วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

รื้อบันทึก ศึกบูรพา 2547

ค้นเจอบันทึกเก่าๆสมัยไปอยู่ชลบุรี เลยลองเอามาเล่าสู่กันฟัง (อ่าน)ครับ

เกือบถึงสวรรค์แล้วจ้า

เล่าความหลังกันอีกนิด ช่วงนั้นในปี 2547 บริษัทได้ทำการเปลี่ยนอุปกรณ์ จาก โมโตโรล่า มาเป็นโนเกีย ยกภาคทั้งภาคอีสานและตะวันออก พวกผมที่มีความคุ้นเคยกับ โนเกียมาตั้งแต่แรกเลยได้มาช่วยงาน โดยให้เลือกว่าจะไปอีสานหรือตะวันออก ผมเลือกภาคตะวันออกครับ เพราะเหมาะกับการหนีเข้ามาเที่ยวบางกอกเป็นอย่างยิ่ง เลยไม่มีโอกาสได้ไป อีสานอย่างน่าเสียดาย..

ผมจับคู่กับ NIM กทม ชื่อ พี่ใหม่ ซึ่งจับคู่กันด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุดคือ "สูบบุหรี่มั๊ย" พอเหมือนกันปุ๊บ เราก็กลายเป็นบั๊ดดี้กันทันทีเลยครับ

วันนี้ (เสียดายที่ไม่ได้ลงวันที่ไว้ เอาเป็นว่า ประมาณ ปลายเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2547 ก็แล้วกัน)

พวกเราได้รับงานเป็นงานในตัวเมืองชลบุรีเป็นครั้งแรก โดยที่ผมไม่เคยเข้ามาในเมืองชลบุรีมาก่อนเลยในชีวิตเลยตื่นเต้นเป็นธรรมดา โดยเฉพาะกับการมองสาวๆ เพราะ Site นี้อยู่แถวๆหน้าวิทยาลัยพยาบาลพอดี แต่พอมองๆไปเรื่อยๆก็ไม่มีอะไรตื่นเต้นเพราะว่ามันไม่ได้มีอะไรพิเศษมากกว่า สุราษฎร์ธานี หาดใหญ่หรือภูเก็ตที่ผมเคยอยู่มาเลยครับ

Site นี้เป็น Site ที่ใหญ่พอสมควรเพราะอยู่ในตลาดชลบุรี มีระบบ 1800 +800 อาจจะเป็นเพราะที่นี่เป็นงานที่สองของพวกเราก็เป็นได้ทำให้พวกเราดูขยันๆเป็นพิเศษ พอมาถึงก็เดินขึ้นไปด้านบนทันทีเพราะมองจากภายนอกเป็นตึกแค่ หกชั้น แต่พอเดินเข้าจริงๆปรากฏว่าแต่ละชั้นสูงเกือบ สี่เมตรและจะมีที่พักระหว่างชั้นอีกทีทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าเดินขึ้นตึก 12 ชั้นเลยทีเดียว และเมื่อถึงชั้นที่ หก ก็ต้องขึ้นบันไดไม้ต่อไปอีกชั้น ช่างทุลักทุเลอะไรเยี่ยงนี้...

ที่นี่เป็น Site กลางเมือง Config เลยใหญ่หน่อย (ในสมัยนั้น ตอนนี้คงมากกว่านี้เยอะ) Config 5+4+9 ใช้ตู้ 2 ตู้ และวงจร 2 วงจร เพราะตอนนั้นยังไม่มี EDGE เลยใช้แค่สองวงจรครับ และที่เราโชคดีกว่านั้น คือ ผู้รับเหมายังไม่ได้ wiring BTS เลยครับทางพี่ใหม่โมโหใหญ่ รีบโทรหาทีมประสานงานทันที แต่ผมซึ่งเป็น NIM บ้านนอกเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาเพราะอยู่ที่นี่พวกเราก็ทำกันเองอยู่แล้ว ผมเลยอาสาเข้าทำเอง ผมนั่งทำไปได้ประมาณ 6 TRX ทีมงานก็เข้ามาเลยสบายขึ้นหน่อย แต่กว่าจะเสร็จก็บ่ายโมงกว่าๆ หลังจากเริ่มเข้าสู่กระบวนการ Commissioning ผมก็เดินขึ้นไปชมเมืองชลบุรีบนดาดฟ้า ซึ่งมีสิ่งที่ภาคใต้ไม่มีคือ Ant 800 ที่เป็น Secter เลยถ่ายรูปเก็บมาด้วยแต่อยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้เดี๋ยวจะหามาให้ชมครับ

เมื่อเตรียมการกันเสร็จพวกเราก็เดินทางกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม SS บางแสนบีช ที่พวกเราเหมายกชั้นไว้โดยที่มีกำหนดการ Cut Over ตอน 9.00-10.00 ของวันพรุ่งนี้และเราจะต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ต้องเหนื่อยมากๆครั้งนึงในชีวิตเลยครับ

-------------------------------------------------------------------------------------

วันนี้พวกเราตื่นกันเช้ามากๆ ปีนบันไดขึ้นไปถึง site ตั้งแต่แปดโมงเช้าเตรียมนู่นเตรียมนี่กันเพื่อรอเวลา cut over วันนี้เหนื่อยกว่าเมื่อวานนิดนึง เพราะผมต้องแบก Rectifier ขึ้นมาอีกหนึ่งตัวเป็น Rectifier ยี่ห้อ Lorain ซึ่งเป็นแบบเก่า ตัวจะใหญ่และหนักมากๆ ถ้าเทียบกับตอนนี้ซึ่งพวกเราใช้ยี่ห้อ Eltek ซึ่งตัวขนาด คืบเดียวแล้วนั้นขนาดมันช่างต่างกันเหลือเกิน ที่จำเป็นต้องเพิ่มเพราะเราจะใช้งานพร้อมกันทั้ง โมโตโรล่าและโนเกีย เพื่อไม่ให้ลูกค้าต้องเดือดร้อน

แต่เมื่อมาถึงปรากฏว่าสายไฟ AC มีอยู่แค่สองชุด ดังนั้นผมจึงต้องทำเพิ่มอีกหนึ่งชุดด้วยการรื้อเอาสายของระบบ 800 มาใช้กว่าจะเสร็จก็ต้องเลื่อนเวลา Cut over ออกไปเล่นเอาน้องๆที่ทำเรื่องนี้ที่อยู่บางกอก บ่นเอาชุดใหญ่ "ทำไมพี่ไม่ดูตั้งแต่ตอน Pre com เมื่อวานละคะ"...และอีกหลายๆอย่างจนผมอดคิดไม่ได้ว่า น้องคนนี้ต้องสวยแน่ๆ เพราะคนสวยมักจะขี้บ่น 555 แต่เมื่อทำการ ออนใช้งานแล้วทำการ Commissionning Online โดยการต่อวงจรเข้าไปปรากฏว่าวงจรที่สองมาไม่ถึง ต้องรอทีมงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาแก้ไขอีกที และแน่นอนเราต้องโทรไปเลื่อนเวลาอีกรอบ และที่แน่ยิ่งกว่านั้นก็คือ.. โดนบ่นมาอีกชุดใหญ่

แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดี มีสายรายงานมาว่าทางทีมผู้รับเหมาซึ่งเป็นบริษัทในเครือจะเลี้ยงข้าวเที่ยงที่ร้าน ปะการัง แถวๆแหลมแท่นให้พวกเรามากินข้าวกันก่อน สองหนุ่มเลยรีบวิ่งลงมาทันทีแบบลืมเหนื่อยกันเลยทีเดียว และที่ร้านเราเจอผู้หลักผู้ใหญ่มากหน้าหลายตาแต่ผมก็ไม่ได้สนใจมากมาย กินอย่างเดียวเลยครับ รีบกินรีบไปเพราะเรายังต้องกลับไปทำงานกันอีกรอบ

แต่การกลับมาครั้งนี้พวกเรากินกันมาเต็มที่เมื่อมาถึงบันไดเลยต้องพักเป็นระยะๆ เดินอ้อยอิ่งกันไปเรื่อยๆ ตาก็มองนู่นมองนี่ไปเรื่อยๆจนได้มาเจอกับตัวหนังสือ เขียนด้วย ชอล์กสีขาวไว้ที่ฝาผนัง "ยินดีต้อนรับสู่สวรรค์ชั้นเจ็ด" แล้วก็มีรูปลูกศรชี้ขึ้นไปตามทางขึ้นไปเรื่อย ผมและพี่ใหม่ก็เดินตามลูกศรขึ้นไปเรื่อยๆแต่ด้วยการที่กินมาอิ่มๆ และตื่นเช้า รวมทั้งการเดินเป็นรอบที่สอง ทำให้พวกเรารู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษ และ สาบานได้เลยครับว่า ผมเห็น พี่ใหม่ปากซีดเลยละครับ ส่วนตัวผมเองก็ต้องพักเป็นระยะๆ สงสัยเพราะไม่ค่อยได้ออกกำลังกายแน่ๆทำให้เหนื่อยง่าย แย่จริงๆเลย..

พวกเราลากสังขารกันมาจนถึงชั้นที่หก ก่อนที่จะปีนบันไดไม้อีกรอบสายตาผมก็ เหลือบไปเห็นตัวหนังสือที่เขียนไว้ที่ฝาผนังเป็นประโยคสุดท้ายว่า
" อดทนหน่อยเกือบถึงสวรรค์แล้วจ้า" ทำให้พวกเราต้องหยุดหัวเราะกันก่อน เดาเอาว่า NIM เจ้าของพื้นที่คงจะเจอชะตากรรมเดียวกันกันเราเลยเขียนไว้ให้คนที่มาทีหลังได้อ่านกันครับแต่ การขึ้นมารอบนี้งานทุกอย่างเสร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ไม่ต้องมาอีกรอบ

งานแรกๆในชลบุรีนี่สมบุกสมบันดีจริงๆเลยครับ ทำให้ผมประทับใจเมืองบูรพาแห่งนี้ไปอีกนานเลยทีเดียว

-------------------------------------------------------------------------------

ตอนอยู่บางแสน เราพักกันที่โรงแรม SS บางแสนบีช พวกเราอยู่กันเหมือนบ้านเลยครับ เพราะเราเหมาชั้นสามไว้ทั้งชั้น ถึงกระนั้นในช่วงแรกเราก็ยังต้องนอนกันห้องละสามคนเพราะคนเยอะต้องรีบทำงานในบางแสนและชลบุรีให้เสร็จอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะได้ไปต่อที่พัทยากันดังนั้นช่วงนี้เลยมีสมาชิกเยอะมากเป็นพิเศษครับ

ที่นี่ผมนอนที่ห้อง 308 ร่วมกับทีมงานจากหาดใหญ่อีกสองคน คือ ธนัย กับ นันทชัย(ภายหลังถูกยิงตายที่หาดใหญ่ เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่พักใหญ่ๆ) สามคนที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่วันแรกๆที่มาถึงบางแสน และเป็นตัวจุดชนวนเริ่มต้นของการเป็น ไอ้ขี้เมา ของผมในเวลาต่อมา คือเมื่อมาถึง พี่อาท ซึ่งเป็นผู้จัดการแผนกวิศวกรรมของภาคตะวันออกก็เลี้ยงรับด้วยการซื้อเบียร์ใส่หลังรถพวกเรามาหนึ่งลัง หลังจากเราเข้าที่พักกันแล้วก็ไม่พูดหล่ามทำเพลงใดๆทั้งสิ้น เปิดแล้วก็ซดๆๆๆๆกัน ตามประสาคนไกลบ้านกันอย่างเต็มที่ จนหมด...?

แล้วหลังจากนั้นเป็นต้นมาพวกเราก็ผลัดกันซื้อมาแช่ตู้เย็นไว้ทุกวัน โดยการเอาของในตู้เย็นออกทั้งหมดแล้วแช่เฉพาะ เบียร์กับน้ำแข็งของพวกเราไว้เต็มตู้เย็นทุกวัน แล้วเราก็เปิดสงครามเบียร์กันทุกคืนก่อนนอนเช่นกัน แต่นั่นก็ยังไม่เท่าไหร่ พอวันศุกร์ผมก็จะติดรถกลับเข้ามาบางกอกแวะบ้านญาติแถวๆแจ้งวัฒนะ ลุงของผมจะกินเหล้าทุกวันวันละเกือบกลม (ภายหลังป่วย ตับแข็ง ต้องนั่งรถเข็น จนกระทั่งทุกวันนี้) แต่เมื่อลุงมีเพื่อนกินอย่างผมปริมาณเลยเพิ่มขึ้นเป็นวันละสองกลม.. โอ้พระเจ้า ทุกวันศุกร์ เสาร์ วันละสองกลมทุกสัปดาห์ จนผมมีความรู้สึกว่า มันเป็นส่วนนึงในชีวิตผมไปซะแล้ว อยู่บางแสน เลิกงานกินเบียร์ ศุกร์ เสาร์ กินเหล้า เย็นวันอาทิตย์ไปถอนกับเบียร์อีกทีจนรู้สึกจะบวมๆกันไปทุกคนเพราะทีมงานที่มาอยู่ด้วยกันนี่ ปีศาจสุรา ชัดๆทำให้ทุกๆวันห้องพวกเราจะเต็มไปด้วยขวดเบียร์ วันไหนอยากเปลี่ยนบรรยากาศก็จะมี ขวดเหล้ากับขวดโซดาพ่วงมาด้วยนิดหน่อย นี่ไม่นับที่เราไปกินข้างนอกกันอีกนะครับ

จนเวลาผ่านไปซักระยะ ผมก็เริ่มจะเห็นสิ่งผิดปกติที่หน้าห้องของผม ห้องที่ผมพักคือห้อง 308 เป็นห้องที่ตรงกับโต๊ะแม่บ้านพอดีถ้าอยู่ในห้องน้ำจะได้ยินแม่บ้านคุยกันทุกวัน แต่ที่ผมเห็นคือที่หลังเคาน์เตอร์แม่บ้าน มีถุงดำขนาดใหญ่อยู่สามสี่ใบ ข้างในมีขวดเหล้า ขวดเบียร์อยู่เต็มทั้งสามใบและอีกใบมีอยู่ครึ่งนึง เลยถามแม่บ้านว่า ให้ผมช่วยยกลงไปทิ้งมั้ย เพราะกลัวว่าแม่บ้านจะยกไม่ไหว แม่บ้านก็บอกว่า "ทิ้งทำไม สะสมไว้ก่อนกว่าพวกน้องๆจะออกไปคงได้หลายอยู่" ทำให้ผมต้องเดินมองผลงานอัปยศของพวกเราทุกครั้งที่เดินออกจากห้อง แต่ก็แอบภูมิใจลึกๆเวลาที่เห็นมันเพิ่มขึ้นเป็น ห้าและหกถุงตามลำดับ.....

----------------------------------------------------------------------------

และเมื่องานเริ่มจะลดลง ทางทีมภาคเหนือที่มากันสามคน มีโยธิน ปรีชาและชนะชัย ก็ต้องเดินทางกลับโดยจะทำงานวันที่ 12 กุมภาพันธ์เป็นวันสุดท้ายแล้วจะกลับเชียงใหม่กันเลย ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมีการเลี้ยงส่งกัน และมีแผนการว่าจะนั่งกินกันตั้งแต่คืนวันที่ 12 ยาวถึงวันที่ 13 กันเลยทีเดียว (โห..ความคิด) ผมในฐานะที่เป็นชุดแรกที่มาถึงบางแสนและได้นอนในห้องพักชั่วคราวกับพี่ไก่ ปรีชา เลยต้องมีส่วนร่วมในการเลี้ยงส่งครั้งนี้พอสมควรเลยยกเบียร์มาลังนึง มานั่งกินในห้อง 322 ที่ทีมงานภาคเหนือพักกันพอกินกันไปได้ซัก หกขวด เจ้าบี้ ชนะชัยก็เข้ามาพร้อมกับ บั๊ดดี้ ซึ่งเป็น NIM จาก กรุงเทพ ชื่อพี่แก้ว ซึ่งคู่นี้ว่าไปแล้วก็เข้าขากันได้ดีเลยทีเดียวเพราะเมาได้ที่เลยทั้งคู่

พี่แก้วนี่มีวีรเวรอยู่อย่างนึงที่อยากจะเล่าให้ฟัง คือเวลาพี่เค้าเมานี่จะห้าวเป้งเหลือเกิน ไม่ค่อยสนใจใคร อย่างเช่นวันนึงทีมของเค้าไปทำงานแถวๆสัตหีบ ถิ่นทหารเรือ พอเสร็จงานก็ชวนกันไปนั่งกินในฐานทัพเรือแถวๆริมทะเล มีพี่ปอนด์ เจ้าถิ่นพาเข้าไป นั่งกินไปเรื่อยเสียงพี่แก้วก็ดังขึ้นเรื่อยๆ แต่บังเอิญว่า วันนั้นมีนายทหารที่เป็นเพื่อนพี่ปอนด์มานั่งอยู่ด้วย แต่ด้วยความที่เสียงแกดังเลยมีลูกค้าโต๊ะอื่น ซึ่งก็เป็นทหารในนั้นนั่นละครับ มองมาเป็นระยะ พี่แก้วคงจะรู้ตัวเลยถามพี่ทหารที่นั่งอยู่ด้วยกันว่า "พี่ๆๆ ผมมานั่งในนี้นี่จะโดนตีนหรือเปล่า" พี่คนนั้นก็บอกว่า " ไม่มีอะไรหรอก นายทหารนั่งอยู่ด้วยไม่มีปัญหาอะไรหรอก" ทำให้บรรยากาศดูจะลดอุณหภูมิความรุนแรงลงไปได้พอสมควร แต่พี่แก้วที่นั่งเงียบไปชั่วครู่ก็พูดขึ้นมาว่า "แต่ถ้ามันจะมีอะไรจริงๆผมก็พร้อมนะพี่" เล่นเอาคนที่พาเข้าไปใจหายแว๊บ ต้องรีบ พากันกลับออกมาก่อนที่จะได้กิน...เป็นกับแกล้ม หลังจากนั้นพี่ปอนด์ มาบอกกับผมว่า " แม่ง...ไอ้แก้วมันพร้อมแต่มันไม่ถามพวกกูเลยว่าพร้อมหรือเปล่า"

เอาเป็นว่าพี่แก้วนี่ก็เอาการอยู่เหมือนกันและวันนี้คู่หูคู่ฮา คือเจ้าบี้กับพี่แก้วกลับเข้ามาในสภาพที่คงจะตึงๆมาจากที่อื่นแล้ว เมื่อมาถึงพี่แก้วก็ส่งแบ๊งค์พันให้เจ้าโยออกไปซื้ออะไรมากินกัน เจ้าโยกับเจ้าหมู (NIM บางแสน) หายออกไปแป๊บนึงก็หอบเสบียงมาพอสมควรพร้อมด้วยเงินทอน 10 บาทและสิ่งที่ได้มาก็เป็นประเภทเครื่องดื่มทั้งนั้น ทำให้ไม่ต้องเดาเลยว่าคืนนี้จะเป็นยังไง แต่ผมก็นั่งอยู่จนถึงเบียร์ลังที่สามก็อาศัยช่วงชุลมุนหนีกลับไปนอนที่ห้องเพราะ ทีมผมยังต้องมีงานในวันพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน

อย่างที่เคยบอกไว้ ห้องของผมจะติดกับโต๊ะแม่บ้าน ถ้าอยู่ในห้องน้ำจะได้ยินเสียงด้านนอกเสมอ วันนั้นผมตื่นประมาณ แปดโมงกว่าๆ เข้าไปนอนแช่น้ำอุ่นให้แอลกอฮอร์เจือจางไปบ้าง ป่านนี้ทีมภาคเหนือคงจะออกเดินทางกันแล้วเพราะต้องเข้ากรุงเทพกันก่อน แล้วค่อยเดินทางกลับเชียงใหม่ ผมนอนแช่น้ำอุ่นไปเรื่อยๆก็ได้ยินเสียงแม่บ้านคุยโทรศัพท์ คงจะคุยกับคนด้านล่างว่า " เจ้าขึ้นมาเบิ่งแน..ห้อง322 น่ะ" ผมนอนยิ้มอยู่ในอ่างคนเดียว สภาพห้อง 322 คงจะดูไม่ได้เลยแน่ๆ เพราะตอนผมกลับออกมาสภาพมันก็เหมือนกับสมรภูมิย่อยๆกันแล้ว ทั้งขนมทั้งถั่ว ขวดเบียร์ ปลิวว่อนกันอยู่ในนั้น แก้วน้ำไม่รู้ว่าจากห้องไหนบ้างก็มารวมกันอยู่ในนั้น น่าสงสารแม่บ้านจังเลย... แต่ก็คิดว่างานนี้คงจะเก็บขวดได้อีกถุงใหญ่ๆแน่ๆ "กว่าจะออกไปคงได้หลายอยู่"

-------------------------------------------------------------------------------

ช่วงที่ผมอยู่บางแสน เป็นช่วงที่ประเทศไทยได้รู้จักไข้หวัดนกเป็นครั้งแรก ก็เป็นที่หวาดกลัวกันทั่วไป แต่คงไม่มีใครเกินเจ้าเบิร์ด เด็กมหาชัย ที่ทำงานส่วน QA ที่มาดูเกี่ยวกับ Quality ของBTS ที่เปลี่ยนใหม่แน่ๆ เพราะเจ้านี่จะใส่ผ้าปิดปากปิดจมูกตลอดเวลา จนพี่ใหม่ต้องคอยปรามๆว่า "มึงอย่าเวอร์นักเลยวะ" แถมแก๊งค์เด็กเหนือที่อยู่กับผมก็ช่วยๆกันเตือนว่า "เบิร์ดเอ๊ย อยู่ที่นี่ หวัดนกไม่น่ากลัวเท่าตับแข็งหรอกว่ะ" ก็คงจะจริงเพราะพี่ไก่เคยบอกว่า "นี่ถ้าผมอยู่ที่นี่ซักเดือนสงสัยผมติดเหล้าแน่ๆ" แต่เจ้าโย ณ ลำพูน สวนขึ้นมาว่า "ไม่ต้องถึงเดือนหรอกพี่ แค่ สองอาทิตย์ก็รู้เรื่องแล้ว"..

พวกเราตระเวณกินเหล้ากันในบางแสนจนเกือบจะทั่ว ส่วนใหญ่จะนั่งกันริมทะเล กินเบียร์รับลมทะเล โอ้ ช่างมีความสุขเสียนี่กระไร พวกเราจะเปลี่ยนร้านกันไปเรื่อยๆ แต่ที่เหมือนกันคือ เข้าร้านไหนเสียค่าเก้าอี้ตัวละ ยี่สิบบาททุกร้าน หกคนเหมาร้อยนึง เท่ากันทุกร้าน ค่าอาหารก็ราคาเท่ากันทุกร้าน มาตรฐานเดียวกันทุกร้าน (มาตรฐานกำนันเป๊าะ) และทุกร้านต้องปิด สองทุ่มเหมือนกันทั้งหมด นั่นคือสิ่งที่เหมือนกันของร้านค้า แต่สิ่งที่เหมือนกันของพวกเราคือ นั่งร้านไหนแม่ค้าต้องขอร้องให้เลิกแทบทุกร้าน มีอยู่ร้านนึงที่ผมจำได้เลยเป็นร้านของป้าแก่ๆคนนึง "สงสารป้าเถอะ ป้าจะกลับบ้าน" เจอไม้นี้พวกเราเลยต้องย้ายไปกินบนห้องโดยไม่มีข้อแม้ขอแถมอีกสิบนาทีเหมือนร้านอื่นๆเลยครับ แต่ถึงพวกเราจะเมายังไงแต่งานไม่เคยเสียนะครับ จะมีแผนกโทรตามตลอดเวลา ถึงไหนแล้วติดปัญหาอะไรหรือเปล่า ตลอดทั้งวัน

แต่ เหนือฟ้ายังมีฟ้าฉันใด ขี้เมาก็ต้องมีเมากว่าฉันนั้น มีวันนึงพี่อาท ผู้จัดการแผนกที่นี่มานั่งกินกับพวกเราด้วย นั่งจนร้านปิด แกก็ให้ไปซื้อมากินต่อ "นั่งมันบนทรายนี่แหละได้อารมณ์ดี" เอาไงก็เอา กินกันจนนับขวดไม่ไหวพี่แกก็ไม่ยอมเลิก จนดึกมากแล้ว แกยังสั่งไอ้หมูให้ไปซื้อที่ 7-11 แถวๆนั้นมาอีก พวกเรานี่แทบจะคลานกันแล้ว แต่พี่อาทก็เสียงเริ่มอ้อแอ้ๆ แล้วเหมือนกัน ไอ้หมู หิ้วเบียร์สิงห์ มาอีกหกขวด พวกเรามองหน้ากันแบบรู้ชะตากรรมตัวเอง ตัวผมนั้นอย่าว่าแต่จะใส่ลงไปอีกเลยครับ ลุกขึ้นเดินยังไม่รู้เลยว่าจะไหวหรือเปล่า แล้วพี่ไก่ ก็กระซิบผมว่า " เอาฝังทรายซะบ้างเถอะวะจะได้ไปนอน" พวกเราก็แอบๆเอาเบียร์ฝังไว้ในทราย ฝังไปผมก็คิดไปว่า ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตผมจะต้องมาทำเรื่องแบบนี้ ไม่เคยเลยจริงๆที่จะกินไม่หมดแล้วต้องยอมแพ้ขนาดนี้

"มึงซื้อมากี่ขวดกันแน่วะไอ้หมู" เสียงพี่อาทถามไอ้หมู "หกขวดครับ" "แล้วทำไมมันหมดเร็วนักวะ" "ก็ช่วยๆกันกินจะได้ไปนอนครับพี่ พรุ่งนี้มีงานเช้า" พี่ไก่รีบออกตัวทันที พอพูดถึงเรื่องงานพี่อาทก็เริ่มคิดได้ว่าถ้าพวกเราไปทำงานไม่ไหวแกเองนั่นละครับที่จะต้องเดือดร้อน เลยยอมเลิก แต่สรุปว่าแกกลับบ้านไม่ไหวต้องอาศัยนอนกับพวกเราที่โรงแรมนั่นละครับ แต่ก็ยังดีที่แกไม่ขับรถกลับไม่งั้นคงจะอันตรายกว่านี้เยอะเลยครับ

พอตื่นเช้าขึ้นมา พวกเราก็อาบน้ำไปทำงาน ช่วงที่เดินมาเจอกันที่ลานจอดรถ ไอ้โยก็ถามผมว่า "มึงไม่ไปขุดเบียร์เหรอวะ เสียดาย ตั้งสามขวดแนะ" ผมส่ายหน้า แล้วเดินขึ้นรถพลางบอกมันไปว่า "ถ้ามึงจะกินต่อก็ไปขุดเอาเองเถอะวะกูจำไม่ได้แล้วว่าฝังไว้ตรงไหน อีกอย่าง เมื่อคืนรอดมาได้ก็บุญแล้ว ช่างแม่..งเหอะ" และจากเหตุการณ์นี้ทำให้ผมไม่ค่อยกล้าไปนั่งกินกับพี่อาทอีกเลย เหนือฟ้ายังมีฟ้าจริงๆด้วยครับ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น