วันนี้ 14/09/2552 ช่วงเย็นหลังจากเจ้าแอ๋วกลับไปภูเก็ตแล้ว ผมก็หลับไปงีบนึง ตื่นขึ้นมาฟ้าก็มืดซะแล้ว หยิบรีโมทกดช่องนู้น ช่องนี้ไปเรื่อยๆ จนมาถึงช่องมงคลแชลแนล หนังกำลังเริ่มพอดี ดูไตเติ้ล ดูเนื้อหา อ๋อ......เรื่องโอเคเบตงนี่เอง
หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่แปลกมากๆเรื่องนึง คือ ผมซื้อแผ่นมาไว้ที่บ้าน และมีโอกาสดูอีกสองสามครั้ง แต่ผมไม่คยดูจบเลยครับ ดูกี่ครั้งๆก็ไม่เคยผ่านฉากที่พระเจอกับ มารีอาหลานสาวของพระ ตอนต้นเรื่องซักที ทำไมเหรอครับ ไม่รู้เหมือนกัน คล้ายๆกับว่ามันมีความหลังอะไรบางอย่างกับชีวิตผมมากมายจริงๆ สำหรับเบตง
ปีนั้น ประมาณสี่ห้าปีที่แล้ว หลังจากที่คำว่า "โจรกระจอก" ถูกกล่าวออกมาจากปากนายกท่านนึง บ้านผมก็ลุกเป็นไฟ ยิงกันบ้าง วางระเบิดกันบ้าง มีการตายกันเหมือนใบไม้ร่วง (ทำไมต้องใบไม้ร่วง) หวาดระแวง ใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีความสุขเลย แต่ถึงอย่างไรเราก็ยังอยู่กันได้
บ่อยครั้งที่ความขัดแย้งในบ้านของเรามาจากคนที่อื่น พี่ๆน้องๆไทยพุทธ มุสลิม เคยอยู่กันได้อย่างมีความสุข กลับต้องมาระแวงกันเพราะใครก็ไม่รู้ มีข่าวออกไปทุกวันว่าเหตุการณ์มันรุนแรง ปีนั้น ผมจำได้ว่าปลายปี 2547 หรือต้นปี 2548 นี่แหละครับ ผมได้ยินคนบางคนพูดว่า " ตำรวจ รีดไถ พวกนักเรียนตีกันนี่ทำไม่ส่งไปสามจังหวัดชายแดนวะ" ผมก็บอกไปว่า " ก็ที่บ้านกูมันตีกัน ยิงกันทุกวันนี้ก็เพราะมีคนคิดแบบมึงนี่แหละ" มีแต่ความคิดที่เป็นลบ ไม่รู้อะไรจริงๆแต่ขอให้พูดไว้ก่อน คนชั่วๆแบบนั้น เอาไว้ให้มันตายอยู่ที่บ้านมึงนั่นแหละ จะส่งมันลงไปชายแดนทำไม
เคยมาเห็นกันจริงๆหรือเปล่าว่าเขาอยู่กันยังไง พูดกันอย่างกับว่า มานอนอยู่แถวๆนี้เป็นปีๆ "ภาคใต้ น่ากลัววะ มีข่าวยิงกันวางระเบิดกันทุกวันเลย" พอไม่มีข่าวอะไรหายไปหลายๆวัน
"สงสัย แม่ง ปิดข่าววะ"
มันก็เป็นซะแบบนี้ละครับนิสัยของคน คนกันจนมั่ว คนกันไม่หยุด ปากก็บอกว่า กูไม่ยุ่ง ใจเย็นๆ อยู่สงบๆ แต่ในทางปฏิบัติ โคตรยุ่งเลย รู้ไม่รู้กูพูดไว้ก่อน เก่งนักหนาเวลาอยู่กันเยอะๆ รวมกลุ่มได้เมื่อไหร่ละก็ เก่งกันเหลือเกิน พูด จน ไม่รู้จะพูดอะไร ไม่มีอะไรจะพูดก็พูด กลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าพูดได้ คนดีๆกัน ก็ปั่นซะจนเกลียดกันไปเลยก็มี
กลับมา....... โอเค เบตง
สมัยเรียน ปริญญาตรี ผมมีเพื่อนคนนึงชื่อ ไอ้จง ชื่อจริงมันชื่อ บรรจง เป็นลูกคนจีน อยู่ที่ในตลาดเบตง นี่ละครับ หน้าตาดี ดูเหมือนจะเรียบร้อย แต่มันก็แสบไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน กินเหล้า เที่ยวเตร่ ไล่ตีกันบ้าง โดนเค้าไล่เตะบ้างมาด้วยกัน แต่มันเรียนจบก่อนผม เทอมนึง มันเก็บข้าวของแล้วบอกว่า "กูกลับบ้านแล้วนะ กูเรียนจบแล้ว จะกลับไปช่วยเตี่ย กรีดยาง" พวกเรายังคิดว่ามันล้อเล่น แต่มันก็ทำแบบนั้นจริงๆ
ปลายๆปี 2547 หลังจากที่ผมกลับจาก ภาคตะวันออก เลือดนักเดินทางในตัวของผมมันสูบฉีดเต็มที่ผมเดินทางไปในแทบจะทุกๆที่ ที่ผมอยากไป เวลาทำงานที่ไหนไม่เคยไป ก็จะแวะเข้าไปทันที พเนจรไปไม่หยุด หกเดือนนั้นผมนอนที่บ้านไม่กี่คืนที่เหลืออยู่ต่างจังหวัดตลอด จนวันนึงตอนกลางปี 2548 ไอ้จงมันโทรมาหา คุยนู่น คุยนี่ไปเรื่อย ผมก็บอกมันว่า "กูจะไปหามึง" มันก็คงจะคิดว่าผมพูดเล่น มันบอกว่ามาเถอะ ถ้ามึงผ่านตันหยงมัสมาได้ มาถึงบ้านกูก็ไม่มีอะไรแล้ว "เออ แล้วกูจะไป" วางสายเสร็จ ผมก็จัดการเรื่องวันลาทันที เก็บข้าวของที่จำเป็นยัดใส่เป้ สีแดงใบเก่ง เป้ Happy สีแดงที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกับผมมานาน จนผมมาเลิกใช้มันโดยเด็ดขาดก็ตอนที่ สีแดงครองเมือง นั่นละครับ
ผมติดรถ พี่ที่ทำงานลงไปหาดใหญ่ เพราะพี่เค้ามีประชุมพอดี แล้วผมก็ให้เพื่อนอีกคนไปส่งที่ คิวรถตู้เบตง ผมโทรไปบอกไอ้จงว่าให้รอรับด้วยเพราะไม่เคยไป ไอ้จง มันคงจะแปลกใจนิดหน่อย "นี่ถ้าเป็นคนอื่นกูคงไม่เชื่อ แต่นี่เป็นมึง กูเลยไม่แปลกใจเท่าไหร่" แล้วมันก็ถามเวลารถ มันบอกว่าจะมารอรับอยู่หน้าบ้านให้บอกคนขับว่าลง...แล้วคนขับจะมาส่งถึงหน้าบ้านเลย
ผมนั่งมอง สองข้างทางไปเรื่อยๆ มองลองกอง ที่เหลืองเต็มต้นแต่ไม่มีคนเก็บ ทั้งๆที่เมื่อก่อน ลองกองแถวๆนี้ ราคาจะสูงมากๆ ผมหลับตาคิดถึงวันที่ผมมาทำงานที่ ลำพญา Site นั้นอยู่ในสวนลองกอง ลุงแก่ๆคนนึงเอาลองกองใส่ถุงมาให้ มากมาย รอยยิ้ม มิตรภาพ ไทยพุทธ มุสลิม ไม่มีข้อแปลกแยก ไม่มีพวกมึงพวกกู มีแต่คำว่า พี่น้องและคนไทยด้วยกัน ผมนั่งคิดนู่นคิดนี่ คิดถึง วันที่มาเที่ยวเขื่อนบางลาง มากินปลาแรด ตัวใหญ่ๆ เดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสบายใจไม่ต้องกังวล เพราะที่นี่คือแผ่นดินไทย แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว
ผมเริ่มเห็นรถทะเบียน เบตง โอ้...มันมีจริงๆเหรอเนี่ย (รู้ทั้งรู้ว่ามี) อดนึกขำเรื่องที่เพื่อนๆเล่าให้ฟังว่าโดนตำรวจจราจรในกรุงเทพ จับ เพราะไม่รู้ว่ามีทะเบียน เบตง กว่าจะทำความเข้าใจกันได้ก็เหนื่อยพอสมควร
และแล้วผมก็มายืนอยู่หน้าบ้านไอ้จง มันพาผมเข้าไปไหว้เตี่ย ไหว้ แม่และพี่ชายของมัน เอาข้าวของไปเก็บ แล้วก็นั่งคุยกันหน้าบ้าน พอตกเย็นก็นั่งซ้อนท้าย มอเตอร์ไซค์ ออกไปเที่ยวกัน "บ้านมึงนี่ดีนะไม่ต้องใส่หมวกกันน็อค ตำรวจก็ไม่จับ" (ตอนนั้นนะครับ) ถ้าบ้านกูละก็โดนสอยโดนชี้หน้าเรียกให้จอด ยังกะมันชี้เลือกเด็กในตู้เลยละ ไอ้จงพาผมขับรถชมเมือง ไปดูไก่ (ไก่จริงๆ) ตัวใหญ่ๆ แถวๆถนนสร้างใหม่ เป็นรูปไก่เบตงตัวใหญ่ เสียดายที่รูปชุดนี้หายไปพร้อมกับ โน๊ตบุ๊คตัวเก่า เหลือไว้เพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น และคืนแรก เราก็เที่ยวชมเมืองนิดหน่อยแล้วเราก็กลับมานอน
ผมจำได้ว่าช่วงนั้นฝนตกนิดหน่อย ไอ้จงเลยว่างบางวันมันไม่ต้องกรีดยาง เลยมีเวลาพาผมเที่ยว แต่ผมบอกมันว่า ไม่ต้องพาไปไหนมากหรอก อยากจะเห็นชีวิตประจำวันของคนแถวนี้มากกว่า ไอ้จงเลยจัดให้ มันตื่นดึกๆไปกรีดยาง กลับมานอน ตื่นสายๆ เพราะเตี่ยมันจะเป็นคนทำแผ่น ยางแผ่นที่เบตง ใหญ่มากๆๆๆๆๆ ไม่เหมือนยางแผ่นที่บ้านผม ยางแผ่นที่บ้านผม แผ่นนึงหนักประมาณ 1 กิโลแต่ยางแผ่นที่นี่ ต้องหนักกว่าที่บ้านผม สองสามเท่า ไอ้จงบอกผมว่า ถ้ามัวทำแผ่นเล็กๆมันไม่ทันเวลา (ตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ทันเวลา)
เบตง ตอนนั้นเป็นเมืองที่ไม่มีการก่อการร้าย ไม่มีข่าวใดๆ ช่วงสายๆผมไปถ่ายรูปไปดูหมอกยามเช้าที่วัดแบบในรูปหน้าปกหนัง โอเค เบตง ไปเที่ยวด่านเบตงไปเที่ยวถ้ำปิยมิตร ไปนู่นไปนี่ ไปบ่อน้ำร้อน ไปทุกที่ที่อยากไป วันไหนฝนตกผมก็เช่าการ์ตูนมาอ่าน เรียกว่าลืมโลกภายนอกไปเลยครับ
กลางคืนมานั่งกินกาแฟ ดูนกนางแอ่น นั่งคุยกับเพื่อนของไอ้จง ที่เป็นอิสลามบ้าง ไทยพุทธบ้าง สนุกสนานดี มีแต่รอยยิ้มและมิตรภาพ วันไหนไม่มีอะไรทำก็ แทงสนุ๊ก สูบใบจาก ดึกๆถ้าว่างก็ไปหาเบียร์กิน ร้องเพลง จนถึงวันที่ผมจะกลับ ไอ้จงมันก็บอกว่ามันจะออกมาในเมืองด้วย มันจะเข้ามาในเมืองยะลามาหาเพื่อน มาเยี่ยมแฟน เราเลยเก็บข้าวของออกมาพร้อมกัน
ขากลับผมนั่งรถแท๊กซี่ เบนซ์ ด้วยนะ ผมจำคนขับได้เป็นอย่างดีแม้ว่าจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม คนขับเป็นชายร่างเล็ก ชื่อ ลุงจ้อย ใครไปเบตง ลองถามหาดูนะครับเผื่อจะเจอ ผมนั่งฟังการพูดคุยกันในรถเงียบๆอย่างสนใจ ผู้โดยสารคนนึงน่าจะเป็นครู ครูคนนี้คุยกับลุงจ้อยตลอดทาง ครูบอกว่า เมืองไทยโชคดีที่มีในหลวง ท่านเก่งจริงๆ ผมแอบยิ้ม และนั่งคิดคนเดียวว่า "นี่ขนาดในป่าในเขา บารมีในหลวงยังแผ่มาถึง เมืองไทยนี่โชคดีจริงๆ"
ลุงจ้อย เล่าอะไรให้ฟังหลายอย่าง บางครั้งมีมอเตอร์ไซค์ขับหวาดเสียวน่ากลัว ครูถามลุงจ้อยว่า "ทำไมไม่บีบแตร" ลุงจ้อยบอกว่า "อย่าเลยครับ คนเราคิดไม่เหมือนกัน เราคิดว่าจะเตือน แต่ถ้าเขาแปลเจตนาเราผิด เดี๋ยวก็ ไม่สบายใจกันเปล่าๆ" จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังแอบๆเอาประโยคนี้ของลุงจ้อยมาใช้อยู่บ้าง เงียบได้ก็เงียบ อย่าไปยุ่งกับมัน เดี๋ยวมันก็เงียบไปเอง เลิกกันไปเอง
ระยะทางจากเบตง มายะลามันก็ไกลพอสมควร ลุงจ้อยกับครูก็คุยกันอีกมากมาย ลุงจ้อยพูดจาเรียบร้อยมาก ลุงยังเล่าถึงสมัยที่เรียน ดูลุงจ้อยจะภูมิใจกับโรงเรียนที่ลุงเคยเรียนมาก และจะรักและเคารพครูที่สอนลุงมามากมาย ผมอดคิดถึงเด็กทุกวันนี้ที่ไม่เคยแม้แต่จะคิดที่จะเกรงใจคนเป็นครู แต่ก็นั่นละครับ ครูบางคน อย่าว่าแต่จะยกมือไหว้เลยครับ เห็นแล้วอยากจะขอร้องให้ไปทำงานอื่นเถอะ อย่ามาเป็นแม่พิมพ์เลวๆให้อนาคตของชาติเลย
มีผู้โดยสารหญิงคนนึงถามว่า "ลุงซื้อหวยบ้างหรือเปล่า" โอ้ ในป่าในเขา หวยก็เข้ามาถึงเช่นกันครับ " ไม่ครับ ชีวิตผม ตั้งแต่เด็กๆมา ถ้าอยากได้อะไรต้องทำงานแลกมาตลอด ไม่เคยมี โชคเรื่องแบบนี้เลย ทำงานเก็บเงินอย่างเดียวครับ" เยี่ยมจริงๆเลยครับลุง
จนมาถึงแยก มลายู-บางกอก ลุงจ้อยเล่าความเป็นมาของ บ้านมลายูที่มาจากบางกอกให้ฟัง แต่ตอนนั้นใจผมมันคิดถึงแต่เมืองยะลา เลยไม่ได้สนใจมาก ถึงตอนนี้มานั่งนึกเสียดาย เดี๋ยวจะลองไปค้นหามาเขียนไว้ซักหน่อย เพราะเรื่องราวมันน่าสนใจดีครับ เมื่อมาถึงยะลาเราพักที่โรงแรมยะลา มายเฮาส์ กลางคืนก็เมา ร้องคาราโอเกะ โดยที่ไม่สนใจว่าเมื่อไม่กี่วันมีระเบิดที่หน้าโรงแรม สนุกอย่างเดียว จนสายๆอีกวันก็ติดรถแฟนของไอ้จงเข้าหาดใหญ่ แล้วผมก็นั่งรถไฟกลับสุราษฎร์ธานี เมื่อกลับถึงบ้าน ดูข่าวก็เห็นข่าว ป้อมตำรวจ+ทหาร ที่ผมนั่งรถผ่านโดนถล่ม ดูข่าวแล้วก็ใจหาย ไม่รู้เมื่อไหร่ไอ้พวกบ้านั่นจะเลิกกันซะที
จริงๆแล้วมันมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเยอะที่ผมไม่สามารถที่จะเล่าได้ เหตุการณ์ตอนไปเบตงเลยดูเหมือนข้ามไปข้ามมา แต่ก็อยากจะเขียนไว้เป็นความทรงจำดีๆเก็บไว้ ทุกที่ที่เป็นที่เที่ยวของเบตง ผมใช้เวลาสี่ห้าวันที่อยู่ที่นั่นไปเที่ยวจนทั่ว ด้านมืดด้านสว่างก็ไปชมมาจนเกือบจะทั่ว แต่เขียนออกมาได้เท่านี้ละครับ ไว้ถ้าผมว่างจะสแกนรูปมาใส่ไว้ให้ดูเพราะมีบางภาพที่ผม ไปอัดเก็บไว้ถึงแม้ว่ามันจะไม่หมดทุกรูปแต่ก็พอเหลือไว้บ้าง ไม่หายไปหมดซะทีเดียว ไว้วันไหนว่างๆค่อยมาเขียนเล่าเรื่องอื่นๆให้อ่านกันอีกครับ วันนี้พอแค่นี้ก่อนเพราะงานยังไม่เสร็จเลยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น