วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

บทความเก่าๆ - ฝัน

ฝัน

วันที่ 18 มิถุนายน 2549

ใครไม่เคยมีความฝันบ้างครับ ถามโง่ๆมีใครหลายๆคนกำลังคิดแบบนั้นใช่มั้ยครับ ที่ผมถามแบบนี้ก็คือว่าผมกำลังสงสัยตัวเองอยู่ว่าตอนนี้ผมฝันไปหรือเปล่า และถ้าผมกำลังฝันสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เรียกว่าฝันดีหรือฝันร้ายกันแน่ ทุกคนอยากนอนหลับแล้วฝันดีกันทั้งนั้นคงไม่มีใครอยากฝันร้ายใช่มั้ยครับ แต่ภาวะของผมในขณะนี้ถ้าเลือกได้ขอนอนให้หลับสนิทอย่าฝันอะไรเลยดีกว่าครับ พูดถึงเรื่องความฝันนี่มันก็มีหลายแบบ ผมเคยถามหลานชายว่าเคยฝันบ้างมั้ย มันบอกผมว่าเคยครับ ผมฝันว่าเป็นอุลตร้าแมน! ผมเลยสงสัยว่าที่จริงแล้วความฝันเป็นสิ่งที่เราสามารถกำหนดได้เองหรือเปล่า อย่างที่คนโบราณเคยบอกว่้าก่อนนอนให้สวดมนต์ไหว้พระซะนะจะได้นอนฝันดี แสดงว่าคนโบราณอาจจะเข้าใจกลไกทางจิตได้ดีกว่าคนในปัจจุบันก็ได้ครับ

ที่ผมสงสัยอีกอย่างก็คือถ้าความฝันเกิดจากความทรงจำในช่วงก่อนนอนมาปรุงแต่งให้เกิดเป็นเรื่องเป็นราวในขณะที่เรานอนหลับทำไมบางครั้งเราถึงจำความฝันตัวเองไม่ได้ แต่พอมีเวลานั่งคิดดูก็พอจะเข้าใจได้ว่า คนเราบางคนแม้แต่คำพูดตัวเองที่ทำในขณะที่ยังไม่หลับสติครบถ้วนบางคนยังจำไม่ได้เลยครับ นับประสาอะไรกับเวลานอน คนบางคนมีสมองไว้คอยหาทางเอาเปรียบ มีเวลาไว้สะสมความเห็นแก่ตัว คนประเภทนี้เพื่อนๆคิดว่าเวลานอนเค้าจะฝันดีหรือฝันร้ายครับ ไว้ตอนสุดท้ายจะบอกนะครับ

จริงๆแล้วที่เริ่มต้นเรื่องความฝันก็้เพราะว่าผมได้มีโอกาสไปดู คอนเสริตในฝัน อัศจรรย์แห่งรัก ของชรินทร์ นันทนาคร ใช่ครับ ชรินทร์ นันทนาครศิลปินแห่งชาติคนนึงครับ หลายๆคนอาจจะหัวเราะว่าทำไมล้าสมัยจังเลย ไปดูทำไม ผมอยากจะบอกว่าผมเป็นคนที่ฟังเพลงทุกแนวครับแล้วที่ไปดูนี่ก็ซื้อบัตรนะครับไม่ได้ชมฟรี 429 บาทรวมอาหารบุฟเฟ่ ผมนั่งฟังเพลงของน้าชรินทร์แล้วมีความรู้สึกเหมือนกับฝันไปจริงๆ เสียงร้องที่เหมือนเดิมมีความเป็นกันเองเวลาที่แฟนเพลงของเพลงอะไรไม่เคยขัดแม้ว่าจะเป็นเพลงนานมากๆจำเนื้อร้องไม่ได้ น้าแกยังกลับไปที่ห้องพักเอาเนื้อเพลงมาเปิดเพื่อร้องให้มิตรรักแฟนเพลงได้ฟังกัน บรรยากาศแบบนี้หาไม่ได้หรอกครับกับพวกที่เรียกตัวเองว่้าศิลปินแต่จริงๆแล้วเป็นได้แค่เห็บที่เกาะวงการเพลงเท่านั้นเอง

พูดถึงเรื่องความฝันกันต่อ ผมเคยฝันที่จะทำอะไรๆเพื่อคนทุกคน อยากให้สิ่งดีๆกับคนรอบข้างแต่สารภาพตามตรงครับว่าผมฝันสลายไปแล้วครับ เราไม่สามารถทำดีได้กับคนทุกคน พระพุทธเจ้าสอนว่า สัตว์โลกไม่สามารถสอนได้ทุกประเภท ดังนั้นผู้ที่จะบวชในพุทธศาสนาได้จึงต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น พระพุทธองค์จึงเปรียบคนเป็นบัวสี่เหล่า ซึ่งถ้าศึกษากันดูก็จะรู้ว่าทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งสอนไว้เป็นจริงทั้งหมดครับ เพื่อนๆลองหามงคล 38 มาอ่านดูสิครับจะเข้าใจอะไรได้มากเลยครับ เวลาพระสวดชัยมงคลคาถา จริงๆแล้วคือการสอนให้เราปฏิบัติในสิ่งที่เป็นมงคลต่างๆ เริ่มจาก อะเสวนา จะ พาลานัง เป็นข้อแรก เราก็เริ่มปฎิบัติจากข้อแรกไปจนถึงข้อสุดท้ายรับรองว่าเห็นผลอย่างแน่นอน แต่สำหรับผมแล้วเลือกมาแค่ สอง สามข้อจากสามสิบแปดข้อครับ คือ อะเสวนา จะพาลานัง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนพาล คำว่าพาลนี่ไม่ใช่พวกนักเลงนะครับ สำหรับผมหมายถึงพวกเห็นแก่ได้ เอารัดเอาเปรียบเกิดมาแย่งอากาศชาวโลกหายใจพวกนี้ผมเลิกยุ่งเลยครับ ปูชาจะปูชะนียานัง บูชาบุคคลที่ควรบูชา ผมเลือกที่จะนับถึอคนที่ความดีครับไม่ใช่ที่ตำแหน่ง ถึงคุณจะยิ่งใหญ่มาจากไหนมีตำแหน่งใหญ่โตยังไง ถ้าคุณไม่ดีคุณก็ไม่มีความหมายสำหรับผมหรอกครับ นี่คือ สอง สามข้อที่ผมยึดถืออยู่ประจำครับ

เฉลยก่อนดีกว่าพวกที่มีสมองไว้คอยเอาเปรียบนี่จะไม่ฝันอะไรครับเวลานอน เพราะเค้ากลัวว่าจะขาดทุน เวลานอนเวลาพักผ่อนต้องเต็มที่ถ้ามัวเอาเวลาไปฝันอยู่ก็ขาดทุนสิครับ ตอนไม่นอนคิดแต่จะเอาเปรียบชาวบ้าน เวลานอนก็กลัวว่าตัวเองจะเอาเปรียบตัวเองเลยไม่ยอมที่ฝันอะไรครับ อย่าคิดว่าไม่มีนะครับคนแบบนี้บางครั้งเค้าอาจอยู่ใกล้ๆตัวคุณก็ได้ ใครจะไปรู้

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น