วันอังคารที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ปริญญา ฝาบ้านและเพลงไทย

เรื่องใบปริญญากับเพลงในแนวเพื่อชีวิต เป็นอะไรที่เข้ากันมาก ประมาณว่าจากบ้านนอกเข้ามาเรียนเพื่อ ปริญญา แต่ก็เสียผู้เสียคนหรือ เรียนดีแต่ยากจน อะไรประมาณนั้น เพลงรุ่นเก่าๆ ที่ผมพยายามฟังมาหลายๆเพลง หรือเพลงใหม่ๆที่เขียนออกมามายมาย จะมีเนื้อเพลงที่ว่า "แขวนใบปริญญาที่ฝาข้างบ้าน" แล้วก็แต่งออกมาเหมือนๆๆๆกันหมดแบบพิมพ์เดียวกัน จนช่วงนี้ผมจะเริ่มสอดส่ายสายตาไปตามบ้านต่างๆว่า มีบ้านไหน "แขวนใบปริญญา" กันบ้าง อย่างน้อยๆ ชุมชนเล็กๆ ไม่กี่หลังคาเรือนแถวๆนี้ที่ผมเดินเข้าไปดูในบ้านมา ก็ไม่มีเช่นกันครับ เห็นแต่รูปรับปริญญาทั้งนั้น ส่วนใบปริญญา อยู่ในตู้ วางรวมกันไว้ มีลูกกี่คน ปริญญากี่ใบก็ใส่ไว้ในตู้ ไม่มีใครเอามาติดฝาบ้านกันซักคน

ผมคิดเอาเองว่าทั้งหมดทั้งหลายเหล่านี้เป็นผลพวงมาจากเพลง มหาลัย ของคาราบาวในยุคก่อน ที่สมัยนั้นไม่มีเทคโนโลยีในการถ่ายภาพมากมายเหมือนสมัยนี้ที่คนมีรูปถ่ายกันมากมายจนคิดเล่นๆว่า ถ้าเอามาติดฝาบ้านทั้งหมดคงจะเต็มข้างฝาโดยที่ไม่ต้องทาสีกันเลยทีเดียว ดังนั้นในสมัยก่อนสิ่งเดียวที่จะเป็นเครื่องแสดงความภาคภูมิใจของคนที่มีลูกหลานเรียนจบปริญญา ก็คือ การนำใบปริญญา และรูปรับปริญญามาติดฝาบ้านให้คนที่มาเยี่ยมเยือนได้เห็น เป็นการแสดงความภาคภูมิใจอย่างหนึ่ง ดังนั้นจะไม่ให้ผมยกย่อง คาราบาว ว่าเป็นแม่แบบของเพลงเพื่อชีวิตได้อย่างไรในเมื่อเด็กรุ่นใหม่หรือคนรุ่นหลังๆก็ยังเขียนเพลงตามแนวๆเลียนแบบการร้องและเลียนแบบคำหรือภาษาเพลงของแอ๊ด คาราบาวกันอยู่ตลอด

โดยเฉพาะ "เพลงใต้" บ้านผมนี่ละครับ ที่บางเพลงฟังแล้วอยากจะบ้าตาย เขียนออกมาแต่ละเพลงไม่น่าฟังเอาเสียเลยแต่ก็ช่างมันเถอะครับ ข้ามๆไปบ้างอย่าไปใส่ใจมากมายเดี๋ยวพี่ๆทั้งหลายจะมาเตะปากผมเปล่าๆ แต่ละคนเก่งอิ๊บอ๋าย เคยมีพี่คนนึงเล่นดนตรีเพื่อชีวิตแบบอคูสติก เดี๋ยวๆๆๆ หยุดตรงนี้แป๊บนึง ทุกท่านที่อ่านคิดว่าการเล่นกีตาร์ หนึ่งตัว หรือสองตัว แล้วร้องเพลง โลโซ ในร้านอาหารแถวๆ นครศรีธรรมราช นี่เป็น

โฟล์คซอง หรือ อคูสติก ลองไปคิดกันดูนะครับ

กลับมาที่พี่คนนี้กันต่อครับ พี่คนนี้เล่นกีตาร์ร้องเพลงคนเดียวมานาน จนเริ่มรู้สึกว่าเหนื่อยๆหรือจำเจก็เลยมาหาเพื่อนมาร่วมเล่นดนตรีด้วย กะว่าจะเอาให้ออกมาในรูปแบบที่คล้ายๆ คาราวาน อะไรทำนองนั้น แต่เลือกไปเลือกมา ซ้อมกันไปซ้อมกันมาก็ไม่ลงตัวซักที จนวันหนึ่งแกมาชวนเพื่อนผมไปลองซ้อมเพลงกับแกดู ผมก็มีโอกาสได้ไปนั่งฟังเพลงด้วย ที่ได้ไปด้วยไม่ใช่ว่าผมจะเก่งหรือเล่นกีตาร์ได้ดีหรอกนะครับ เป็นเพราะว่าเพื่อนมันขับมอเตอร์ไซค์แล้วถือกีตาร์ไม่ถนัด ต้องหาคนช่วยถือ ดังนั้นผมจึงได้มานั่งเสนอหน้าฟังเพลงอยู่ที่บ้านพี่คนนี้ด้วยครับ

ปกติเพื่อนผมคนนี้เล่นกีตาร์เก่งพอตัวครับ เวลาตั้งวง ก็แจมกันกับรุ่นพี่รุ่นน้องในวงเหล้าอยู่บ่อยๆ ก็เล่นได้ดีสนุกสนานน่าฟัง โดยในช่วงนั้น แมวมองที่จะหานักดนตรี หรือนักร้องไปเล่นตามร้านเพื่อชีวิต ส่วนใหญ่ก็ไปหยิบไปหิ้วไปอุ้ม ออกมาจากในวงเหล้านี่ละครับ สมัยผมวัยรุ่นนั้น ร้านเพื่อชีวิตยังมีไม่มาก คนเล่นกีตาร์เป็น เล่นกีตาร์ดีมีไม่มาก ส่วนพวกที่เล่นเก่งจริงๆ เป็นโน๊ตสากล ก็จะเข้าไปเล่นในบาร์ ในร้านอาหารที่มีนักร้องร้องเพลงหรือใน เธค เพราะรายได้จะมากกว่านักดนตรีในแนวๆนี้เยอะ นักดนตรีในบาร์จะดูเป็นไฮโซมากมายไม่ค่อยลดตัวมาสุงสิงกับเด็กๆอย่างพวกเรามากนัก ดังนั้นพวกเราจึงมีสังคมเป็นวงเหล้า และเป็นที่รู้กันในหมู่ นักเรียน นักศึกษาขี้เหล้าว่า ถ้าตั้งวงบ้านไหนจะมีใครมาเล่นกีตาร์และเพลงแบบไหนให้ฟัง ทำให้สามารถเลือกชมเลือกฟังได้ตามความพอใจ ค่าบัตรเข้าชมก้แล้วแต่ศรัทธา จะเป็นถั่วต้ม โซดาหรือ แม้แต่จะไม่มีอะไรติดมือมาเลยก็ได้

นักดนตรีวงเหล้า คำนี้เป็นคำที่มีคนเรียกพวกเราแบบดูถูกแกมเหยียดหยามนิดๆ แต่ขอโทษเถอะครับ พอถึงวันนี้ พ.ศ.นี้ ไอ้นักดนตรีวงเหล้า มันยังมีงานทำมันยังได้เล่นดนตรี มันยังมีโอกาสทำเพลงออกมาให้คนทั่วไปได้ฟัง แต่นักดนตรีในบาร์รุ่นใหญ่ เก๋าๆ หรือที่พวกเราเรียกว่าไอ้พวกเปียโน ตกงานอยู่บ้านเลี้ยงลูกเลี้ยงหลานกันเป็นแถว จนบางครั้งยังมีการมาบอกว่า "วันไหนคนขาดก็บอกพี่บ้างนะ"

ผมนั่งฟังพี่คนนี้กับเพื่อนผมเล่นด้วยกันอยู่หลายเพลงแต่ก็ดูจะไม่ลงตัวเท่าไหร่ เพื่อนผมดูจะเงียบขรึมลงไปแบบเห็นได้ชัด ทั้งๆที่มันจะดูสนุกๆตอนเวลาที่ได้เล่นกีตาร์ "น้องโซโล่ช้าไปนะ" "ตีคอร์ดช้าๆหน่อยสิพี่ร้องไม่ทัน" ผมเริ่มได้ยินพี่คนนี้บ่นออกมาหลังจากหยุดพัก "ทำไมมันหาคนมาเล่นกีตาร์ดีๆยากนักวะ" พอจบคำนี้ผมที่นั่งฟังอยู่นานแล้วก็อดไม่ได้ที่จะบอกไปว่า คนเล่นกีตาร์ดีๆมันมีเยอะครับ แต่ผมว่าคนที่จะเล่นกับพี่ได้นี่คงจะหายากซักหน่อยละครับ พี่เล่นตามอารมณ์ของพี่คนเดียวแบบนี้ใครจะตามพี่ทัน พี่คิดจะเร็วพี่ก็เร็ว คิดจะช้าใส่อารมณ์ตอนร้องพี่ก็ทำ แบบนี้พี่ต้องจ้างวงแบ๊คอัพ มาเล่นครับ จะเอาแบบไหนก็ได้เพราะพี่จ้างเค้ามา แต่ถ้าจะเล่นแบบมาด้วยกันไปด้วยกันมันก็น่าจะดูคนอื่นบ้าง จะเร็วจะช้าก็ให้มันเท่าๆกันทั้งเพลง

เพื่อนผมถึงมันจะเป็น นักดนตรีวงเหล้า แต่มันก็มีพื้นฐานในเชิงริทึ่ม มาพอสมควร ถึงมันจะเคาะกระติก แต่ผมว่าTiming ของมันก็ดีพอใช้ ตอนมันเล่นกับพี่คนนี้ผมนั่งฟังผมก็ว่ามันตีคอร์ดไม่คร่อมนะครับ แต่พี่แกเล่นร้องเพลงตามใจแกเล่นตามใจแกเองจังหวัดแทนที่จะเป็น 4/4 สองห้อง แกเล่น สามครึ่ง กับ สี่ครึ่ง อย่างละห้องแล้วใครจะไปเล่นกับแกได้

แค่นั้นละครับ แกถามผมว่า มึงเล่นกีตาร์เก่งมากนักเหรอ เปล่าครับ ผมเล่นได้สี่คอร์ด ( C Am D Em) แล้วมาพูดทำไม เล่นไม่เป็นเล่นไม่เก่งก็อยู่เงียบๆไปสิ

"พี่เคยดูประกวด นางสาวไทยมั๊ย" ผมถามแก "เคยสิ" ถามทำไม

"เวลาดูนางสาวไทยแล้วเรารู้สึกว่านางสาวไทยไม่สวย ทำไมเรารู้สึกได้ ทั้งๆที่ถ้าเรามีเมีย เมียเราหน้าตาอาจจะได้ไม่ถึงเสี้ยวนึงของคนที่เราว่าไม่สวยก็ได้" การฟังก็เหมือนกัน ฟังรู้ว่ามันไม่ดี มันไม่เพราะแต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะเขียนได้หรือเล่นได้ ในขณะที่ผมคุยกับพี่คนนี้แบบเสียงแข็ง แบบที่ไม่ได้เถียงกันแค่พูดพร้อมกันโดยที่ไม่มีใครฟังใครแค่นั้นเอง เพื่อนผมก็หิ้วกีตาร์โปร่งคู่ใจของมันแล้วชวนผมกลับทันที

"ไปเล่นตามประสาเราดีกว่า" แต่เพื่อนผมคนนี้ทุกวันนี้มันก็ยังเล่นกีตาร์อยู่ ถึงมันจะมีเมียมีลูกสองคนมีงานให้ทำแบบแทบจะไม่มีเวลาว่าง แต่ทุกครั้งที่เจอหน้ากัน นั่งคุยกันจะต้องมีกีตาร์มานั่งเป็นพยานในวงสนทนาทุกครั้ง นั่งคุยกันไปเล่าเรื่องเก่าๆ ร้องเพลงเก่าๆกันไปมีความสุขมากมาย แต่ผมก็ไม่เคยถามข่าวคราวของพี่คนนั้นอีกเลย เพราะถ้าแกยังเล่นอยู่หรือไปได้ดีในทางดนตรีก็คงจะได้เจอกันบ้างได้เห็นหน้ากันบ้างแล้ว

มันเป็นแค่หนึ่งตัวอย่างของการไม่รับความคิดเห็นที่แตกต่างจากคนอื่น ทำให้เสียอะไรดีๆในชีวิตไปพอสมควร การคิดว่าตัวเองแน่หรือเก่งเป็นการเปิดประตูนำความหายนะเข้ามาในบ้าน และเมื่อถึงตรงนี้ผมก็อดคิดถึง คาราบาว ไม่ได้ คาราบาวอยู่มาได้จนทุกวันนี้ มีผลงานออกมาให้คนได้ฟังได้รับรู้ข่าวสารต่างอย่างในทุกวันนี้ เกิดจากการยอมรับในสิ่งใหม่ๆของสมาชิกวงคาราบาว ทำให้เกิดการผสมผสาน ระหว่างเก่าและใหม่ทำให้ยืนอยู่ได้อย่างยาวนาน

"มึงจะดูว่าทำงานที่ไหนมั่นคง ให้มึงดูว่าที่นั่นมีคนแก่ทำงานหรือเปล่า" อาจารย์สุรินทร์ สกุลสุจิราภา อาจารย์ที่สอนผมสมัยเรียนเทคนิคสุราษฏร์เคยบอกกับผมไว้ เพราะถ้าที่ไหนมีคนแก่ทำงานนั่นก็คือที่นั่นไม่ทอดทิ้งพนักงานไม่ไล่ออกเมื่ออายุมาก และต้องมีสวัสดิการที่ดี คนมีอายุถึงไม่ลาออก

คาราบาวเป็นวงที่มีคนอายุห้าสิบกว่าปีเล่นอยู่ด้วยกัน แต่ก็มีคนอายุไม่ถึงสี่สิบ อย่างพี่อ้วนเล่นอยู่ด้วยเช่นกัน ถ้าผมจำไม่ผิดพี่อ้วน คาราบาว น่าจะอายุมากกว่าผมสองปี การเปลี่ยนแปลงของคาราบาวไม่ได้เริ่มที่พี่อ้วน แต่เปลี่ยนมาตั้งตอนพี่หมีเข้ามาเป็นมือกีตาร์อีกคน ถ้าคาราบาวโดยเฉพาะพี่เล็ก ถ้าพี่เล็กคิดว่า แกเก่งอยู่แล้ว ไม่ต้องมีคนมาแย่งซีนบนเวที หรือไม่ต้องการให้ใครมาชิงความโดดเด่นแล้วละก็ป่านนี้ คาราบาวคงจะเล่นคอนเสิร์ต 365 ครั้งต่อปีไม่ไหวแล้วครับ "ถึงมือจะเหนียว มันก็เกี่ยวกับสังขาร" จริงๆครับ

มาถึงพี่อ้วน คาราบาว กันบ้าง ผมว่าถ้าหูผมไม่เพี้ยน หรือ เริ่มหลงๆลืมๆตามประสาคนเริ่มแก่ ผมว่างานเพลงของพี่แอ๊ด หรือของคาราบาวช่วงหลัง ผมว่าไลน์บางไลน์ในเพลงของวงดนตรีผู้ยิ่งใหญ่วงนี้ ต้องเป็นฝีมือของคนรุ่นใหม่ๆ ใส่เข้ามา ไม่ได้คิดกันเองโดยพวกรุ่นใหญ่แค่สามสี่คนแน่นอน และคนรุ่นใหม่ที่เป็นผู้ต้องสงสัยก็คือพี่อ้วน ถึงแม้ว่าบางครั้งจะไม่มีเครดิตในปกเทปปกซีดี ว่าเป็นคนเรียบเรียงเพลงก็ตามแต่ผมก็ยังคิดว่า บางลูกบางจังหวะ ของเพลงต้องมาจากคนคนนี้ครับ

กลับมาที่ปริญญากันต่อครับ พาออกนอกเรื่องไปไกลเลย...

เอาเป็นว่าสิ่งที่อยากจะบอกก็คือ เพลง มหาลัย ที่เอาใบปริญญา มาแปะข้างฝา หาหลวงพ่อดีๆ ธูป เทียนก็มีพร้อมดอกไม้บูชา มันผ่านมายี่สิบกว่าปีแล้ว สมัยนี้น่าจะมีวิธีเอาใบปริญญาไปไว้ที่อื่นได้แล้วนะครับ ลองคิดในมุมต่าง ลองสร้างในสิ่งใหม่ แล้ววงการเพลงเพื่อชีวิตจะดีขึ้นกว่านี้เยอะครับ ถ้าไม่คิดต่าง ไม่สร้างทางของตัวเอง ป่านนี้เราไม่มีศิลปิน อย่างพงษ์สิทธิ์ คำภีร์ มาลีฮวนน่า กันอย่างแน่นอน นอกจากนี้ผมยังชอบวงจีวัน เลอฌอ และอีกหลายๆคนที่หนักแน่น ในแนวทางของตัวเอง เขียนกวีใส่ทำนองออกมาแบบใส่ใจคนฟัง

ลองเปลี่ยนแนวคิด ลองหาที่ไว้ปริญญาใหม่ ลองเปลี่ยนสถานที่เรียนบ้าง ไม่ต้อง "ออกเดินจากบ้านสู่เมืองฟ้า สู่เมืองเทวาเมืองบางกอก"แบบพี่ปู "ฉันจากบ้านมาเพื่อการศึกษาพ่อแม่ส่งมาเล่าเรียน" อย่างพี่เอ๋ สันติภาพ ลองคิดในมุมที่ต่าง ออกเดินทางจากโก-ลก ไปเรียนขอนแก่น อะไรประมาณนี้ แต่ผมก็เคยได้ยินน้องๆเขียนเพลงในมุมที่แตกต่างแบบนี้เหมือนกัน แต่ดันแตกต่างไปในแนวอื่นๆที่ต้องเล่นเองฟังเองในวงเหล้าซะงั้น

คนเขียนเพลงที่นำมุมมองที่แตกต่าง มาใส่แนวคิดที่แปลกใหม่ได้ดีมากๆคนหนึ่งและเป็นนักเขียนเพลงที่ผมชอบมากๆ คนหนึ่ง คือ คุณวสุ ห้าวหาญ คนๆนี้เคยเป็นมาทุกอย่าง นักดนตรี นักร้อง และมาประสบความสำเร็จใน บทบาทของนักเขียนเพลง วสุ เอามุมมองของนักศึกษา ที่แตกต่างจาก คนอีกมากมายในในโลกของสุรา ภาษาและเสียงเพลง แทนที่วสุ ห้าวหาญ จะเอา จั๊กจั่น วันวิสา ขึ้นรถไฟเข้าบางกอกเหมือนที่คนหลายๆคนในประเทศไทยชอบทำกัน วสุ ห้าวหาญ พาจั๊กจั่น วันวิสา ไปเรียนต่างจังหวัดไม่ไกลไม่ใกล้ ในเพลง สาวตจว ม.ราชภัฏ แถมหน้ามหาลัย เป็นถนนใหญ่เพราะมีรถทัวร์วิ่งผ่านแล้วจอดด้วย ความสวยได้แค่นี้ แต่มีดีที่การศึกษา ..... ไปหาฟังกันเอาเองนะครับ

ผมฟังครั้งแรกผมชอบเลยครับ นี่คือการปฏิรูปการศึกษาในแนวเพลงอย่างแท้จริง ในกระทรวงศึกษาจะปฏิรูปกันแบบไหนจะให้เรียนฟรีแต่เก็บอย่างอื่นแพงบรรลัย นั้นผมก็ไม่ทราบได้ แต่ วสุ ห้าวหาญ คือคนที่ปฏิรูปการศึกษาในเพลงไทยได้อย่างเบ็ดเสร็จและเด็ดขาดจริงๆครับ ไม่ต้องเข้าบางกอก ตั้งใจเรียนนะ ฉันคิดถึง กลับบ้านเถอะแม่รอ เอาปริญญามาติดฝาบ้าน รับปริญญาแล้วหางานไม่ได้แบบที่ผมฟังมาหลายๆสิบเพลง

การคิดในแนวทางที่สร้างสรรค์แบบนี้ละครับที่จะทำให้วงการเพลงอยู่รอด อยู่ได้อย่างมั่นคง การเปิดใจรับความคิดเห็นไม่ดูถูกคนฟัง จะทำให้ศิลปินอยู่ได้อย่างยั่งยืน มุมมองใหม่ ทำสิ่งใหม่ที่อาจจะคิดขึ้นใหม่ด้วยตัวเองหรือพัฒนาจากของเก่า สิ่งเหล่านั้นคือความคิดสร้างสรรค์ ความคิดสร้างสรรค์คือเครื่องมือจะพัฒนาประเทศชาติได้อย่างดีชิ้นนึง ถ้าแม้กระทั่งเพลง ที่จะกระตุ้นสำนึกกระตุ้นความรู้สึกของคนในชาติ ยังเป็นแค่การเอาประโยค ท่อนนั้น ท่อนนี้ของเพลงเก่าหลายๆเพลงมาตัดปะวางใหม่ ทำดนตรีใหม่หลอกขายคนที่ไม่ค่อยได้ฟังเพลงแบบนี้ อนาคตเราจะเป็นยังไง ผมจะมีเพลงดีๆให้ฟังอีกหรือเปล่า แต่ทั้งนี้เราก็ต้องช่วยกันสนับสนุนคนที่ทำงานดีๆเหล่านี้ด้วย อย่าปล่อยให้คนดีโดดเดี่ยว ช่วยกันอุดหนุนของแท้ ให้กำลังใจกับคนที่ตั้งใจทำงานเพลง คิดเอง ทำเองไม่ลอกใคร

ส่วนพวกที่ชอบลอกคนอื่นอย่างค่ายเพลงบางค่ายก็สมน้ำหน้าแล้วครับ ที่โดนก็อปเพลง เวลาทำเพลงก็ก็อปทำนองคนอื่นมา ลอกเนื้อหาใจความของคนอื่นมา พอโดนก็อป ซีดีบ้าง แล้วทำมาโวยวาย.. ไอ้บ้าเอ๊ยยยยย

วันนี้ต้องไปทำงานแล้วครับ บ่นแค่นี้พอ 5555+

นภดล 15/6/2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น