกนี้มาให้ดูแน่นอนครับ

ผมนั่งฟังเพลงนี้นั่งดูการเล่นกีตาร์ที่สุดยอดในจิตวิญญาณของความเป็นศิลปิน ของพี่ซันแล้วผมอดใจไม่ไหวต้องลุกขึ้นมาหาเพลงนี้ฟังแบบชัดๆอีกครั้ง แล้วผมก็ตกหลุมรักพี่ซัน และเพลงๆนี้อย่างโงหัวไม่ขึ้น ผมว่ามันเป็นดนตรีเชิงปรัญญา ที่หาฟังได้ยากมากมายในโลกใบนี้ ในทรรศนะของข้าพเจ้า ที่พี่ซันบอกว่า "ถ้าแปลง่ายๆคือ กูคิดของกูคนเดียว" ซึ่งก็ใช่อีกนั่นละครับ ดนตรีแบบนี้ผ่านกระบวนการทางความคิดด้วยสมองมามากกว่าและดีกว่าไอ้พวก "ชิมิๆ" ที่เปิดกรอกหูกันอยู่ทุกวันอย่างเทียบกันไม่ติดแน่นอนครับ

ถ้าพี่ซันบอกว่า ในทรรศนะของข้าพเจ้า คือ กูคิดของกูคนเดียว ผมก็จะบอกคนที่ขึ้นมาบนรถของผมแล้วได้ยินเพลงนี้ว่า ในทรรศนะของข้าพเจ้า คือ กูก็ฟังของกูคนเดียว เช่นกันครับ

นภดล

20/5/2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น