เมื่อปลายเดือนที่แล้ว ผมนั่งรถไฟไปเที่ยวลพบุรี ขากลับแวะลงมานั่งพักที่ชุมทางบ้านภาชีก่อนจะกลับอยุธยา ผมเดินทะลุออกมาด้านหลังสถานีเพื่อหาน้ำดื่มและได้เจอกับภาพนี้ ภาพที่ทำให้ผมคิดถึงตลาดท่าข้ามเมื่อซักยี่สิบปีที่แล้ว ในสมัยที่มีเสาอากาศโทรทัศน์อยู่บนหลังคาบ้านแทบจะทุกหลัง วันที่ยังมีร้านค้าเก่าๆเปิดขายของอยู่แบบนี้
วันนี้ได้เห็นภาพนี้แล้วคิดถึงความหลังเลยนำมาให้ชมกันครับ
นภดล มณีวัต
วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
การแบ่งเขตเวลา Time Zone ในสหรัฐอเมริกา
การแบ่งเขตเวลา Time Zone ในสหรัฐอเมริกา
ที่มา เหล่ากอพระกฤษณะ สมณะ ฅน สร้างภาพ
ประเทศสหรัฐอเมริกา มีเนื้อที่กว้างใหญ่ ซึ่งถ้าเทียบกันแล้วก็ใหญ่กว่าเมืองไทยเราถึง 9 เท่า ระยะทางจากตะวันออกไปตะวันตกไกลมาก จึงต้องมีการแบ่งเป็นเขตเวลา (Time Zones) ต่างๆ จะใช้เวลามาตรฐานเดียวแบบที่เมืองไทยคงไม่ได้
ถ้าไม่มีการแบ่งเขตเวลา ลองคิดดูว่าที่ New York ค่ำแล้ว แต่ที่ Los Angeles ยังบ่ายแดดเปรี้ยงอยู่ แล้วจะใช้เวลาหนึ่งทุ่มเหมือนกันก็คงแปลกๆ เพราะฉะนั้นเรามารู้จักการแบ่งเขตเวลาในอเมริกากันเลย
-------------------------------------------------------
เขตเวลาตะวันออก (Eastern Time Zone)
ครอบคลุมพื้นที่ทางตะวันออกทั้งหมดอย่างเช่น New York, Washington D.C., Florida โดยเวลาจะช้ากว่าเมืองไทย 12 ชั่วโมง ถ้าไทยเที่ยงวัน แถบนั้นก็เที่ยงคืนพอดี
เขตเวลาตอนกลาง (Central Time Zone)
จะถัดจากเขตตะวันออกเข้ามาในประเทศ ช้ากว่าเมืองไทย 13 ชั่วโมง ครอบคลุมพื้นที่ตอนกลางตั้งแต่เหนือจดใต้ โดยได้แก่พื้นที่รัฐ Illinois, North Dakota, Kansas, Texas เป็นต้น
เขตเวลาแถบภูเขา (Mountain Time Zone)
ตั้งตามลักษณะภูมิประเทศซึ่งมีเทือกเขาร็อคกี้ผ่านจากเม็กซิโกยาวไปถึงแคนาดา ทำให้เป็นที่มาของชื่อแถบภูเขา โดยเวลาจะช้ากว่าไทย 14 ชั่วโมง ได้แก่รัฐ Arizona, Colorado, Montana
เขตเวลาแปซิฟิค (Pacific Time Zone)
เขตเวลาทางตะวันตกสุดของประเทศ อยู่ริมมหาสมุทรแปซิฟิค (ทำไมตะวันออกเรียก Eastern แล้วตะวันตกไม่เรียก Western) เวลาจะช้ากว่าเมืองไทย 15 ชั่วโมง มีพื้นที่ตั้งแต่รัฐ Calirofornia ยาวขึ้นไปจนถึง Washington
นอกจาก Time Zones หลักทั้ง 4 นี้แล้ว ยังมีเขตเวลาพิเศษอีก 2 เขต ซึ่งไม่ค่อยคุ้นหูกันนักเพราะไม่ได้ใช่เขตเวลาหลักๆของประเทศ ได้แก่
- Alaskan Time Zone ช้ากว่าเมืองไทย 16 ชั่วโมง ครอบคลุมพื้นที่รัฐ Alaska
- Hawaiian Time Zone ช้ากว่าเมืองไทย 18 ชั่วโมง ครอบคลุมพื้นที่รัฐ Hawaii
ทั้งหมดนี้ก็คือเขตเวลาในประเทศสหรัฐอเมริกา ดินแดนที่กว้างใหญ่อีกแห่งหนึ่งของโลก หวังว่าคนที่อยากจะไปเรียนต่อคงจะได้ข้อมูลดีๆเพิ่มมากขึ้น
ที่มา เหล่ากอพระกฤษณะ สมณะ ฅน สร้างภาพ
ประเทศสหรัฐอเมริกา มีเนื้อที่กว้างใหญ่ ซึ่งถ้าเทียบกันแล้วก็ใหญ่กว่าเมืองไทยเราถึง 9 เท่า ระยะทางจากตะวันออกไปตะวันตกไกลมาก จึงต้องมีการแบ่งเป็นเขตเวลา (Time Zones) ต่างๆ จะใช้เวลามาตรฐานเดียวแบบที่เมืองไทยคงไม่ได้
ถ้าไม่มีการแบ่งเขตเวลา ลองคิดดูว่าที่ New York ค่ำแล้ว แต่ที่ Los Angeles ยังบ่ายแดดเปรี้ยงอยู่ แล้วจะใช้เวลาหนึ่งทุ่มเหมือนกันก็คงแปลกๆ เพราะฉะนั้นเรามารู้จักการแบ่งเขตเวลาในอเมริกากันเลย
-------------------------------------------------------
เขตเวลาตะวันออก (Eastern Time Zone)
ครอบคลุมพื้นที่ทางตะวันออกทั้งหมดอย่างเช่น New York, Washington D.C., Florida โดยเวลาจะช้ากว่าเมืองไทย 12 ชั่วโมง ถ้าไทยเที่ยงวัน แถบนั้นก็เที่ยงคืนพอดี
เขตเวลาตอนกลาง (Central Time Zone)
จะถัดจากเขตตะวันออกเข้ามาในประเทศ ช้ากว่าเมืองไทย 13 ชั่วโมง ครอบคลุมพื้นที่ตอนกลางตั้งแต่เหนือจดใต้ โดยได้แก่พื้นที่รัฐ Illinois, North Dakota, Kansas, Texas เป็นต้น
เขตเวลาแถบภูเขา (Mountain Time Zone)
ตั้งตามลักษณะภูมิประเทศซึ่งมีเทือกเขาร็อคกี้ผ่านจากเม็กซิโกยาวไปถึงแคนาดา ทำให้เป็นที่มาของชื่อแถบภูเขา โดยเวลาจะช้ากว่าไทย 14 ชั่วโมง ได้แก่รัฐ Arizona, Colorado, Montana
เขตเวลาแปซิฟิค (Pacific Time Zone)
เขตเวลาทางตะวันตกสุดของประเทศ อยู่ริมมหาสมุทรแปซิฟิค (ทำไมตะวันออกเรียก Eastern แล้วตะวันตกไม่เรียก Western) เวลาจะช้ากว่าเมืองไทย 15 ชั่วโมง มีพื้นที่ตั้งแต่รัฐ Calirofornia ยาวขึ้นไปจนถึง Washington
นอกจาก Time Zones หลักทั้ง 4 นี้แล้ว ยังมีเขตเวลาพิเศษอีก 2 เขต ซึ่งไม่ค่อยคุ้นหูกันนักเพราะไม่ได้ใช่เขตเวลาหลักๆของประเทศ ได้แก่
- Alaskan Time Zone ช้ากว่าเมืองไทย 16 ชั่วโมง ครอบคลุมพื้นที่รัฐ Alaska
- Hawaiian Time Zone ช้ากว่าเมืองไทย 18 ชั่วโมง ครอบคลุมพื้นที่รัฐ Hawaii
ทั้งหมดนี้ก็คือเขตเวลาในประเทศสหรัฐอเมริกา ดินแดนที่กว้างใหญ่อีกแห่งหนึ่งของโลก หวังว่าคนที่อยากจะไปเรียนต่อคงจะได้ข้อมูลดีๆเพิ่มมากขึ้น
วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ความหลังที่เพชรบุรี
สถานีเพชรบุรีในเวลาที่มีรถไฟเข้าสู่สถานี แม่ค้าพ่อค้าต่างก็เดินขายของกันอย่างคึกคัก ซึ่งเป็นเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของรถไฟไทย โดยการขายของข้างขบวนรถจะมีเวลาไม่นานนัก ขึ้นอยู่กับเวลาที่ขบวนรถจอดที่สถานีนั้นๆ การขายของของพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของตามสถานีรถไฟมีอยู่สองแบบ คือการเดินขายข้างรถที่สถานี กับการขึ้นไปเดินขายบนรถ เดินทางไปพร้อมๆกับขบวนรถ ซึ่งแม่ค้าพ่อค้าจะมีกำหนดชัดเจนเลยว่า จะขึ้นขบวนไหนไปลงที่ไหน แล้วจะขึ้นขบวนไหนกลับมา
ย้อนอดีตไปเมื่อเกือบๆยี่สิบปีที่แล้ว ในวันที่ผมยังเรียนไม่จบ(ซักที) ปีนั้นเพื่อนๆผมจบกันเกือบหมดแล้ว ส่วนผมเองก็เกือบจะจบเห่เอวัง เพราะเรียนมาจนหมดวิชาในคณะของตัวเองแล้วแต่เกรดก็ยังไม่ถึง 2.00 จึงยังไม่สามารถขอจบได้ ปีนั้นผมมีเรียนเทอมละหนึ่งวิชา เพื่อเก็บเกรดเฉลี่ยให้ได้ตามเกณฑ์ที่จะขอจบ แต่การอยู่ในกรุงเทพทั้งปีเพื่อเรียนเทอมละหนึ่งวิชานั้น ดูจะเป็นการโหดร้ายไปซักนิดสำหรับผู้ปกครองที่ต้องส่งเสียค่าใช้จ่าย ทั้งค่าที่พักค่ากินค่าใช้ ที่ต้องมารับภาระกับนักศึกษาที่ไม่จบตามเวลาอย่างผม
ช่วงนั้นเพื่อนชวนผมมาทำงานเป็นลูกจ้างรายวัน มีรายได้วันละ 200 บาทถ้วน วันไหนไม่มีงานก็จะไม่ได้เงิน สัปดาห์นึงมีงาน สี่วันบ้าง สามวันบ้างแล้วแต่ว่าจะมีของให้ทำงานหรือเปล่า แต่นั่นก็ดีกว่าที่ผมจะอยู่ในกรุงเทพที่มีค่าใช้จ่ายสูงมากๆโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแล้วรอเรียนแค่สัปดาห์ละครั้ง
ผมทำงานมีรายได้สัปดาห์ละ 600 - 800 บาท มันก็ยังพอที่จะใช้จ่ายและซื้อตั๋วรถไฟเดินทางขึ้นกรุงเทพ ในคืนวันพุธ แล้วกลับมาในคืนวันพฤหัส โดยทั้งสองคืนผมจะนอนบนรถไฟ กลับมาถึงก็ทำงานต่อเลย ผมทดลองเดินทางอยู่หลายขบวน จนมาลงตัวที่รถด่วนตรัง ที่มาถึงสุราษฎร์ธานีประมาณสามทุ่ม เพราะว่ารถชั้นสามของขบวนนี้จะมีผู้โดยสารน้อยกว่าขบวนอื่นๆ ผมสามารถเอาเบาะนั่งลงมาตั้งที่พื้น แล้วนอนยาวๆได้เลย หลับสบายๆแบบรถนอนชั้นสามที่ พวกซื้อตั๋วรถนั่งชั้นสองต้องอิจฉาเลยทีเดียว
ผมมาถึงกรุงเทพ ประมาณสิบโมงเช้า นั่งรถเมล์สาย 7 มาบ้านรุ่นน้องที่บางแค อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินทางไปเรียนตอนบ่ายสอง เลิกสี่โมงเย็น หลังจากนั้นผมก็นั่งรถเมล์ไปหัวลำโพง ซื้อตั๋วรถไฟขบวน กรุงเทพ - กันตัง เดินทางกลับถึงสุราษฎร์ธานีในตอนเช้าอีกวัน โดยผมใช้เวลานอนบนรถไฟสองคืน ใช้เวลาอยู่ในกรุงเทพหนึ่งวัน ที่เหลือก็มาทำงานบ้าง เที่ยวบ้าง ตามประสาวัยรุ่นในสมัยนั้น ผมใช้ชีวิตแบบนี้อยู่หนึ่งปีเต็มโดยไม่รู้จัดเหน็ดเหนื่อย อาจจะเป็นเพราะผมชอบรถไฟ ชอบเดินทาง และที่สำคัญได้ใช้ชีวิตแบบที่เรียกได้ว่าเผชิญชะตากรรมตามแบบหนังสือนิยายคาวบอยที่ชอบอ่าน ถึงแม้ว่าจะแตกต่างกันมากกับการขี่ม้ายิงปืนแบบในหนังสือ แต่การนั่งรถไฟชั้นสามไปกรุงเทพทุกสัปดาห์เป็นเวลาหนึ่งปีนั้น ให้อะไรกับผมมากมายจนทำให้ได้เป็นผมในวันนี้
มาถึงเรื่องที่จะเล่าเกี่ยวกับสถานีเพชรบุรีเสียที วันที่ผมกลับจากกรุงเทพนั้น ผมจะเดินทางกับรถเร็วกันตัง ออกจากสถานีกรุงเทพ 18:20 น. (ถ้าจำไม่ผิด) เวลานั้นเป็นเวลาที่สบายๆแล้วสำหรับผม เพราะไม่ต้องรีบ เรียนเสร็จแล้ว กำลังจะกลับบ้าน ในตอนนั้น ณ.จุดๆนั้นผมจะเหลือเงินอยู่ประมาณสองร้อยบาท ผมจะเปลี่ยนมันเป็น เหล้าหนึ่งแบนกับฉลามหนึ่งขวด น้ำเปล่าหนึ่งขวดนั่งกินมาเรื่อยๆคนเดียว ตอนนั้นเหล้ายังขายบนรถไฟได้เป็นปกติ ไม่ได้ห้ามเหมือนทุกวันนี้ เหล้าที่ขายบนรถไฟจะเป็นเหล้าราคาถูกๆ ยี่ห้อแบล๊ค แคท อันโด่งดังจากโฆษณา "ไอ้ฤทธิ์ กินแบล็ค" ที่ตอนนี้หายไปจากตลาดแล้ว เพราะว่าราคามันถูกเวลามาขายบนรถไฟแบนละ 100 บาทจะทำกำไรได้มาก หงสืทองหรือแสงทิพย์ ดังนั้นผมที่เป็นสาวกหงส์ทอง เลยต้องซื้อมาจากข้างล่าง ใส่กระเป๋าทหารที่ผมสะพายเป็นประจำขึ้นมานั่งกินบนรถ
ผมทำแบบนั้นอยู่หลายสัปดาห์ก็ได้รู้จักพ่อค้าขายขนมหม้อแกงคนนึง แกชื่อพี่อ้อย พี่อ้อยจะขึ้นจากสถานีศาลายา ขายขนมหม้อแกงมาบนรถเที่ยวนี้จนถึงเพชรบุรีในเวลาค่ำๆเป็นประจำทุกวัน ถ้าวันไหนขายดีก็จะเสร็จสิ้นภาระกิจประจำวันของแกเร็วหน่อย แกก็จะมานั่งพักสบายๆรอเวลารถเข้าสถานีเพชรบุรี วันนึงแกมานั่งข้างๆผม ผมก็ชวนแกคุยหรือแกชวนผมคุย ผมก็จำไม่ได้ จำได้แค่ว่าวันนั้นเมื่อเหล้าของผมหมดแบน แกก็ซื้อเหล้าบนรถมาอีกแบน กว่าจะถึงเพชรบุรีผมก็กรึ่มๆเต็มที เหล้าเพียวๆผสมฉลาม ซดแล้วตามด้วยน้ำเปล่า ระยะทางจากแถวๆนครปฐม ถึงเพชรบุรี หมดไปสองแบน ทั้งๆที่ถ้าผมนั่งคนเดียวเหล้าแบนนี้บางครั้งผมยังเหลือกลับมากินต่อที่บ้านได้อีกครึ่งนึงเลย
หลังจากนั้นทุกสัปดาห์ผมก็จะมีพี่อ้อยเป็นเพื่อนกินเหล้า ดูแกจะชอบนั่งกินกับผมด้วยเช่นกัน สังเกตจากช่วงหลังหม้อแกงแกจะเหลือมากน้อยแค่ไหนแกก็ไม่สนใจแล้ว ขึ้นจากศาลายกก็เดินมานั่งกับผมเลย บางครั้ง บางวันแกก็เอาหม้อแกงใส่ถุงบังคับให้เอากลับมากินที่บ้าน บางวันก็ติดลมจนผมลงรถไฟที่สุราษฎร์ธานีไม่มีเงินติดตัวซักบาท ต้องนั่งมอเตอร์ไซค์เข้าบ้านมาเอาเงินที่พ่อจ่ายค่ารถอยู่บ่อยๆ และผมก็ใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่หนึ่งปีเต็มๆจนกระทั่งผมเรียนจบ ส่วนจะจบยังไงนั้นว่างๆจะเล่าให้ฟังอีกทีนะครับ (เรื่องมันยาว)
เวลาผ่านไปจนถึงวันที่ผมรับปริญญา ในตอนนั้นผมทำงานประจำแล้วครับ ขึ้นไปรับที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ รับปริญญาเสร็จก็ให้พ่อ แม่ เดินทางกลับกันก่อน ผมเคลียร์เรื่องชุดที่เช่ามาอยู่ที่กรุงเทพต่ออีกวันแล้วถึงจะได้กลับบ้าน ตอนจะกลับก็อยากจะรำลึกความหลังด้วยการนั่งรถไฟขบวนเดิม ขบวนรถเร็วกรุงเทพ - กันตัง ที่ผมเคยนั่งอยู่ประจำเป็นปี และด้วยความหวังลึกๆว่าผมจะเจอพี่อ้อย อีกครั้ง คราวนี้ในกระเป๋าสะพายที่ผมนำติดตัวมา มีรีเจนซี่อยู่หนึ่งกลมกับอีกหนึ่งแบน คิดไว้ว่าจะนั่งกินกับพี่อ้อยซักแบน แล้วให้แกไว้อีกกลมเป็นของขวัญวันรับปริญญาของผมเอง และจะได้ขอบคุณแกด้วยที่นั่งเป็นเพื่อนดื่มเพื่อนคุยกับผมมาตลอด แต่วันนั้นเมื่อรถถึงศาลายาผมกลับไม่เจอพี่อ้อย
ผมถามน้องที่เดินขายผลไม้ ที่เคยซื้อมะม่วงตอนนั่งกินเหล้าว่าพี่อ้อยไม่มาเหรอ น้องคนนั้นบอกว่าพี่อ้อยเข้าโรงพยาบาล แกดื่มเหล้าเยอะ ช่วงหลังๆแกไม่ค่อยได้มาขายของ สุขภาพแกไม่ค่อยดีมาขายไม่ไหว ผมก็เลยซื้อมะม่วงหนึ่งถุงนั่งกินเงียบๆ โดยที่ไม่ได้แตะเหล้าที่เตรียมมาเลย และหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้นั่งรถไฟชั้นสามไป กลับ กรุงเทพอีกจนเกือบจะลืมๆเรื่องพี่อ้อยไปแล้ว เมื่อได้มานั่งเล่นที่สถานีเพชรบุรี จึงคิดถึงพี่อ้อยขึ้นมาอีกครั้ง
ผมนั่งอยู่ที่สถานีเพชรบุรีทั้งวัน นั่งมองพ่อค้าหรือคนที่เดินไปเดินมาเผื่อว่าจะเจอผู้ชายใส่แว่นตา ท่าทางใจดีคนนั้นอีกซักครั้ง แต่ก็ไม่มีวี่แวว สุดท้ายเรื่องราวของพี่อ้อยคงเป็นความทรงจำครั้งหนึ่งในชีวิตของผม ที่อยากจะนำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้เท่านั้นเองครับ
ย้อนอดีตไปเมื่อเกือบๆยี่สิบปีที่แล้ว ในวันที่ผมยังเรียนไม่จบ(ซักที) ปีนั้นเพื่อนๆผมจบกันเกือบหมดแล้ว ส่วนผมเองก็เกือบจะจบเห่เอวัง เพราะเรียนมาจนหมดวิชาในคณะของตัวเองแล้วแต่เกรดก็ยังไม่ถึง 2.00 จึงยังไม่สามารถขอจบได้ ปีนั้นผมมีเรียนเทอมละหนึ่งวิชา เพื่อเก็บเกรดเฉลี่ยให้ได้ตามเกณฑ์ที่จะขอจบ แต่การอยู่ในกรุงเทพทั้งปีเพื่อเรียนเทอมละหนึ่งวิชานั้น ดูจะเป็นการโหดร้ายไปซักนิดสำหรับผู้ปกครองที่ต้องส่งเสียค่าใช้จ่าย ทั้งค่าที่พักค่ากินค่าใช้ ที่ต้องมารับภาระกับนักศึกษาที่ไม่จบตามเวลาอย่างผม
ช่วงนั้นเพื่อนชวนผมมาทำงานเป็นลูกจ้างรายวัน มีรายได้วันละ 200 บาทถ้วน วันไหนไม่มีงานก็จะไม่ได้เงิน สัปดาห์นึงมีงาน สี่วันบ้าง สามวันบ้างแล้วแต่ว่าจะมีของให้ทำงานหรือเปล่า แต่นั่นก็ดีกว่าที่ผมจะอยู่ในกรุงเทพที่มีค่าใช้จ่ายสูงมากๆโดยที่ไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันแล้วรอเรียนแค่สัปดาห์ละครั้ง
ผมทำงานมีรายได้สัปดาห์ละ 600 - 800 บาท มันก็ยังพอที่จะใช้จ่ายและซื้อตั๋วรถไฟเดินทางขึ้นกรุงเทพ ในคืนวันพุธ แล้วกลับมาในคืนวันพฤหัส โดยทั้งสองคืนผมจะนอนบนรถไฟ กลับมาถึงก็ทำงานต่อเลย ผมทดลองเดินทางอยู่หลายขบวน จนมาลงตัวที่รถด่วนตรัง ที่มาถึงสุราษฎร์ธานีประมาณสามทุ่ม เพราะว่ารถชั้นสามของขบวนนี้จะมีผู้โดยสารน้อยกว่าขบวนอื่นๆ ผมสามารถเอาเบาะนั่งลงมาตั้งที่พื้น แล้วนอนยาวๆได้เลย หลับสบายๆแบบรถนอนชั้นสามที่ พวกซื้อตั๋วรถนั่งชั้นสองต้องอิจฉาเลยทีเดียว
ผมมาถึงกรุงเทพ ประมาณสิบโมงเช้า นั่งรถเมล์สาย 7 มาบ้านรุ่นน้องที่บางแค อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แล้วเดินทางไปเรียนตอนบ่ายสอง เลิกสี่โมงเย็น หลังจากนั้นผมก็นั่งรถเมล์ไปหัวลำโพง ซื้อตั๋วรถไฟขบวน กรุงเทพ - กันตัง เดินทางกลับถึงสุราษฎร์ธานีในตอนเช้าอีกวัน โดยผมใช้เวลานอนบนรถไฟสองคืน ใช้เวลาอยู่ในกรุงเทพหนึ่งวัน ที่เหลือก็มาทำงานบ้าง เที่ยวบ้าง ตามประสาวัยรุ่นในสมัยนั้น ผมใช้ชีวิตแบบนี้อยู่หนึ่งปีเต็มโดยไม่รู้จัดเหน็ดเหนื่อย อาจจะเป็นเพราะผมชอบรถไฟ ชอบเดินทาง และที่สำคัญได้ใช้ชีวิตแบบที่เรียกได้ว่าเผชิญชะตากรรมตามแบบหนังสือนิยายคาวบอยที่ชอบอ่าน ถึงแม้ว่าจะแตกต่างกันมากกับการขี่ม้ายิงปืนแบบในหนังสือ แต่การนั่งรถไฟชั้นสามไปกรุงเทพทุกสัปดาห์เป็นเวลาหนึ่งปีนั้น ให้อะไรกับผมมากมายจนทำให้ได้เป็นผมในวันนี้
มาถึงเรื่องที่จะเล่าเกี่ยวกับสถานีเพชรบุรีเสียที วันที่ผมกลับจากกรุงเทพนั้น ผมจะเดินทางกับรถเร็วกันตัง ออกจากสถานีกรุงเทพ 18:20 น. (ถ้าจำไม่ผิด) เวลานั้นเป็นเวลาที่สบายๆแล้วสำหรับผม เพราะไม่ต้องรีบ เรียนเสร็จแล้ว กำลังจะกลับบ้าน ในตอนนั้น ณ.จุดๆนั้นผมจะเหลือเงินอยู่ประมาณสองร้อยบาท ผมจะเปลี่ยนมันเป็น เหล้าหนึ่งแบนกับฉลามหนึ่งขวด น้ำเปล่าหนึ่งขวดนั่งกินมาเรื่อยๆคนเดียว ตอนนั้นเหล้ายังขายบนรถไฟได้เป็นปกติ ไม่ได้ห้ามเหมือนทุกวันนี้ เหล้าที่ขายบนรถไฟจะเป็นเหล้าราคาถูกๆ ยี่ห้อแบล๊ค แคท อันโด่งดังจากโฆษณา "ไอ้ฤทธิ์ กินแบล็ค" ที่ตอนนี้หายไปจากตลาดแล้ว เพราะว่าราคามันถูกเวลามาขายบนรถไฟแบนละ 100 บาทจะทำกำไรได้มาก หงสืทองหรือแสงทิพย์ ดังนั้นผมที่เป็นสาวกหงส์ทอง เลยต้องซื้อมาจากข้างล่าง ใส่กระเป๋าทหารที่ผมสะพายเป็นประจำขึ้นมานั่งกินบนรถ
ผมทำแบบนั้นอยู่หลายสัปดาห์ก็ได้รู้จักพ่อค้าขายขนมหม้อแกงคนนึง แกชื่อพี่อ้อย พี่อ้อยจะขึ้นจากสถานีศาลายา ขายขนมหม้อแกงมาบนรถเที่ยวนี้จนถึงเพชรบุรีในเวลาค่ำๆเป็นประจำทุกวัน ถ้าวันไหนขายดีก็จะเสร็จสิ้นภาระกิจประจำวันของแกเร็วหน่อย แกก็จะมานั่งพักสบายๆรอเวลารถเข้าสถานีเพชรบุรี วันนึงแกมานั่งข้างๆผม ผมก็ชวนแกคุยหรือแกชวนผมคุย ผมก็จำไม่ได้ จำได้แค่ว่าวันนั้นเมื่อเหล้าของผมหมดแบน แกก็ซื้อเหล้าบนรถมาอีกแบน กว่าจะถึงเพชรบุรีผมก็กรึ่มๆเต็มที เหล้าเพียวๆผสมฉลาม ซดแล้วตามด้วยน้ำเปล่า ระยะทางจากแถวๆนครปฐม ถึงเพชรบุรี หมดไปสองแบน ทั้งๆที่ถ้าผมนั่งคนเดียวเหล้าแบนนี้บางครั้งผมยังเหลือกลับมากินต่อที่บ้านได้อีกครึ่งนึงเลย
หลังจากนั้นทุกสัปดาห์ผมก็จะมีพี่อ้อยเป็นเพื่อนกินเหล้า ดูแกจะชอบนั่งกินกับผมด้วยเช่นกัน สังเกตจากช่วงหลังหม้อแกงแกจะเหลือมากน้อยแค่ไหนแกก็ไม่สนใจแล้ว ขึ้นจากศาลายกก็เดินมานั่งกับผมเลย บางครั้ง บางวันแกก็เอาหม้อแกงใส่ถุงบังคับให้เอากลับมากินที่บ้าน บางวันก็ติดลมจนผมลงรถไฟที่สุราษฎร์ธานีไม่มีเงินติดตัวซักบาท ต้องนั่งมอเตอร์ไซค์เข้าบ้านมาเอาเงินที่พ่อจ่ายค่ารถอยู่บ่อยๆ และผมก็ใช้ชีวิตแบบนั้นอยู่หนึ่งปีเต็มๆจนกระทั่งผมเรียนจบ ส่วนจะจบยังไงนั้นว่างๆจะเล่าให้ฟังอีกทีนะครับ (เรื่องมันยาว)
เวลาผ่านไปจนถึงวันที่ผมรับปริญญา ในตอนนั้นผมทำงานประจำแล้วครับ ขึ้นไปรับที่ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์ รับปริญญาเสร็จก็ให้พ่อ แม่ เดินทางกลับกันก่อน ผมเคลียร์เรื่องชุดที่เช่ามาอยู่ที่กรุงเทพต่ออีกวันแล้วถึงจะได้กลับบ้าน ตอนจะกลับก็อยากจะรำลึกความหลังด้วยการนั่งรถไฟขบวนเดิม ขบวนรถเร็วกรุงเทพ - กันตัง ที่ผมเคยนั่งอยู่ประจำเป็นปี และด้วยความหวังลึกๆว่าผมจะเจอพี่อ้อย อีกครั้ง คราวนี้ในกระเป๋าสะพายที่ผมนำติดตัวมา มีรีเจนซี่อยู่หนึ่งกลมกับอีกหนึ่งแบน คิดไว้ว่าจะนั่งกินกับพี่อ้อยซักแบน แล้วให้แกไว้อีกกลมเป็นของขวัญวันรับปริญญาของผมเอง และจะได้ขอบคุณแกด้วยที่นั่งเป็นเพื่อนดื่มเพื่อนคุยกับผมมาตลอด แต่วันนั้นเมื่อรถถึงศาลายาผมกลับไม่เจอพี่อ้อย
ผมถามน้องที่เดินขายผลไม้ ที่เคยซื้อมะม่วงตอนนั่งกินเหล้าว่าพี่อ้อยไม่มาเหรอ น้องคนนั้นบอกว่าพี่อ้อยเข้าโรงพยาบาล แกดื่มเหล้าเยอะ ช่วงหลังๆแกไม่ค่อยได้มาขายของ สุขภาพแกไม่ค่อยดีมาขายไม่ไหว ผมก็เลยซื้อมะม่วงหนึ่งถุงนั่งกินเงียบๆ โดยที่ไม่ได้แตะเหล้าที่เตรียมมาเลย และหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้นั่งรถไฟชั้นสามไป กลับ กรุงเทพอีกจนเกือบจะลืมๆเรื่องพี่อ้อยไปแล้ว เมื่อได้มานั่งเล่นที่สถานีเพชรบุรี จึงคิดถึงพี่อ้อยขึ้นมาอีกครั้ง
ผมนั่งอยู่ที่สถานีเพชรบุรีทั้งวัน นั่งมองพ่อค้าหรือคนที่เดินไปเดินมาเผื่อว่าจะเจอผู้ชายใส่แว่นตา ท่าทางใจดีคนนั้นอีกซักครั้ง แต่ก็ไม่มีวี่แวว สุดท้ายเรื่องราวของพี่อ้อยคงเป็นความทรงจำครั้งหนึ่งในชีวิตของผม ที่อยากจะนำมาเล่าสู่กันฟังในวันนี้เท่านั้นเองครับ
วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
มวนชิด กระสุนพระอินทร์ หรือกิ้งกือกระสุน
วันนี้เข้าไปตัดหญ้าในสวนหลังบ้าน พอดีเหลือบไปเห็นเจ้าตัวนี้เข้า ผมจึงต้องหยุดนั่งเล่นกับมันอยู่พักใหญ่ๆ เจ้าตัวนี้บ้านผมเรียก "มวนชิด" หรือที่ภาษาทางการ ทางสุพรรณ เรียก "กระสุนพระอินทร์"หรือ"กิ้งกือกระสุน" เวลามันตกใจมันจะม้วนตัวจนเป็นวงกลม และนี่คงเป็นที่มาของชื่อ ม้วนชิด หรือมวนชิด
เจ้าตัวนี้ในสมัยผมยังเด็กมันมีมากมายเหลือเกิน ในสวนยางหลังบ้าน เรียกว่าเดินไปทางไหนต้องเจอพวกมัน ในสมัยเด็กๆผมจะเอามันมาเล่นหมากเก็บ แทนก้อนหิน หรือไม่ก็เอามันมากลิ้งเล่นตามทางที่ทำเอาไว้ บางครั้งก็เอามาขว้างใส่กัน
จนกระทั่งเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จับมือกับพ่อค้ายาฆ่าหญ้า ฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมี ยัดเยียดให้เกษตรกรต้องใช้สารเคมี โดยมีข้าราชการเป็นตัวแทน ทำการประชาสัมพันธ์ให้ ได้สร้างความบรรลัยให้กับระบบนิเวศน์ จนแทบไม่เหลืออะไรให้ลูกหลานได้ดูจนถึงทุกวันนี้ เริ่มจากมองไปทางไหนก็เห็นแต่หญ้าแห้งตาย ปลาช่อนในห้วยเริ่มเปิ่อยเป็นแผล เพราะสารเคมีไหลลงไปในน้ำ แต่สมัยนี้ผมไม่เห็นปลาเปื่อยอีกแล้ว คงเป็นเพราะรุ่นลูก รุ่นหลานมันคงปรับตัวได้แล้ว
สัตว์เล็กสัตว์น้อยบนดิน เช่นพวกตั๊กแตนที่ผมเคยจับมาเกี่ยวเบ็ดตกปลาก็ไม่มีให้เห็น ผมเคยเห็นนกที่เมายาฆ่าหญ้า ฆ่าแมลง บินหัวทิ่มมาแล้ว หลังจากที่เขาฉีดยาเสร็จ ดังนั้นผมจึงเกลียดการใช้สารเคมีมากๆ ไม่ว่ามันจะเป็นแบบไหนก็ตาม จนในสิบปีที่ผ่านมา ที่บ้านผมเลิกใช้สารเคมีโดยเด็ดขาด ทำให้ดินที่เคยแข็งจากการใส่ปุ๋ยเคมี กลับมาร่วนซุย มีไส้เดือนมาอยู่ เริ่มมีแมลงปอ บินให้เห็น ตั๊กแตนมีมากขึ้น จนกระทั่งมีนกมาอยู่มากมายรอบๆบ้าน อย่างที่เคยถ่ายภาพให้ชมกัน
และถึงบ้านผมจะเลิกใช้สารเคมี แต่บริเวณใกล้เคียงก็ใช้กันเป็นปกติ ผมเองก็คงจะห้ามใครไม่ได้ ยิ่งเศรษฐกิจแบบนี้ พวกสารกระตุ้นต่างๆยิ่งขายดี ใครๆก็อยากเพิ่มผลผลิต อยากได้เยอะๆ อยากรวย แต่ผมคิดว่ามันก็เพิ่มมาแค่พอหาเงินไปจ่ายค่ายาเท่านั้นเอง ทีวีหนังสือต่างๆ โฆษณาปั่นหัวกันทุกวัน ใช้แล้วลูกดก ใช้แล้วหัวใหญ่ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ได้ช่วยเกษตรกรเลย ผลดก ต้องเพิ่มแรงงาน ฉีดหัวเชื้อ ต้องจ้างคนฉีด เพิ่มต้นทุนค่าขนส่ง เพิ่มรายจ่ายขึ้นมาอีก หักกลบลบหนี้แล้วอาจจะกำไรเพิ่มขึ้นนิดหน่อย หรืออาจจะเท่าทุน
แต่ที่ขาดทุนแน่ๆคือสุขภาพ ขาดทุนสุนทรียภาพ ในการใช้ชีวิต ... มวนชิดตัวเดียว บ่นมาได้ขนาดนี้ หรือเราจะแก่ไปแล้วจริงๆ
เจ้าตัวนี้ในสมัยผมยังเด็กมันมีมากมายเหลือเกิน ในสวนยางหลังบ้าน เรียกว่าเดินไปทางไหนต้องเจอพวกมัน ในสมัยเด็กๆผมจะเอามันมาเล่นหมากเก็บ แทนก้อนหิน หรือไม่ก็เอามันมากลิ้งเล่นตามทางที่ทำเอาไว้ บางครั้งก็เอามาขว้างใส่กัน
จนกระทั่งเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว กระทรวงเกษตรและสหกรณ์จับมือกับพ่อค้ายาฆ่าหญ้า ฆ่าแมลงและปุ๋ยเคมี ยัดเยียดให้เกษตรกรต้องใช้สารเคมี โดยมีข้าราชการเป็นตัวแทน ทำการประชาสัมพันธ์ให้ ได้สร้างความบรรลัยให้กับระบบนิเวศน์ จนแทบไม่เหลืออะไรให้ลูกหลานได้ดูจนถึงทุกวันนี้ เริ่มจากมองไปทางไหนก็เห็นแต่หญ้าแห้งตาย ปลาช่อนในห้วยเริ่มเปิ่อยเป็นแผล เพราะสารเคมีไหลลงไปในน้ำ แต่สมัยนี้ผมไม่เห็นปลาเปื่อยอีกแล้ว คงเป็นเพราะรุ่นลูก รุ่นหลานมันคงปรับตัวได้แล้ว
สัตว์เล็กสัตว์น้อยบนดิน เช่นพวกตั๊กแตนที่ผมเคยจับมาเกี่ยวเบ็ดตกปลาก็ไม่มีให้เห็น ผมเคยเห็นนกที่เมายาฆ่าหญ้า ฆ่าแมลง บินหัวทิ่มมาแล้ว หลังจากที่เขาฉีดยาเสร็จ ดังนั้นผมจึงเกลียดการใช้สารเคมีมากๆ ไม่ว่ามันจะเป็นแบบไหนก็ตาม จนในสิบปีที่ผ่านมา ที่บ้านผมเลิกใช้สารเคมีโดยเด็ดขาด ทำให้ดินที่เคยแข็งจากการใส่ปุ๋ยเคมี กลับมาร่วนซุย มีไส้เดือนมาอยู่ เริ่มมีแมลงปอ บินให้เห็น ตั๊กแตนมีมากขึ้น จนกระทั่งมีนกมาอยู่มากมายรอบๆบ้าน อย่างที่เคยถ่ายภาพให้ชมกัน
และถึงบ้านผมจะเลิกใช้สารเคมี แต่บริเวณใกล้เคียงก็ใช้กันเป็นปกติ ผมเองก็คงจะห้ามใครไม่ได้ ยิ่งเศรษฐกิจแบบนี้ พวกสารกระตุ้นต่างๆยิ่งขายดี ใครๆก็อยากเพิ่มผลผลิต อยากได้เยอะๆ อยากรวย แต่ผมคิดว่ามันก็เพิ่มมาแค่พอหาเงินไปจ่ายค่ายาเท่านั้นเอง ทีวีหนังสือต่างๆ โฆษณาปั่นหัวกันทุกวัน ใช้แล้วลูกดก ใช้แล้วหัวใหญ่ ซึ่งจริงๆแล้วไม่ได้ช่วยเกษตรกรเลย ผลดก ต้องเพิ่มแรงงาน ฉีดหัวเชื้อ ต้องจ้างคนฉีด เพิ่มต้นทุนค่าขนส่ง เพิ่มรายจ่ายขึ้นมาอีก หักกลบลบหนี้แล้วอาจจะกำไรเพิ่มขึ้นนิดหน่อย หรืออาจจะเท่าทุน
แต่ที่ขาดทุนแน่ๆคือสุขภาพ ขาดทุนสุนทรียภาพ ในการใช้ชีวิต ... มวนชิดตัวเดียว บ่นมาได้ขนาดนี้ หรือเราจะแก่ไปแล้วจริงๆ
เจ้าวัวน้อย สถานีเพชรบุรี
วันที่ผมนั่งเล่นอยู่ที่สถานีเพชรบุรี เป็นวันที่อากาศร้อนมากๆ ช่วงบ่ายมีฝนตก พอฝนหยุดฟ้าก็ครึ้มตลอดทั้งวัน ทำให้ถ่ายภาพได้ไม่สวยนัก แต่ก็ได้เห็นบรรยากาศอื่นๆอีกมากมาย รอบๆสถานี ผมนั่งถ่ายภาพนกแถวๆนั้นจนเบื่อก็ได้ยินเสียงประกาศว่าจะมีรถเข้ามา เป็นรถธรรมดา กรุงเทพ - ประจวบคีรีขันธ์ ผมก็เริ่มเตรียมตัวถ่ายภาพเหมือนเดิม ขบวนรถเที่ยวนี้เข้ามาในรางที่สอง ด้วยความช้าจนอาจจะเรียกว่า เลื้อยเข้ามาก็ได้ เพราะดูสภาพรางแล้วเหมือนจะเพิ่งเปลี่ยนหมอน เปลี่ยนราง ยังไม่ได้ดึงรางอัดหิน
คราวนี้ได้ยินเสียงตะโกน "เฮ้ยๆๆๆ" ดังๆมาจากฝั่งตรงข้าม มองตามเสียงไปก็เจอเจ้าตัวนี้กำลังวิ่งไปวิ่งมาอยู่บนรางรถไฟ มันคงจะตกใจเสียงของเจ้าของที่ไล่ต้อนมันอยู่ ด้วยความกลัวว่าจะโดนรถไฟชน ถ้าโดนรถไฟชนบนรางหน้าสถานีในย่านแบบนี้ คงไม่ต้องถามว่าใครผิด
แต่ที่น่าชื่นชมคือ พนักงานรถไฟ ทั้ง พขร.แฃะ ชค. ครับ ที่ไม่เปิดหวีด เพราะถ้าเปิดหวีดวัวตัวนี้คงจะตกใจ เตลิดไปมากกว่านี้แน่นอน ดีไม่ดีอาจจะวิ่งมาทางผมก็ได้ และในที่สุด เจ้าวัวตัวนี้ก็วิ่งหลบกลับไปได้ทัน ไม่โดนรถไฟชน ผมเหลือบไปเห็นสีหน้าเจ้าของวัวที่วิ่งตามมา แสดงออกว่าโล่งใจเป็นอย่างมาก
ไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวนี้จะออกมาหากินแบบนี้เป็นประจำหรือเปล่า เพราะตอนเย็นๆผมยังเห็นวัวตัวขนาดนี้ อีกสองตัว สีขาวและสีดำ เดินเคียงคู่กันข้ามทางรถไฟ มาหากินที่ริมถนนด้านโรงพยาบาล สงสัยว่าจะเป็นเจ้าถิ่นที่หากินอยู่แถวนี้เป็นปกติ
การได้มานั่งอยู่แถวๆนี้ทั้งวันทำให้ได้เห็นอะไรๆมากมาย เป็นแบบที่ผมชอบ คือนั่งเฉยๆ มองไปรอบๆ นั่งเงียบๆคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อย จนรู้สึกว่าอิ่ม ถึงจะกลับ เหมือนกับที่สมัยก่อนผมนั่งเล่นเดินเล่นอยู่ที่สถานีสุราษฎร์ธานีได้ทั้งวัน โดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ถึงไปอยู่แบบนั้นได้ทั้งวัน
คราวนี้ได้ยินเสียงตะโกน "เฮ้ยๆๆๆ" ดังๆมาจากฝั่งตรงข้าม มองตามเสียงไปก็เจอเจ้าตัวนี้กำลังวิ่งไปวิ่งมาอยู่บนรางรถไฟ มันคงจะตกใจเสียงของเจ้าของที่ไล่ต้อนมันอยู่ ด้วยความกลัวว่าจะโดนรถไฟชน ถ้าโดนรถไฟชนบนรางหน้าสถานีในย่านแบบนี้ คงไม่ต้องถามว่าใครผิด
แต่ที่น่าชื่นชมคือ พนักงานรถไฟ ทั้ง พขร.แฃะ ชค. ครับ ที่ไม่เปิดหวีด เพราะถ้าเปิดหวีดวัวตัวนี้คงจะตกใจ เตลิดไปมากกว่านี้แน่นอน ดีไม่ดีอาจจะวิ่งมาทางผมก็ได้ และในที่สุด เจ้าวัวตัวนี้ก็วิ่งหลบกลับไปได้ทัน ไม่โดนรถไฟชน ผมเหลือบไปเห็นสีหน้าเจ้าของวัวที่วิ่งตามมา แสดงออกว่าโล่งใจเป็นอย่างมาก
ไม่แน่ใจว่าเจ้าตัวนี้จะออกมาหากินแบบนี้เป็นประจำหรือเปล่า เพราะตอนเย็นๆผมยังเห็นวัวตัวขนาดนี้ อีกสองตัว สีขาวและสีดำ เดินเคียงคู่กันข้ามทางรถไฟ มาหากินที่ริมถนนด้านโรงพยาบาล สงสัยว่าจะเป็นเจ้าถิ่นที่หากินอยู่แถวนี้เป็นปกติ
การได้มานั่งอยู่แถวๆนี้ทั้งวันทำให้ได้เห็นอะไรๆมากมาย เป็นแบบที่ผมชอบ คือนั่งเฉยๆ มองไปรอบๆ นั่งเงียบๆคิดนั่นคิดนี่ไปเรื่อย จนรู้สึกว่าอิ่ม ถึงจะกลับ เหมือนกับที่สมัยก่อนผมนั่งเล่นเดินเล่นอยู่ที่สถานีสุราษฎร์ธานีได้ทั้งวัน โดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ถึงไปอยู่แบบนั้นได้ทั้งวัน
วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
คุณยายขายถั่วต้ม เพชรบุรี
คุณยายขายถั่วต้ม เพชรบุรี
เมื่อวันที่ 25/5/2558 ผมว่างจัด ว่างมาก ว่างจนไม่รู้จะทำอะไร เลยไปนั่งๆนอนๆ เล่นที่สถานีรถไฟเพชรบุรี การไปนั่งเล่นของผมคือไปนั่งจริงๆ นั่งดูสภาพทั่ไป นั่งดูรถไฟ นั่งดูผู้คนรอบๆสถานี นั่งดูแม่ค้า พ่อค้า ผู้โดยสาร เพราะการที่ได้อยู่ที่สถานีรถไฟมันเหมือนได้เห็นความเป็นไปของเมือง ได้เห็นชีวิตของผู้คนได้ชัดเจนพอๆกับการไปเดินตลาดตอนเช้าเลยทีเดียว
ผมมาถึงสถานีเพชรบุรีตั้งแต่เที่ยง แวะฝากท้องกับร้่านข้าวแกง ตามสั่งหน้าสถานี ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้านพักรถไฟ อาหารรสชาติดี ปริมาณใช้ได้ ขนาดควายๆอย่างผมกินอิ่ม คั่วกลิ้งหมู บวกไข่ดาว 35 บาท ถือว่าเป็นอาหารราคายุติธรรมเลยทีเดียว พูดถึงเรื่องราคาอาหาร ผมไม่เคยคิดว่าร้านไหนขายถูกแล้วจะดีเลยนะครับ บางร้านติดป้ายก๊วยเตี๋ยว ราคา 10 บาทเท่านั้น ตัวใหญ่ๆเพื่อโฆษณาว่าตัวเองขายถูก แต่ปริมาณเอาตะเกียบลงไปหมุนๆพันขึ้นมาทีเดียวก็หมดแล้ว กินสี่ชามยังไม่อิ่ม แต่ถ้าเทียบกับร้านก๊วยเตี๋ยวทางเหนือที่ยืนพื้นราคาที่ 30 บาท แต่ชามเดียวอิ่มทั้งวัน ผมว่าอย่าหลังราคาถูกกว่าแน่นอน
จะเล่าเรื่องยาย มาออกเรื่องอาหารตามสั่งซะงั้น จริงๆแล้ววัยอย่างผมแทบจะเรียกใครว่ายายได้น้อยคนแล้วครับ ส่วนมากก็เรียกป้า เพราะอายุมากกว่าพ่อกับแม่ผมเท่านั้นเอง ส่วนรุ่นย่า ยาย จริงๆก็คงจะไปสู่สรวงสวรรค์กันหมดแล้ว ผมกินข้าวเสร็จก็มานั่งเล่นที่ใต้ต้นไม้ริมทาง นั่งมองสถานที่ ดูทางหนีทีไล่ เหมือนกับทุกๆที่ที่ผมเพิ่งเคยไปครั้งแรก แล้วผมก็ได้ยินเสียงประกาศของสถานี ว่าจะมีรถไฟเข้ามา เป็นรถธรรมดา กรุงเทพ - หัวหิน ผมจึงหยิบกล้องขึ้นมาจัดเตรียมความพร้อม หามุมที่จะถ่ายภาพ
คุณยายขายถั่วต้ม สถานีรถไฟเพชรบุรี
ในขณะที่ผมมองผ่านช่องมองภาพ เลือกมุมที่จะถ่ายภาพ ผมก็เห็นคุณยายท่านนี้ในช่องมองภาพ แล้วผมก็ถ่ายแกมา เมื่อยายเดินมาใกล้ๆผมก็ถามซื้อถั่วต้ม แกขายถุงละ 10 บาท ผมซื้อของแกมา 2 ถุง และด้วยความที่แกอายุมาก ตาก็คงจะไม่ค่อยดี แกหยิบส่งมาให้ผมสามถุง ผมก็คืนแกไปถุงนึง แกก็ขอบใจ แล้วบอกผมว่านี่ไม่รู้จะทันขายที่รถหรือเปล่า ผมบอกว่าทันสิครับ เครื่องกั้นเพิ่งลงเอง แกยิ้มๆแต่ไม่พูดอะไร แล้วแกก็ค่อยๆเดินไปที่หน้าสถานี
ขบวนรถธรรมดาที่ 261 กรุงเทพ - หัวหิน
ขบวนรถที่เข้ามาเป็นดีเซลรางครับ ขับมาเร็ว รถสั้น ผมมองตามหลังคุณยายไปที่หน้าสถานี แกยังเดินไม่ถึงขบวนรถ พอสถานีประกาศปล่อยขบวนรถ แกเพิ่งเดินไปถึง และเมื่อรถออกไป แกขายใครไม่ได้เลย นี่ถ้าผมมีเงินเยอะๆเหมือนเมื่อก่อน ผมจะเหมาของแกทั้งหมดเลย แต่พอคิดอีกทีถ้าผมมีเงินเยอะๆเหมือนเมื่อก่อน ผมคงไม่มีเวลามานั่งบ้าอยู่ที่สถานีรถไฟทั้งวันแบบนี้แน่ๆ ถ้าใครไปใช้บริการสถานีรถไฟเพชรบุรี หรือเดินทางผ่านสถานนีในตอนกลางวัน ถ้าสะดวกไม่ติดขัดอะไรก็ช่วยอุดหนุนคุณยายด้วยนะครับ ถั่วต้มอร่อยดี ผมลองมาแล้วครับ
ปล . แกน่าจะมีร้านขายของอยู่แถวๆริมทางรถไฟตรงโรงพยาบาล การเดินขายของน่าจะเป็นงานอดิเรก ( รอบหน้าจะไปเดินดูอีกทีครับ)
นภดล มณีวัต
เมื่อวันที่ 25/5/2558 ผมว่างจัด ว่างมาก ว่างจนไม่รู้จะทำอะไร เลยไปนั่งๆนอนๆ เล่นที่สถานีรถไฟเพชรบุรี การไปนั่งเล่นของผมคือไปนั่งจริงๆ นั่งดูสภาพทั่ไป นั่งดูรถไฟ นั่งดูผู้คนรอบๆสถานี นั่งดูแม่ค้า พ่อค้า ผู้โดยสาร เพราะการที่ได้อยู่ที่สถานีรถไฟมันเหมือนได้เห็นความเป็นไปของเมือง ได้เห็นชีวิตของผู้คนได้ชัดเจนพอๆกับการไปเดินตลาดตอนเช้าเลยทีเดียว
ผมมาถึงสถานีเพชรบุรีตั้งแต่เที่ยง แวะฝากท้องกับร้่านข้าวแกง ตามสั่งหน้าสถานี ซึ่งอยู่ในบริเวณบ้านพักรถไฟ อาหารรสชาติดี ปริมาณใช้ได้ ขนาดควายๆอย่างผมกินอิ่ม คั่วกลิ้งหมู บวกไข่ดาว 35 บาท ถือว่าเป็นอาหารราคายุติธรรมเลยทีเดียว พูดถึงเรื่องราคาอาหาร ผมไม่เคยคิดว่าร้านไหนขายถูกแล้วจะดีเลยนะครับ บางร้านติดป้ายก๊วยเตี๋ยว ราคา 10 บาทเท่านั้น ตัวใหญ่ๆเพื่อโฆษณาว่าตัวเองขายถูก แต่ปริมาณเอาตะเกียบลงไปหมุนๆพันขึ้นมาทีเดียวก็หมดแล้ว กินสี่ชามยังไม่อิ่ม แต่ถ้าเทียบกับร้านก๊วยเตี๋ยวทางเหนือที่ยืนพื้นราคาที่ 30 บาท แต่ชามเดียวอิ่มทั้งวัน ผมว่าอย่าหลังราคาถูกกว่าแน่นอน
จะเล่าเรื่องยาย มาออกเรื่องอาหารตามสั่งซะงั้น จริงๆแล้ววัยอย่างผมแทบจะเรียกใครว่ายายได้น้อยคนแล้วครับ ส่วนมากก็เรียกป้า เพราะอายุมากกว่าพ่อกับแม่ผมเท่านั้นเอง ส่วนรุ่นย่า ยาย จริงๆก็คงจะไปสู่สรวงสวรรค์กันหมดแล้ว ผมกินข้าวเสร็จก็มานั่งเล่นที่ใต้ต้นไม้ริมทาง นั่งมองสถานที่ ดูทางหนีทีไล่ เหมือนกับทุกๆที่ที่ผมเพิ่งเคยไปครั้งแรก แล้วผมก็ได้ยินเสียงประกาศของสถานี ว่าจะมีรถไฟเข้ามา เป็นรถธรรมดา กรุงเทพ - หัวหิน ผมจึงหยิบกล้องขึ้นมาจัดเตรียมความพร้อม หามุมที่จะถ่ายภาพ
คุณยายขายถั่วต้ม สถานีรถไฟเพชรบุรี
ในขณะที่ผมมองผ่านช่องมองภาพ เลือกมุมที่จะถ่ายภาพ ผมก็เห็นคุณยายท่านนี้ในช่องมองภาพ แล้วผมก็ถ่ายแกมา เมื่อยายเดินมาใกล้ๆผมก็ถามซื้อถั่วต้ม แกขายถุงละ 10 บาท ผมซื้อของแกมา 2 ถุง และด้วยความที่แกอายุมาก ตาก็คงจะไม่ค่อยดี แกหยิบส่งมาให้ผมสามถุง ผมก็คืนแกไปถุงนึง แกก็ขอบใจ แล้วบอกผมว่านี่ไม่รู้จะทันขายที่รถหรือเปล่า ผมบอกว่าทันสิครับ เครื่องกั้นเพิ่งลงเอง แกยิ้มๆแต่ไม่พูดอะไร แล้วแกก็ค่อยๆเดินไปที่หน้าสถานี
ขบวนรถธรรมดาที่ 261 กรุงเทพ - หัวหิน
ขบวนรถที่เข้ามาเป็นดีเซลรางครับ ขับมาเร็ว รถสั้น ผมมองตามหลังคุณยายไปที่หน้าสถานี แกยังเดินไม่ถึงขบวนรถ พอสถานีประกาศปล่อยขบวนรถ แกเพิ่งเดินไปถึง และเมื่อรถออกไป แกขายใครไม่ได้เลย นี่ถ้าผมมีเงินเยอะๆเหมือนเมื่อก่อน ผมจะเหมาของแกทั้งหมดเลย แต่พอคิดอีกทีถ้าผมมีเงินเยอะๆเหมือนเมื่อก่อน ผมคงไม่มีเวลามานั่งบ้าอยู่ที่สถานีรถไฟทั้งวันแบบนี้แน่ๆ ถ้าใครไปใช้บริการสถานีรถไฟเพชรบุรี หรือเดินทางผ่านสถานนีในตอนกลางวัน ถ้าสะดวกไม่ติดขัดอะไรก็ช่วยอุดหนุนคุณยายด้วยนะครับ ถั่วต้มอร่อยดี ผมลองมาแล้วครับ
ปล . แกน่าจะมีร้านขายของอยู่แถวๆริมทางรถไฟตรงโรงพยาบาล การเดินขายของน่าจะเป็นงานอดิเรก ( รอบหน้าจะไปเดินดูอีกทีครับ)
นภดล มณีวัต
วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
รำลึกความหลัง 25 พ.ค.2531
25 พ.ค. เมื่อ 27 ปีที่แล้ว เป็นวันที่ผมต้องออกไปรายงานข่าวประจำวันที่หน้าชั้นเรียน ซึ่งเป็นงานบังคับของการเรียนวิชาอะไรผมก็จำไม่ได้ ข่าวใหญ่ที่สุดในคืนวันที่ 24 พ.ค. ที่ผมต้องนำมารายงานในวันที่ 25 พ.ค. คือข่าว ปุ๋ย ภรณ์ทิพย์ ได้นางงามจักรวาล และผมก็ใช้ข่าวนี้รายงานหน้าชั้น
ผมเริ่มด้วยคำว่า "ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ได้เป็นนางงามจักรวาล เมื่อคืนที่ผ่านมา ..."
ครูที่สอนวิชานั้นบอกให้ผมหยุด ทั้งๆที่ผมเพิ่งเริ่มได้แค่นั้น แล้วดุว่า เธอไม่เคยดูคนอื่นเขาเลยเหรอ เวลาคนอื่นรายงานข่าวหน้าชั้น เธอฟังบ้างหรือเปล่า
ต้องเริ่มจาก "กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพ และสวัสดีเพื่อนๆที่รักทุกคน วันนี้ ..."
ซึ่งการเริ่มแบบนั้นผมได้ยินมาทุกวัน ตั้งแต่เลขที่ 1 จนมาถึงผม ผมเลยอยากจะเปลี่ยนวิธีการรายงานบ้าง แต่ก็ไม่สำเร็จ จริงๆแล้วผมตั้งใจว่า เมื่อพูดหัวข้อเสร็จก็จะเริ่ม "กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพ ... " เหมือนคนอื่นนั่นแหละ แต่ครูไม่รอดูให้จบเอง
และแน่นอนว่า คะแนนของผมก็ไม่ดีเท่าไหร่ในงานชิ้นนี้ จนอีกหลายปีต่อมา เวลาเริ่มข่าวในโทรทัศน์ พอได้ยินเสียงโปรยก่อนเข้ารายการข่าว ผมจะนึกถึงเหตุการณ์นี้ทุกที "ที่ครูบอกผมว่ามันไม่ดี ทำไมในทีวี ทำกันทุกช่องเลย"
หลังจากนั้นผมก็ไม่สนใจเรียนซักเท่าไหร่ เพราะเบื่อๆกับการอยู่ในระเบียบที่ผมไม่ชอบ จริงๆแล้วเบื่อครูมากกว่า ปีนั้นผมโดนลดชั้นจากห้องคิงส์ ตกลงมาสองชั้น
... เล่าความหลัง เหมือนคนแก่เลย
ผมเริ่มด้วยคำว่า "ภรณ์ทิพย์ นาคหิรัญกนก ได้เป็นนางงามจักรวาล เมื่อคืนที่ผ่านมา ..."
ครูที่สอนวิชานั้นบอกให้ผมหยุด ทั้งๆที่ผมเพิ่งเริ่มได้แค่นั้น แล้วดุว่า เธอไม่เคยดูคนอื่นเขาเลยเหรอ เวลาคนอื่นรายงานข่าวหน้าชั้น เธอฟังบ้างหรือเปล่า
ต้องเริ่มจาก "กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพ และสวัสดีเพื่อนๆที่รักทุกคน วันนี้ ..."
ซึ่งการเริ่มแบบนั้นผมได้ยินมาทุกวัน ตั้งแต่เลขที่ 1 จนมาถึงผม ผมเลยอยากจะเปลี่ยนวิธีการรายงานบ้าง แต่ก็ไม่สำเร็จ จริงๆแล้วผมตั้งใจว่า เมื่อพูดหัวข้อเสร็จก็จะเริ่ม "กราบเรียนอาจารย์ที่เคารพ ... " เหมือนคนอื่นนั่นแหละ แต่ครูไม่รอดูให้จบเอง
และแน่นอนว่า คะแนนของผมก็ไม่ดีเท่าไหร่ในงานชิ้นนี้ จนอีกหลายปีต่อมา เวลาเริ่มข่าวในโทรทัศน์ พอได้ยินเสียงโปรยก่อนเข้ารายการข่าว ผมจะนึกถึงเหตุการณ์นี้ทุกที "ที่ครูบอกผมว่ามันไม่ดี ทำไมในทีวี ทำกันทุกช่องเลย"
หลังจากนั้นผมก็ไม่สนใจเรียนซักเท่าไหร่ เพราะเบื่อๆกับการอยู่ในระเบียบที่ผมไม่ชอบ จริงๆแล้วเบื่อครูมากกว่า ปีนั้นผมโดนลดชั้นจากห้องคิงส์ ตกลงมาสองชั้น
... เล่าความหลัง เหมือนคนแก่เลย
วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
หลวงพ่อเอ้ สารี วัดชัยมงคล จังหวัดบุรีรัมย์
หลวงพ่อเอ้ สารี วัดชัยมงคล จังหวัดบุรีรัมย์
วันนี้ผมได้รับพระเครื่องมาหนึ่งองค์ เป็นเหรียญพระที่ผมเคยถามเช่าบูชาอยู่นานแล้ว ไม่นึกว่าวันนี้จะได้มาบูชาแบบคาดไม่ถึง เหรียญนี้เป็นเหรียญเกจิอาจารย์ในภาคอีสาน จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นเหรียญสภาพสวยงาม และดูน่าเลื่อมใสมาก วันนี้เลยนำมาให้ชมกันครับ
เหรียญหลวงพ่อเอ้สารี วัดชัยมงคล อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ จัดสร้างขึ้นในคราวสร้างหอเก็บพระไตรปิฏกวัดชัยมงคล พ.ศ.2493 (จำนวนการสร้างไม่น่าเกิน1000เหรียญ) มีทั้งเหรียญกะไหล่ทอง รมดำและผิวไฟ ปลุกเสกนานหนึ่งไตรมาส สุดยอดเหรียญหายากมากๆ
และจากการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมทำให้รู้สึกศรัทธาและรู้สึกว่าโชคดีมากๆที่ได้วัตถุมงคลของท่านมาบูชา ในราคาที่เรียกได้ว่าถูกกว่าพระใหม่ที่เปิดให้จองในขณะนี้บางรายการเสียอีก ประวัติการจัดสร้างก็ดี สร้างน้อยหายากยิ่งสภาพสวยๆยิ่งหายากเข้าไปอีก วันนี้ส่งท้ายกันด้วยประวัติของท่านจากเฟซบุ๊ค ที่นี่ประโคนชัย นะครับ พระดี น่าเคารพนับถือ วัตถุมงคลของท่านจึงเป็นที่เสาะแสวงหากันโดยทั่วไป โอกาสหน้าผมจะนำภาพวัตถุมงคลที่น่าเก็บสะสม มาแนะนำกันอีกนะครับ ส่วนจะเป็นที่ไหน พระอะไร คอยติดตามชมกันได้ที่นี่นะครับ
นภดล มณีวัต
พระครูสุคนธสีลาภรณ์ (หลวงพ่อเอ้ แสงสุข/ หลวงพ่อเอ้ สารี)
ข้อมูลจาก ที่นี่ประโคนชัย Facebook
ประวัติพอสังเขปของท่าน ท่านเป็นบุตรของนายเหม นางเกษม แสงสุข เกิดเมื่อวันที่1กุมภาพันธ์ พ.ศ.2443 ตรงกับวันขึ้น 9ค่ำ ปีชวด เป็นชาวชนบท เกิดที่บ้านเก่า (ปัจจุบันคือบ้านปรือ) ตำบลบ้านปรือ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ เมื่อปี พ.ศ.2464 อายุท่าน21ปีครบบวช ได้บรรพชาเป็นสามเณร โดยมีพระอธิการฉิ่มเป็นพระอุปปัชฌาย์ สามเณรเอ้พำนักอยู่ที่วัดศรีลำยอง และได้ศึกษาพระปริยัติธรรมจนสามารถเทศนาให้พุทธศาสนิกชนฟังได้
เมื่อเมื่อวันที่24 พฤษภาคม พ.ศ. 2465 อายุ22ปี ได้อุปสมบท โดยมีพระอธิการฉิ่ม วัดทุ่งสว่างอารมณ์เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการพูน วัดพูรพาเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการเตย วัดบุรินทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมือ่อุปสมบทแล้วก็จำพรรษาอยู่ที่วัดศรีลำยอง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ได้ปฏิบัติศาสนกิจ และศึกษาวิปัสสนากัมมัฏฐานกับพระอุปัชฌาย์แป้น วัดทุ่งศรีสว่างอารมณ์จังหวัดสุรินทร์
หลวงพ่อเอ้ แสงสุข/สารี เป็นผู้ริเริ่มบูรณะวัดระเบิก(เมือ่ก่อนเป็นวัดร้างหลังจากพระอธิการบุญ เพ็งประโคน ท่านเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่5 ลาสิกขา วัดระเบิกสิ้นผู้ปกครองวัดระยะหนึ่ง) หลังจากหลวงพ่อเอ้ ทำการบูรณะวัดระเบิกแล้ว ท่านก็ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส และได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น วัดชัยมงคล เมื่อปี พ.ศ. 2482 เหตุที่ต้องเปลี่ยนชื่อวัดนั้น เพื่อเป็นการลบอาถรรพ์ ชื่อวัด คำว่าระเบิก นั้นไม่เป็นมงคล ถ้าแปลเป็นไทย ระเบิกในความหมายหลวงพ่อก็คือ ระเบิกระบาลญ์ แปลว่าแตกแยกแตกกระเจิงแยกหนี
หลังจากเปลี่ยนชื่อวัดเป็นวัดชัยมงคลแล้ว ในนามใหม่ก็ส่งผลให้วัดเจริญรุ่งเรือง มีพระภิษุ-สมาเณรมาจำพรรษามากที่สุดในอำเภอประโคนชัยในสมัยนั้น และท่านได้ทำนุบำรุงศาสนสถานวัดชัยมงคล ให้ดีเรื่อยๆมา และที่ทำให้รู้จักกันแพร่หลาย คือนอกจากท่านจะเก่งในเทศน์ในธรรมแล้ว ท่านยังเป็นเอกด้านยันต์กันภัยอีกด้วย แล้วที่สำคัญเหรียญของหลวงพ่อเอ้ รุ่นแรกยังเป็นที่ต้องการของนักสะสมพระบ้านเราและใกล้เคียงอีกด้วย
เหรียญนั้นก็คือ เหรียญหลวงพ่อเอ้สารี วัดชัยมงคล อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ จัดสร้างขึ้นในคราวสร้างหอเก็บพระไตรปิฏกวัดชัยมงคล พ.ศ.2493 (จำนวนการสร้างไม่น่าเกิน1000เหรียญ) / ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อก้อนทอง พระครูบริหารกิจโกศล อดีตเจ้าอาวาสวัดโคน และอดีตเจ้าคณะอำเภอบ้านกรวด ค้นคว้าเพิ่มเติมที่หอสมุดบริหารกิจโกศล วัดโคน อ.ประโคนชัย เรียบเรียงโดย ยงชุน (ประยงค์ วงศ์ประโคน)
วันนี้ผมได้รับพระเครื่องมาหนึ่งองค์ เป็นเหรียญพระที่ผมเคยถามเช่าบูชาอยู่นานแล้ว ไม่นึกว่าวันนี้จะได้มาบูชาแบบคาดไม่ถึง เหรียญนี้เป็นเหรียญเกจิอาจารย์ในภาคอีสาน จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นเหรียญสภาพสวยงาม และดูน่าเลื่อมใสมาก วันนี้เลยนำมาให้ชมกันครับ
เหรียญหลวงพ่อเอ้สารี วัดชัยมงคล อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ จัดสร้างขึ้นในคราวสร้างหอเก็บพระไตรปิฏกวัดชัยมงคล พ.ศ.2493 (จำนวนการสร้างไม่น่าเกิน1000เหรียญ) มีทั้งเหรียญกะไหล่ทอง รมดำและผิวไฟ ปลุกเสกนานหนึ่งไตรมาส สุดยอดเหรียญหายากมากๆ
และจากการค้นหาข้อมูลเพิ่มเติมทำให้รู้สึกศรัทธาและรู้สึกว่าโชคดีมากๆที่ได้วัตถุมงคลของท่านมาบูชา ในราคาที่เรียกได้ว่าถูกกว่าพระใหม่ที่เปิดให้จองในขณะนี้บางรายการเสียอีก ประวัติการจัดสร้างก็ดี สร้างน้อยหายากยิ่งสภาพสวยๆยิ่งหายากเข้าไปอีก วันนี้ส่งท้ายกันด้วยประวัติของท่านจากเฟซบุ๊ค ที่นี่ประโคนชัย นะครับ พระดี น่าเคารพนับถือ วัตถุมงคลของท่านจึงเป็นที่เสาะแสวงหากันโดยทั่วไป โอกาสหน้าผมจะนำภาพวัตถุมงคลที่น่าเก็บสะสม มาแนะนำกันอีกนะครับ ส่วนจะเป็นที่ไหน พระอะไร คอยติดตามชมกันได้ที่นี่นะครับ
นภดล มณีวัต
พระครูสุคนธสีลาภรณ์ (หลวงพ่อเอ้ แสงสุข/ หลวงพ่อเอ้ สารี)
ข้อมูลจาก ที่นี่ประโคนชัย Facebook
ประวัติพอสังเขปของท่าน ท่านเป็นบุตรของนายเหม นางเกษม แสงสุข เกิดเมื่อวันที่1กุมภาพันธ์ พ.ศ.2443 ตรงกับวันขึ้น 9ค่ำ ปีชวด เป็นชาวชนบท เกิดที่บ้านเก่า (ปัจจุบันคือบ้านปรือ) ตำบลบ้านปรือ อำเภอเมือง จังหวัดสุรินทร์ เมื่อปี พ.ศ.2464 อายุท่าน21ปีครบบวช ได้บรรพชาเป็นสามเณร โดยมีพระอธิการฉิ่มเป็นพระอุปปัชฌาย์ สามเณรเอ้พำนักอยู่ที่วัดศรีลำยอง และได้ศึกษาพระปริยัติธรรมจนสามารถเทศนาให้พุทธศาสนิกชนฟังได้
เมื่อเมื่อวันที่24 พฤษภาคม พ.ศ. 2465 อายุ22ปี ได้อุปสมบท โดยมีพระอธิการฉิ่ม วัดทุ่งสว่างอารมณ์เป็นพระอุปัชฌาย์ พระอธิการพูน วัดพูรพาเป็นพระกรรมวาจาจารย์ พระอธิการเตย วัดบุรินทร์ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ เมือ่อุปสมบทแล้วก็จำพรรษาอยู่ที่วัดศรีลำยอง อำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ ได้ปฏิบัติศาสนกิจ และศึกษาวิปัสสนากัมมัฏฐานกับพระอุปัชฌาย์แป้น วัดทุ่งศรีสว่างอารมณ์จังหวัดสุรินทร์
หลวงพ่อเอ้ แสงสุข/สารี เป็นผู้ริเริ่มบูรณะวัดระเบิก(เมือ่ก่อนเป็นวัดร้างหลังจากพระอธิการบุญ เพ็งประโคน ท่านเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่5 ลาสิกขา วัดระเบิกสิ้นผู้ปกครองวัดระยะหนึ่ง) หลังจากหลวงพ่อเอ้ ทำการบูรณะวัดระเบิกแล้ว ท่านก็ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาส และได้เปลี่ยนชื่อวัดเป็น วัดชัยมงคล เมื่อปี พ.ศ. 2482 เหตุที่ต้องเปลี่ยนชื่อวัดนั้น เพื่อเป็นการลบอาถรรพ์ ชื่อวัด คำว่าระเบิก นั้นไม่เป็นมงคล ถ้าแปลเป็นไทย ระเบิกในความหมายหลวงพ่อก็คือ ระเบิกระบาลญ์ แปลว่าแตกแยกแตกกระเจิงแยกหนี
หลังจากเปลี่ยนชื่อวัดเป็นวัดชัยมงคลแล้ว ในนามใหม่ก็ส่งผลให้วัดเจริญรุ่งเรือง มีพระภิษุ-สมาเณรมาจำพรรษามากที่สุดในอำเภอประโคนชัยในสมัยนั้น และท่านได้ทำนุบำรุงศาสนสถานวัดชัยมงคล ให้ดีเรื่อยๆมา และที่ทำให้รู้จักกันแพร่หลาย คือนอกจากท่านจะเก่งในเทศน์ในธรรมแล้ว ท่านยังเป็นเอกด้านยันต์กันภัยอีกด้วย แล้วที่สำคัญเหรียญของหลวงพ่อเอ้ รุ่นแรกยังเป็นที่ต้องการของนักสะสมพระบ้านเราและใกล้เคียงอีกด้วย
เหรียญนั้นก็คือ เหรียญหลวงพ่อเอ้สารี วัดชัยมงคล อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์ จัดสร้างขึ้นในคราวสร้างหอเก็บพระไตรปิฏกวัดชัยมงคล พ.ศ.2493 (จำนวนการสร้างไม่น่าเกิน1000เหรียญ) / ขอขอบคุณข้อมูลจากหนังสือพระราชทานเพลิงศพหลวงพ่อก้อนทอง พระครูบริหารกิจโกศล อดีตเจ้าอาวาสวัดโคน และอดีตเจ้าคณะอำเภอบ้านกรวด ค้นคว้าเพิ่มเติมที่หอสมุดบริหารกิจโกศล วัดโคน อ.ประโคนชัย เรียบเรียงโดย ยงชุน (ประยงค์ วงศ์ประโคน)
วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
"Sorry" is such a valuable word. It is not worthless.
"Sorry" is such a valuable word. It is not worthless.
If people make mistakes, they should apologize and then people should forgive each other.
The persons forgiven should accept the fault mindfully so that in future the people in this world will live together in happiness.
Luang Ta Maha Bua
"คำขอโทษนี่เป็นคำที่มีคุณค่ามากที่สุดไม่ใช่เป็นคำเล็กน้อย ผิดพลาดประการใดก็รีบขอโทษกันให้อภัยกัน ผู้ให้อภัยก็ไม่ใจจืดใจจาง ยอมรับผู้ขอขมาโทษ อันนี้โลกอยู่ด้วยกันเป็นผาสุก"
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
If people make mistakes, they should apologize and then people should forgive each other.
The persons forgiven should accept the fault mindfully so that in future the people in this world will live together in happiness.
Luang Ta Maha Bua
"คำขอโทษนี่เป็นคำที่มีคุณค่ามากที่สุดไม่ใช่เป็นคำเล็กน้อย ผิดพลาดประการใดก็รีบขอโทษกันให้อภัยกัน ผู้ให้อภัยก็ไม่ใจจืดใจจาง ยอมรับผู้ขอขมาโทษ อันนี้โลกอยู่ด้วยกันเป็นผาสุก"
หลวงตาพระมหาบัว ญาณสมฺปนฺโน
วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
พระมงคลมหาลาภ
พระมงคลมหาลาภ เป็นพระนาปรกสี่เหลี่ยม เนื้อผงขาว ด้านหลังเป็นยันต์เฑาะดอกบัว อะอุมะ พิมพ์ใหญ่กลางเล็กจำนวน ๘๔,๐๐๐ องค์ ซึ่ง “พระรัชชมงคลมุนี” (พระมหารัชชมังคลาจารย์) อดีตเจ้าอาวาสวัดสัมพันธวงศ์ ได้มอบให้“พระชอบ สัมมาจารี” วัดอาวุธวิกสิตาราม กรุงเทพ ฯ สร้าง เพื่อนำมาแจกในงานสมโภชพระประธาน โดยส่ง “ผงอิทธิเจ ผงพุทธคุณต่าง ๆ เป็นแท่ง ๆ ประทับตรา “วัดสัมพันธวงศ์” ให้นำมาผสม โดยเรียก “พระนาคปรก” นี้ว่า “พระมงคลมหาลาภ” ซึ่งมีชื่อของท่านคือ “พระรัชชมงคลมุนี” อยู่ในชื่อพระด้วย ในพิธีนี้แม่ชีบุญเรือนได้อธิษฐานจิตร่วมอยู่ในพิธีด้วย
หลวงพ่อลี วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ องค์ประสานงานพิธีพุทธาภิเษกครั้งนี้ ได้บอกศิษย์ว่า“พระผงนี้ดีมาก มีรังสี สีขาว และเหลือกระจายออกสว่างไสว” นอกนั้น ท่านยังได้ขอพระผงมงคลมหาลาภที่ชำรุดประมาณ ๑ บาตรพระ นำไปบดใส่ “พระใบโพธิ์เนื้อดิน พ.ศ. ๒๕๐๐“ ของท่านด้วย“ เฮ็ดหยังแรงจังซี่” เป็นคำอุทานที่ท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ อุทานเมื่อครั้งยังเป็นเพียงผงและท่านได้ขอพระหักไปสร้างพระโพธิจักรฉลอง 25 ศตวรรษที่วัดอโศการาม 1 บาตร )“สมัยแรกที่ได้เอาพระมงคลมหาลาภบรรจุไว้ได้ฐานพระในกุฏิ เห็นมีรัศมีสีเขียวพุ่งออกมาเป็นวาเลย “เขียวมาเชียวน๊ะ”
(พระมหารัชชมังคลาจารย์(เทศ นิเทสโก) วัดสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร) “พระองค์หนึ่ง เท่ากับพระธาตุองค์หนึ่ง เมื่อนำมาไหว้พระสวดมนต์ สามารถสื่อกับเทพพรหมได้ ทุกสวรรค์ชั้นฟ้าจรดบาดาลเลยทีเดียว”
(หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ทักหลานคุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำที่ห้อยพระมงคลมหาลาภไปทำบุญกับท่านครั้งหนึ่ง) “พระนี้ แรงยิ่งกว่าพระกรุทุกกรุเท่าที่หลวงปู่เคยสัมผัสพลังมา แม้พระรอดมหาวันก็ไม่สู้” (คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ แม่ชีอรหันต์แห่งคำชะอี ที่หลวงปู่ชอบรับรองว่าสามารถเหาะไปสวรรค์ได้ทั้งกายเนื้อ) “พระมงคลมหาลาภนี้ มีรัศมีสีเขียว ดีทางแคล้วคลาดยอดเยี่ยมที่สุด ไม่ต้องไปหาพระรอดมหาวันให้เหนื่อยยากเลยทีเดียว”
(หลวงปู่คำพันธุ์ โฆษปัญโญ วัดธาตุมหาชัย นครพนม กล่าวยกย่องพระมงคลมหาลาภอย่างยิ่ง รวมถึงอาจารย์ปถม อาจสาครเองก็ได้เอาผงพระ “มงคลมหาลาภ” หักๆนี้ไปทำพระผงรุ่น “โสฬสมหาพรหม” 2505 ของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่จนดังระเบิดในเวลาต่อมาด้วยสมกับท่านอาจารย์ ปถมบันทึกไว้เองว่า “รวบรวมผงหักป่นไว้ได้สักโหลใหญ่ พระที่ผมสร้างจึงขลัง “เพราะได้ผงหลักจาก” พระมงคลมหาลาภ นี่เอง
ขนาดขององค์พระ พิมพ์ใหญ่ ฐานกว้างประมาณ ๒.๕ – ๓.๘ ซม. หนา ๐.๕ ซม. พิมพ์เล็ก ฐานกว้างประมาณ ๒.๒ – ๒.๕ ซม.หนา ๐.๕ ซม ด้านหลัง มีตราวัดสัมพันธวงศ์ “เฑาะรัศมีดอกบัว อ.อุ.ม. ประทับลงในเนื้อเป็นตรารูปไข่ ขนาดของความหนาไม่แน่นอน หนาบ้างบางเฉียบบ้าง แล้วแต่ขนาด (ของเก๊ออกมาเยอะมากๆตอนนี้หลายเวอร์ชั่นเลยทีเดียว)
พิธีพุทธาภิเษกที่วัดสัมพันธวงศ์ นั้นในวันที่ 3 มีนาคม 2499 มีพระอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคมมานั่งปรกจำนวนมากเช่น
- หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ
- หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
- หลวงพ่อลีวัดอโศการาม
- พระอาจารย์นอ วัดกลางท่าเรือ อยุธยา
- หลวงพ่อสด วัดโพธิ์แดงใต้
- หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง นนทบุรี
- พระครูวินัยธร เฟื่อง
- พระอาจารย์สะอาด วัดสัมพันธวงศ์
- หลวงพ่อเฮี้ยง วัดอรัญญิกาวาส ชลบุรี ฯลฯ
พิธีพุทธาภิเษกที่วัดสารนาถธรรมาราม นั้นพระราชรัชมงคลโกวิท เจ้าอาวาสวัดสารนาถธรรมารามจ.ระยองเคยเล่าว่า พิธีพุทธาภิเษกครั้งนี้(พระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่นภูริทตโต กว่าร้อยรูป) เช่นมี
- พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
- พระอาจารย์วัน อุตตโม
- พระอาจารย์ลีวัดอโศการาม
เป็นต้น ทำพิธีนั่งปรกพุทธาภิเษกพระประธาน และพระเครื่องต่าง ๆมีพระมงคลมหาลาภ พระพุทโธน้อย เป็นต้นโดยทำพิธี 18 วัน 18 คืนท่านเล่าต่ออีกว่าในชีวิตที่ท่านเกิดมา ยังไม่เคยเห็นพิธีพุทธาภิเษกที่ไหนใหญ่โตเท่าครั้งนี้อีกเลยในพิธีนี้แม่ชีบุญเรืยนได้อธิษฐานจิตร่วมอยู่ในพิธีด้วย
ที่มา http://www.timpirus.com/forums/index.php?topic=5354.0
หลวงพ่อลี วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ องค์ประสานงานพิธีพุทธาภิเษกครั้งนี้ ได้บอกศิษย์ว่า“พระผงนี้ดีมาก มีรังสี สีขาว และเหลือกระจายออกสว่างไสว” นอกนั้น ท่านยังได้ขอพระผงมงคลมหาลาภที่ชำรุดประมาณ ๑ บาตรพระ นำไปบดใส่ “พระใบโพธิ์เนื้อดิน พ.ศ. ๒๕๐๐“ ของท่านด้วย“ เฮ็ดหยังแรงจังซี่” เป็นคำอุทานที่ท่านพ่อลี ธัมมธโร วัดอโศการาม จ.สมุทรปราการ อุทานเมื่อครั้งยังเป็นเพียงผงและท่านได้ขอพระหักไปสร้างพระโพธิจักรฉลอง 25 ศตวรรษที่วัดอโศการาม 1 บาตร )“สมัยแรกที่ได้เอาพระมงคลมหาลาภบรรจุไว้ได้ฐานพระในกุฏิ เห็นมีรัศมีสีเขียวพุ่งออกมาเป็นวาเลย “เขียวมาเชียวน๊ะ”
(พระมหารัชชมังคลาจารย์(เทศ นิเทสโก) วัดสัมพันธวงศ์ กรุงเทพมหานคร) “พระองค์หนึ่ง เท่ากับพระธาตุองค์หนึ่ง เมื่อนำมาไหว้พระสวดมนต์ สามารถสื่อกับเทพพรหมได้ ทุกสวรรค์ชั้นฟ้าจรดบาดาลเลยทีเดียว”
(หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน ทักหลานคุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำที่ห้อยพระมงคลมหาลาภไปทำบุญกับท่านครั้งหนึ่ง) “พระนี้ แรงยิ่งกว่าพระกรุทุกกรุเท่าที่หลวงปู่เคยสัมผัสพลังมา แม้พระรอดมหาวันก็ไม่สู้” (คุณแม่ชีแก้ว เสียงล้ำ แม่ชีอรหันต์แห่งคำชะอี ที่หลวงปู่ชอบรับรองว่าสามารถเหาะไปสวรรค์ได้ทั้งกายเนื้อ) “พระมงคลมหาลาภนี้ มีรัศมีสีเขียว ดีทางแคล้วคลาดยอดเยี่ยมที่สุด ไม่ต้องไปหาพระรอดมหาวันให้เหนื่อยยากเลยทีเดียว”
(หลวงปู่คำพันธุ์ โฆษปัญโญ วัดธาตุมหาชัย นครพนม กล่าวยกย่องพระมงคลมหาลาภอย่างยิ่ง รวมถึงอาจารย์ปถม อาจสาครเองก็ได้เอาผงพระ “มงคลมหาลาภ” หักๆนี้ไปทำพระผงรุ่น “โสฬสมหาพรหม” 2505 ของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่จนดังระเบิดในเวลาต่อมาด้วยสมกับท่านอาจารย์ ปถมบันทึกไว้เองว่า “รวบรวมผงหักป่นไว้ได้สักโหลใหญ่ พระที่ผมสร้างจึงขลัง “เพราะได้ผงหลักจาก” พระมงคลมหาลาภ นี่เอง
ขนาดขององค์พระ พิมพ์ใหญ่ ฐานกว้างประมาณ ๒.๕ – ๓.๘ ซม. หนา ๐.๕ ซม. พิมพ์เล็ก ฐานกว้างประมาณ ๒.๒ – ๒.๕ ซม.หนา ๐.๕ ซม ด้านหลัง มีตราวัดสัมพันธวงศ์ “เฑาะรัศมีดอกบัว อ.อุ.ม. ประทับลงในเนื้อเป็นตรารูปไข่ ขนาดของความหนาไม่แน่นอน หนาบ้างบางเฉียบบ้าง แล้วแต่ขนาด (ของเก๊ออกมาเยอะมากๆตอนนี้หลายเวอร์ชั่นเลยทีเดียว)
พิธีพุทธาภิเษกที่วัดสัมพันธวงศ์ นั้นในวันที่ 3 มีนาคม 2499 มีพระอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคมมานั่งปรกจำนวนมากเช่น
- หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ
- หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม
- หลวงพ่อลีวัดอโศการาม
- พระอาจารย์นอ วัดกลางท่าเรือ อยุธยา
- หลวงพ่อสด วัดโพธิ์แดงใต้
- หลวงพ่อแฉ่ง วัดบางพัง นนทบุรี
- พระครูวินัยธร เฟื่อง
- พระอาจารย์สะอาด วัดสัมพันธวงศ์
- หลวงพ่อเฮี้ยง วัดอรัญญิกาวาส ชลบุรี ฯลฯ
พิธีพุทธาภิเษกที่วัดสารนาถธรรมาราม นั้นพระราชรัชมงคลโกวิท เจ้าอาวาสวัดสารนาถธรรมารามจ.ระยองเคยเล่าว่า พิธีพุทธาภิเษกครั้งนี้(พระกรรมฐานสายพระอาจารย์มั่นภูริทตโต กว่าร้อยรูป) เช่นมี
- พระอาจารย์ฝั้น อาจาโร
- พระอาจารย์วัน อุตตโม
- พระอาจารย์ลีวัดอโศการาม
เป็นต้น ทำพิธีนั่งปรกพุทธาภิเษกพระประธาน และพระเครื่องต่าง ๆมีพระมงคลมหาลาภ พระพุทโธน้อย เป็นต้นโดยทำพิธี 18 วัน 18 คืนท่านเล่าต่ออีกว่าในชีวิตที่ท่านเกิดมา ยังไม่เคยเห็นพิธีพุทธาภิเษกที่ไหนใหญ่โตเท่าครั้งนี้อีกเลยในพิธีนี้แม่ชีบุญเรืยนได้อธิษฐานจิตร่วมอยู่ในพิธีด้วย
ที่มา http://www.timpirus.com/forums/index.php?topic=5354.0
วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ท่าอากาศยานชุมพร IATA: CJM – ICAO: VTS
ท่าอากาศยานชุมพร IATA: CJM – ICAO: VTSE
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ท่าอากาศยานชุมพร หรือ สนามบินชุมพร (อังกฤษ: Chumphon Airport) ตั้งอยู่ที่ อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เป็นท่าอากาศยานในสังกัดกรมการบินพลเรือน กระทรวงคมนาคม ท่าอากาศยานชุมพร ก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 เพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจของจังหวัดชุมพร หลังประสบภัยพายุไต้ฝุ่นเกย์ (เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2532) เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2537 และเปิดทำการบินครั้งแรก เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2541 ใช้งบประมาณ 530 ล้านบาท และได้รับการประกาศเป็นสนามบินศุลกากร เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2543
ตั้งอยู่ในเขตตำบลชุมโค อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร มีพื้นที่รวม 2,485 ไร่ ห่างตัวเมืองชุมพรไปทางทิศเหนือประมาณ 38 ก.ม. มีสายการบินพีบีแอร์ เป็นสายการบินแรก และหยุดทำการบินไปเมื่อปี พ.ศ. 2543
ต่อมาสายการบินแอร์อันดามันได้เปิดทำการบินอีกครั้ง เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2545 แต่ต้องหยุดทำการบิน เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2546 เพราะประสบปัญหาขาดทุนเช่นเดียวกับสายการบินพีบีแอร์
สายการบินที่ให้บริการ
นกแอร์ กรุงเทพฯ-ดอนเมือง ภายในประเทศ
ข้อมูลการติดต่อ
ต.ชุมโค อ.ปะทิว จ.ชุมพร
เบอร์โทรศัพท์ 077-591121
สิ่งอำนวยความสะดวกภายในสนามบิน
ห้องน้ำ ตั้งอยู่ทั้งสองด้านของชั้น 1 ท่าอากาศยาน
ที่จอดรถ ไม่เสียค่าใช้จ่าย
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
ท่าอากาศยานชุมพร หรือ สนามบินชุมพร (อังกฤษ: Chumphon Airport) ตั้งอยู่ที่ อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร เป็นท่าอากาศยานในสังกัดกรมการบินพลเรือน กระทรวงคมนาคม ท่าอากาศยานชุมพร ก่อสร้างตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2533 เพื่อกระตุ้นและฟื้นฟูเศรษฐกิจของจังหวัดชุมพร หลังประสบภัยพายุไต้ฝุ่นเกย์ (เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 พฤศจิกายน 2532) เริ่มก่อสร้างเมื่อปี พ.ศ. 2537 และเปิดทำการบินครั้งแรก เมื่อวันที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2541 ใช้งบประมาณ 530 ล้านบาท และได้รับการประกาศเป็นสนามบินศุลกากร เมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2543
ตั้งอยู่ในเขตตำบลชุมโค อำเภอปะทิว จังหวัดชุมพร มีพื้นที่รวม 2,485 ไร่ ห่างตัวเมืองชุมพรไปทางทิศเหนือประมาณ 38 ก.ม. มีสายการบินพีบีแอร์ เป็นสายการบินแรก และหยุดทำการบินไปเมื่อปี พ.ศ. 2543
ต่อมาสายการบินแอร์อันดามันได้เปิดทำการบินอีกครั้ง เมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2545 แต่ต้องหยุดทำการบิน เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2546 เพราะประสบปัญหาขาดทุนเช่นเดียวกับสายการบินพีบีแอร์
สายการบินที่ให้บริการ
นกแอร์ กรุงเทพฯ-ดอนเมือง ภายในประเทศ
ข้อมูลการติดต่อ
ต.ชุมโค อ.ปะทิว จ.ชุมพร
เบอร์โทรศัพท์ 077-591121
สิ่งอำนวยความสะดวกภายในสนามบิน
ห้องน้ำ ตั้งอยู่ทั้งสองด้านของชั้น 1 ท่าอากาศยาน
ที่จอดรถ ไม่เสียค่าใช้จ่าย
วันศุกร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
เขื่อนขุนด่านปราการชล จังหวัดนครนายก
เขื่อนขุนด่านปราการชล
ในครั้งที่ผมเดินทางขึ้นไปเที่ยวภาคเหนือเมื่อปลายปีที่แล้ว ผมพาพ่อไปธุระที่จังหวัดนครนายกก่อนสองวัน ก่อนที่จะเดินทางไปภาคเหนือ เราแวะท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆทั่วจังหวัดนครนายก หนึ่งในนั้นคือเขื่อนขุนด่านปราการชล แห่งนี้ครับ ที่นี่เป็นสถานที่สวยงาม มีวิวที่มองเห็นเมืองนครนายกได้ชัดเจน มีรถรางไว้ให้บริการด้วย มีร้านค้าและพื้นที่ที่กว้างขวาง มีลานจอดสะดวกสบาย ที่นี่จึงเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดนครนายกครับ
ข้อมูลจาก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เขื่อนขุนด่านปราการชล ชื่อเดิมเรียกว่าเขื่อนคลองท่าด่านเป็นเขื่อนคอนกรีตอัดบดยาวที่สุดในประเทศไทยและในโลก ตั้งอยู่ที่บ้านท่าด่าน ตำบลหินตั้ง อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก สร้างขึ้นตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเก็บกักน้ำในช่วงหน้าฝนไว้ในหน้าแล้ง และควบคุมไม่ให้เกิดน้ำท่วมบ้านเรือนราษฎร ไร่นาและพื้นที่การเกษตรในหน้าฝน โดยสร้างครอบฝายท่าด่านเดิม
ความสำคัญ
ที่ราบลุ่มนครนายกมีระดับน้ำใต้ดินมีการลดระดับหรือพื้นที่ลาดเทค่อนข้างมาก ทำให้น้ำไหลบ่ารุนแรงในช่วงฤดูฝน ส่วนบริเวณพื้นที่ชลประทานนครนายก เป็นพื้นที่ราบกว้างขวางมีระดับน้ำใต้ดินต่ำจึงเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำในฤดูแล้งส่วนในฤดูฝนกลับเกิดปัญหาน้ำท่วมเนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบที่มีความลาดเอียงน้อยทำให้น้ำระบายออกยากน้ำจึงท่วมขังเป็นเวลานาน การสร้างเขื่อนกั้นลำน้ำนครนายกตอนบนจึงเป็นการชะลอกระแสน้ำไม่ให้ไหลอย่างรุนแรงในช่วงฤดูฝนโดยจะกักเก็บน้ำไว้ และในทางกลับกัน จะสามารถกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ในฤดูแล้งได้แทนที่จะต้องเผชิญกับภัยแล้ง
โครงสร้างและลักษณะ
ตัวเขื่อนขุนด่านปราการชลประกอบด้วยเขื่อนหลักและเขื่อนรองสร้างด้วยคอนกรีตบดอัด ปัจจุบันเป็น เขื่อนคอนกรีตบดอัดที่มีความยาวที่สุดในโลก มีความยาวรวม 2,720 เมตร ความสูง (สูงสุด) 93 เมตร รับน้ำที่ไหลจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ผ่านน้ำตกเหวนรกลงสู่อ่างเก็บน้ำ มีความจุ 224 ล้าน ลบ.ม. โดยทำให้มีน้ำในการทำเกษตรกรรม การอุปโภคบริโภค แก้ปัญหาดินเปรี้ยว เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา และบรรเทาอุทกภัย เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ ของนครนายก นักท่องเที่ยวสามารถชมอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้จากบริเวณสันเขื่อน จะเห็นทิวทัศน์ด้านหน้าเขื่อน และชมทิวทัศน์เมืองนครนายกด้านหลังเขื่อน ในอนาคตมีโครงการจะสร้างแก่งเทียมเพื่อการท่องเที่ยวและกีฬา และเป็นสนามสลาลอมนานาชาติ ซึ่งจะเป็นแห่งเดียวในภูมิภาคนี้ หากก่อสร้างแก่งเทียมแล้วเสร็จ จะสร้างกิจกรรมท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดนครนายกเพิ่มขึ้น
การท่องเที่ยว
เขื่อนขุนด่านปราการชลเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาชมวิวเหนือสันเขื่อน สามารถมองเห็นตัวเมืองนครนายกและอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้ที่สันเขื่อน นอกจากนี้ยังสามารถเช่าเรือหางยาวเพื่อชมน้ำตกที่อยู่ลึกเข้าไปในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนได้
การเดินทาง
เดินทางโดยรถยนต์มายังตัวเมืองนครนายกโดยอาจใช้ถนนสายรังสิต-นครนายก(ทางหลวงหมายเลข 305) หรืออาจใช้ถนนเส้นเก่าคือถนนสุวรรณศร (ทางหลวงหมายเลข 33) ซึ่งจะอ้อมกว่า จนถึงตัวเมืองนครนายกให้ใช้เส้นทางเดียวกับไปน้ำตกนางรอง (ทางหลวงหมายเลข 3049) ผ่านอุทยานวังตะไคร้และเลี้ยวขวาเข้าถนนสู่ตัวเขื่อน
รถโดยสารประจำทาง จากกรุงเทพฯ–นครนายก มีบริการรถโดยสารประจำทางทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศ ออกจากสถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต 2) ทุกวัน
รถตู้ กรุงเทพ-นครนายก-เขื่อนขุนด่าน โดยสามารถขึ้นที่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต หน้าโรงพยาบาลนครนายก (ฝั่งโรงพยาบาล)
จังหวัดนครนายก เป็นจังหวัดที่ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามมากมาย ในวันหยุดสามารถเดินทางไป กลับ ได้ภายในวันเดียว มีน้ำตกสวยงามหลายแห่ง มีอาหารขึ้นชื่อมากมาย มีพระศักดิ์สิทธิ์ มีวัดวาอาราม ให้เข้ามาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล มีแหล่งขายของราคาถูกให้เลือกซื้อ ถ้าใครว่างหรือมีวันหยุดแล้วยังไม่มีที่ไหนที่สนใจจะเดินทางไปเยี่ยมชม ผมขอแนะนำจังหวัดนครนายกเลยครับ มาที่นี่จังหวัดเดียวเที่ยวได้คุ้มค่า คุ้มเวลาแน่นอนครับ
นภดล มณีวัต
ในครั้งที่ผมเดินทางขึ้นไปเที่ยวภาคเหนือเมื่อปลายปีที่แล้ว ผมพาพ่อไปธุระที่จังหวัดนครนายกก่อนสองวัน ก่อนที่จะเดินทางไปภาคเหนือ เราแวะท่องเที่ยวไปยังที่ต่างๆทั่วจังหวัดนครนายก หนึ่งในนั้นคือเขื่อนขุนด่านปราการชล แห่งนี้ครับ ที่นี่เป็นสถานที่สวยงาม มีวิวที่มองเห็นเมืองนครนายกได้ชัดเจน มีรถรางไว้ให้บริการด้วย มีร้านค้าและพื้นที่ที่กว้างขวาง มีลานจอดสะดวกสบาย ที่นี่จึงเป็นอีกหนึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมมากที่สุดแห่งหนึ่งของจังหวัดนครนายกครับ
ข้อมูลจาก จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
เขื่อนขุนด่านปราการชล ชื่อเดิมเรียกว่าเขื่อนคลองท่าด่านเป็นเขื่อนคอนกรีตอัดบดยาวที่สุดในประเทศไทยและในโลก ตั้งอยู่ที่บ้านท่าด่าน ตำบลหินตั้ง อำเภอเมือง จังหวัดนครนายก สร้างขึ้นตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อเก็บกักน้ำในช่วงหน้าฝนไว้ในหน้าแล้ง และควบคุมไม่ให้เกิดน้ำท่วมบ้านเรือนราษฎร ไร่นาและพื้นที่การเกษตรในหน้าฝน โดยสร้างครอบฝายท่าด่านเดิม
ความสำคัญ
ที่ราบลุ่มนครนายกมีระดับน้ำใต้ดินมีการลดระดับหรือพื้นที่ลาดเทค่อนข้างมาก ทำให้น้ำไหลบ่ารุนแรงในช่วงฤดูฝน ส่วนบริเวณพื้นที่ชลประทานนครนายก เป็นพื้นที่ราบกว้างขวางมีระดับน้ำใต้ดินต่ำจึงเกิดปัญหาขาดแคลนน้ำในฤดูแล้งส่วนในฤดูฝนกลับเกิดปัญหาน้ำท่วมเนื่องจากพื้นที่ส่วนใหญ่เป็นที่ราบที่มีความลาดเอียงน้อยทำให้น้ำระบายออกยากน้ำจึงท่วมขังเป็นเวลานาน การสร้างเขื่อนกั้นลำน้ำนครนายกตอนบนจึงเป็นการชะลอกระแสน้ำไม่ให้ไหลอย่างรุนแรงในช่วงฤดูฝนโดยจะกักเก็บน้ำไว้ และในทางกลับกัน จะสามารถกักเก็บน้ำเอาไว้ใช้ในฤดูแล้งได้แทนที่จะต้องเผชิญกับภัยแล้ง
โครงสร้างและลักษณะ
ตัวเขื่อนขุนด่านปราการชลประกอบด้วยเขื่อนหลักและเขื่อนรองสร้างด้วยคอนกรีตบดอัด ปัจจุบันเป็น เขื่อนคอนกรีตบดอัดที่มีความยาวที่สุดในโลก มีความยาวรวม 2,720 เมตร ความสูง (สูงสุด) 93 เมตร รับน้ำที่ไหลจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ผ่านน้ำตกเหวนรกลงสู่อ่างเก็บน้ำ มีความจุ 224 ล้าน ลบ.ม. โดยทำให้มีน้ำในการทำเกษตรกรรม การอุปโภคบริโภค แก้ปัญหาดินเปรี้ยว เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลา และบรรเทาอุทกภัย เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่ ของนครนายก นักท่องเที่ยวสามารถชมอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้จากบริเวณสันเขื่อน จะเห็นทิวทัศน์ด้านหน้าเขื่อน และชมทิวทัศน์เมืองนครนายกด้านหลังเขื่อน ในอนาคตมีโครงการจะสร้างแก่งเทียมเพื่อการท่องเที่ยวและกีฬา และเป็นสนามสลาลอมนานาชาติ ซึ่งจะเป็นแห่งเดียวในภูมิภาคนี้ หากก่อสร้างแก่งเทียมแล้วเสร็จ จะสร้างกิจกรรมท่องเที่ยวและสร้างรายได้ให้กับผู้ประกอบการด้านการท่องเที่ยวของจังหวัดนครนายกเพิ่มขึ้น
การท่องเที่ยว
เขื่อนขุนด่านปราการชลเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางมาชมวิวเหนือสันเขื่อน สามารถมองเห็นตัวเมืองนครนายกและอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้ที่สันเขื่อน นอกจากนี้ยังสามารถเช่าเรือหางยาวเพื่อชมน้ำตกที่อยู่ลึกเข้าไปในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนได้
การเดินทาง
เดินทางโดยรถยนต์มายังตัวเมืองนครนายกโดยอาจใช้ถนนสายรังสิต-นครนายก(ทางหลวงหมายเลข 305) หรืออาจใช้ถนนเส้นเก่าคือถนนสุวรรณศร (ทางหลวงหมายเลข 33) ซึ่งจะอ้อมกว่า จนถึงตัวเมืองนครนายกให้ใช้เส้นทางเดียวกับไปน้ำตกนางรอง (ทางหลวงหมายเลข 3049) ผ่านอุทยานวังตะไคร้และเลี้ยวขวาเข้าถนนสู่ตัวเขื่อน
รถโดยสารประจำทาง จากกรุงเทพฯ–นครนายก มีบริการรถโดยสารประจำทางทั้งรถธรรมดาและรถปรับอากาศ ออกจากสถานีขนส่งสายเหนือ (หมอชิต 2) ทุกวัน
รถตู้ กรุงเทพ-นครนายก-เขื่อนขุนด่าน โดยสามารถขึ้นที่ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ฟิวเจอร์พาร์ครังสิต หน้าโรงพยาบาลนครนายก (ฝั่งโรงพยาบาล)
จังหวัดนครนายก เป็นจังหวัดที่ไม่ไกลจากกรุงเทพมากนัก มีสถานที่ท่องเที่ยวสวยงามมากมาย ในวันหยุดสามารถเดินทางไป กลับ ได้ภายในวันเดียว มีน้ำตกสวยงามหลายแห่ง มีอาหารขึ้นชื่อมากมาย มีพระศักดิ์สิทธิ์ มีวัดวาอาราม ให้เข้ามาสักการะเพื่อความเป็นสิริมงคล มีแหล่งขายของราคาถูกให้เลือกซื้อ ถ้าใครว่างหรือมีวันหยุดแล้วยังไม่มีที่ไหนที่สนใจจะเดินทางไปเยี่ยมชม ผมขอแนะนำจังหวัดนครนายกเลยครับ มาที่นี่จังหวัดเดียวเที่ยวได้คุ้มค่า คุ้มเวลาแน่นอนครับ
นภดล มณีวัต
วันพุธที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
หลวงพ่อปากแดง จังหวัดนครนายก
หลวงพ่อปากแดง จังหวัดนครนายก
การเดินทางมาจังหวัดนครนายกของผมในครั้งนี้นั้น เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยครับ ทั้งๆที่จังหวัดนี้ก็ไม่ไกลจากกรุงเทพเลย เดินทางก็สะดวกใช้เวลาไม่นานก็ถึงแล้ว แต่ก็เฉียดไปเฉียดมาอยู่บ่อยๆ ไม่ได้มาซักที เดี๋ยวจะมาๆๆ แต่ไม่ได้มา จนได้มากราบหลวงพ่อปากแดงในวันนี้เอง
ชื่อหลวงพ่อปากแดง เป็นที่รู้จักกันมายาวนานโดยเฉพาะคอหวยทั้งหลาย ตามแผงหนังสือในชนบท แผงขายล็อตเตอรี่ แม้กระทั่งในอินเตอร์เนต ต่างมีชื่อหลวงพ่อปากแดงเป็นชื่อต้นๆในการให้โชคให้ลาภ ให้รางวัลแก่คนทั่วไปที่มาขอหรือโชคเข้าข้าง ในแต่ละงวดจะมีคนแชร์เลขเด็ดหลวงพ่อปากแดงออกมาอยู่บ่อยๆ และมีคนได้โชคลาภอยู่เสมอ ทำให้หลวงพ่อปากแดงเป็นที่รู้จักของคนไทยทั่วประเทศ
วันนี้ผมจะนำภาพบรรยากาศของวัดหลวงพ่อปากแดง มาให้ชมกันครับ เป็นบรรยากาศของวันหยุดที่มีผู้คนมากมาย เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีที่ยืนกันเลยทีเดียว ต่างก็มากราบไหว้ ปิดทอง แก้บน ขอพรให้ทำมาค้าขายเจริญรุ่งเรือง และที่สำคัญมักจะขอโชคลาภติดตัวกลับบ้านกันแทบทุกคน บริเวณวัดก็จะมีแผงขายล็อตเตอรี่ มากมายจนนับไม่ไหวมาคอยให้บริการกันอย่างใกล้ชิด เห็นเลขไหนซื้อเลขนั้น เข้าตาใบไหนหยิบใบนั้น หรือมีเลขเด็ดมาจากที่อื่นจะมาซื้อที่นี่ก็ไม่ผิดหวัง ร้านนี้ไม่มีร้านต่อไปก็ต้องมี เรียกได้ว่าตลาดโชคลาภที่นี่ ใหญ่พอๆกับแถวๆแยกคอวัว ถนนราชดำเนินในสมัยก่อนเลยทีเดียว
ผมเข้ามากราบหลวงพ่อปากแดง ถ่ายภาพท่านมาเป็นที่ระลึก แต่ก็ไม่ได้ขออะไร ไม่ได้ซื้อล็อตเตอรี่ ไม่ได้สะเดาะเคราะห์ แต่ก็ซื้อส้มโอ รวมทั้งน้ำองุ่น จากร้านค้าในตลาดบริเวณทางเดินเข้า ออก บริเวณวัด ซื้อผ้าเช็ดตัวจากร้านค้าที่ขายอยู่แถวๆลานจอดรถ แล้วก็กลับออกมา เพื่อนๆหลายคนที่รู้ว่าผมไปวัดหลวงพ่อปากแดง ทุกคนถามเหมือนกันเลยว่า "ได้เลขอะไรมาบ้าง" ผมก็บอกไปตามที่เห็น คือ 0-9 ที่อยู่ตรงแผงเซียมซี มีครบทุกเลข ที่เหลือไปผสมกันเอาเองก็แล้วกัน รับรองถูกแน่นอน
ผมออกจากวัดหลวงพ่อปากแดง มาในตอนเที่ยงเกือบๆจะบ่ายโมง สภาพอากาศจัดได้ว่า ร้อนถึงร้อนที่สุด ดังนั้นผมจึงต้องวางแผนไปที่ไหนอีกซักแห่งเพื่อบรรเทาความร้อนก่อนที่จะเดินทางต่อไป วันนี้ลากันด้วยประวัติหลวงพ่อปากแดง เพื่อเป็นความรู้เพิ่มเติมสำหรับทุกท่านนะครับ
ประวัติวัดพราหมณี (วัดหลวงพ่อปากแดง) ที่มาจาก Facebook ของใครซักคน ผม Copy มา ขออภัยที่ลงที่มาไม่ชัดเจนนะครับ
วัดพราหมณีสร้างขึ้นเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.5) เสด็จประพาสมณฑลปราจีนบุรี เมื่อมาถึงบริเวณวัด ช้างทรงเชือกหนึ่งได้ล้มลง จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ เมื่อปี พ.ศ.2446 ปัจจุบันนี้มีอายุ 100 กว่าปีแล้ว
วัดพราหมณีเคยได้ถูกทิ้งร้างไปในช่วงหนึ่ง กระทั่งในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา หรือสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นได้เลือกบริเวณที่ตั้งของวัดพราหมณีและเขาทุเรียนเป็นจุดพักทัพของกองพลทหารที่ 37 ซึ่งมีจุดหมายจะไปรวมพลกันที่บริเวณเขาชะโงก (ปัจจุบัน คือ สถานที่ตั้งของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จังหวัดนครนายก) จนสงครามสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2488 จึงมีทหารญี่ปุ่นล้มตายอยู่ในเขต จ.นครนายก หลายแห่งด้วยกัน ปรากฏว่ามีการค้นพบกระดูกของทหารญี่ปุ่นใกล้วัดพราหมณี ดังนั้น สมาคมทหารสหายสงครามกองพลญี่ปุ่นที่ 37 ได้ร่วมกันบริจาคเงินในนามสมาคมสหายสงครามสร้างอนุสรณ์สถานไว้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงทหารญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2532
ปี 2526 พระครูโสภณพรหมคุณ หรือ "หลวงพ่อตึ๋ง" เจ้าอาวาสวัดพราหมณีได้บูรณะวัดขึ้นใหม่ โดยเล่าว่า ตำนานเชื่อกันหลวงพ่อปากแดง เป็นพระพุทธรูปพี่น้องกับหลวงพ่อพระสุก และหลวงพ่อพระใส ที่ประดิษฐานอยู่ที่ จ.หนองคาย ในปัจจุบัน ที่ได้อัญเชิญมาจากนครเวียงจันทน์ พอมาถึงประเทศไทย ชาวบ้านได้แยกย้ายไปตามวัดต่างๆ ส่วนหลวงพ่อปากแดงนั้น ถูกชาวบ้านอัญเชิญและนำมาหยุดยังพื้นที่ว่างบริเวณที่เป็นวัดพราหมณี ปัจจุบันนี้ จากนั้นก็ลงมือสร้างวัดแล้วก็อัญเชิญองค์หลวงพ่อขึ้นเป็นพระประธานในพระ อุโบสถ ซึ่งต่อมา "หลวงพ่อปากแดง" ก็กลายมาเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาว จ.นครนายก สิ่งที่เด่นสะดุดตา คือ ที่ปากของหลวงพ่อมีสีแดงสด เหมือนมีผู้นำลิปสติกไปทาไว้ ผู้เฒ่าผู้แก่ย่านนั้นยืนยัน ว่าเห็นปากท่านแดงแบบนี้ มาตั้งแต่เกิด แม้แต่ปู่ย่าตายายของผู้เฒ่าเหล่านี้ก็บอกว่าเห็นมาตั้งแต่เกิดเหมือนกัน จนทุกวันนี้ โดยความเชื่อของประชาชนที่เดินทางไปเที่ยวน้ำตกสาริกา จะต้องแวะกราบสักการบูชา พร้อมกับบนบานด้วยกล้วยน้ำว้า 9 หวี หมากพลู 9 ชุด พวงมาลัย 9 พวง และน้ำแดง 1 ขวด กันอย่างล้นหลาม พร้อมทั้งตั้งจิตอธิษฐานให้สมความปรารถนาแก่ตัวเอง
การเดินทางมาจังหวัดนครนายกของผมในครั้งนี้นั้น เป็นครั้งแรกในชีวิตเลยครับ ทั้งๆที่จังหวัดนี้ก็ไม่ไกลจากกรุงเทพเลย เดินทางก็สะดวกใช้เวลาไม่นานก็ถึงแล้ว แต่ก็เฉียดไปเฉียดมาอยู่บ่อยๆ ไม่ได้มาซักที เดี๋ยวจะมาๆๆ แต่ไม่ได้มา จนได้มากราบหลวงพ่อปากแดงในวันนี้เอง
ชื่อหลวงพ่อปากแดง เป็นที่รู้จักกันมายาวนานโดยเฉพาะคอหวยทั้งหลาย ตามแผงหนังสือในชนบท แผงขายล็อตเตอรี่ แม้กระทั่งในอินเตอร์เนต ต่างมีชื่อหลวงพ่อปากแดงเป็นชื่อต้นๆในการให้โชคให้ลาภ ให้รางวัลแก่คนทั่วไปที่มาขอหรือโชคเข้าข้าง ในแต่ละงวดจะมีคนแชร์เลขเด็ดหลวงพ่อปากแดงออกมาอยู่บ่อยๆ และมีคนได้โชคลาภอยู่เสมอ ทำให้หลวงพ่อปากแดงเป็นที่รู้จักของคนไทยทั่วประเทศ
วันนี้ผมจะนำภาพบรรยากาศของวัดหลวงพ่อปากแดง มาให้ชมกันครับ เป็นบรรยากาศของวันหยุดที่มีผู้คนมากมาย เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีที่ยืนกันเลยทีเดียว ต่างก็มากราบไหว้ ปิดทอง แก้บน ขอพรให้ทำมาค้าขายเจริญรุ่งเรือง และที่สำคัญมักจะขอโชคลาภติดตัวกลับบ้านกันแทบทุกคน บริเวณวัดก็จะมีแผงขายล็อตเตอรี่ มากมายจนนับไม่ไหวมาคอยให้บริการกันอย่างใกล้ชิด เห็นเลขไหนซื้อเลขนั้น เข้าตาใบไหนหยิบใบนั้น หรือมีเลขเด็ดมาจากที่อื่นจะมาซื้อที่นี่ก็ไม่ผิดหวัง ร้านนี้ไม่มีร้านต่อไปก็ต้องมี เรียกได้ว่าตลาดโชคลาภที่นี่ ใหญ่พอๆกับแถวๆแยกคอวัว ถนนราชดำเนินในสมัยก่อนเลยทีเดียว
ผมเข้ามากราบหลวงพ่อปากแดง ถ่ายภาพท่านมาเป็นที่ระลึก แต่ก็ไม่ได้ขออะไร ไม่ได้ซื้อล็อตเตอรี่ ไม่ได้สะเดาะเคราะห์ แต่ก็ซื้อส้มโอ รวมทั้งน้ำองุ่น จากร้านค้าในตลาดบริเวณทางเดินเข้า ออก บริเวณวัด ซื้อผ้าเช็ดตัวจากร้านค้าที่ขายอยู่แถวๆลานจอดรถ แล้วก็กลับออกมา เพื่อนๆหลายคนที่รู้ว่าผมไปวัดหลวงพ่อปากแดง ทุกคนถามเหมือนกันเลยว่า "ได้เลขอะไรมาบ้าง" ผมก็บอกไปตามที่เห็น คือ 0-9 ที่อยู่ตรงแผงเซียมซี มีครบทุกเลข ที่เหลือไปผสมกันเอาเองก็แล้วกัน รับรองถูกแน่นอน
ผมออกจากวัดหลวงพ่อปากแดง มาในตอนเที่ยงเกือบๆจะบ่ายโมง สภาพอากาศจัดได้ว่า ร้อนถึงร้อนที่สุด ดังนั้นผมจึงต้องวางแผนไปที่ไหนอีกซักแห่งเพื่อบรรเทาความร้อนก่อนที่จะเดินทางต่อไป วันนี้ลากันด้วยประวัติหลวงพ่อปากแดง เพื่อเป็นความรู้เพิ่มเติมสำหรับทุกท่านนะครับ
ประวัติวัดพราหมณี (วัดหลวงพ่อปากแดง) ที่มาจาก Facebook ของใครซักคน ผม Copy มา ขออภัยที่ลงที่มาไม่ชัดเจนนะครับ
วัดพราหมณีสร้างขึ้นเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(ร.5) เสด็จประพาสมณฑลปราจีนบุรี เมื่อมาถึงบริเวณวัด ช้างทรงเชือกหนึ่งได้ล้มลง จึงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างวัดขึ้นเพื่อเป็นอนุสรณ์ เมื่อปี พ.ศ.2446 ปัจจุบันนี้มีอายุ 100 กว่าปีแล้ว
วัดพราหมณีเคยได้ถูกทิ้งร้างไปในช่วงหนึ่ง กระทั่งในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา หรือสงครามโลกครั้งที่ 2 กองทัพญี่ปุ่นได้เลือกบริเวณที่ตั้งของวัดพราหมณีและเขาทุเรียนเป็นจุดพักทัพของกองพลทหารที่ 37 ซึ่งมีจุดหมายจะไปรวมพลกันที่บริเวณเขาชะโงก (ปัจจุบัน คือ สถานที่ตั้งของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า จังหวัดนครนายก) จนสงครามสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 18 ส.ค. 2488 จึงมีทหารญี่ปุ่นล้มตายอยู่ในเขต จ.นครนายก หลายแห่งด้วยกัน ปรากฏว่ามีการค้นพบกระดูกของทหารญี่ปุ่นใกล้วัดพราหมณี ดังนั้น สมาคมทหารสหายสงครามกองพลญี่ปุ่นที่ 37 ได้ร่วมกันบริจาคเงินในนามสมาคมสหายสงครามสร้างอนุสรณ์สถานไว้เพื่อเป็นที่ระลึกถึงทหารญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2532
ปี 2526 พระครูโสภณพรหมคุณ หรือ "หลวงพ่อตึ๋ง" เจ้าอาวาสวัดพราหมณีได้บูรณะวัดขึ้นใหม่ โดยเล่าว่า ตำนานเชื่อกันหลวงพ่อปากแดง เป็นพระพุทธรูปพี่น้องกับหลวงพ่อพระสุก และหลวงพ่อพระใส ที่ประดิษฐานอยู่ที่ จ.หนองคาย ในปัจจุบัน ที่ได้อัญเชิญมาจากนครเวียงจันทน์ พอมาถึงประเทศไทย ชาวบ้านได้แยกย้ายไปตามวัดต่างๆ ส่วนหลวงพ่อปากแดงนั้น ถูกชาวบ้านอัญเชิญและนำมาหยุดยังพื้นที่ว่างบริเวณที่เป็นวัดพราหมณี ปัจจุบันนี้ จากนั้นก็ลงมือสร้างวัดแล้วก็อัญเชิญองค์หลวงพ่อขึ้นเป็นพระประธานในพระ อุโบสถ ซึ่งต่อมา "หลวงพ่อปากแดง" ก็กลายมาเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของชาว จ.นครนายก สิ่งที่เด่นสะดุดตา คือ ที่ปากของหลวงพ่อมีสีแดงสด เหมือนมีผู้นำลิปสติกไปทาไว้ ผู้เฒ่าผู้แก่ย่านนั้นยืนยัน ว่าเห็นปากท่านแดงแบบนี้ มาตั้งแต่เกิด แม้แต่ปู่ย่าตายายของผู้เฒ่าเหล่านี้ก็บอกว่าเห็นมาตั้งแต่เกิดเหมือนกัน จนทุกวันนี้ โดยความเชื่อของประชาชนที่เดินทางไปเที่ยวน้ำตกสาริกา จะต้องแวะกราบสักการบูชา พร้อมกับบนบานด้วยกล้วยน้ำว้า 9 หวี หมากพลู 9 ชุด พวงมาลัย 9 พวง และน้ำแดง 1 ขวด กันอย่างล้นหลาม พร้อมทั้งตั้งจิตอธิษฐานให้สมความปรารถนาแก่ตัวเอง
วันอังคารที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ตลาดอาเซี่ยน อินโดจีน จังหวัดนครนายก
ตลาดอาเซี่ยน อินโดจีน จังหวัดนครนายก
ชมภาพเพิ่มเติม คลิ๊กที่นี่
ระหว่างเส้นทางที่เราออกเดินทางจากตัวเมืองนครนายก เพื่อจะไปน้ำตกนางรองนั้น เราได้เห็นหุ่นพวกนี้ที่ข้างทาง สีสันสดใส และดูน่าสนใจดี เราเลยแวะถ่ายภาพกันไว้เป็นที่ระลึก และอาจจะเป็นเพราะว่าเรามาถึงที่นี่กันเช้าไปหน่อย มองดูรอบๆไม่เห็นใครเลยครับ ดูๆไปแล้วถ้าในช่วงวันหยุดหรือเทศกาลบริเวณนี้ต้องมีคนมาจอดรถซื้อของหรือถ่ายภาพมากแน่ๆเพราะสวยงามและมีจุดที่น่าสนใจ ให้ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกมากมายหลายจุด และอยู่ริมถนนจอดรถง่าย มีที่จอดรถมากมายไม่ต้องแย่งกันด้วย วันนี้เราไม่ได้ซื้ออะไรกันหรอกครับ เพราะว่ามาเช้าเกินไป ถ่ายภาพเสร็จเราก็ออกเดินทางกันต่อไปครับ พรุ่งนี้จะพาไปเที่ยวน้ำตกนางรองนะครับ
นภดล มณีวัต
ชมภาพเพิ่มเติม คลิ๊กที่นี่
ระหว่างเส้นทางที่เราออกเดินทางจากตัวเมืองนครนายก เพื่อจะไปน้ำตกนางรองนั้น เราได้เห็นหุ่นพวกนี้ที่ข้างทาง สีสันสดใส และดูน่าสนใจดี เราเลยแวะถ่ายภาพกันไว้เป็นที่ระลึก และอาจจะเป็นเพราะว่าเรามาถึงที่นี่กันเช้าไปหน่อย มองดูรอบๆไม่เห็นใครเลยครับ ดูๆไปแล้วถ้าในช่วงวันหยุดหรือเทศกาลบริเวณนี้ต้องมีคนมาจอดรถซื้อของหรือถ่ายภาพมากแน่ๆเพราะสวยงามและมีจุดที่น่าสนใจ ให้ถ่ายภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกมากมายหลายจุด และอยู่ริมถนนจอดรถง่าย มีที่จอดรถมากมายไม่ต้องแย่งกันด้วย วันนี้เราไม่ได้ซื้ออะไรกันหรอกครับ เพราะว่ามาเช้าเกินไป ถ่ายภาพเสร็จเราก็ออกเดินทางกันต่อไปครับ พรุ่งนี้จะพาไปเที่ยวน้ำตกนางรองนะครับ
นภดล มณีวัต
วันจันทร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
ทริปทัวร์นกขมิ้น 2557 วัดห้วยมงคล
ทริปทัวร์นกขมิ้น 2557 วัดห้วยมงคล
เราเริ่มต้นเดินทางกันในวันที่ 5 ธันวาคม 2557 ตั้งแต่เช้ามืด ออกเดินทางจากสุราษฎร์ธานีเพื่อที่จะไปจังหวัดนครนายก ในระหว่างการเดินทางก็แวะพักไปเรื่อยๆตามประสาทัวร์นกขมิ้นชรา เดินทางช้าๆไม่เร่งรีบ นอกจากปั๊มต่างๆระหว่างทางแล้วเป้าหมายแรกของเราคือวัดห้วยมงคล เพราะต้องการจะกราบหลวงปู่ทวด ที่ครอบครัวเราเคารพนับถือเพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนจะเดินทางไกล ไปในอีกหลายๆจังหวัดเรื่อยๆมาเรียงๆจนกว่าจะเหนื่อยแล้วค่อยกลับบ้านกัน
หลวงปู่ทวดวัดห้วยมงคล
วันที่เราไปถึงเป็นวันพ่อแห่งชาติพอดี วันนี้จึงมีผู้คนมากมายแวะเวียนกันเข้ามาสักการะองค์หลวงปู่ทวด ก่อนที่จะเข้าไปร่วมพิธีวันพ่อแห่งชาติที่ในเมืองหัวหิน วันนี้จึงเต็มไปด้วยผู้คนที่สวมเสื้อสีเหลืองเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อในหลวงของพวกเรา เข้ามาสู่ช่วงสาระความรู้คั่นเวลากันซักนิด เพื่อประโยชน์และความสุขของทุกท่านครับ
วัดห้วยมงคล จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สถานที่ตั้ง ถนนหัวหิน-ห้วยมงคล หมู่ 6 ถนนห้วยมงคล ตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ 77110
วัดห้วยมงคล เป็นที่ประดิษฐานรูปเหมือนหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เดิมใช้ชื่อว่า “วัดห้วยคต” ตั้งอยู่ในชุมชนบ้านห้วยคต ตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานนามใหม่จากห้วยคต เป็นห้วยมงคล เนื่องจากครั้งที่เสด็จมายังวัดนี้ได้มีดำริให้สร้างถนนใหม่ จากถนนดินเป็นถนนลาดยาง โดยพระราชทานนามให้เช่นเดียวกับชื่อวัด
ต่อมาพระครูปภัสรวรพินิจ หรือพระอาจารย์ไพโรจน์ ปภัสสโร เจ้าอาวาสวัดห้วยมงคลองค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นพระนักพัฒนาที่มีศีลจารวัตที่ดีงามเป็นที่เคารพของคนในชุมชนบ้านห้วยมงคล และพลเอกวิเศษ คงอุทัยกุลรองสมุหราชองครักษ์ได้มีดำริที่จะสร้าง “หลวงพ่อทวด” องค์ใหญ่ที่สุดในโลกเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ รวมทั้งเผยแพร่และสืบทอดพระพุทธศาสนาอีกทั้งให้เป็นที่เคารพสักการบูชาและเป็นที่พึ่งทางใจของเหล่าพุทธศาสนิกชน
ด้วยเรื่องราวปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อทวด พุทธศาสนิกชนในภาคใต้ให้ความเคารพเลื่อมใสมาเป็นเวลานาน และรู้จักกันเป็นอย่างดี จึงก่อเกิดการร่วมมือร่วมใจจากหลายองค์กรทั้งทางภาครัฐและเอกชนในการสร้างประติมากรรมองค์จำลองหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก โดย สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตร เททองหล่อองค์หลวงพ่อทวด เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2547 และพระราชทานพระราชานุญาตให้คณะกรรมการจัดสร้างอัญเชิญพระนามาภิไธยย่อ ส.ก. ขึ้นประดิษฐานที่หน้าองค์รูปหล่อองค์หลวงพ่อทวดโดยรูปหล่อ หลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลกมีขนาด หน้าตักกว้าง 9.9 เมตร สูง 11.5 เมตร บนฐานสูง 3 ชั้น ชั้นล่างกว้าง 70 เมตร ยาว 70 เมตร โดยภายใต้ฐานยังเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ไว้เพื่อปฏบัติศาสนกิจในวันสำคัญทางศาสนา
นอกจากนี้ที่วัดห้วยมงคลแห่งนี้ยังมีหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดแกละสลักจากได้ตะเคียนทองขนาดใหญ่อายุกว่าพันปี ที่ฝังอยู่ในทรายใต้แม่น้ำยม จังหวัดแพร่ลึกกว่า 10 เมตร ชาวบ้านเชื่อกันว่าต้นไม้ที่มีแก่นสูง 1 คืบขึ้นไปจะมีรุกขเทวดาสถิตอยู่เพื่อดูแลปกป้องคุ้มครองคนที่มาสักการบูชา เมื่อนำต้นตะเคียนทองมาทำรูปเคารพ เช่นแกะเป็นหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดจึงมีอนุภาพและความศักดิ์สิทธิ์เป็นทวีสิทธิ์ ดลบันดาลให้ทุกท่านประสบแต่ความสุขความเจริญปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
ที่วัดห้วยมงคลแห่งนี้ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายให้ได้สักการะ ทั้งหลวงปู่ทวด องค์พ่อจตุคามรามเทพ พระเจ้าตากสิน รวมทั้งยังให้ร่วมทำบุญสร้างองค์หลวงพ่อโสธรองค์ใหญ่และร่วมบุญกับมูลนิธิต่างๆ ทำให้เรียกได้ว่ามาที่นี่ ได้อิ่มบุญออกไปอย่างแน่นอน และที่นี่ ลุงเดช พ่อของผมก็ได้เดินลอดท้องช้าง เพื่อสะเดาะเคราะห์ด้วยเช่นกัน
ลอดท้องช้างสะเดาะเคราะห์ตามคติความเชื่อ
หลังจากที่ได้กราบหลวงปู่ทวด ด้วยคาถาบูชาหลวงปู่ทวด นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา. (สวด 3 จบ) และได้ทำบุญในส่วนต่างๆตามศรัทธาแล้ว เราก็พร้อมที่จะออกเดินทางต่อไปจังหวัดนครนายกแล้วครับ
หลังจากนั้นเราก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่จังหวัดเพชรบุรี เลี้ยวขวาเข้าถนนพระรามสอง ที่สามแยกวังมะนาว ขึ้นทางด่วนจนสุดทางเพื่อหลีกเลี่ยงรถติดในเมืองหลวงมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองจังหวัดนครนายก เข้าที่พัก และหามื้อค่ำกินก่อนจะพักผ่อนเพื่อที่จะส่ ลุงเดชไปร่วมงานเลี้ยงรุ่น เกษตรไสใหญ่ ที่บ้านไร่ของเพื่อนเก่าในคืนพรุ่งนี้ รายละเอียดของวันต่อไปติดตามต่อได้ที่นี่ เร็วๆนี้ครับ
นภดล มณีวัต รายงาน
เราเริ่มต้นเดินทางกันในวันที่ 5 ธันวาคม 2557 ตั้งแต่เช้ามืด ออกเดินทางจากสุราษฎร์ธานีเพื่อที่จะไปจังหวัดนครนายก ในระหว่างการเดินทางก็แวะพักไปเรื่อยๆตามประสาทัวร์นกขมิ้นชรา เดินทางช้าๆไม่เร่งรีบ นอกจากปั๊มต่างๆระหว่างทางแล้วเป้าหมายแรกของเราคือวัดห้วยมงคล เพราะต้องการจะกราบหลวงปู่ทวด ที่ครอบครัวเราเคารพนับถือเพื่อความเป็นสิริมงคล ก่อนจะเดินทางไกล ไปในอีกหลายๆจังหวัดเรื่อยๆมาเรียงๆจนกว่าจะเหนื่อยแล้วค่อยกลับบ้านกัน
หลวงปู่ทวดวัดห้วยมงคล
วันที่เราไปถึงเป็นวันพ่อแห่งชาติพอดี วันนี้จึงมีผู้คนมากมายแวะเวียนกันเข้ามาสักการะองค์หลวงปู่ทวด ก่อนที่จะเข้าไปร่วมพิธีวันพ่อแห่งชาติที่ในเมืองหัวหิน วันนี้จึงเต็มไปด้วยผู้คนที่สวมเสื้อสีเหลืองเพื่อแสดงความจงรักภักดีต่อในหลวงของพวกเรา เข้ามาสู่ช่วงสาระความรู้คั่นเวลากันซักนิด เพื่อประโยชน์และความสุขของทุกท่านครับ
วัดห้วยมงคล จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สถานที่ตั้ง ถนนหัวหิน-ห้วยมงคล หมู่ 6 ถนนห้วยมงคล ตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ 77110
วัดห้วยมงคล เป็นที่ประดิษฐานรูปเหมือนหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เดิมใช้ชื่อว่า “วัดห้วยคต” ตั้งอยู่ในชุมชนบ้านห้วยคต ตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานนามใหม่จากห้วยคต เป็นห้วยมงคล เนื่องจากครั้งที่เสด็จมายังวัดนี้ได้มีดำริให้สร้างถนนใหม่ จากถนนดินเป็นถนนลาดยาง โดยพระราชทานนามให้เช่นเดียวกับชื่อวัด
ต่อมาพระครูปภัสรวรพินิจ หรือพระอาจารย์ไพโรจน์ ปภัสสโร เจ้าอาวาสวัดห้วยมงคลองค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นพระนักพัฒนาที่มีศีลจารวัตที่ดีงามเป็นที่เคารพของคนในชุมชนบ้านห้วยมงคล และพลเอกวิเศษ คงอุทัยกุลรองสมุหราชองครักษ์ได้มีดำริที่จะสร้าง “หลวงพ่อทวด” องค์ใหญ่ที่สุดในโลกเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ รวมทั้งเผยแพร่และสืบทอดพระพุทธศาสนาอีกทั้งให้เป็นที่เคารพสักการบูชาและเป็นที่พึ่งทางใจของเหล่าพุทธศาสนิกชน
ด้วยเรื่องราวปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อทวด พุทธศาสนิกชนในภาคใต้ให้ความเคารพเลื่อมใสมาเป็นเวลานาน และรู้จักกันเป็นอย่างดี จึงก่อเกิดการร่วมมือร่วมใจจากหลายองค์กรทั้งทางภาครัฐและเอกชนในการสร้างประติมากรรมองค์จำลองหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก โดย สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตร เททองหล่อองค์หลวงพ่อทวด เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2547 และพระราชทานพระราชานุญาตให้คณะกรรมการจัดสร้างอัญเชิญพระนามาภิไธยย่อ ส.ก. ขึ้นประดิษฐานที่หน้าองค์รูปหล่อองค์หลวงพ่อทวดโดยรูปหล่อ หลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลกมีขนาด หน้าตักกว้าง 9.9 เมตร สูง 11.5 เมตร บนฐานสูง 3 ชั้น ชั้นล่างกว้าง 70 เมตร ยาว 70 เมตร โดยภายใต้ฐานยังเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ไว้เพื่อปฏบัติศาสนกิจในวันสำคัญทางศาสนา
นอกจากนี้ที่วัดห้วยมงคลแห่งนี้ยังมีหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดแกละสลักจากได้ตะเคียนทองขนาดใหญ่อายุกว่าพันปี ที่ฝังอยู่ในทรายใต้แม่น้ำยม จังหวัดแพร่ลึกกว่า 10 เมตร ชาวบ้านเชื่อกันว่าต้นไม้ที่มีแก่นสูง 1 คืบขึ้นไปจะมีรุกขเทวดาสถิตอยู่เพื่อดูแลปกป้องคุ้มครองคนที่มาสักการบูชา เมื่อนำต้นตะเคียนทองมาทำรูปเคารพ เช่นแกะเป็นหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดจึงมีอนุภาพและความศักดิ์สิทธิ์เป็นทวีสิทธิ์ ดลบันดาลให้ทุกท่านประสบแต่ความสุขความเจริญปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
ที่วัดห้วยมงคลแห่งนี้ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมายให้ได้สักการะ ทั้งหลวงปู่ทวด องค์พ่อจตุคามรามเทพ พระเจ้าตากสิน รวมทั้งยังให้ร่วมทำบุญสร้างองค์หลวงพ่อโสธรองค์ใหญ่และร่วมบุญกับมูลนิธิต่างๆ ทำให้เรียกได้ว่ามาที่นี่ ได้อิ่มบุญออกไปอย่างแน่นอน และที่นี่ ลุงเดช พ่อของผมก็ได้เดินลอดท้องช้าง เพื่อสะเดาะเคราะห์ด้วยเช่นกัน
ลอดท้องช้างสะเดาะเคราะห์ตามคติความเชื่อ
หลังจากที่ได้กราบหลวงปู่ทวด ด้วยคาถาบูชาหลวงปู่ทวด นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา. (สวด 3 จบ) และได้ทำบุญในส่วนต่างๆตามศรัทธาแล้ว เราก็พร้อมที่จะออกเดินทางต่อไปจังหวัดนครนายกแล้วครับ
หลังจากนั้นเราก็ออกเดินทางมุ่งหน้าสู่จังหวัดเพชรบุรี เลี้ยวขวาเข้าถนนพระรามสอง ที่สามแยกวังมะนาว ขึ้นทางด่วนจนสุดทางเพื่อหลีกเลี่ยงรถติดในเมืองหลวงมุ่งหน้าเข้าสู่ตัวเมืองจังหวัดนครนายก เข้าที่พัก และหามื้อค่ำกินก่อนจะพักผ่อนเพื่อที่จะส่ ลุงเดชไปร่วมงานเลี้ยงรุ่น เกษตรไสใหญ่ ที่บ้านไร่ของเพื่อนเก่าในคืนพรุ่งนี้ รายละเอียดของวันต่อไปติดตามต่อได้ที่นี่ เร็วๆนี้ครับ
นภดล มณีวัต รายงาน
วันอาทิตย์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
วัดป่าหนองอิงพิง จังหวัดสุพรรณบุรี
วัดป่าหนองอิงพิง ตำบลหนองกระทุ่ม อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี
วัดป่าหนองอิงพิง ได้รับการพัฒนาขึ้นมาอย่างสวยงามและเป็นที่พึ่งทางใจของญาติโยมในบริเวณนี้หลังจากที่ พระอาจารย์ นฤเดช ฐิตลาโภ เข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อประมาณสี่ปีที่แล้ว มีการบูรณะศาลา และสร้างพระพุทธรูป ปรับปรุงสถานที่และปลูกต้นไม้เพิ่มเติม ทำให้บริเวณวัดดูสงบร่มเย็นขึ้นมาก
และนอกจากนี้ยังได้มีการจัดกิจกรรมเพื่อสืบสานพระพุทธศาสนาและประเพณีไทยมากมาย อาทิเช้น การบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน การจัดงานประเพณีสงกรานต์ รวมทั้งจัดงานปริวาสกรรม เพื่อสืบสานพระพุทธศาสนาและได้ให้ชาวบ้านได้ทำบุญกับพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
พระอาจารย์ นฤเดช ฐิตลาโภ เจ้าอาวาสวัดป่าหนองอิงพิง
นอกจากนี้แล้วบริเวณรอบๆวัดยังมีทิวทัศน์ที่งดงาม ในยามเช้าและยามเย็นจะมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้น และตกได้ในมุมมองแบบ 360 องศา เพราะบริเวณรอบๆเป็นไร่อ้อย โดยรอบ มีพื้นที่ที่เป็นต้นไม้ใหญ่เฉพาะที่บริเวณวัดป่าหนองอิงพิงแห่งนี้เท่านั้น
ข่าวฝากจากท่านพระอาจารย์นฤเดช ถึงญาติโยมที่มีจิตศรัทธาจะร่วมสร้างวัดครับ
ญาติโยมท่านใดสนใจร่วมสร้างวัดที่กันดารอยู่ห่างไกล ณ วัดป่าหนองอิงพิง ตำบลหนองกระทุ่ม อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ติดต่อร่วมบุญใด้ที่อาจารย์นฤเดช ฐิตลาโภ (เจ้าอาวาส) 0993545419 หรือ 0833102853 ขอญาติโยมที่ร่วมใหญ่จงมีความสุขคลายทุกไม่เจ็บไม่จนกันทุกท่านด้วยเทอญ
สุดท้ายนี้ท่านอาจารย์นฤเดช ฝากข่าวมายังพระภิกษุ สามเณร รวมทั้งญาติโยมที่มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา สนใจจะร่วมปฎิบัติธรรมที่วัดป่าหนองอิงพิง ตามรายละเอียดด้านล่างนี้ครับ
ขอนิมนต์พระภิกษุสงฆ์เข้าอยู่ปริวาสกรรมประจำปี 5 ถึง14 มิถุนายน 2558 ณ วัดป่าหนองอิงพิง ตำบลหนองกระทุ่ม อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี และขอเชิญญาติธรรมทุกท่านมาร่วมเป็นเจ้าภาพอาหารและน้ำปานะ และในวันที่14 มิถุนายน 2558 จะมีประเพณีถวายสลากภัต ติดต่อสอบถามใด้ที่ พระอาจารย์ นฤเดช ฐิตลาโภ 0993545419 หรือ 0833102853 ใด้ตลอดเวลา
โอกาสหน้าจะนำภาพความคืบหน้าในการก่อสร้าง รวมถึงภาพบรรยากาศต่างๆของกิจกรรมภายในวัดป่าหนองอิงพิงมาให้ชมกันอีกนะครับ และถ้ามีเวลามากพอจะถ่ายเป็น วีดีโอ มาให้ชมกันด้วย วันนี้ลาไปแค่นี้ก่อนนะครับ
นภดล มณีวัต
วัดป่าหนองอิงพิง ได้รับการพัฒนาขึ้นมาอย่างสวยงามและเป็นที่พึ่งทางใจของญาติโยมในบริเวณนี้หลังจากที่ พระอาจารย์ นฤเดช ฐิตลาโภ เข้ามารับตำแหน่งเจ้าอาวาส เมื่อประมาณสี่ปีที่แล้ว มีการบูรณะศาลา และสร้างพระพุทธรูป ปรับปรุงสถานที่และปลูกต้นไม้เพิ่มเติม ทำให้บริเวณวัดดูสงบร่มเย็นขึ้นมาก
และนอกจากนี้ยังได้มีการจัดกิจกรรมเพื่อสืบสานพระพุทธศาสนาและประเพณีไทยมากมาย อาทิเช้น การบรรพชาสามเณรภาคฤดูร้อน การจัดงานประเพณีสงกรานต์ รวมทั้งจัดงานปริวาสกรรม เพื่อสืบสานพระพุทธศาสนาและได้ให้ชาวบ้านได้ทำบุญกับพระที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
พระอาจารย์ นฤเดช ฐิตลาโภ เจ้าอาวาสวัดป่าหนองอิงพิง
นอกจากนี้แล้วบริเวณรอบๆวัดยังมีทิวทัศน์ที่งดงาม ในยามเช้าและยามเย็นจะมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้น และตกได้ในมุมมองแบบ 360 องศา เพราะบริเวณรอบๆเป็นไร่อ้อย โดยรอบ มีพื้นที่ที่เป็นต้นไม้ใหญ่เฉพาะที่บริเวณวัดป่าหนองอิงพิงแห่งนี้เท่านั้น
ข่าวฝากจากท่านพระอาจารย์นฤเดช ถึงญาติโยมที่มีจิตศรัทธาจะร่วมสร้างวัดครับ
ญาติโยมท่านใดสนใจร่วมสร้างวัดที่กันดารอยู่ห่างไกล ณ วัดป่าหนองอิงพิง ตำบลหนองกระทุ่ม อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี ติดต่อร่วมบุญใด้ที่อาจารย์นฤเดช ฐิตลาโภ (เจ้าอาวาส) 0993545419 หรือ 0833102853 ขอญาติโยมที่ร่วมใหญ่จงมีความสุขคลายทุกไม่เจ็บไม่จนกันทุกท่านด้วยเทอญ
สุดท้ายนี้ท่านอาจารย์นฤเดช ฝากข่าวมายังพระภิกษุ สามเณร รวมทั้งญาติโยมที่มีจิตศรัทธาในพระพุทธศาสนา สนใจจะร่วมปฎิบัติธรรมที่วัดป่าหนองอิงพิง ตามรายละเอียดด้านล่างนี้ครับ
ขอนิมนต์พระภิกษุสงฆ์เข้าอยู่ปริวาสกรรมประจำปี 5 ถึง14 มิถุนายน 2558 ณ วัดป่าหนองอิงพิง ตำบลหนองกระทุ่ม อำเภอเดิมบางนางบวช จังหวัดสุพรรณบุรี และขอเชิญญาติธรรมทุกท่านมาร่วมเป็นเจ้าภาพอาหารและน้ำปานะ และในวันที่14 มิถุนายน 2558 จะมีประเพณีถวายสลากภัต ติดต่อสอบถามใด้ที่ พระอาจารย์ นฤเดช ฐิตลาโภ 0993545419 หรือ 0833102853 ใด้ตลอดเวลา
โอกาสหน้าจะนำภาพความคืบหน้าในการก่อสร้าง รวมถึงภาพบรรยากาศต่างๆของกิจกรรมภายในวัดป่าหนองอิงพิงมาให้ชมกันอีกนะครับ และถ้ามีเวลามากพอจะถ่ายเป็น วีดีโอ มาให้ชมกันด้วย วันนี้ลาไปแค่นี้ก่อนนะครับ
นภดล มณีวัต
ร้านปานโภชนา ท่าข้าม พุนพิน สุราษฎร์ธานี
ร้านปานโภชนา ท่าข้าม พุนพิน สุราษฎร์ธานี
นานมากแล้วที่ร้านอาหารร้านนี้เปิดอยู่ตรงนี้ นานมากแล้วที่คนเดินทางด้วยรถไฟจากสถานีสุราษฎร์ธานี ไป กรุงเทพ ได้แวะพักทานอาหารก่อนที่จะเดินทางไกล ร้านนี้มีอาหารอร่อยๆหลายอย่าง ผมเองก็เป็นลูกค้าประจำแบบเงียบๆของร้านนี้อยู่ด้วยเช่นกัน สาเหตุที่บอกว่าเป็นลูกค้าประจำแบบเงียบๆก็คงจะเป็นเพราะทุกๆวันจะมีขาประจำแบบเสียงดังๆมานั่งกินนั่งดื่มกันอยู่มากมาย ทำให้บรรยากาศของร้านดูจะคึกคักอยู่ตลอดเวลา
ผมชอบที่จะนั่งโต๊ะมุมเงียบๆสั่งอาหารสามสี่อย่าง ที่ชอบและสั่งประจำคือ แกงส้มไข่ปลาเรียวเซียว หรือ ริวกิว ก็แล้วแต่จะเรียก หน่อไม้ทะเลผัด นี่ก็อร่อยมากๆ ที่เหลือก็พวกของทอด รวมทั้งไข่เจียวปูมากินกับแกงส้ม ทำให้เจริญอาหารดีแท้ๆ
ผมจำได้คลับคล้าคลับคลาว่า ในสมัยที่ผมยังเด็กร้านปานจะอยู่ที่ฝั่งตลาดล่างด้านติดริมแม่น้ำตาปี อยู่แถวๆตลาดเก่าตรงนั้น พอมีการปรับปรุงพื้นที่ ทำถนนสี่เลน มาถึงสถานีรถไฟ ประมาณปี 2531 ตึกแถวไม้เก่าๆตรงนี้ก็ถูกสร้างเป็นตึกสวยงาม และหลังจากนั้นผมก็เห็นร้านปานโภชนา มาตั้งอยู่ตรงนี้ ส่วนข้อมูลชัดเจนเป็นอย่างไรก็ค่อยขอคำยืนยันจากคนท่าข้ามอีกทีนะครับ ผมแค่คลับคล้ายคลับคลา
ร้านนี้เป็นอีกร้านที่ผมอยากแนะนำให้ไปลองชิมกัน แแกงส้มไข่ปลาเรียวเซียว คือเมนูแนะนำครับ ไว้โอกาสหน้าผมจะมาแนะนำร้านอื่นๆที่น่าสนใจอีกนะครับ ร้านนอกกระแส บรรยากาศดีๆ ที่ผมชอบครับ
นภดล มณีวัต
นานมากแล้วที่ร้านอาหารร้านนี้เปิดอยู่ตรงนี้ นานมากแล้วที่คนเดินทางด้วยรถไฟจากสถานีสุราษฎร์ธานี ไป กรุงเทพ ได้แวะพักทานอาหารก่อนที่จะเดินทางไกล ร้านนี้มีอาหารอร่อยๆหลายอย่าง ผมเองก็เป็นลูกค้าประจำแบบเงียบๆของร้านนี้อยู่ด้วยเช่นกัน สาเหตุที่บอกว่าเป็นลูกค้าประจำแบบเงียบๆก็คงจะเป็นเพราะทุกๆวันจะมีขาประจำแบบเสียงดังๆมานั่งกินนั่งดื่มกันอยู่มากมาย ทำให้บรรยากาศของร้านดูจะคึกคักอยู่ตลอดเวลา
ผมชอบที่จะนั่งโต๊ะมุมเงียบๆสั่งอาหารสามสี่อย่าง ที่ชอบและสั่งประจำคือ แกงส้มไข่ปลาเรียวเซียว หรือ ริวกิว ก็แล้วแต่จะเรียก หน่อไม้ทะเลผัด นี่ก็อร่อยมากๆ ที่เหลือก็พวกของทอด รวมทั้งไข่เจียวปูมากินกับแกงส้ม ทำให้เจริญอาหารดีแท้ๆ
ผมจำได้คลับคล้าคลับคลาว่า ในสมัยที่ผมยังเด็กร้านปานจะอยู่ที่ฝั่งตลาดล่างด้านติดริมแม่น้ำตาปี อยู่แถวๆตลาดเก่าตรงนั้น พอมีการปรับปรุงพื้นที่ ทำถนนสี่เลน มาถึงสถานีรถไฟ ประมาณปี 2531 ตึกแถวไม้เก่าๆตรงนี้ก็ถูกสร้างเป็นตึกสวยงาม และหลังจากนั้นผมก็เห็นร้านปานโภชนา มาตั้งอยู่ตรงนี้ ส่วนข้อมูลชัดเจนเป็นอย่างไรก็ค่อยขอคำยืนยันจากคนท่าข้ามอีกทีนะครับ ผมแค่คลับคล้ายคลับคลา
ร้านนี้เป็นอีกร้านที่ผมอยากแนะนำให้ไปลองชิมกัน แแกงส้มไข่ปลาเรียวเซียว คือเมนูแนะนำครับ ไว้โอกาสหน้าผมจะมาแนะนำร้านอื่นๆที่น่าสนใจอีกนะครับ ร้านนอกกระแส บรรยากาศดีๆ ที่ผมชอบครับ
นภดล มณีวัต
วันศุกร์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
น้ำตกนางรอง จังหวัดนครนายก
น้ำตกนางรอง จังหวัดนครนายก
ที่มา http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=29919.0
ข้อมูลทั่วๆไปที่ผมพอจะหาได้ของน้ำตกนางรองก่อนที่ผมจะเดินทางเข้าไปชมความงามของน้ำตกแห่งนี้
ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตั้งอยู่ที่ ต.หินตั้ง อ.เมือง ห่างจากตัวเมืองนครนายกประมาณ 20 กิโลเมตร ตามทางหลวง 3049 ส่วนที่เหลือก็คงจะเดินทางกันไม่ยากนัก เพราะมีป้ายบอกตลอดเส้นทาง ผมแวะเข้าไปตอนสายๆ ในช่วงที่มีน้ำไม่มากนักแต่ก็ยังคงสวยงามอยู่มาก เช่นเดียวกันกับน้ำตกสาริกา ที่ผมตั้งใจไว้ว่าจะกลับมาเยือนอีกครั้งในช่วงที่มีน้ำมากกว่านี้
เส้นทางเข้า ต้องจ่ายเงินค่าเข้าชมตรงนี้ก่อน ทั้งรถยนต์และผู้เข้าชม เป็นส่วนงานบริหารของ อบจ.นครนายกครับ
น้ำตกนางรองขึ้นชื่อมานานเพราะมีการแต่งเพลงบรรยายความงดงามของน้ำตกแห่งนี้ไว้และโด่งดังมีคนรู้จักกันมากมายในยุคสมัยก่อน ขับร้องโดย ทูล ทองใจ ผมเองร้องไม่ได้หรอกครับ เคยฟังผ่านๆหูมาบ้างแต่ก้ไม่มากนัก ต้องให้รุ่นพ่อ รุ่นลุง ที่อายุ ห้าสิบกว่าๆขึ้นไปละครับ มาร้องให้ฟังกัน
เพลงนางรอง
นางรอง เจิ่งรินไหลนองท้องนา หลั่งอุทก ตกมาตามเนินผางามสะพรั่ง
จากธารไหลหลั่ง สาวน้อยร้อยชั่ง งามเหมือนดัง เงือกน้ำ
นางลง สระสรงลงในสายชล แหวกกระแส ว่ายวน ระเริงสายชล เย็นฉ่ำ
จดใจ ฝังจำ พี่หลงครวญคร่ำ เอ่ยน้ำคำพร่ำรักฝากใจ
น้ำตกนางรอง อาจเป็นสอง รองเขาอื่น แต่เจ้างามชื่น จะไม่เป็นสอง รองใคร
เจ้าชื่อนางรอง แต่น้องจะรู้บ้างไหม นางเอกประจำใจ พี่มั่นหมายไว้แต่น้องนางเดียว
นางรอง พี่ปองน้องเป็นขวัญตา เจ้าเป็นข้าวคู่นา พี่จึงขอมาเก็บเกี่ยว
มอบใจรักเหนี่ยว เสมือนคมเคียว เกี่ยวหัวใจเจ้าไว้ครอบครอง
น้ำตกนางรอง อาจเป็นสองรองเขาอื่น แต่เจ้างามชื่น จะไม่เป็นสอง รองใคร
วันนี้ร่ำลากันตรงนี้ก่อนนะครับ พรุ่งนี้จะพาไปชมที่ไหนอีกก็คอยติดตามกันต่อไป แต่ก็คงจะอยู่แถวๆนครนายกนั่นละครับ
นภดล มณีวัต
ที่มา http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=29919.0
ข้อมูลทั่วๆไปที่ผมพอจะหาได้ของน้ำตกนางรองก่อนที่ผมจะเดินทางเข้าไปชมความงามของน้ำตกแห่งนี้
ตั้งอยู่ในเขตอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ตั้งอยู่ที่ ต.หินตั้ง อ.เมือง ห่างจากตัวเมืองนครนายกประมาณ 20 กิโลเมตร ตามทางหลวง 3049 ส่วนที่เหลือก็คงจะเดินทางกันไม่ยากนัก เพราะมีป้ายบอกตลอดเส้นทาง ผมแวะเข้าไปตอนสายๆ ในช่วงที่มีน้ำไม่มากนักแต่ก็ยังคงสวยงามอยู่มาก เช่นเดียวกันกับน้ำตกสาริกา ที่ผมตั้งใจไว้ว่าจะกลับมาเยือนอีกครั้งในช่วงที่มีน้ำมากกว่านี้
เส้นทางเข้า ต้องจ่ายเงินค่าเข้าชมตรงนี้ก่อน ทั้งรถยนต์และผู้เข้าชม เป็นส่วนงานบริหารของ อบจ.นครนายกครับ
น้ำตกนางรองขึ้นชื่อมานานเพราะมีการแต่งเพลงบรรยายความงดงามของน้ำตกแห่งนี้ไว้และโด่งดังมีคนรู้จักกันมากมายในยุคสมัยก่อน ขับร้องโดย ทูล ทองใจ ผมเองร้องไม่ได้หรอกครับ เคยฟังผ่านๆหูมาบ้างแต่ก้ไม่มากนัก ต้องให้รุ่นพ่อ รุ่นลุง ที่อายุ ห้าสิบกว่าๆขึ้นไปละครับ มาร้องให้ฟังกัน
เพลงนางรอง
นางรอง เจิ่งรินไหลนองท้องนา หลั่งอุทก ตกมาตามเนินผางามสะพรั่ง
จากธารไหลหลั่ง สาวน้อยร้อยชั่ง งามเหมือนดัง เงือกน้ำ
นางลง สระสรงลงในสายชล แหวกกระแส ว่ายวน ระเริงสายชล เย็นฉ่ำ
จดใจ ฝังจำ พี่หลงครวญคร่ำ เอ่ยน้ำคำพร่ำรักฝากใจ
น้ำตกนางรอง อาจเป็นสอง รองเขาอื่น แต่เจ้างามชื่น จะไม่เป็นสอง รองใคร
เจ้าชื่อนางรอง แต่น้องจะรู้บ้างไหม นางเอกประจำใจ พี่มั่นหมายไว้แต่น้องนางเดียว
นางรอง พี่ปองน้องเป็นขวัญตา เจ้าเป็นข้าวคู่นา พี่จึงขอมาเก็บเกี่ยว
มอบใจรักเหนี่ยว เสมือนคมเคียว เกี่ยวหัวใจเจ้าไว้ครอบครอง
น้ำตกนางรอง อาจเป็นสองรองเขาอื่น แต่เจ้างามชื่น จะไม่เป็นสอง รองใคร
วันนี้ร่ำลากันตรงนี้ก่อนนะครับ พรุ่งนี้จะพาไปชมที่ไหนอีกก็คอยติดตามกันต่อไป แต่ก็คงจะอยู่แถวๆนครนายกนั่นละครับ
นภดล มณีวัต
พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์
พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์
เคยฟังเพลงของคาราบาวมานานมาก ตั้งแต่สมัยเด็กๆ แต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ไปที่ดอนเจดีย์เลยซักครั้ง ทั้งๆที่ขับรถเฉียดไปเฉียดมาอยู่หลายปี วันนี้มีโอกาสได้ไปกราบองค์พระนเรศวร ที่ดอนเจดีย์เสียที ทำให้รู้สึกได้ถึงพลังศรัทธาและความเคารพนับถือของชาวสุพรรณบุรีและคนทั่วไปได้อย่างมากมายมหาศาล
เพลงดอนเจดีย์ วงคาราบาว
ดอนเจดีย์ มีเจดีย์อยู่บนดอน ดอนเจดีย์ ดอนเจดีย์
ดอนเจดีย์ เป็นปูชนีย์สถาน ดินแดนตำนาน ขององค์ราชัน พระนเรศวร
หนองสาหร่าย ตำบลยุทธหัตถี ทรงกำชัยเหนือไพรี นำทัพไทย แผ่นดินกลับคืน
ดอนเจดีย์ มีเจดีย์อยู่บนดอน ดอนเจดีย์ ดอนเจดีย์
ดอนเจดีย์ เป็นองค์สักขีพยาน อันชาวไทยแต่โบราณ คือชายชาญ ทหารกล้า
กู้เอกราช สร้างชาติ อธิปไตย เพื่อลูก เพื่อหลานสืบไป เพื่อคนไทยทุกๆคน
ประวัติศาสตร์ เอกราช ของชนชาติไทย
ได้มา ด้วยหยาดเหงื่อไคล ด้วยเลือดเนื้อ ไปแลกกับเหล็ก
เอาช้างไปชนกับช้าง อย่างองค์พระนเรศวร
ทรงช้าง นำหน้าขบวน แหกหลาวแหลนทวน ประชิดข้าศึก
ง้าวที่เงื้อสุดแรง ฟันลงเพื่อความเป็นไทย
พระนเรศวรมีชัย เราคนไทย มีแผ่นดินอยู่
ดอนเจดีย์ สักขีของความเป็นไทย ลูกหลานได้จำใส่ใจ บรรพบุรุษไทย ผู้ควรเทิดทูน
ขอน้อมเกล้า แด่องค์สมเด็จ พระนเรศวรมหาราช ในสงครามประวัติศาสตร์ ของการกู้ชาติ ณ ดอนเจดีย์
ประวัติจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ ตั้งอยู่ที่ ตำบลดอนเจดีย์ อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี ประกอบด้วยพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพระคชาธารออกศึก และองค์เจดีย์ยุทธหัตถี สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสร้างเจดีย์ขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะในสงครามยุทธหัตถีที่ทรงมีต่อพระมหาอุปราชาแห่งพม่า เมื่อเดือนมกราคม ปี พ.ศ. 2135 และในปี พ.ศ. 2495 กองทัพบกได้บูรณปฏิสังขรณ์องค์เจดีย์ขึ้นใหม่ โดยสร้างเป็นเจดีย์แบบลังกาทรงกลมใหญ่ สูง 66 เมตร ฐานกว้างด้านละ 36 เมตร ครอบเจดีย์องค์เดิมไว้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปประกอบพิธีบวงสรวงและเปิดพระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2502 ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดให้วันที่ 25 มกราคม ของทุกปี เป็นวันถวายราชสักการะพระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ พร้อมกันนั้นทางจังหวัดได้จัดให้มีงานเฉลิมฉลองพระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ทุกปี เลยจากเจดีย์ไปประมาณ 100 เมตร เป็นที่ตั้งของ พระตำหนักสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภายในมีรูปปั้นของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและพระสุพรรณกัลยา มีผู้นิยมไปสักการบูชาอยู่เสมอ
เคยฟังเพลงของคาราบาวมานานมาก ตั้งแต่สมัยเด็กๆ แต่ยังไม่เคยมีโอกาสได้ไปที่ดอนเจดีย์เลยซักครั้ง ทั้งๆที่ขับรถเฉียดไปเฉียดมาอยู่หลายปี วันนี้มีโอกาสได้ไปกราบองค์พระนเรศวร ที่ดอนเจดีย์เสียที ทำให้รู้สึกได้ถึงพลังศรัทธาและความเคารพนับถือของชาวสุพรรณบุรีและคนทั่วไปได้อย่างมากมายมหาศาล
เพลงดอนเจดีย์ วงคาราบาว
ดอนเจดีย์ มีเจดีย์อยู่บนดอน ดอนเจดีย์ ดอนเจดีย์
ดอนเจดีย์ เป็นปูชนีย์สถาน ดินแดนตำนาน ขององค์ราชัน พระนเรศวร
หนองสาหร่าย ตำบลยุทธหัตถี ทรงกำชัยเหนือไพรี นำทัพไทย แผ่นดินกลับคืน
ดอนเจดีย์ มีเจดีย์อยู่บนดอน ดอนเจดีย์ ดอนเจดีย์
ดอนเจดีย์ เป็นองค์สักขีพยาน อันชาวไทยแต่โบราณ คือชายชาญ ทหารกล้า
กู้เอกราช สร้างชาติ อธิปไตย เพื่อลูก เพื่อหลานสืบไป เพื่อคนไทยทุกๆคน
ประวัติศาสตร์ เอกราช ของชนชาติไทย
ได้มา ด้วยหยาดเหงื่อไคล ด้วยเลือดเนื้อ ไปแลกกับเหล็ก
เอาช้างไปชนกับช้าง อย่างองค์พระนเรศวร
ทรงช้าง นำหน้าขบวน แหกหลาวแหลนทวน ประชิดข้าศึก
ง้าวที่เงื้อสุดแรง ฟันลงเพื่อความเป็นไทย
พระนเรศวรมีชัย เราคนไทย มีแผ่นดินอยู่
ดอนเจดีย์ สักขีของความเป็นไทย ลูกหลานได้จำใส่ใจ บรรพบุรุษไทย ผู้ควรเทิดทูน
ขอน้อมเกล้า แด่องค์สมเด็จ พระนเรศวรมหาราช ในสงครามประวัติศาสตร์ ของการกู้ชาติ ณ ดอนเจดีย์
ประวัติจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
พระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ ตั้งอยู่ที่ ตำบลดอนเจดีย์ อำเภอดอนเจดีย์ จังหวัดสุพรรณบุรี ประกอบด้วยพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงพระคชาธารออกศึก และองค์เจดีย์ยุทธหัตถี สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงสร้างเจดีย์ขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองชัยชนะในสงครามยุทธหัตถีที่ทรงมีต่อพระมหาอุปราชาแห่งพม่า เมื่อเดือนมกราคม ปี พ.ศ. 2135 และในปี พ.ศ. 2495 กองทัพบกได้บูรณปฏิสังขรณ์องค์เจดีย์ขึ้นใหม่ โดยสร้างเป็นเจดีย์แบบลังกาทรงกลมใหญ่ สูง 66 เมตร ฐานกว้างด้านละ 36 เมตร ครอบเจดีย์องค์เดิมไว้
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จไปประกอบพิธีบวงสรวงและเปิดพระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2502 ซึ่งรัฐบาลได้กำหนดให้วันที่ 25 มกราคม ของทุกปี เป็นวันถวายราชสักการะพระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ พร้อมกันนั้นทางจังหวัดได้จัดให้มีงานเฉลิมฉลองพระบรมราชานุสรณ์ดอนเจดีย์ทุกปี เลยจากเจดีย์ไปประมาณ 100 เมตร เป็นที่ตั้งของ พระตำหนักสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภายในมีรูปปั้นของสมเด็จพระนเรศวรมหาราชและพระสุพรรณกัลยา มีผู้นิยมไปสักการบูชาอยู่เสมอ
วันพฤหัสบดีที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
พุทธอุทยานมาฆบูชาอนุสรณ์ สวนพุทธชยันตี 2600 ปี
พุทธอุทยานมาฆบูชาอนุสรณ์ สวนพุทธชยันตี 2600 ปี
ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับน้ำตกสาลิกา มีพระพุทธรูปปางแสดงโอวาทปาติโมกข์ขนาดหน้าตัก 9 เมตร สูง 13.5 เมตร ตั้งอยู่ มีการสร้างพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก 90 ซม. อีก 1,250 องค์อยู่รอบๆ เป็นสถานที่จำลองเหตุการณ์ วันแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในวันมาฆบูชา
ความสำคัญของวันมาฆบูชา จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
นมาฆบูชา (บาลี: มาฆปูชา; อักษรโรมัน: Magha Puja) เป็นวันสำคัญของชาวพุทธเถรวาทและวันหยุดราชการในประเทศไทย "มาฆบูชา" ย่อมาจาก "มาฆปูรณมีบูชา" หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะตามปฏิทินของอินเดีย หรือเดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย (ตกช่วงเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม) ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน (ปีอธิกมาส) ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 3 หลัง (วันเพ็ญเดือน 4)
วันมาฆบูชาได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธ เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา โดยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ พระสงฆ์สาวก 1,250 รูปได้มาประชุมพร้อมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย, พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง, พระสงฆ์ที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6, และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ดังนั้น จึงเรียกวันนี้อีกอย่างหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4
เดิมนั้นไม่มีพิธีมาฆบูชาในประเทศพุทธเถรวาท จนมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระองค์ได้ทรงปรารภถึงเหตุการณ์ครั้งพุทธกาลในวันเพ็ญเดือน 3 ดังกล่าวว่า เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ควรประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส จึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชกุศลมาฆบูชาขึ้น การประกอบพระราชพิธีคงคล้ายกับวันวิสาขบูชา คือ มีการบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ และมีการพระราชทานจุดเทียนตามประทีปเป็นพุทธบูชาในวัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระอารามหลวงต่าง ๆ เป็นต้น ในช่วงแรก พิธีมาฆบูชาคงเป็นการพระราชพิธีภายใน ยังไม่แพร่หลายทั่วไป ต่อมา ความนิยมจัดพิธีมาฆบูชาจึงได้ขยายออกไปทั่วราชอาณาจักร
ปัจจุบัน วันมาฆบูชาได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์และประชาชนประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าวที่ถือได้ว่า เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประทานโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งกล่าวถึงหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวล
นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2549 รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันมาฆบูชาเป็น "วันกตัญญูแห่งชาติ" เนื่องจากในสังคมไทยปัจจุบัน หญิงสาวมักเสียตัวในวันวาเลนไทน์ หลายหน่วยงานจึงพยายามรณรงค์ให้วันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรัก (อันบริสุทธิ์) แทน
ในปี พ.ศ. 2558 วันมาฆบูชาตรงกับ วันพุธที่ 4 มีนาคม ปีนี้ เป็นปีอธิกมาส ตรงกับวัน ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4
ตั้งอยู่ใกล้ๆ กับน้ำตกสาลิกา มีพระพุทธรูปปางแสดงโอวาทปาติโมกข์ขนาดหน้าตัก 9 เมตร สูง 13.5 เมตร ตั้งอยู่ มีการสร้างพระพุทธรูปขนาดหน้าตัก 90 ซม. อีก 1,250 องค์อยู่รอบๆ เป็นสถานที่จำลองเหตุการณ์ วันแสดงโอวาทปาติโมกข์ ในวันมาฆบูชา
ความสำคัญของวันมาฆบูชา จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
นมาฆบูชา (บาลี: มาฆปูชา; อักษรโรมัน: Magha Puja) เป็นวันสำคัญของชาวพุทธเถรวาทและวันหยุดราชการในประเทศไทย "มาฆบูชา" ย่อมาจาก "มาฆปูรณมีบูชา" หมายถึง การบูชาในวันเพ็ญกลางเดือนมาฆะตามปฏิทินของอินเดีย หรือเดือน 3 ตามปฏิทินจันทรคติของไทย (ตกช่วงเดือนกุมภาพันธ์หรือมีนาคม) ถ้าปีใดมีเดือนอธิกมาส คือ มีเดือน 8 สองหน (ปีอธิกมาส) ก็เลื่อนไปทำในวันเพ็ญเดือน 3 หลัง (วันเพ็ญเดือน 4)
วันมาฆบูชาได้รับการยกย่องเป็นวันสำคัญทางศาสนาพุทธ เนื่องจากเหตุการณ์สำคัญที่เกิดขึ้นเมื่อ 2,500 กว่าปีก่อน คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงโอวาทปาฏิโมกข์ท่ามกลางที่ประชุมมหาสังฆสันนิบาตครั้งใหญ่ในพระพุทธศาสนา โดยมีเหตุการณ์เกิดขึ้นพร้อมกัน 4 ประการ คือ พระสงฆ์สาวก 1,250 รูปได้มาประชุมพร้อมกันยังวัดเวฬุวันโดยมิได้นัดหมาย, พระสงฆ์ที่มาประชุมทั้งหมดเป็น "เอหิภิกขุอุปสัมปทา" หรือผู้ได้รับการอุปสมบทจากพระพุทธเจ้าโดยตรง, พระสงฆ์ที่มาประชุมล้วนเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญา 6, และวันดังกล่าวตรงกับวันเพ็ญมาฆปุรณมีดิถี ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 3 ดังนั้น จึงเรียกวันนี้อีกอย่างหนึ่งว่า "วันจาตุรงคสันนิบาต" หรือ วันที่มีการประชุมพร้อมด้วยองค์ 4
เดิมนั้นไม่มีพิธีมาฆบูชาในประเทศพุทธเถรวาท จนมาในสมัยของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 4) พระองค์ได้ทรงปรารภถึงเหตุการณ์ครั้งพุทธกาลในวันเพ็ญเดือน 3 ดังกล่าวว่า เป็นวันที่เกิดเหตุการณ์สำคัญยิ่ง ควรประกอบพิธีทางพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นที่ตั้งแห่งความศรัทธาเลื่อมใส จึงมีพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้จัดการพระราชกุศลมาฆบูชาขึ้น การประกอบพระราชพิธีคงคล้ายกับวันวิสาขบูชา คือ มีการบำเพ็ญพระราชกุศลต่าง ๆ และมีการพระราชทานจุดเทียนตามประทีปเป็นพุทธบูชาในวัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระอารามหลวงต่าง ๆ เป็นต้น ในช่วงแรก พิธีมาฆบูชาคงเป็นการพระราชพิธีภายใน ยังไม่แพร่หลายทั่วไป ต่อมา ความนิยมจัดพิธีมาฆบูชาจึงได้ขยายออกไปทั่วราชอาณาจักร
ปัจจุบัน วันมาฆบูชาได้รับการประกาศให้เป็นวันหยุดราชการในประเทศไทย โดยพุทธศาสนิกชนทั้งพระบรมวงศานุวงศ์ พระสงฆ์และประชาชนประกอบพิธีต่าง ๆ เช่น การตักบาตร การฟังพระธรรมเทศนา การเวียนเทียน เป็นต้น เพื่อบูชารำลึกถึงพระรัตนตรัยและเหตุการณ์สำคัญดังกล่าวที่ถือได้ว่า เป็นวันที่พระพุทธเจ้าประทานโอวาทปาฏิโมกข์ ซึ่งกล่าวถึงหลักคำสอนอันเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา ได้แก่ การไม่ทำความชั่วทั้งปวง การบำเพ็ญความดีให้ถึงพร้อม และการทำจิตของตนให้ผ่องใส เพื่อเป็นหลักปฏิบัติของพุทธศาสนิกชนทั้งมวล
นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2549 รัฐบาลไทยได้ประกาศให้วันมาฆบูชาเป็น "วันกตัญญูแห่งชาติ" เนื่องจากในสังคมไทยปัจจุบัน หญิงสาวมักเสียตัวในวันวาเลนไทน์ หลายหน่วยงานจึงพยายามรณรงค์ให้วันมาฆบูชาเป็นวันแห่งความรัก (อันบริสุทธิ์) แทน
ในปี พ.ศ. 2558 วันมาฆบูชาตรงกับ วันพุธที่ 4 มีนาคม ปีนี้ เป็นปีอธิกมาส ตรงกับวัน ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4
วันอังคารที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
พระพิฆเนศ นครนายก
เมื่อปีที่แล้วผมได้อ่านข่าวเรื่องที่จะมีการขายที่ดิน ที่เป็นที่ตั้งขององคืพระพิฆเนศ ที่จังหวัดนครนายก ให้กับโรงงานที่อยู่แถวๆนั้น หลังจากมีปัญหาเรื่องที่ดินกันมายาวนาน ในรายละเอียดตื้นลึกหนาบางยังไงนั้นผมเองก็ไม่ทราบได้ ว่าสรุปสุดท้ายจะลงเอยกันอย่างไร แต่ที่แน่ๆผมขอไปเก็บภาพพระพิฆเนศที่จังหวัดนครนายกมาเป็นที่ระลึกเสียก่อน ต่อไปถึงจะยังคงอยู่หรือว่าจะย้ายที่ยังไงก็ค่อยปล่อยให้เป็นเรื่องของอนาคตไปครับ วันนี้ไปสักการะเสียก่อนก็แล้วกัน
ตามธรรมเนียมครับ ต้องไปค้นหาสาระความรู้เพิ่มเติมมาให้อ่านเพิ่มเติมกันอีกนิดหน่อยด้วยเดี๋ยวจะว่าไม่มีสาระ 555
อุทยานพระพิฆเนศ
ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกประชาเกษม หมู่ 11 ถนนนครนายก-น้ำตกสาริกา ต.สาริกา อ.เมือง จ.นครนายก เป็นที่ประดิษฐานเทวรูปพระพิฆเณศวรขนาดใหญ่ มีความสูงถึง 9 เมตร
สถานที่แห่งนี้จัดสร้างโดย พระราชพิพัฒน์โกศล หรือ หลวงพ่อเณร เจ้าอาวาสวัดศรีสุดาราม บางขุนนนท์ กรุงเทพฯ
ภายใน อุทยานพระพิฆเณศ ผู้ศรัทธาจะพบกับความอลังการของเทวรูปพระพิฆเนศขนาดมหึมา นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงพระพิฆเนศปางต่างๆ ถึง 108 ปาง
และ หอมหาเทพ ซึ่งประดิษฐานมหาเทพสูงสุดทั้ง 3 พระองค์คือ พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ
ที่มา http://www.siamganesh.com/nakornnayok.html
ตามธรรมเนียมครับ ต้องไปค้นหาสาระความรู้เพิ่มเติมมาให้อ่านเพิ่มเติมกันอีกนิดหน่อยด้วยเดี๋ยวจะว่าไม่มีสาระ 555
อุทยานพระพิฆเนศ
ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกประชาเกษม หมู่ 11 ถนนนครนายก-น้ำตกสาริกา ต.สาริกา อ.เมือง จ.นครนายก เป็นที่ประดิษฐานเทวรูปพระพิฆเณศวรขนาดใหญ่ มีความสูงถึง 9 เมตร
สถานที่แห่งนี้จัดสร้างโดย พระราชพิพัฒน์โกศล หรือ หลวงพ่อเณร เจ้าอาวาสวัดศรีสุดาราม บางขุนนนท์ กรุงเทพฯ
ภายใน อุทยานพระพิฆเณศ ผู้ศรัทธาจะพบกับความอลังการของเทวรูปพระพิฆเนศขนาดมหึมา นอกจากนี้ยังมีพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงพระพิฆเนศปางต่างๆ ถึง 108 ปาง
และ หอมหาเทพ ซึ่งประดิษฐานมหาเทพสูงสุดทั้ง 3 พระองค์คือ พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ
ที่มา http://www.siamganesh.com/nakornnayok.html
วันจันทร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
นกเอี้ยงหงอน
ผมเจอเจ้านกตัวนี้ที่ลพบุรี ผมเห็นมันอยู่ไปทั่วทั้งเมือง ดูแปลกตาดีเพราะที่บ้านผมที่ภาคใต้จะมีน้อยมาก เคยเจอตัวเป็นๆที่ชุมพร ที่นครศรีธรรมราช แต่ก็อาจจะเป็นช่วงที่นกเอี้ยงหงอน อพยพลงมาเสียมากกว่า ดังนั้นเมื่อมาเจอที่นี่ก็ต้องบันทึกภาพเก็บไว้เป็นที่ระลึกซักหน่อย
จากการที่ค้นหาข้อมูล พบว่ามีคนเลี้ยงเจ้านกเอี้ยงหนอนตัวนี้กันมากอยู่พอสมควร เขาว่ามันน่ารัก เขาว่ามันพูดได้ แต่สำหรับผมแล้ว ให้ทันอยู่นอกกรง มีอิสระที่จะบินไปบินมาในธรรมชาติแบบนี้ดีที่สุดแล้วครับ
นภดล มณีวัต
นกเอี้ยงหงอน
ข้อมูลเพิ่มเติมที่หามาจากในอินเตอร์เนตครับ
ชื่อท้องถิ่น: นกเอี้ยงหงอน
ชื่อสามัญ: (White-vented Myna)
ชื่อวิทยาศาสตร์: Acridortheres javanicus
ชื่อวงศ์: STURNIDAE
ลักษณะ ปากสีเหลือง มีหงอนเป็นขนตั้งชันขึ้นที่โคนปาก ตาสีน้ำตาล ขนปกคลุมลำตัวสีดำ ปลายปีกมีแถบขาว ก้นและปลายหางสีขาว ขาสีเหลือง ขนาดประมาณ 25 เซ็นติเมตร
แหล่งที่พบบริเวณป่าชุมชนและพื้นที่ป่าทั่วไป
พฤติกรรม ชอบอยู่เป็นฝูงและส่งเสียงดังเสมอ และลงมาหากินอยู่บนพื้นดิน เพื่อจิกหนอนและแมลง กินเป็นอาหาร
สถานะภาพ นกประจำถิ่น พบได้บ่อยมาก
พื้นที่อาศัย ชุมชน สวน ทุ่งนา ทุ่งหญ้า ภูเขา
แหล่งกระจายพันธุ์ : ทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ แต่ผมก็เคยเจอแถวๆชุมพร
แหล่งที่มาของข้อมูล: http://www.reocities.com/SoHo/Study/7416/myna834.html
จากการที่ค้นหาข้อมูล พบว่ามีคนเลี้ยงเจ้านกเอี้ยงหนอนตัวนี้กันมากอยู่พอสมควร เขาว่ามันน่ารัก เขาว่ามันพูดได้ แต่สำหรับผมแล้ว ให้ทันอยู่นอกกรง มีอิสระที่จะบินไปบินมาในธรรมชาติแบบนี้ดีที่สุดแล้วครับ
นภดล มณีวัต
นกเอี้ยงหงอน
ข้อมูลเพิ่มเติมที่หามาจากในอินเตอร์เนตครับ
ชื่อท้องถิ่น: นกเอี้ยงหงอน
ชื่อสามัญ: (White-vented Myna)
ชื่อวิทยาศาสตร์: Acridortheres javanicus
ชื่อวงศ์: STURNIDAE
ลักษณะ ปากสีเหลือง มีหงอนเป็นขนตั้งชันขึ้นที่โคนปาก ตาสีน้ำตาล ขนปกคลุมลำตัวสีดำ ปลายปีกมีแถบขาว ก้นและปลายหางสีขาว ขาสีเหลือง ขนาดประมาณ 25 เซ็นติเมตร
แหล่งที่พบบริเวณป่าชุมชนและพื้นที่ป่าทั่วไป
พฤติกรรม ชอบอยู่เป็นฝูงและส่งเสียงดังเสมอ และลงมาหากินอยู่บนพื้นดิน เพื่อจิกหนอนและแมลง กินเป็นอาหาร
สถานะภาพ นกประจำถิ่น พบได้บ่อยมาก
พื้นที่อาศัย ชุมชน สวน ทุ่งนา ทุ่งหญ้า ภูเขา
แหล่งกระจายพันธุ์ : ทุกภาค ยกเว้นภาคใต้ แต่ผมก็เคยเจอแถวๆชุมพร
แหล่งที่มาของข้อมูล: http://www.reocities.com/SoHo/Study/7416/myna834.html
วันอาทิตย์ที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
บ้านในฝัน
บ้านในฝัน คำนี้เป็นคำที่หลายๆคนชอบใช้กัน บางคนใช้คำนี้สมัยที่ยังไม่มีบ้าน บางคนใช้คำนี้เมื่อมีบ้านแล้วแต่ไม่ได้แบบที่อยากได้ แต่สำหรับผม ผมมีบ้านในแบบที่อยากได้อยู่แล้ว แต่ด้วยกิเลสส่วนตัวทำให้อยากได้บ้านในอีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งผมจะมองหาอยู่เสมอในเวลาที่ขับรถ สองข้างทางในพื้นที่ชนบทบ้านเรานั้นยังมีบ้านเก่าๆที่ดูสวยงามและเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นอยู่มาก แลบ้านหลังนี้ด้วยเช่นกัน
บ้านหลังนี้อยู่ในถนนสายล่างจากพุนพินไปท่าชนะ แต่จะอยู่ตรงไหนนั้นไปหากันเอาเองนะครับ แค่ผมแอบถ่ายภาพมานี่ก็รู้สึกเกรงใจเจ้าของบ้านมากพออยู่แล้วที่ไปละเมิดสิทธิ์ในบ้านของเขามา แต่เป็นเพราะชอบจริงๆเลยต้องถ่ายภาพมาให้ชม ต้องขออภัยเจ้าของบ้านไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ บ้านหลังนี้เป็นรูปแบบของบ้านในภาคใต้ ที่มีระเบียงกว้างๆไว้นั่งรับลม กินข้าว หรือจะดื่มอะไรๆเย็นๆได้อย่างสบายๆ มีบริเวณกว้างขวง และมีใต้ถุนสูง ทำให้เวลาหน้าน้ำหลาก ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่อยู่ เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนไทยสมัยก่อนอย่างแท้จริง ตัวบ้านจะไม่ร้อนเวลาเพราะเปิดโล่งรับลม ไม่เหมือนบ้านที่สร้างด้วยอิฐ ปูน และมีรูปทรงแบบฝรั่ง ที่เรียกว่าทรงโมเดิร์น อะไรๆแบบนั้น
บ้านรูปทรงแบบนี้จึงเป็นบ้านในฝันของผมอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ผมอยากได้ โดยรอบๆจะปลูกต้นไม้ให้ร่มครึ้มไปตลอดทั้งสี่ด้าน และถ้ามีโอกาสผมจะสร้างบ้านแบบนี้ให้ได้ แต่อาจจะเล็กกว่านี้ซักหน่อยเพราะลองคำนวณราคาคร่าวๆแล้ว ก็คงจะต้องฝันไปอีกหลายปีเลยทีเดียว ดีไม่ดีอาจจะทะได้แค่ฝันเท่านั้นเอง
วันนี้มาเล่าความฝันกับทักทายทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านแค่นี้ก่อนนะครับ ห่างหายจากการเขียนไปหลายปี ดูจะติดๆขัดๆอยู่มาก แต่จะพยายามเขียนเรื่อยๆเพื่อฟื้นความทรงจำ และฝึกให้ชำนาญ ต่อไปเราจะได้คุยกันยาวๆกว่านี้ วันนี้ลากันตรงนี้เลยนะครับ
พบกันใหม่พรุ่งนี้ครับ
นภดล มณีวัต
บ้านหลังนี้อยู่ในถนนสายล่างจากพุนพินไปท่าชนะ แต่จะอยู่ตรงไหนนั้นไปหากันเอาเองนะครับ แค่ผมแอบถ่ายภาพมานี่ก็รู้สึกเกรงใจเจ้าของบ้านมากพออยู่แล้วที่ไปละเมิดสิทธิ์ในบ้านของเขามา แต่เป็นเพราะชอบจริงๆเลยต้องถ่ายภาพมาให้ชม ต้องขออภัยเจ้าของบ้านไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับ บ้านหลังนี้เป็นรูปแบบของบ้านในภาคใต้ ที่มีระเบียงกว้างๆไว้นั่งรับลม กินข้าว หรือจะดื่มอะไรๆเย็นๆได้อย่างสบายๆ มีบริเวณกว้างขวง และมีใต้ถุนสูง ทำให้เวลาหน้าน้ำหลาก ไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีที่อยู่ เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นของคนไทยสมัยก่อนอย่างแท้จริง ตัวบ้านจะไม่ร้อนเวลาเพราะเปิดโล่งรับลม ไม่เหมือนบ้านที่สร้างด้วยอิฐ ปูน และมีรูปทรงแบบฝรั่ง ที่เรียกว่าทรงโมเดิร์น อะไรๆแบบนั้น
บ้านรูปทรงแบบนี้จึงเป็นบ้านในฝันของผมอีกรูปแบบหนึ่ง ที่ผมอยากได้ โดยรอบๆจะปลูกต้นไม้ให้ร่มครึ้มไปตลอดทั้งสี่ด้าน และถ้ามีโอกาสผมจะสร้างบ้านแบบนี้ให้ได้ แต่อาจจะเล็กกว่านี้ซักหน่อยเพราะลองคำนวณราคาคร่าวๆแล้ว ก็คงจะต้องฝันไปอีกหลายปีเลยทีเดียว ดีไม่ดีอาจจะทะได้แค่ฝันเท่านั้นเอง
วันนี้มาเล่าความฝันกับทักทายทุกๆท่านที่เข้ามาอ่านแค่นี้ก่อนนะครับ ห่างหายจากการเขียนไปหลายปี ดูจะติดๆขัดๆอยู่มาก แต่จะพยายามเขียนเรื่อยๆเพื่อฟื้นความทรงจำ และฝึกให้ชำนาญ ต่อไปเราจะได้คุยกันยาวๆกว่านี้ วันนี้ลากันตรงนี้เลยนะครับ
พบกันใหม่พรุ่งนี้ครับ
นภดล มณีวัต
วัดห้วยมงคล
ผมเป็นคนที่เดินทางบ่อยมาก ขับรถกรุงเทพ ปักษ์ใต้ แทบจะทุกเดือน บางเดือนก็หลายครั้ง มีวัดที่ผมจะแวะพักเป็นประจำอยู่วัดนึง ตั้งอยู่ถนนเส้นบายพาสชะอำ มีหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ตั้งอยู่ด้วย นั่นก็คือวัดห้วยมงคลที่หัวหิน วัดนนี้มีความหลังกับผมหลายอย่าง พวกเราเคยมาร่วมปลูกต้นไม้กันที่หลังวัด ตอนนั้นเป็นโครงการร่วมกันกับ กฟผ. ที่จัดงานปลูกต้นไม้เฉลิมพระเกียรติ์ในหลวง รวมทั้งเคยมาร่วมทำบุญสร้างพระหลวงพ่อโสธร ที่อยู่ด้านหลังหลวงปู่ทวด และที่สำคัญของขวัญปีใหม่หลายๆปีที่ผ่านมา ผมได้บูชาหลวงปู่ทวดที่วัดห้วยมงคลแห่งนี้ไปเป็นของที่ระลึกให้กับผู้ที่เคารพนับถือหลายท่านด้วยเช่นกัน
ในสมัยที่ผมยังทำงานอยู่กับบริษัทเก่า ผมอยู่ประจำพื้นที่จังหวัดชุมพร เวลามีอบรมหรือมีตัวอย่างงานติดตั้ง มักจะเริ่มที่หัวหินหรือชะอำ ผมจะออกเดินทางจากชุมพรตอนตีห้า มาถึงหัวหินประมาณช่วงเช้าๆ บางครั้งงานเลื่อนออกไปเป็นช่วงบ่าย ผมก็ได้อาศัยวัดห้วยมงคลแห่งนี้เป็นที่พัก ได้ไหว้พระ นั่งกินกาแฟ และกินข้าวที่โรงครัว โรงครัวของวัดห้วยมงคลในสมัยนั้น จะมีแกงไก่กับฟัก เป็นเมนูหลัก กินเสร็จทำบุญใส่ตู้ อิ่มท้อง อิ่มบุญ แล้วก็กราบลาหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ออกไปทำงาน ทำภาระกิจกันต่อ
และทุกครั้งที่มีเวลาว่างผมจะแวะเข้าไปกราบหลวงปู่ทวดที่วัดห้วยมงคลแห่งนี้เสมอ และถ้าใครอยากจะอิ่มท้อง อิ่มบุญ ชื่นชมบรรยากาศที่สงบร่มเย็น สวยงาม ผมแนะนำให้มาที่นี่ได้เลยครับ ไม่ใกล้ ไม่ไกล จาก กรุงเทพ และเป็ทางผ่านของผู้ที่เดินทางจากภาคใต้ไปยังภูมิภาคอื่นๆอยู่แล้ว
พรุ่งนี้จะมาพูดคุยกันถึงสถานที่ต่อไปอีกครั้งนะครับ วันนี้ลาไปกับภาพวัดห้วยมงคลและสาระความรู้เพิ่มเติมอีกนิดหน่อย พบกันอีกครั้งเมื่อเราเจอกันครับ
นภดล มณีวัต
วัดห้วยมงคล จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วัดห้วยมงคล เป็นที่ประดิษฐานรูปเหมือนหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เดิมใช้ชื่อว่า “วัดห้วยคต” ตั้งอยู่ในชุมชนบ้านห้วยคต ตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานนามใหม่จากห้วยคต เป็นห้วยมงคล เนื่องจากครั้งที่เสด็จมายังวัดนี้ได้มีดำริให้สร้างถนนใหม่ จากถนนดินเป็นถนนลาดยาง โดยพระราชทานนามให้เช่นเดียวกับชื่อวัด
ต่อมาพระครูปภัสรวรพินิจ หรือพระอาจารย์ไพโรจน์ ปภัสสโร เจ้าอาวาสวัดห้วยมงคลองค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นพระนักพัฒนาที่มีศีลจารวัตที่ดีงามเป็นที่เคารพของคนในชุมชนบ้านห้วยมงคล และพลเอกวิเศษ คงอุทัยกุลรองสมุหราชองครักษ์ได้มีดำริที่จะสร้าง “หลวงพ่อทวด” องค์ใหญ่ที่สุดในโลกเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ รวมทั้งเผยแพร่และสืบทอดพระพุทธศาสนาอีกทั้งให้เป็นที่เคารพสักการบูชาและเป็นที่พึ่งทางใจของเหล่าพุทธศาสนิกชน
ด้วยเรื่องราวปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อทวด พุทธศาสนิกชนในภาคใต้ให้ความเคารพเลื่อมใสมาเป็นเวลานาน และรู้จักกันเป็นอย่างดี จึงก่อเกิดการร่วมมือร่วมใจจากหลายองค์กรทั้งทางภาครัฐและเอกชนในการสร้างประติมากรรมองค์จำลองหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก โดย สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตร เททองหล่อองค์หลวงพ่อทวด เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2547 และพระราชทานพระราชานุญาตให้คณะกรรมการจัดสร้างอัญเชิญพระนามาภิไธยย่อ ส.ก. ขึ้นประดิษฐานที่หน้าองค์รูปหล่อองค์หลวงพ่อทวดโดยรูปหล่อ หลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลกมีขนาด หน้าตักกว้าง 9.9 เมตร สูง 11.5 เมตร บนฐานสูง 3 ชั้น ชั้นล่างกว้าง 70 เมตร ยาว 70 เมตร โดยภายใต้ฐานยังเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ไว้เพื่อปฏบัติศาสนกิจในวันสำคัญทางศาสนา
นอกจากนี้ที่วัดห้วยมงคลแห่งนี้ยังมีหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดแกละสลักจากได้ตะเคียนทองขนาดใหญ่อายุกว่าพันปี ที่ฝังอยู่ในทรายใต้แม่น้ำยม จังหวัดแพร่ลึกกว่า 10 เมตร ชาวบ้านเชื่อกันว่าต้นไม้ที่มีแก่นสูง 1 คืบขึ้นไปจะมีรุกขเทวดาสถิตอยู่เพื่อดูแลปกป้องคุ้มครองคนที่มาสักการบูชา เมื่อนำต้นตะเคียนทองมาทำรูปเคารพ เช่นแกะเป็นหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดจึงมีอนุภาพและความศักดิ์สิทธิ์เป็นทวีสิทธิ์ ดลบันดาลให้ทุกท่านประสบแต่ความสุขความเจริญปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
สถานที่ตั้ง
ถนนหัวหิน-ห้วยมงคล หมู่ 6 ถนนห้วยมงคล ตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ 77110
ในสมัยที่ผมยังทำงานอยู่กับบริษัทเก่า ผมอยู่ประจำพื้นที่จังหวัดชุมพร เวลามีอบรมหรือมีตัวอย่างงานติดตั้ง มักจะเริ่มที่หัวหินหรือชะอำ ผมจะออกเดินทางจากชุมพรตอนตีห้า มาถึงหัวหินประมาณช่วงเช้าๆ บางครั้งงานเลื่อนออกไปเป็นช่วงบ่าย ผมก็ได้อาศัยวัดห้วยมงคลแห่งนี้เป็นที่พัก ได้ไหว้พระ นั่งกินกาแฟ และกินข้าวที่โรงครัว โรงครัวของวัดห้วยมงคลในสมัยนั้น จะมีแกงไก่กับฟัก เป็นเมนูหลัก กินเสร็จทำบุญใส่ตู้ อิ่มท้อง อิ่มบุญ แล้วก็กราบลาหลวงปู่ทวดองค์ใหญ่ออกไปทำงาน ทำภาระกิจกันต่อ
และทุกครั้งที่มีเวลาว่างผมจะแวะเข้าไปกราบหลวงปู่ทวดที่วัดห้วยมงคลแห่งนี้เสมอ และถ้าใครอยากจะอิ่มท้อง อิ่มบุญ ชื่นชมบรรยากาศที่สงบร่มเย็น สวยงาม ผมแนะนำให้มาที่นี่ได้เลยครับ ไม่ใกล้ ไม่ไกล จาก กรุงเทพ และเป็ทางผ่านของผู้ที่เดินทางจากภาคใต้ไปยังภูมิภาคอื่นๆอยู่แล้ว
พรุ่งนี้จะมาพูดคุยกันถึงสถานที่ต่อไปอีกครั้งนะครับ วันนี้ลาไปกับภาพวัดห้วยมงคลและสาระความรู้เพิ่มเติมอีกนิดหน่อย พบกันอีกครั้งเมื่อเราเจอกันครับ
นภดล มณีวัต
วัดห้วยมงคล จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วัดห้วยมงคล เป็นที่ประดิษฐานรูปเหมือนหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก แต่เดิมใช้ชื่อว่า “วัดห้วยคต” ตั้งอยู่ในชุมชนบ้านห้วยคต ตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชทานนามใหม่จากห้วยคต เป็นห้วยมงคล เนื่องจากครั้งที่เสด็จมายังวัดนี้ได้มีดำริให้สร้างถนนใหม่ จากถนนดินเป็นถนนลาดยาง โดยพระราชทานนามให้เช่นเดียวกับชื่อวัด
ต่อมาพระครูปภัสรวรพินิจ หรือพระอาจารย์ไพโรจน์ ปภัสสโร เจ้าอาวาสวัดห้วยมงคลองค์ปัจจุบัน ซึ่งเป็นพระนักพัฒนาที่มีศีลจารวัตที่ดีงามเป็นที่เคารพของคนในชุมชนบ้านห้วยมงคล และพลเอกวิเศษ คงอุทัยกุลรองสมุหราชองครักษ์ได้มีดำริที่จะสร้าง “หลวงพ่อทวด” องค์ใหญ่ที่สุดในโลกเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นพระราชกุศล เนื่องในวันมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ 6 รอบ รวมทั้งเผยแพร่และสืบทอดพระพุทธศาสนาอีกทั้งให้เป็นที่เคารพสักการบูชาและเป็นที่พึ่งทางใจของเหล่าพุทธศาสนิกชน
ด้วยเรื่องราวปาฏิหาริย์ของหลวงพ่อทวด พุทธศาสนิกชนในภาคใต้ให้ความเคารพเลื่อมใสมาเป็นเวลานาน และรู้จักกันเป็นอย่างดี จึงก่อเกิดการร่วมมือร่วมใจจากหลายองค์กรทั้งทางภาครัฐและเอกชนในการสร้างประติมากรรมองค์จำลองหลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลก โดย สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตร เททองหล่อองค์หลวงพ่อทวด เมื่อวันที่ 27 สิงหาคม 2547 และพระราชทานพระราชานุญาตให้คณะกรรมการจัดสร้างอัญเชิญพระนามาภิไธยย่อ ส.ก. ขึ้นประดิษฐานที่หน้าองค์รูปหล่อองค์หลวงพ่อทวดโดยรูปหล่อ หลวงพ่อทวดองค์ใหญ่ที่สุดในโลกมีขนาด หน้าตักกว้าง 9.9 เมตร สูง 11.5 เมตร บนฐานสูง 3 ชั้น ชั้นล่างกว้าง 70 เมตร ยาว 70 เมตร โดยภายใต้ฐานยังเป็นห้องโถงขนาดใหญ่ไว้เพื่อปฏบัติศาสนกิจในวันสำคัญทางศาสนา
นอกจากนี้ที่วัดห้วยมงคลแห่งนี้ยังมีหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดแกละสลักจากได้ตะเคียนทองขนาดใหญ่อายุกว่าพันปี ที่ฝังอยู่ในทรายใต้แม่น้ำยม จังหวัดแพร่ลึกกว่า 10 เมตร ชาวบ้านเชื่อกันว่าต้นไม้ที่มีแก่นสูง 1 คืบขึ้นไปจะมีรุกขเทวดาสถิตอยู่เพื่อดูแลปกป้องคุ้มครองคนที่มาสักการบูชา เมื่อนำต้นตะเคียนทองมาทำรูปเคารพ เช่นแกะเป็นหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืดจึงมีอนุภาพและความศักดิ์สิทธิ์เป็นทวีสิทธิ์ ดลบันดาลให้ทุกท่านประสบแต่ความสุขความเจริญปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ
สถานที่ตั้ง
ถนนหัวหิน-ห้วยมงคล หมู่ 6 ถนนห้วยมงคล ตำบลทับใต้ อำเภอหัวหิน ประจวบคีรีขันธ์ 77110
วันเสาร์ที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
น้ำตกสาริกา จังหวัดนครนายก
เมื่อปลายๆปีที่แล้ว ผมพอจะมีเวลาว่างอยู่บ้างเลยออกเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆทั่วประเทศ และเก็บภาพบันทึกความทรงจำมาด้วยบางส่วน วันนี้ว่างๆเลยมาเขียนเล่าให้ได้อ่านกันครับ น้ำตกสาริกาเป็นชื่อน้ำตกที่ผมได้ยินมานานมากแล้ว แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในชีวิตที่ผมจะได้มาเยือนน้ำตกแห่งนี้
น้ำตกสาริกาที่ผมได้เห็นในช่วงฤดูกาลที่น้ำไม่เยอะมากนัก ก็ยังดูสวยงามน่ามอง จนอดคิดไม่ได้ว่า นี่ถ้ามาในฤดูที่มีน้ำมากจะงดงามขนาดไหน วันที่ผมเข้ามานั้นทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้เก็บเงินค่าเข้าชมแต่อย่างใด แต่ก้ไม่ได้สอบถามว่าไม่เก็บเฉพาะวันนี้หรือวันอื่นๆก็ไม่เก็บ เอาไว้กลับไปอีกครั้งจะสอบถามมาเล่าให้ฟังกันอีกครั้ง
รายละเอียดเพิ่มเติมของน้ำตกสาริกา http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=29888.0
ศาลเจ้าพ่อจ่าง ที่ดูเข้มขลังและศักดิ์สิทธิ์
ผมกราบขอพรเจ้าพ่อให้เดินทางปลอดภัย แล้วเดินทางต่อไป เพราะต้องเดินทางต่อไปอีกหลายที่ วันนี้เอาแค่นี้ก่อนนะครับ ร่างกายอ่อนเพลียมากมาย เลยเขียนมาให้อ่านได้แค่นี้ รอบหน้าจะมีรายละเอียดเรื่องราวต่างๆมาให้อ่านกันมากกว่านี้ วันนี้ลาแค่นี้ก่อนนะครับ
นภดล มณีวัต
น้ำตกสาริกาที่ผมได้เห็นในช่วงฤดูกาลที่น้ำไม่เยอะมากนัก ก็ยังดูสวยงามน่ามอง จนอดคิดไม่ได้ว่า นี่ถ้ามาในฤดูที่มีน้ำมากจะงดงามขนาดไหน วันที่ผมเข้ามานั้นทางเจ้าหน้าที่ไม่ได้เก็บเงินค่าเข้าชมแต่อย่างใด แต่ก้ไม่ได้สอบถามว่าไม่เก็บเฉพาะวันนี้หรือวันอื่นๆก็ไม่เก็บ เอาไว้กลับไปอีกครั้งจะสอบถามมาเล่าให้ฟังกันอีกครั้ง
รายละเอียดเพิ่มเติมของน้ำตกสาริกา http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=29888.0
ศาลเจ้าพ่อจ่าง ที่ดูเข้มขลังและศักดิ์สิทธิ์
ผมกราบขอพรเจ้าพ่อให้เดินทางปลอดภัย แล้วเดินทางต่อไป เพราะต้องเดินทางต่อไปอีกหลายที่ วันนี้เอาแค่นี้ก่อนนะครับ ร่างกายอ่อนเพลียมากมาย เลยเขียนมาให้อ่านได้แค่นี้ รอบหน้าจะมีรายละเอียดเรื่องราวต่างๆมาให้อ่านกันมากกว่านี้ วันนี้ลาแค่นี้ก่อนนะครับ
นภดล มณีวัต
วันศุกร์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2558
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี
สัปดาห์นี้ ผมมีธุระต้องเดินทางขึ้นไปแถวๆ อยุธยา สุพรรณบุรี และมีเวลาว่างอยู่ช่วงหนึ่งจึงเดินทางด้วยรถไฟฟรี ไปเที่ยวเมืองลพบุรี สาเหตุที่เลือกไปที่ลพบุรีเป็นเพราะเคยเห็นสถานที่เก่าๆอยู่หน้าสถานี แต่ผมยังไม่เคยเข้าไป วันนี้เลยถือโอกาสแวะเข้าไปเยี่ยมชมเสียหน่อย เพราะอยู่ตรงข้ามสถานีรถไฟลพบุรีเลยครับ ลงรถไฟแล้วเดินถึงเลย
ค่าเข้าชม 10 บาทเท่านั้น เพื่อเป็นค่าบำรุงรักษาสถานที่ เจ้าหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยทักทยดีมาก เสียอย่างเดียวที่ร้อนมากมาย และรีบกลับกับรถไฟขาเข้ากรุงเทพขบวนต่อไป แต่ก็มีเวลาเพียงพอที่จะชมสถานที่ได้อย่างทั่วถึง ถ้าใครมีเวลาว่าง ลองนั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองลิง ลพบุรีดูนะครับ สะดวก รวดเร็ว สวยงามมากๆครับ
ข้อมูลเพิ่มเติมจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เป็นวัดในตำบลท่าหิน อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี
ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟลพบุรี สร้างในสมัยใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด เมื่อเข้าไปในบริเวณวัด จะพบศาลาเปลื้องเครื่องเป็นอันดับแรก ศาลาเปลื้องเครื่องนี้ใช้เป็นที่สำหรับพระเจ้าแผ่นดินเปลื้องเครื่องทรงก่อนที่จะเข้าพิธีทางศาสนาในพระวิหารหรือพระอุโบสถ ปัจจุบันศาลาเปลื้องเครื่องคงเหลือเพียงเสาเอนอยู่เท่านั้น ส่วนอื่นปรักหักพังไปหมดแล้ว ถัดจากศาลาเปลื้องเครื่องเป็นวิหารหลวง ซึ่งสร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เป็นวิหารขนาดใหญ่มาก ประตูทำเป็นเหลี่ยมแบบไทย ห น้าต่างเจาะช่องแบบโกธิคของฝรั่งเศส ภายในสร้างฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธรูป ทางทิศใต้ของวิหารหลวงเป็นพระอุโบสถขนาดย่อม ประตูหน้าต่างเป็นแบบฝรั่งเศสทั้งหมด ห่างไปทางทิศตะวันตกของวิหารหลวงเป็นพระปรางค์องค์ใหญ่ที่สูงที่สุดในลพบุรี สร้างเป็นพุทธเจดีย์ องค์ปรางค์ก่อด้วยศิลาแลงโบกปูน มีเครื่องประดับลวดลายเป็นพระพุทธรูปและพุทธประวัติ
ที่ลายปูนปั้นหน้าบันพระปรางค์แสดงถึงอิทธิพลของพุทธศาสนา นิกายมหายาน และซุ้มโคปุระของปรางค์องค์ใหญ่เป็นศิลปะละโว้ มีลายปูนปั้นที่ถือว่างามมาก เดิมคงจะสร้างในสมัยขอมเรืองอำนาจ แต่ได้รับการซ่อมแซมในสมัยสมเด็จพระราเมศวร สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และ สมเด็จพระนารายณ์ ลวดลายจึงปะปนกันหลายสมัย ปรางค์องค์นี้เดิมบรรจุพระพุทธรูปไว้เป็นจำนวนมาก ที่ขึ้นชื่อคือ พระเครื่องสมัยลพบุรี เช่น พระหูยาน พระร่วง ซึ่งมีการขุดพบเป็นจำนวนมาก
อีกสิ่งหนึ่งที่สมควรจะกล่าวถึงคือปรางค์รายทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่มุมกลีบมะเฟืองทุกมุมปั้นเป็นรูป เทพพนมหันออกรอบทิศ พระพักตร์เป็นสี่เหลี่ยม พระขนงต่อกัน ลักษณะเป็นศิลปะแบบอู่ทอง ชฎาเป็นทรงสามเหลี่ยมมีรัศมีออกไปโดยรอบ เป็นศิลปะที่มีความงามแปลกตาหาดูได้ยากในเมืองไทย
วัดมหาธาตุ แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนพุทธาวาส และสังฆาวาส ซึ่งส่วนหลังนี้ถูกบุกรุกไปหมดแล้วคงเหลือพื้นที่ส่วนพุทธาวาส มีพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ มีถนนตัดรอบวัด ไม่ได้เข้าไปชมวิ่งรถวนชมรอบ ๆ วัดก็ได้เมื่อผ่านประตูเข้าไปจะเห็น ดังนี้ พระอุโบสถ มีขนาดใหญ่โตมากและเหลือแต่ผนังทั้ง ๔ ด้าน แต่ก็ไม่สมบูรร์นักกับกองพระพุทธรูปที่หัก ๆ ทางซ้ายของพระอุโบสถมี "ศาลาเปลื้องเครื่อง" ซึ่งสันนิษฐานว่า คงสร้างขึ้นภายหลัง เชื่อว่าเมื่อสมเด็จพระนารายณ์ ฯ จะมาประกอบพิธีทางศาสนาคงจะต้องมาเปลื้องเครื่องทรงที่ศาลาหลังนี้ศาลาเปลื้องเครื่อง อยู่ติดกับวิหารเล็ก ๆ แต่ปิดประตูใส่กุญแจไว้ มีพระพุทธไสยาสน์ประทับอยู่มองเห็น
ด้านหลังพระอุโบสถคือ พระปรางค์ซึ่งพระปรางค์เป็นพระปรางค์องค์เดียวโดด ๆ ไม่ใช่เรียงกันสามองค์เช่น พระปรางค์สามยอดแต่เชื่อว่าสร้างในรุ่นเดียวกัน คือ ระหว่าง พ.ศ. 1500 - 1800 บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและได้ชื่อว่ามีลวดลายปูนปั้นงามเป็นเลิศ แต่น่าเสียดายในการบูรณะทำให้เสียหายไปไม่ใช่น้อยแต่ยังพอหลงเหลือให้ชมความงามคือทางซ้ายหรือทางใต้ของพระปรางค์ เงยหน้ามองสูงสักหน่อย ที่หน้าบันจะเห็นภาพพระอมิตาประทับบนดอกบัวมีก้านในสวรรค์สุขาวดี ตามคติพุทธมหายาน ลายปูนปั้นที่หน้ากระดานแถวบนสุด เป็นลายกระหนกที่รับอิทธิพลขอมศิลปะสมัยละโว้ ลายปูนปั้น มกรคายนาคหน้าบันซุ้มโคปุระ หรือซุ้มหน้าของปรางค์ประธาน เป็นศิลปะละโว้ กับอโยธยา
วิหารหลวง อยู่ทางขวาของพระอุโบสถ เข้าใจว่าปฏิสังขรณ์จนกลายแบบไปแล้ว เดิมประตูเป็นศิลปะไทยแต่หน้าต่างนั้นเป็นศิลปะแบบโกธิค ของฝรั่งเศสแสดงว่าสร้างสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ฯ เจดีย์รายอยู่รอบพระปรางค์ใกล้ชิดกำแพงวัด หลายองค์ยังมีภาพลวดลายปูนปั้นที่งดงามอยู่ วิหารคด ยังมีสภาพที่ดีเหลือให้ชมมาบรรจบกันที่ท้ายวิหารหลวง
ค่าเข้าชม 10 บาทเท่านั้น เพื่อเป็นค่าบำรุงรักษาสถานที่ เจ้าหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส พูดคุยทักทยดีมาก เสียอย่างเดียวที่ร้อนมากมาย และรีบกลับกับรถไฟขาเข้ากรุงเทพขบวนต่อไป แต่ก็มีเวลาเพียงพอที่จะชมสถานที่ได้อย่างทั่วถึง ถ้าใครมีเวลาว่าง ลองนั่งรถไฟไปเที่ยวเมืองลิง ลพบุรีดูนะครับ สะดวก รวดเร็ว สวยงามมากๆครับ
ข้อมูลเพิ่มเติมจากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เป็นวัดในตำบลท่าหิน อำเภอเมือง จังหวัดลพบุรี
ตั้งอยู่ตรงข้ามกับสถานีรถไฟลพบุรี สร้างในสมัยใดไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัด เมื่อเข้าไปในบริเวณวัด จะพบศาลาเปลื้องเครื่องเป็นอันดับแรก ศาลาเปลื้องเครื่องนี้ใช้เป็นที่สำหรับพระเจ้าแผ่นดินเปลื้องเครื่องทรงก่อนที่จะเข้าพิธีทางศาสนาในพระวิหารหรือพระอุโบสถ ปัจจุบันศาลาเปลื้องเครื่องคงเหลือเพียงเสาเอนอยู่เท่านั้น ส่วนอื่นปรักหักพังไปหมดแล้ว ถัดจากศาลาเปลื้องเครื่องเป็นวิหารหลวง ซึ่งสร้างในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ เป็นวิหารขนาดใหญ่มาก ประตูทำเป็นเหลี่ยมแบบไทย ห น้าต่างเจาะช่องแบบโกธิคของฝรั่งเศส ภายในสร้างฐานชุกชีประดิษฐานพระพุทธรูป ทางทิศใต้ของวิหารหลวงเป็นพระอุโบสถขนาดย่อม ประตูหน้าต่างเป็นแบบฝรั่งเศสทั้งหมด ห่างไปทางทิศตะวันตกของวิหารหลวงเป็นพระปรางค์องค์ใหญ่ที่สูงที่สุดในลพบุรี สร้างเป็นพุทธเจดีย์ องค์ปรางค์ก่อด้วยศิลาแลงโบกปูน มีเครื่องประดับลวดลายเป็นพระพุทธรูปและพุทธประวัติ
ที่ลายปูนปั้นหน้าบันพระปรางค์แสดงถึงอิทธิพลของพุทธศาสนา นิกายมหายาน และซุ้มโคปุระของปรางค์องค์ใหญ่เป็นศิลปะละโว้ มีลายปูนปั้นที่ถือว่างามมาก เดิมคงจะสร้างในสมัยขอมเรืองอำนาจ แต่ได้รับการซ่อมแซมในสมัยสมเด็จพระราเมศวร สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ และ สมเด็จพระนารายณ์ ลวดลายจึงปะปนกันหลายสมัย ปรางค์องค์นี้เดิมบรรจุพระพุทธรูปไว้เป็นจำนวนมาก ที่ขึ้นชื่อคือ พระเครื่องสมัยลพบุรี เช่น พระหูยาน พระร่วง ซึ่งมีการขุดพบเป็นจำนวนมาก
อีกสิ่งหนึ่งที่สมควรจะกล่าวถึงคือปรางค์รายทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือที่มุมกลีบมะเฟืองทุกมุมปั้นเป็นรูป เทพพนมหันออกรอบทิศ พระพักตร์เป็นสี่เหลี่ยม พระขนงต่อกัน ลักษณะเป็นศิลปะแบบอู่ทอง ชฎาเป็นทรงสามเหลี่ยมมีรัศมีออกไปโดยรอบ เป็นศิลปะที่มีความงามแปลกตาหาดูได้ยากในเมืองไทย
วัดมหาธาตุ แบ่งพื้นที่ออกเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนพุทธาวาส และสังฆาวาส ซึ่งส่วนหลังนี้ถูกบุกรุกไปหมดแล้วคงเหลือพื้นที่ส่วนพุทธาวาส มีพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ มีถนนตัดรอบวัด ไม่ได้เข้าไปชมวิ่งรถวนชมรอบ ๆ วัดก็ได้เมื่อผ่านประตูเข้าไปจะเห็น ดังนี้ พระอุโบสถ มีขนาดใหญ่โตมากและเหลือแต่ผนังทั้ง ๔ ด้าน แต่ก็ไม่สมบูรร์นักกับกองพระพุทธรูปที่หัก ๆ ทางซ้ายของพระอุโบสถมี "ศาลาเปลื้องเครื่อง" ซึ่งสันนิษฐานว่า คงสร้างขึ้นภายหลัง เชื่อว่าเมื่อสมเด็จพระนารายณ์ ฯ จะมาประกอบพิธีทางศาสนาคงจะต้องมาเปลื้องเครื่องทรงที่ศาลาหลังนี้ศาลาเปลื้องเครื่อง อยู่ติดกับวิหารเล็ก ๆ แต่ปิดประตูใส่กุญแจไว้ มีพระพุทธไสยาสน์ประทับอยู่มองเห็น
ด้านหลังพระอุโบสถคือ พระปรางค์ซึ่งพระปรางค์เป็นพระปรางค์องค์เดียวโดด ๆ ไม่ใช่เรียงกันสามองค์เช่น พระปรางค์สามยอดแต่เชื่อว่าสร้างในรุ่นเดียวกัน คือ ระหว่าง พ.ศ. 1500 - 1800 บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและได้ชื่อว่ามีลวดลายปูนปั้นงามเป็นเลิศ แต่น่าเสียดายในการบูรณะทำให้เสียหายไปไม่ใช่น้อยแต่ยังพอหลงเหลือให้ชมความงามคือทางซ้ายหรือทางใต้ของพระปรางค์ เงยหน้ามองสูงสักหน่อย ที่หน้าบันจะเห็นภาพพระอมิตาประทับบนดอกบัวมีก้านในสวรรค์สุขาวดี ตามคติพุทธมหายาน ลายปูนปั้นที่หน้ากระดานแถวบนสุด เป็นลายกระหนกที่รับอิทธิพลขอมศิลปะสมัยละโว้ ลายปูนปั้น มกรคายนาคหน้าบันซุ้มโคปุระ หรือซุ้มหน้าของปรางค์ประธาน เป็นศิลปะละโว้ กับอโยธยา
วิหารหลวง อยู่ทางขวาของพระอุโบสถ เข้าใจว่าปฏิสังขรณ์จนกลายแบบไปแล้ว เดิมประตูเป็นศิลปะไทยแต่หน้าต่างนั้นเป็นศิลปะแบบโกธิค ของฝรั่งเศสแสดงว่าสร้างสมัยสมเด็จพระนารายณ์ ฯ เจดีย์รายอยู่รอบพระปรางค์ใกล้ชิดกำแพงวัด หลายองค์ยังมีภาพลวดลายปูนปั้นที่งดงามอยู่ วิหารคด ยังมีสภาพที่ดีเหลือให้ชมมาบรรจบกันที่ท้ายวิหารหลวง