วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

บางส่วนของชีวิต (อีกแล้ว)

อย่างที่บอกละครับว่า พวกเราต้องทำงานกันทั้งคืนฝนตกฟ้าร้องก็ต้องทำผมจะเบื่อมากๆเวลาฝนตกเพราะว่างานจะเข้ามาเยอะมากๆ ทั้งไฟดับบ้างอุปกรณ์เสียบ้าง แถมต้องขับรถกลางฝนอีกด้วยช่างเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมากๆ วันนั้นมีงาน Cell Down ที่ป่าคลอก แถวๆอำเภอถลาง ผมออกจากที่พักไปตอนสามทุ่ม ไอ้บอยขับรถผมนั่งข้าง ฟังเพลงไปร้องเพลงไปอย่างสบายอารมณ์ "อาการนี่ Alarm ตัวนี้ไม่น่าจะมีอะไรมาก CHG Trip แน่ๆ" ผมบอกไอ้บอยอย่างมั่นใจ

site ของเราในสมัยนั้นยังไม่มีการจัดจ้างตัดหญ้าแบบป็นระบบมากนักที่ไหนรกก็ค่อยตัด และที่นี่เป็น site ที่อยู่ในที่เปลี่ยวมากๆ ไฟหน้า site ก็ไม่มี ทางเข้าเป็นถนนดินแคบๆ หญ้าข้างทางก็รกมาก "เนี่ยเห็นแบบนี้แล้วคิดถึงที่ siteเขาต่อวะ"

"วันนั้นไอ้ป๋องมันขับเข้าไปใน site ทางเข้ารกๆแบบนี้เลยมองทางก็ไม่เห็นต้องเอารถลุยเข้าไป" "ขับเข้าไปได้หน่อยนึง มีงูเขียวตกลงมาบนฝากระโปรงหน้ารถ" ผมเล่าไอ้บอยอย่างอารมณ์ดี จนมาถึงหน้า site ป่าคลอกแห่งนี้ "เดี๋ยวมึงไปกลับรถแล้วรอกูอยู่ข้างล่างเดี๋ยวกูเข้าไปจัดการเอง" ว่าแล้วผมก็วิ่งลงไปจากรถ ตอนนั้นฝนก็ตกพรำๆ ไฟหน้า site ก็ไม่มี

ไอ้บอยก็กลับรถแล้วเอาไฟหน้ารถส่องเข้ามา พอผมเปิดประตู ปรากฏว่ามีอะไรอย่างนึงสีดำขนาดเท่าข้อมือ หล่นลงมาคล้องคอผมพอดี มันเปียกๆลื่นๆด้วย ผมสะบัดมันอย่างแรงด้วยความตกใจ(อย่างมาก)แล้วตะโกนว่า งูๆๆๆๆ แล้วก็เต้นแร้งเต้นกาเต็มที่ กว่าจะเหวี่ยงมันออกไปจากคอได้แล้วกระโดลงจากบันไดวิ่งลงมาที่รถทันที

และเมื่อเห็นว่าสิ่งนั้นคืออะไร ผมก็แทบจะบ้าตาย มันคือยางในของรถมอเตอร์ไซค์ ที่ผู้หวังดีเอามาปิดไว้ที่ขอบประตูด้านบนเพื่อกันไม่ให้น้ำเข้านั่นเอง หันไปดูไอ้บอยมันนั่งหัวเราะเอามือกุมท้องอยู่ "กูเห็นตั้งแต่มันหล่นลงมาคล้องคอมึง แล้วกูก็เห็นมึงยืนเต้นยืนรำโนราห์ สะบัดไปสะบัดมาอยู่ตั้งนาน" กูตะโกนบอกว่าไม่ใช่งูมึงก็ไม่ฟังเต้นอยู่นั่นแหละ ไอ้บอยพูดพลางหัวเราะพลางอย่างสบายใจ "งั้นมึงเข้าไปดูสิว่า site มันเป็นอะไร" "ไหนมึงว่ามึงจะดูเองไง" "ไม่เอาแล้ว ถึงจะไม่ใช่งูแต่ขาก็ยังสั่นอยู่เลยวะ" สรุปว่าวันนั้นไอ้บอยต้องทำงานแทนผม โดยที่ผมไม่ยอมลงจากรถอีกเลย

แถมไอ้บอยพอขึ้นรถมาได้ ตอนขับรถออกมาจาก site มันหันมาถามผมว่า "เมื่อกี้มึงเปิดประตูรถทิ้งไว้หรือเปล่า" "มืดๆฝนตกใหม่ๆแบบนี้งูมันออกหากิน" "นี่ถ้ามันขึ้นมาอยู่บนรถพวกเราจะทำไง" มันพูดอย่างอารมณ์ดี แต่ผมต้องนั่งยกขาขึ้นมาไว้บนเบาะจนถึงที่พักเลยครับ วันนั้นมันหลอนจริงๆ

สมัย หก เจ็ดปีที่แล้วนั้นหนึ่งโซนจะมีรถสามคัน มีคนหกคน โดยผมได้ย้ายสลับกับพี่วุฒิ มาอยู่ NIM C เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้วิ่งทำงานคู่กับพี่หนุ่ม (ตอนนี้พี่หนุ่มย้ายไปอยู่ NIM บางกอกแล้ว) พี่หนุ่มจะให้ผมขับรถแกจะคอยบอกเส้นทาง "ขับไม่ไหวก็บอกนะน้อง" "สบายพี่ ไม่มีปัญหา" วันนั้นเรามีงานด่วนอีกแล้วพี่หนุ่มบอกผมว่า"เส้นจากแยกนาเหนือถึงแยกพนม ซัดได้เต็มที่ทุกโค้ง 120 ได้ทุกโค้ง" พี่หนุ่มบอกผมก่อนที่แกจะเอนเบาะลงนอน ผมก็ขับมาเรื่อยๆ และแล้วผมก็แตะเบรคก่อนถึงโค้งๆนึงพี่หนุ่ม ชะโงกหน้าขึ้นมาดูแล้วถามว่า

"เบรคทำไม 120 ได้ทุกโค้ง"
"ตอนจะถึงโค้งมัน เกือบ 140 แล้วพี่"
"เออ..แล้วก็ไม่บอก ขับเบาๆหน่อยไม่ต้องรีบ"
"อ้าวเห็นเมื่อกี้บอกให้รีบไง" "
ที่กูรีบกูหมายถึงรีบไปทำงานไม่ได้รีบไปตายโว๊ย"

ผมอยู่กับพี่หนุ่มเกือบๆสองเดือนโดยทำหน้าที่เป็นพลขับให้แกทุกวัน โดยปกติพี่หนุ่มจะติดเป๊บซี่มากต้องกินทุกวัน แล้วแกก็จะซื้อมาเผื่อผมทุกวันเช่นกัน สรุปว่าผมต้องกินเป๊ปซี่กะแกวันละหนึ่งกระป๋องเป็นอย่างน้อยทุกวัน จนผมติดไปด้วย แต่ก็ไม่เท่าไหร่ถ้าเทียบกับเหล้าที่พวกเรากินกันทุกเย็น

พี่หนุ่มแกจะอารมณ์ศิลปินพอๆกับผมเลยครับ มีวันนึงเราเสร็จงานจากอำเภอคุระบุรี กำลังจะขับรถกลับสุราษฎร์ ตอนนั้นเวลาประมาณห้าทุ่มกว่าๆแล้วพอมาถึงกลางทางพี่หนุ่มแกเห็นหิ่งห้อยที่ข้างทาง แกรีบบอกผมว่า"จอดๆๆๆๆๆ นอนดูหิ่งห้อยกันซักพักดีกว่า" ผมก็จอดครับ นอนดูหิ่งห้อยกันจนพอใจแล้วก็ค่อยกลับบ้าน(เชื่อมั้ยครับว่าหลังจากนั้นผมไม่เคยได้ดูหิ่งห้อยแบบนี้อีกเลย ต้องขอบคุณพี่หนุ่มไว้ด้วยนะเนี่ย)

บางครั้งขับผ่านน้ำตก พี่หนุ่มจะชวนผมลงไปเล่นน้ำตกกัน มีครั้งนึงพวกเราพยายามจับลูกอ๊อดตัวขนาดใหญ่มากๆ ที่น้ำตกแถวๆทับละมุ เอาใส่ขวดแม่โขงกลับมาด้วย "มันตัวใหญ่ดีอยากรู้ว่าถ้ามันโตแล้วมันจะใหญ่ขนาดไหน" แต่แล้วเราก็ลืมขวดใส่ลูกอ๊อดไว้ที่โรงแรม มานึกได้ตอนออกมาแล้ว พี่หนุ่มโทรกลับไปบอกให้แม่บ้านช่วยเอาไปปล่อยให้ด้วย จากการที่พวกเราพักโรงแรมกันจนเหมือนบ้าน พวกพนักงานต้อนรับก็จะรู้จักพวกเราเป็นอย่างดีเลยคุยกันได้แบบกันเองๆ เสียงพนักงานที่รับโทรศัพท์บอกมาว่า "ไม่ต้องบอกหรอกพี่ แม่บ้านขว้างทิ้งไปทั้งขวดตั้งแต่แรกเห็นแล้วละ ตอนแรกหนูก็ไม่รู้ว่าใครที่บ้าเอาลูกอ๊อดเข้าห้อง ที่แท้ก็พี่นี่เอง"

บางครั้งขับรถผ่านแถวๆตำบลนอกๆ จำได้ว่าเป็นบ้านลำแก่น แถวๆท้ายเหมืองจังหวัดพังงา ที่นี่จะมีโรงหนังแบบล้อมรั้ว เก็บคนละยี่สิบบาท พี่หนุ่มบอกให้ผมจอดแล้วเข้าไปนั่งดูหนังกัน ในโรงเป็นเก้าอี้ไม้ยาวๆ จอเป็นจอแบบหนังกางแปลงทั่วไป ทั้งโรงมีอยู่สี่ห้าคน ที่ผมประทับใจคือ ที่นี่เป็นโรงหนังที่เดียวที่ผมเคยเข้าไปดู ที่สามารถนั่งดูหนังไปพร้อมกับนั่งสูบบุหรี่ไปพร้อมๆกันได้โดยที่ไม่มีใครว่า

และมีอยู่วันนึงเรากลับจากแถวๆเขาหลักจะกลับสุราษฎร์อีกเช่นเคย "ถ้าไม่ไหวบอกพี่นะ" พี่หนุ่มบอกผมเหมือนทุกๆครั้ง แต่วันนี้เราทำงานหนัก แถมตอนนั้นก็เกือบๆจะตีสองแล้ว ผมขับมาจนถึงทางแยกที่จะไประนอง ผมง่วงมากๆ เลยสะกิดพี่หนุ่มที่นอนอยู่ข้างๆว่า"ผมไม่ไหวแล้วพี่" "ง่วงเหรอ" "ครับ" "งั้นจอดนอนข้างทางก่อนเลย" อ้าวไอ้เราก็คิดว่าแกจะช่วยขับกลับบ้านที่ไหนได้พอตื่นมาตอนเช้าล้างหน้าล้างตาเสร็จ ผมก็ต้องขับกลับต่ออีก

แถวๆสะพานสารสินจะมีร้านขายของฝากอยู่หลายร้านมากๆ และเป็นเรื่องปกติที่เวลาเราจะกลับสุราษฎร์จะต้องมีคนสั่งซื้อนู้นสั่งซื้อนี่เป็นประจำ เพราะบางอย่างราคามันจะถูกกว่าที่สุราษฎร์ ถึงจะถูกกว่าไม่เกินห้าบาทแต่หลายๆคนก็ชอบที่จะฝากพวกเราซื้อ วันนั้นผมแวะซื้อปลาเค็มกลับบ้าน พี่หนุ่มก็ลงไปด้วยแกเดินดูนู่นดูนี่ซักพักก็กลับมาที่รถ แกซื้อปูดำมาถุงนึงแต่ไม่รู้กี่กิโล

แกนั่งไปซักพักแกก็หันไปข้างหลังหยิบถุงปูขึ้นมาเปิดปากถุง "ให้มันหายใจหน่อย เดี๋ยวมันตายไปถึงบ้านจะไม่สด" ผมหันไปดูปูดำที่แกซื้อมาจะมีเชือกมัดก้ามมัดขาไว้เรียบร้อยเลยไม่สนใจอะไรมาก จนกระทั่งมาถึงจังหวัดพังงา ตอนแรกเราเปิดเพลงฟังกันมาเรื่อยก็ไม่มีอะไร แต่มันถึงช่วงที่เทปหมดหน้ากำลังจะกลับเทป เสียงในรถเลยเงียบ

พวกเราได้ยินเสียง แกรกๆ อยู่ด้านหลัง พอหันไปดูปรากฏว่าปูขอพี่หนุ่มมันหลุดออกมาจากเชือกได้ยังไงไม่รู้กำลังพยายามเดินกันอยู่ด้านหลัง พวกเราต้องจอดรถจับปูกันอีก คราวนี้พี่หนุ่มมัดปูกับปากถุงอย่างแน่นหนา "พี่ไม่กลัวมันตายเหรอ" "ไม่กลัวแล้ววะ..ดีนะที่เห็นก่อน นี่ถ้าไม่เห็นแล้วมันเดินลอดเบาะมาใต่ขาตอนที่ขับรถอยู่ พวกเราคงจะตายกันก่อนปูแน่ๆ"

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น