วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ทรัพย์สินคนเก่า

ชื่อเรื่องมาจากเพลงลูกทุ่งที่ผมชื่นชอบมากๆเพลงหนึ่ง ถ่ายทอดผ่านน้ำเสียงที่ไพเราะน่าฟังของราชินีเพลงลูกทุ่งเพียงหนึ่งเดียวในดวงใจของผมนั่นก็คือ พุ่มพวง ดวงจันทร์ นักร้องสาวชาวสุพรรณ หรือชื่อจริง คือ รำพึง จิตรหาญ และชื่อที่ใช้ในการร้องเพลง ครั้งแรกคือ น้ำผึ้ง เมืองสุพรรณ เพลงแรกที่พุ่มพวงร้องคือเพลง แก้วรอพี่ ที่โด่งดัง มีนักร้องประกวดตามเวทีเล็กๆจนถึงเวทีใหญ่ๆนำมาร้องประกวดกันมากมาย รวมทั้งนักร้องสาวเงินล้านบ้านนาจะหลวย ต่าย อรทัย ก็นำมาบันทึกเสียงไว้เช่นกัน

แต่วันนี้เพลงที่ผมนำมาฟังติดต่อกันหลายๆวันจนอดไม่ได้ที่จะนำมาเขียนเล่าความรู้สึกออกมาให้ได้รับรู้กัน ถึงความรู้สึกต่างๆที่มีให้กับเพลงๆนี้นั่นก็คือเพลง "ทรัพย์สินคนเก่า"ครับ เพลงนี้เป็นเพลงที่ผมเคยฟังแบบผ่านๆมาหลายครั้งแต่ก็ไม่ได้สนใจมากมาย ได้ฟังอีกครั้งตอน สลักจิตร ดวงจันทร์น้องสาวของคุณพุ่มพวงนำมาร้องตอนงานอะไรซักอย่างที่ผมจำไม่ได้ ( แก่แล้ว) สลักจิตร ดวงจันทร์ ได้พูดก่อนร้องเพลงนี้ว่า เพลงนี้เป็นเพลงที่มีความหมายดีมากๆ เลยอยากจะนำกลับมาร้องให้แขกผู้มีเกียรติได้รับฟังกัน แล้วขับร้องเพลงนี้ได้ไพเราะไม่แพ้ต้นฉบับที่เป็นพี่สาวแท้ๆเลยทีเดียว

เพลงทรัพย์สินคนเก่า อยู่ในอัลบั้ม "หนูไม่เอา" ที่มีเพลงดังๆหลายเพลง อย่าง "หนูเปล่านา เขามาเอง" "อีกหน่อยก็ลืม" "ขอให้โสดทีเถอะ" "นางสาวยี่ส่าย" "เขานอนบ้านใน" ทำให้เพลง ทรัพย์สินคนเก่า ถูกลืมๆกันไปเพราะตอนนั้น พุ่มพวงดวงจันทร์ ดังมากๆ มีเพลงที่แฟนรายการเขียนจดหมายมาขอเพลงกับทางนักจัดรายการมากมาย ทั้งเพลงดังในอัลบั้มชุดก่อนนี้ หรือแม้แต่เพลงดังๆที่อยู่ในอัลบั้มชุดเดียวกัน จนทำให้เพลงนี้ถูกลืมไปอย่างน่าเสียดาย แต่วันนี้ผมจะนำกลับมาแนะนำให้ทุกท่านได้ฟังกันครับ

หลายๆวันที่ผ่านมาผมดูข่าวสารบ้านเมืองจากโทรทัศน์ในช่วงข่าวเที่ยงคืน ข่าววันใหม่ สรุปข่าวรอบวัน ผมก็ยังไม่สามารถตอบคำถามกับตัวเองได้เลยครับว่าทุกวันนี้เราทำอะไรกันอยู่ เรากำลังแก้ปัญหา หรือเรากำลังปล่อยให้ปัญหาสะสมไปเรื่อยๆกันแน่ บางครั้งผมนั่งฟังคนรอบข้างผมที่ใส่เสื้อคนละสีถกเถียงกันอย่างเอาเป็นเอาตายถึงเรื่องราวในหน้าหนังสือพิมพ์ที่ในโต๊ะกาแฟ จนบางครั้งผมต้องเอ่ยปากห้าม "เรากินน้ำร้อนกาเดียวกัน อย่าทะเลาะกันเลย" แรกๆก็ยังไม่เท่าไหร่ แต่ช่วงเดือนสองเดือนที่แล้วมีอะไรที่เริ่มหนักขึ้น บางวันผมไม่สามารถทิ้งเรื่องราวเหล่านั้นไว้ที่โต๊ะกาแฟได้ เมื่อเลิกจากสภากาแฟแล้วผมยังต้องเก็บเอาเรื่องราวบนโต๊ะกาแฟตอนเช้ากลับมาคิดอีกครั้งในเวลาที่ขับรถออกมาทำงาน

ในเวลาที่ผมขับรถจะเป็นช่วงเวลาส่วนตัวของผมอย่างแท้จริง จะเป็นช่วงเวลาที่สมองได้พักจากเรื่องต่างๆ ได้ฟังเพลง ได้มองสองข้างทางได้คิดอะไรเงียบๆบ้างโดยไม่มีใครคอยกวนใจ ผมเคยตั้งคำถามกับตัวเองว่าใครผิด ใครถูก ใครเผาเมือง แล้วผมรู้สึกอย่างไรกับภาพที่เห็น คำตอบในช่วงนั้นผมได้จากคำสอนของท่านพุทธทาสที่ว่า "เวลาหมากัดกัน เราเคยสงสัยกันบ้างหรือเปล่า ว่าตัวไหนผิดตัวไหนถูก" ส่วนเรื่องที่ว่า ผมรู้สึกอย่างไรกับการเผาบ้านเผาเมืองนั้น ผมคิดว่า ห้างสรรพสินค้า หรือสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ สร้างขึ้นในคนรุ่นเรา มันพังไป ในรุ่นของเรา ด้วยฝีมือของคนรุ่นเรา ดังนั้นไม่มีอะไรที่น่าเสียดายในวัตถุสิ่งของ แต่รู้สึกเสียดายในจิตวิญญาณของความเป็นไทย ที่ตกทอดกันมาเป็นมรดกทางวัฒนธรรมมากกว่าครับ

มรดกของความเป็นไทย คือความมีน้ำใจไมตรีเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นอกเห็นใจ อภัยให้กัน หรือแม้แต่คำว่า สยามเมืองยิ้ม มันได้มอดมลายลงไปพร้อมกับซากตึกอาคารเหล่านั้นอย่างน่าเสียดาย เหลือไว้แต่ความสลดใจที่ได้เห็น ไม่ว่าใครจะถูกหรือใครจะผิด แต่ก็ไม่ควรทำลายบ้านทำลายเมือง บ้านนี้เมืองนี้ให้เรามามากกว่าการมีชีวิต แผ่นดินที่ชื่อว่า ประเทศไทย มีคุณค่ามากกว่าที่เราจะเอามาทำลายเพียงเพื่อตอบสนองความต้องการของตัวเอง

ผมผ่านเรื่องราวเหล่านั้นมาได้ด้วยการปล่อยวางและพยายามคิดในอีกแง่มุมหนึ่งที่ว่า ถ้ารักประเทศไทย รักแผ่นดินเกิด ก็ต้องเริ่มทำสิ่งดีๆเพื่อแผ่นดินโดยเริ่มที่ตัวเอง จะให้ชาติสามัคคีเราต้องเริ่มจากบ้านเราก่อน เริ่มจากคนใกล้ตัวก่อน ไม่ต้องปลูกป่าผืนใหญ่แค่ปลูกต้นไม้ข้างบ้าน ไม่ต้องเก็บขยะทั้งตลาดเพียงแค่ไม่ทิ้งขยะบนถนนก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่... เมื่อผมได้ดูข่าวการตัดต้นไม้เพื่อขยายถนนที่เขาใหญ่เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทำให้ผมเริ่มคิดใหม่อีกครั้ง

บางครั้งบางทีผมรู้สึกว่า คนไทยชอบทำอะไรที่ใหญ่เกินตัว เรื่องใหญ่ๆแต่ไม่รู้ว่าจะใหญ่ไปทำไม มีให้เห็นมากมาย ธูปใหญ่ที่สุดในโลกที่ทำขึ้นมาแล้วพังถล่มลง หอยทอดใหญ่ที่สุดในโลก หรืออะไรๆที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เมื่อทำขึ้นมาแล้วกลายเป็น เรื่องไร้สาระที่สุดในโลก อย่าง อบต ต่างๆที่มีอยู่ทั่วประเทศนั้น เวลาที่มีผู้บริหารใหม่ๆเข้ามาจะทำอยู่ สองสามอย่างที่เหมือนๆกัน คือซื้อถังขยะกับปลูกเฟื่องฟ้า ถังขยะก็จะตั้งกันมากมายเรียงกันไปเป็นแถวตามริมถนน โดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องมากมายขนาดนั้น มีถังขยะแต่ไม่มีรถเก็บ ไม่นานถังขยะก็หายไปหมด เหมือนๆกับเฟื่องฟ้าที่ทยอยกันตายแล้วกระถางก็หายไปเช่นกัน เราคิดกันว่าความเจริญวัดกันที่วัตถุสิ่งของ การมีถนนกว้างๆใหญ่ๆจะแสดงให้เห็นถึงการมีหน้ามีตาของคนในพื้นที่ หรือการมี เซเว่น อีเลฟเว่น จะแสดงให้เห็นว่าบริเวณนั้นเจริญ

เราใช้คำว่าความเจริญมาทำลายของเก่า เอาคำว่าพัฒนามาทำลายของดีๆที่มีอยู่เดิม ถนนกว้างๆไม่ได้ทำให้คนพื้นที่มีความสุขขึ้นมาเลย ลองไปดูแถวๆ ปากช่อง กลางดง ดูสิครับ ถนนกว้างๆ รถวิ่งกันเร็วๆ คนแถวนั้นมีความสุขจริงหรือเปล่า จะข้ามถนนแต่ละทีลำบากขนาดไหน กลับรถแต่ละครั้งรอนานเท่าไหร่ เวลาเกิดอุบัติเหตุ คนเจ็บส่วนมากก็คนแถวนั้นที่กลับรถแล้วต้องรีบเบี่ยงออกทางซ้ายเพื่อเข้าบ้านแล้วโดนรถของคนที่ไหนก็ไม่รู้ขับมาด้วยความเร็วชน เมื่อมีเซเว่น อีเลฟเว่น ในพื้นที่ แต่ละวันเราต้องใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอีกคนละเท่าไหร่ ร้านค้าแถวนั้นมีความสุขมากขึ้นจริงหรือเปล่า

การขยายถนนแล้วโค่นต้นไม้ ปัญหานี้มีมานานแล้วแต่เราแกล้งไม่สนใจ ทั้งๆที่มีคนที่ไม่เห็นด้วยแต่คำคัดค้านเหล่านั้นก็หายไปกับสายลม บางพื้นที่เวลาขยายถนนแล้วต้องโค่นต้นมะขามใหญ่ริมถนนตลอดแนว ทำให้ชาวบ้านแถวๆนั้นมีสินค้าโอทอปเป็น เขียงไม้มะขาม ขายตลอดทาง แล้วก็แลกมาด้วยความร้อน ผิวถนนเวลาโดนแดดในตอนกลางวัน มันร้อนเหลือจะกล่าว ต้นไม้ข้างทางก็ไม่มี ถึงจะปลูกใหม่ตอนนี้ จนคนรุ่นเราตายไปแล้วยังไม่รู้ว่ามันจะโตทันให้ร่มเงาหรือเปล่า นี่แค่สิ่งที่เราสามารถพบเห็นได้ง่ายๆ แต่ที่เรายังไม่เห็นที่มีการทำกันอย่างหลบๆซ่อนๆ อย่างการตัดไม้ทำลายป่าในพื้นที่ป่าสงวน การลักลอบขุดดินบนภูเขา การทำลายธรรมชาติด้วยวิธีการต่างๆอย่างน่าเกลียด เพียงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ ต้องการแค่เงินมาใช้เป็นเครื่องประดับ มาเป็นหน้ากากในสังคมวัตถุ มีแล้วก็อยากมีอีก มีมากแล้วอยากมีมากขึ้นไปอีก หากินทางสุจริตไม่ได้ก็โกงกันไปโกงกันมา พอขัดผลประโยชน์กันก็ทำร้ายกัน แล้วแบบนี้ความเจริญแบบนั้นมันดีจริงๆหรือ

บ่นมากมายพอให้ได้คลายความเก็บกดในใจออกไปบ้าง เมื่อได้บ่นก็เริ่มรู้สึกปลอดโปร่งโล่งใจขึ้นมาอีกหน่อย เรามาเข้าเรื่องเพลงกันดีกว่าครับ

ต้องยอมรับและนับถือในความคิดของผู้แต่งเพลงนี้เลยครับว่า เยี่ยมมากทั้งภาษาและเรื่องราวที่ต้องการถ่ายทอดออกมาผ่านทำนองเพลง แสดงให้เห็นถึงความคิดที่ต้องการกระตุ้นเตือนคนไทยให้รักผืนแผ่นดิน รู้จักหวงแหนทรัพย์สินของแผ่นดิน รู้จักเคารพและกตัญญูต่อบรรพบุรุษ

เพลงนี้ เปิดบทนำขึ้นมาด้วยการตั้งคำถาม ที่ว่า

สมัยคนเก่าที่เราว่าโง่ ท่านยังสร้างเมืองใหญ่โต ให้หลาน ลูก อยู่สบาย
แล้วเราทายาทที่บอกฉลาดเหลือหลาย มีบ้างไหม สักราย สร้างความหมายเหนือคนโง่นี้


ผมเคยคิดเล่นๆตอนที่ไปวัดพระแก้วผมเดินดูรอบๆแล้วคิดว่า นี่หรือผลงานของคนสมัยสองร้อยกว่าปีที่แล้ว คนโบราณทำได้ขนาดนี้เลยเหรอ แล้วตอนนี้เรามีเทคโนโลยี ที่พัฒนาไปมากมาย มีเครื่องจักรใหญ่ๆมากมาย สร้างรถไฟลอยฟ้า มุดดิน ตีลังกา ตีกันเอง ได้อย่างยิ่งใหญ่เอาไว้อวดคนต่างชาติได้อย่างไม่อายใคร แล้วเราจะสร้างวัดพระแก้วอีกซักแห่งจะได้หรือเปล่า ถามเองแล้วผมก็ตอบเองว่า ถ้าสร้างเอาขนาดและรูปทรงก็คงจะได้ แต่ถ้าสร้างเอาจิตวิญญาณและความอ่อนช้อยสวยงามทางศิลปะ คงจะไม่มีทาง

เพลงนี้ยกตัวอย่างการทำลายล้าง การกอบโกยทุกสิ่งทุกอย่างจากผืนแผ่นดิน "คอยจ้องโกยกอบ ทั้งชอบ ทั้งผิด ร่ำรวยกันจนสุดฤทธิ์ พิชิตอันดับเศรษฐี" "ไม่เติม ไม่ต่อ เห็นมีเพียง ตัด สร้างความร่ำรวยทางลัด จ้องนัดพวกผลัดกันผลาญ" เป็นการสื่อสารที่ตรงไปตรงมาซื่อๆตามประสาเพลงลูกทุ่งในสมัยนั้น ย้ำว่าสมัยนั้นนะครับ เพราะเพลงลูกทุ่งสมัยนี้เป็นแค่การนำเอาคำว่าลูกทุ่งมาหากินโดยไม่ได้เข้าถึงแก่นแท้ของลูกทุ่งอย่างแท้จริงเลย "ชิมิ ชิมิ"

พูดถึง ชิมิ ชิมิ แล้ว ถ้าผมจำไม่ผิด ผมเขียนถึงเพลงนี้มาเป็นครั้งที่สามแล้ว หลายๆคนที่ผมรู้จัก บอกกับผมว่า นี่เป็นแค่ภาษาวัยรุ่น มาเดี๋ยวก็ไป จะไปถือสาหาความอะไรกันนักหนา ฟังเอาสนุกไม่ต้องคิดมาก ผมก็พยายามอยู่ครับแต่มันอดไม่ได้เหมือนเดิม ถ้าเพลงนี้เขียนเนื้อร้องในทำนองที่ว่า

"สมัยคนเก่าที่เราว่าโง่ชิมิ ชิมิ หรือ ไม่เติมไม่ต่อเห็นมีเพียงตัด งุงิงุงิ" ท่านครูเพลง วิเชียร คำเจริญ ที่ท่านแต่งเพลงนี้คงจะทำใจไม่ได้แน่นอน ผมว่าภาษาแบบนี้มันน่าจะเก็บไว้ใช้กันในกลุ่มเพลงเฉพาะ ที่ไม่ใช่ลูกทุ่ง อย่างไอ้เพลง เชฟบ๊ะๆๆๆๆๆ อะไรนั่นก็ไม่น่าจะเป็นลูกทุ่ง มันเป็นเพลงขายอย่างอื่น ในคาเฟ่ มากกว่า ที่จะมาเป็นเพลงลูกทุ่งที่ขายความเป็นพื้นบ้านซื่อๆ เรียบง่าย และไพเราะอย่างเพลงลูกทุ่ง แบบนี้ผมก็ว่าเข้าข่ายใช้ความเจริญไปในทางที่ไม่มีประโยชน์ซักเท่าไหร่ เพลงลูกทุ่งแบบชิมิ ก็เหมือนผู้หญิงที่ทำศัลยกรรมนั่นละครับ ทำมาแล้วถึงสวยก็ไม่มีเสน่ห์ สู้คนธรรมดาๆ หน้าตาพื้นๆแต่เป็นธรรมชาติไม่ได้ และที่สำคัญ เพลง ชิมิ ชิมิ เป็นการทำศัลยกรรมที่ออกมาไม่สวย ดูไม่ได้ แต่ดังเพราะแปลกมากกว่า

และถ้าวงนี้มีอัลบั้มชุดที่สอง ผมสัญญาครับว่าผมจะซื้อแผ่นแท้ หรือ ดาวน์โหลดแบบถูกกฏหมายมาเก็บไว้แน่นอนครับ เพราะถ้ามีชุดที่สองออกมาได้แสดงว่า รสนิยมในการฟังเพลงของผมไม่ได้เรื่องแล้วจริงๆ ถึงมองไม่เห็นคุณค่าของเพลงดีๆแบบนี้

นอกเรื่องอีกจนได้ เอาเป็นว่าลองหามาฟังกันดูนะครับ คิดว่าคงจะไม่ยากเกินกว่าที่ทุกท่านจะหามาฟังกันได้หรือฟังได้ที่นี่ครับ

http://charyen.com/jukebox/play.php?id=11312

เพลงทรัพย์สินคนเก่า คำร้อง-ทำนองโดย วิเชียร คำเจริญ

สมัยคนเก่าที่เราว่าโง่ ท่านยังสร้างเมืองใหญ่โต ให้หลาน ลูก อยู่สบาย
แล้วเราทายาทที่บอกฉลาดเหลือหลาย มีบ้างไหม สักราย สร้างความหมายเหนือคนโง่นี้

คอยจ้องโกยกอบ ทั้งชอบ ทั้งผิด ร่ำรวยกันจนสุดฤทธิ์ พิชิตอันดับเศรษฐี
ทรัพยากร โดนกร่อนจนเกือบไม่มี ต้นไม้แร่ใต้นที ขุนเขาคีรีก็โดนทำลาย

ทุกเม็ดดินกรวด ยายทวด ตาปู่ พลีร่าง พลีเลือด ลาดปู ปนอยู่ทุกเม็ดกรวดทราย
ได้แผ่นดินนี้ ที่มีสินทรัพย์ มากมาย เราขุด เราโค่นไปขาย เหมือนเฉือน เนื้อกาย ไทยบรรพกาล

ไม่เติม ไม่ต่อ เห็นมีเพียงตัด สร้างความร่ำรวยทางลัด จ้องนัดพวกผลัดกันผลาญ
ท่านรวยพร้อมสรรพ จากทรัพย์คนโง่ โบราณ ดอกไม้ซื้อใส่ในพาน บูชาวิญญาณ ท่านไหม สักช่อ


สุดท้ายนี้อยากให้ท่านผู้มีเกียรติในสภาได้ฟังเพลงนี้จังเลยครับ

นภดล 10/6/2553

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น