วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

รำลึกอดีตที่ภูเก็ต

พูดถึงสมัยสี่ปีที่แล้ว ตอนนั้นชีวิตผมมันไม่เหมือนตอนนี้เลย ชีวิตช่วงนั้นเรียกได้ว่า เสเพลเอาเรื่องทีเดียว กินเหล้าแบบหัวทิ่มหัวตำ เรียกได้ว่าเมืองภูเก็ตทั้งเมืองผมไปมาซะแทบทุกร้าน ร้านไม่ปิดไม่กลับไปนอน สมัยนั้นไม่กวดขันเรื่องเมาแล้วขับเหมือนสมัยนี้ เลยกินเต็มที่ และบ่อยครั้งที่ผมต้องจอดรถนอนข้างทาง

อย่างร้านโรงฝิ่นใต้โรงแรมถาวรสมัยนั้น ผมนั่งกินจน หกโมงเช้า กินกับใครนะเหรอ ก็กับเจ้านักดนตรีในร้านนั่นแหละ เริ่มจากผมไปกับเพื่อนอีกคนเสร็จจากงาน Cell Down ตอนสองทุ่มกว่าๆ ไม่อยากกลับไปนอน เลยกะจะไปนั่งกินเหล้าซักแบนแล้วค่อยกลับมานอน พอไปนั่งปุ๊บ เราก็นั่งโต๊ะติดกับเวที กินกันไปคนละแก้วสองแก้ว เจ้านักดนตรีก็เล่นเพลง "ขนำน้อย" ของพี่ป๋อง ณ ปะเหลียน ที่ตอนนั้นเพิ่งออกวางแผงใหม่ๆ ซึ่งผมชอบมาก(ชอบในความซื่อๆของเพลง ที่ไม่มีอะไรเลยแต่เพราะ) เลยบอกเด็กเสริฟให้ชงเหล้าให้มือกีตาร์คนนี้แก้วนึง เค้าก็หันมาขอบคุณแล้วก็ยิ้มทักทาย หลังจากนั้นเราขอเพลงอะไรพี่แกไม่เคยขัด

เราก็สั่งเหล้ามาเพิ่มคราวนี้ กลมนึงเลยกลัวไม่พอ ชงไปชงมาก็ถึงเวลาพักช่วงประมาณเที่ยงคืนกว่าๆเจ้านี่ก็ลงมานั่งกับพวกเรา (แต่ที่พักนี้คือเค้าจะผลัดกันพัก บนเวทีจะมีคนเล่นตลอดไม่ขาดตอนทำให้ที่นี่ได้รับความนิยมพอสมควรเลยในช่วงนั้น) นั่งกินไปคุยไป จนถึงเวลาที่ต้องขึ้นไปเล่นเราก็ยังชงเหล้าส่งไปให้เรื่อยๆจนกระทั่งร้านเลิก พี่แกก็ยังไม่มีทีท่าจะเมา ส่วนเราก็ยังติดลม แถมพี่แกสั่งเหล้ามาอีกขวดแล้วชวนเรากินอีก เลยนั่งกินกันต่อในร้าน ที่เปิดไฟสว่างแล้ว นานเท่าไหร่ไม่ทราบจนได้ยินเสียง "โครม" คือเสียงเด็กเสริฟเอาเก้าอี้กระแทกโต๊ะ นั่นแหละถึงจะรู้สึกตัวว่าเหลือแต่เราสามคน เลยย้ายมานั่งกินต่อที่ล็อบบี้โรงแรมนั่งกินมันสามคน จนเหล้าหมดไปอีกกลม เลยถอยออกมาจากล็อบบี้เพื่อที่จะกลับที่พัก

แต่เวลานั้นฟ้ากำลังจะสว่างพอดี "เดี๋ยวๆๆๆๆ พอดีในรถมีเบียร์อีกสองกระป๋อง เอาไปด้วยสิ" พี่แกใจดีอีก ผมเลยเปิดเบียร์ กินกับเพื่อนอีกคนละกระป๋อง แล้วก็ขึ้นรถ "มึงจะกลับที่พักจริงๆเหรอ" เพื่อนผมถามด้วยสภาพที่ไม่ต่างกับผมซักเท่าไหร่ "งั้นนอนในรถกันดีกว่าวะ" พอเพื่อนผมเห็นด้วยผมก็เอนเบาะลง แล้วผมก็ไม่รู้สึกตัวอะไรอีกเลยจนเที่ยงวันที่แดดร้อนซะจนเสื้อเปียกถึงจะตื่นแล้วก็ขับรถกลับที่พัก ไปนอนต่อ โดยงานที่ต้องทำของวันนั้นยกยอดมาทำตอนกลางคืนแทน โดยบอกกับหัวหน้าว่า "ผมว่าทำกลางคืนดีกว่านะพี่มันไม่ร้อน"


สมัยอยู่ภูเก็ตช่วงแรกๆคู่หูของผมจะเป็นไอ้บอย เพื่อนรุ่นเดียวกันสมัย ปวส ช่วงนั้นการทำงานกลางคืนเป็นเรื่องปกติของพวกเราเพราะต้องดูแลเครือข่ายทั้งคืน เนื่องจากสมัยนั้นเสาสัญญาณไม่ได้มากเหมือนสมัยนี้ ถ้าตรงไหนใช้ไม่ได้มันจะใช้ไม่ได้เป็นบริเวณกว้าง ทางบริษัทจึงเน้นย้ำให้แก้ไขให้ได้เร็วที่สุด นี่ก็คงจะเป็นสาเหตุนึงที่พนักงานส่วนงานของผมรุ่นแรกๆจะขับรถเร็วกันทุกคน สมัยนั้นเราจะขับรถรอบเกาะภูเก็ตกันแทบทุกวัน แถมบ่อยครั้งที่ช่วงตีหนึ่งตีสองก็ยังต้องขับอยู่และช่วงเวลานี้เองที่ผมได้เจอกับ "ผีวงเวียน"

วงเวียนที่ว่าคือวงเวียนกะรน ที่จะตัดมาออกหาดป่าตองนั่นแหละครับ พวกเราที่ทำงานดูแลเครือข่ายจะครบเครื่องทุกคน คือเหล้า บุหรี่ เคยมีการรับพนักงานรุ่นหลังผมอีกสองชุด แต่ก็หลายปีมาแล้วก่อนที่แผนกผมจะไม่รับพนักงานประจำอีก มันน่าจะหมดอายุความแล้วเลยคิดว่าน่าจะเล่าได้ คุณสมบัติของพนักงานแผนกผมช่วงนั้นคือ ความสามารถไม่ต้องมาฝึกเอาได้ให้มีลูกบ้าซักหน่อย อดนอนได้ มีความรับผิดชอบ และที่สำคัญถ้ากินเหล้า สูบบุหรี่ จะพิจารณาเป็นพิเศษ ที่ต้องทำแบบนี้เพราะ พวกเราต้องไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกินนอนด้วยกัน ช่วงนั้นบางครั้งผมไม่ได้นอนที่บ้านเป็นเดือนเลยก็มี

ดังนั้นจึงต้องเอาคนที่เหมือนๆกันมาทำงานด้วยกันไม่งั้นทะเลาะกันตายเลย มาว่าเรื่องผีวงเวียนกันต่อ ที่วงเวียนแห่งนี้เราต้องผ่านมาจากทางห้าแยกฉลอง เป็นถนนที่สูงชัน ต้องขับรถขึ้นเขาสูงและต้องใช้ความระมัดระวังมาก พอขึ้นเขามาได้ พวกเราจะจุดบุหรี่สูบกันทันที เปิดกระจกลงรับลมเย็นๆ แล้วจะมาหมดแถวๆวงเวียนกะรนพอดี และเมื่อถึงวงเวียนจะมีเสียงเล็กๆแหลมๆ ดังขึ้นเป็นประจำ "ดีแทคคคคคคค" บางวันก็เสียงเดียวบางวันก็หลายๆเสียง นั่นคือสาวประเภทสอง จะทำพริกกะเกลือมานั่งรอหาฝรั่งตอนดึกๆอยู่แถวนั้น พวกเราก็หันไปยิ้มแล้วก็ขับผ่านไปเป็นประจำ

แต่ถ้าวันไหนพวกเธออยู่กันเยอะก็จะมีมาขวางๆหน้ารถบ้าง ชวนให้ลงไปนั่งกินเบียร์บ้าง แต่สาบานได้ครับว่าพวกเราไม่กล้าแม้กระทั่งคิด จนหลายๆครั้งเข้าสงสัยพวกหล่อนจะเริ่มสงสัยว่าพวกเราคิดยังไงกับพวกเธอ ขับผ่านยิ้ม แต่ไม่ลงจนถึงวันมหาวิปโยคของพวกเรา วันนั้นพวกหล่อนอยู่กันสี่ห้าคน (แปลกนะครับพวกนี้ไม่ว่าอยู่ที่ไหนมาจากไหนก็รวมกลุ่มกันเร็วมาก)แล้วดูท่าว่าจะเมากันพอสมควร วันนั้นผมเป็นคนขับ พอถึงวงเวียนนรก เสียงมาก่อนเลยครับ"ดีแทคคคคคค" กินเบียร์หน่อยมั้ย ไอ้เราก็ไม่ทันจะปิดกระจก ก็เลยตอบไปว่าไม่เอาละครับ

ทันใดนั้นก็มีเสียงตอบมาว่า "อะไรวะชวนกี่ทีก็ไม่ลง ตกลงมึงจะลงมามั้ย ถ้าไม่ลงก็อย่าขับมาทางนี้อีกนะ" แน้ ..ใครบอกกระเทยเป็นเพศที่บอบบาง พอเธอเมาได้ที่ มันก็ผู้ชายดีๆนี่เอง แทนคำตอบใดๆ ผมเหยียบคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว และหลังจากนั้น เวลาดึกๆถ้าจะไปป่าตองผมยอมอ้อมไปเข้าทางกะทู้แทน ยอมขับขึ้นเขาสูงๆชันๆกว่าทางนี้แต่ก็ดีกว่าเจอพวกผีวงเวียน ละครับ เฮ้อ ไปมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำเกือบมาตายกับผีวงเวียนที่ภูเก็ตซะแล้วสิเรา เคยคิดในใจว่าถ้าเปิดประตูลงไปจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะยอม(กินเบียร์)ดีๆหรือขัดขืนดีหนอ

ที่ภูเก็ตนี่วีรกรรมวีรเวรของผมมีมากหน่อยเพราะอยู่นาน แต่ที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นตอนที่ทำงานใหม่ๆครับตอนนั้น พวกเราจะอยู่ส่วนงาน NIM
( Network Implementation & Maintenance) ตอนนั้นภาคใต้ตอนบนจะแบ่งเป็น สาม NIM A,B,C ผมตอนนั้นอยู่ NIM B ดูพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตรัง และสุราษฎร์ด้านตะวันออก ไอ้โอ๋ อยู่ NIM C ดูพื้นที่ ภูเก็ต พังงา กระบี่และสุราษฎร์ด้านตะวันตก ตาบ็อบ อยู่ NIM A ดูพื้นที่ ชุมพร ระนองและสุราษฎร์ด้านเหนือ

ถึงพวกเราอยู่กันคนละโซนแต่ก็มีเหตุให้มารวมกันจนได้ คือผมได้รับงาน Test Feeder ซึ่งอุปกรณ์ Test มันมีตัวเดียว หัวหน้าเลยให้วิ่งทีมเดียวต่างหากไปเลยโดยจับผมวิ่งคู่ตาบ็อบ วันนั้นเป็นรอบที่จะต้องเข้าภูเก็ต ก่อนจะไประนอง พวกเราเลยมีโอกาสได้เจอกัน ด้วยความที่กำลังห้าวกันทั้งนั้นก็เปิดวงตั้งแต่เย็น ทุกอย่างเท่าที่จะหาได้ประเคนกันเข้ามาจนกระทั่งตีสอง ก็ซื้อเหล้ามาอีกแบนกับเบียร์มาอีกหลายขวดมาแช่ในตู้เย็นในห้องพักที่นอนกันสามคน กินไปพลางนั่งบ่นไปพลาง ไอ้โอ๋ทำท่าจะอกหัก ไอ้ผมนี่ก็ ทำท่าจะแห้ว นั่งกินไปพรรณากันไป

จนตาบ็อบ บอกว่า "กูเบื่อการกินเหล้าในห้องแคบๆแบบนี้จริงๆเลยวะ" "เออใช่ๆๆ อยู่บนเกาะภูเก็ตมันต้องไปกินริมทะเลสิวะ" ไอ้โอ๋เสริมขึ้นมาอีก ผมเป็นคนไม่ขัดใครอยู่แล้วว่าไงว่าตามกัน โยนกุญแจรถให้ตาบ็อบขับแล้วเปิดตู้เย็นหอบเบียร์ขึ้นรถทันที "ไปหาดไหนมึงบอกกูมาเลย เมื่อก่อนกูอยู่ภูเก็ตมาหลายปี" ตาบ็อบบอกพวกเรา แล้วแต่พี่จะพาไปก็แล้วกัน "งั้นไปหาดราไวย์ดีกว่า" ว่าแล้วตาบ็อบก็ขับรถออกไปอย่างทุลักทุเลพอสมควร ก็เมานี่ครับ

จนเรามาถึงหาดๆนึง เสียงคลื่นซัดสาด หาดทรายสีขาว ในมือพวกเรามีเบียร์ขวดเขียวกันคนละขวด "หาดราไวย์นี่สวยสมชื่อจริงๆ" ไอ้โอ๋วิ่งลงไปในทะเลแล้วบอกกับพวกเรา "กูว่ามันไม่ใช่หาดราไวย์หรอกวะ หาดราไวย์ที่กูเคยไปมันไม่ใช่แบบนี้" อ้าวแล้วที่ไหนละเนี่ย "กูก็ไม่รู้ขับมามั่วๆเห็นทะเลแล้วกูก็จอด" เออแต่ก็ช่างมันเถอะ พวกเราพยายามมองหาป้ายว่าที่นี่มันที่ไหนแต่ด้วยตวามที่หาดมันยาวมากแถมไม่มีป้ายอีกก็เลยปล่อยเลยตามเลย "เรามานอนดูพระอาทิตย์ขึ้นกันดีกว่ามันคงจะสวยน่าดู" ผมบอกกับทีมงาน "เออใช่เวลาพระอาทิตย์ขึ้นผ่านขอบทะเลขึ้นมาต้องสวยแน่ๆ" ตาบ็อบเสริมขึ้นอีกคน

"กูมาอยู่ NIM C ตั้งหลายเดือนยังไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นเลย นี่ถ้าพวกมึงไม่มากูคงอดดูแน่ๆ ดีจริงๆ" ไอ้โอ๋พูดพลางเดินไปหยิบเบียร์ในรถมากินกันอีก พวกเรานั่งกินนั่งคุยกันจนเริ่มมีแสงสว่าง แต่ก็ยังไม่เห็นพระอาทิตย์ "ทำไมไม่เห็นวะ" ผมเริ่มถามทีมงาน "สงสัยต้องไปดูที่แหลมพรหมเทพ" ตาบ็อบเอ่ยขึ้นมา

พวกเราก็เห็นด้วยทันที "มิน่าละถึงไม่เห็น" "ว่าแต่ว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหนของภูเก็ตวะ" หันไปหันมาเจอคนวิ่งออกกำลังกายอยู่ ผมเดินเข้าไปถามทันที "พี่ๆๆ ที่นี่ที่ไหนครับ" พี่ชายคนนั้นทำหน้างงๆ แล้วก็บอกว่า หาดกะรน "แล้วถ้าผมจะไปแหลมพรหมเทพไปยังไง"แกก็บอกทางให้แล้วแกก็วิ่งไปต่อ แกคงจะสงสัยว่าไอ้พวกบ้านี่มันมาจากไหนกัน แล้วพวกเราก็เดินทางไปแหลมพรหมเทพกันทันที พวกเราเดินขึ้นไปจนถึงด้านบนก็ยังไม่มีวี่แววของดวงอาทิตย์

ไอ้โอ๋จึงโทรศัพท์ไปถามพี่หนุ่ม รุ่นพี่ที่นอนอยู่ที่โรงแรมว่าทำไมพวกเราถึงไม่เห็นดวงอาทิตย์กันละเนี่ย เสียงตอบกลับมาตามสายของ โทรศัพท์ระบบ 800 ที่ดังพอจะให้พวกเราได้ยินพร้อมๆกันทั้งสามคนคือ "พระอาทิตย์พ่อมึงเหรอขึ้นทางตะวันตก แหลมพรหมเทพเค้าเอาไว้ดูพระอาทิตย์ตกโว๊ย". ได้ยินแบบนั้นพวกเราก็รีบขึ้นรถกลับที่พักทันทีด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเลยทีเดียว

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น