วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ คำนี้เราคงเคยได้ยินกันมามากมายหลายครั้งในชีวิต ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนพูดคนแรก และความหมายในครั้งแรกมันคืออะไร อาจจะแค่ห้ามปรามคนที่คึกคะนอง ไม่เชื่อในสิ่งที่คนทั่วไปเชื่อ ไม่กราบไหว้ในสิ่งที่คนทั่วไปกราบไหว้กันถ้าลบหลู่สิ่งเหล่านั้นแล้วชีวิตจะตกต่ำ เจ็บตัวหรืออาจจะถึงตายได้ ดังนั้นในยุคนี้จึงมีคนพูดประโยคนี้กันมากเหลือเกิน มากจนผมเริ่มสงสัยว่า ทำไมถึงลบหลู่ไม่ได้ ถ้าของสิ่งนั้นมันไม่มีจริง

ผมเป็นคนที่ชอบค้นหาความรู้ในสิ่งที่สงสัยด้วยตัวเอง จะไม่ค่อยเชื่อะไรที่ไม่ได้เห็นหรือพบเจอมาด้วยตนเอง ยิ่งช่วงหลังๆที่ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือธรรมะมากขึ้น ได้พบปะพูดคุยกับคนที่มีความรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนามากขึ้น ทำให้ผมเริ่มที่จะ ลบหลู่ ในบางสิ่งบางอย่างที่ผมไม่เชื่อ สิ่งที่ผมไม่เชื่อนั้นก็คือ สิ่งที่ขัดกับความเป็นพุทธแท้ คำว่าพุทธแท้นั้น คือพุทธที่ยึดเอาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง ปฏิบัติตามหลักของพระธรรมวินัย ตามแบบอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ไม่เอาแบบอย่างหรือสิ่งใดๆมาปะปนหรือทำให้เบี่ยงเบนไปเพื่อแสวงหาสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นสำหรับผู้ที่เรียกตนเองว่าพระสงฆ์

ก่อนหน้านี้หลายปีผมเป็นคนที่ชอบสะสมพระเครื่องมากๆ เกจิอาจารย์ดีที่ไหนต้องดิ้นรนไปกราบจนถึงที่ สะสมวัตถุมงคลไว้มากมายเป็นพันๆชิ้น พระบูชา ที่มีอยู่ใช้โต๊ะหมู่บูชา สองชุดใหญ่รวมทั้งโต๊ะตัวใหญ่อีกสองตัวก็ยังตั้งไม่หมด แต่เมื่อผมเริ่มได้อ่านงานเขียนและฟังคำสอนของท่านพุทธทาสแล้ว ผมก็เริ่มปล่อยวาง ปลดวัตถุมงคลออกจากตัว จนตอนนี้ผมไม่มีวัตถุมงคลติดตัวมาปีกว่าๆแล้วครับ ข้อดีมองเห็นได้ชัดในการไม่มีสร้อยหรือตะกรุดคาดเอวของผมก็คือ ในเวลาที่ผมเดินทางไปทำงานในต่างจังหวัด นอนพักที่โรงแรม เวลาตอนเช้าที่จะต้องออกเดินทาง ผมไม่ต้องกลัวว่าจะลืมสร้อยลืมพระ หรือลืมกระเป๋าวัตถุมงคลเลยครับ สบายใจกว่ามาก ไม่มีความกังวลใดๆ ออกไปทำงานมีความสุข ไม่เหมือนครั้งหนึ่งที่ผมใคยลืมสร้อยพระไว้ในห้องที่โรงแรม สร้อยราคาไม่เท่าไหร่ หรอกครับ แต่พระราคาหลักหมื่นอยู่เหมือนกัน วันนั้นกว่าผมจะนึกได้ก็ออกเดินทางมาหลายกิโลแล้ว ช่วงเวลาที่ขับรถกลับไปที่โรงแรมนั้นช่างเป็นเวลาที่ ทรมานและยาวนานเหลือเกิน เหมือนตกนรกทั้งเป็นเลยครับ แต่โชคดีที่ยังได้กลับคืนมาครบถ้วน

ที่เล่ามานั้นผมไม่ได้บอกว่าวัตถุมงคลไม่ดีนะครับ วัตถุมงคลเป็นสิ่งที่เหนี่ยวนำจิตใจให้คนอยู่กับความดี กลัวการทำชั่ว ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ วัตถุมงคลจึงมีส่วนดีมากกว่าไม่ดีครับ แต่ที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ ผมหมายถึงสิ่งที่ไม่รู้ว่ามันเป็นมงคลหรือเปล่า แต่เรามาเรียกว่าวัตถุมงคลกัน ก็สิ่งของจำพวกที่โฆษณากันว่าใช้ทำเสน่ห์ เช่นน้ำมันนู่น น้ำมันนี่ พราย โพรง ต่างๆ ที่สรรหากันมาบูชากัน โดยฟังสรรพคุณจากคนขาย ที่ไม่รู้ว่าเป็นพระหรือโจร แล้วเชื่อเป็นตุเป็นตะว่า น้ำมันเหล่านี้จะทำให้ตนเองเป็นที่รักของคนอื่นๆ

ผมเคยนั่งฟังพระรูปหนึ่งเทศนา แต่ผมเองก็จำไม่ได้ว่าท่านอยู่ที่วัดไหน ท่านกล่าวว่า "แปลกนะโยม ไอ้พวกของแบบนี้มันได้ผลกับคนที่คล้ายๆกัน" กล่าวคือ คนหน้าตาแบบไหนก็มักจะโดนทำเสน่ห์จากคนหน้าตาแบบนั้น "อาตมาเห็นคนที่โดนของ กับคนที่ทำของส่วนใหญ่ หน้าตาพอๆกันทั้งนั้น" "แหม อุตสาห์ได้ของดีมาจะทำเสน่ห์ทั้งที ทำไมไม่ไปดีดใส่พวกดาราหรือนางงามกัน มาดีดใส่คนหน้าตาคล้ายๆกันแบบนี้ไม่รู้ น้ำมันมันดีหรือคนที่โดนก็รออยู่แล้ว มันถึงได้ผล"

แต่พระรูปนี้ก็ยืนยันว่าการทำของเหล่านี้ มีอยู่จริง และผมเองก็เชื่อว่ามีอยู่จริง แต่นั่นไม่ใช่แนวทางของพุทธศาสนาครับ อีกอย่างของแบบนี้ ตอนนี้ร้อยละเก้าสิบเก้า โกหกทั้งนั้น เสียเงินไปมากมายได้น้ำอะไรมาก็ไม่รู้ ดีไม่ดี น้ำหมักป้าเช็ง ยังมีประโยชน์มากกว่าเสียอีก และสิ่งที่เหมือนๆกันของกลุ่มคนที่ทำมาหากินในรูปแบบนี้ นั่นก็คือ การโฆษณาครับ บอกเล่าสรรพคุณต่างๆ ถ้าเป็นวัตถุมงคลก็ ใช้ค้าขายดี ยิงฟันไม่เข้า สารพัดจะยกมาอ้าง เวลามีใครทำท่าจะไม่เชื่อก็ บอกว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะ ดังนั้นคำว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่จึงเป็นคำขู่ที่ได้ผลกับคนที่ไม่รู้จักพุทธศาสนาอย่างแท้จริง

ใครบอกว่าฉันไม่รู้จักพุทธศาสนา ฉันนับถือพุทธศาสนามาตั้งแต่เกิด ส่วนใหญ่จะพูดแบบนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าเราศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจัง เสาะหาให้เข้าถึงพุทธแท้ โดยมองว่า วัตถุมงคลเหล่านี้เป็นเปลือก แล้วเราค่อยๆลอกเปลือกออกไม่นานเราก็จะเห็นแก่นแท้ของพุทธศาสนา แก่นแท้ที่ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องลางใดๆ ไม่ต้องทำบุญมากๆ ไม่ต้องทำบัตรผ่อนบุญ ก็สามารถมีความสุขได้อย่างเหลือคณานับ

อย่างพวกร่างทรงต่างๆ เจ้าพ่อนั่นเจ้าพ่อนี่ ร้อยละเก้าสิบเก้าเช่นกันครับที่แหกตา เจ้าพ่อ บ้าอะไรนั่งกินเหล้าขาวกับไก่ต้มที่คนเอามาเซ่น นั่นมันผีชัดๆแล้วดูร่างทรงมหาเทพแต่ละท่านสิครับ ชีวิตส่วนตัวน่ากราบไหว้หรือเปล่า เมาเหล้า เมายา บ้าผู้หญิง คนแบบนี้หรือ ที่มหาเทพจะมาแฝงร่าง ถ้ามาจริงก็ดูจะกระไรอยู่ คนไทย หก เจ็ด สิบล้าน มีปัญญาหาร่างทรงได้แค่นี้แล้วจะเป็นเทพได้อย่างไร

ถ้าเราเชื่อในสิ่งที่สมควรเชื่อ อย่าให้ความเชื่อมาอยู่เหนือความจริงแล้วละก็ เหตุการณ์บ้านเมืองที่วุ่นวายอยู่ในทุกวันนี้ก็จะคลี่คลายไปในเร็ววัน คำกล่าวที่ว่า เรียนมัธยมจะเชื่อครู เรียนปริญญาตรีจะเชื่อเพื่อน เรียนปริญญาโทจะเชื่อตำรา ส่วนเวลาเรียนด็อกเตอร์จะเชื่อหมอดูนั้น ดูจะไม่เกินความจริงเลยครับกับสังคมในทุกวันนี้

ดังนั้นถ้าเรามาศึกษาคำสอนในพุทธศาสนาที่ว่าด้วยความเชื่อกันแล้วนั้น จะเห็นว่ามีพระสูตรที่โดดเด่นอยู่บทหนึ่งนั่นคือ กาลามสูตร โดยกาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล เรียกว่า เกสปุตตสูตร ก็มีกาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อ ไม่ให้เชื่องมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ
มี ๑๐ ประการคือ

๑. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
๒. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
๓. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
๔. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
๕. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
๖. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
๗. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
๘. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
๙. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
๑๐.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน

เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่ มาจาก เกสปุตตสูตร อังคุตตรนิกาย พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐

จะเห็นได้ว่ากาลามสูตร บอกสอนให้เรามีสติในทุกๆเรื่องที่จะปักใจเชื่อลงไป การที่จะเชื่อสิ่งใดก็ตามถ้ายึดหลักสิบข้อนี้ไว้ รับรองได้ว่ามีแต่ความสุขความเจริญ ไม่มีใครจะมาชักจูงให้ออกนอกลู่นอกทางได้แน่นอน จะไม่มีคนไปปิดถนน เผาบ้านเผาเมือง ยึดทำเนียบ ปิดสนามบิน ค้นโรงพยาบาลแน่นอน รวมทั้งไม่ต้องเสียเงินเสียทองที่หามาด้วยความยากลำบาก ไม่ต้องเอาของมีค่าไปประเคนให้คนห่มเหลืองที่พูดเก่งๆ เรี่ยไรจัดๆ ไม่ต้องไปผ่อนส่งบุญ ไม่ต้องโดนตราหน้าว่าโง่ ในเวลาที่ความจริงเปิดเผย

สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องราวหรือคำสอนที่สลับซับซ้อนใดๆเลย อ่านแล้วสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ เป็นความมหัศจรรย์ของพุทธศาสนาอย่างแท้จริงเป็นคำสอนที่ใช้ได้ในทุกกาลเวลาและกับคนทุกชนชั้น ในเมื่อเราบอกกันว่าเป็นพุทธศาสนิกชนแล้วนั้น เราลองมาปฏิบัติตนให้เป็นพุทธที่แท้จริงกันดีกว่าครับ แล้วก็แสดงความลบหลู่ออกไปให้คนที่มาอาศัยพุทธศาสนาหากินได้เห็นด้วย อย่าไปกลัวกับคำขู่ต่างๆเหล่านั้น บอกพวกนั้นไปตรงๆเลยครับว่า "ต่อไปนี้ นอกจากฉันจะไม่เชื่อพวกแกแล้วฉันจะลบหลู่แกด้วย"

ขอความสุขความเจริญจงมีแด่ทุกท่านครับ

นภดล

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น