ในระยะเวลาสองเดือนกว่าๆที่ผ่านมา ผมมีภาระกิจเพิ่มเติมจากงานปกติมากขึ้นอีกเล็กน้อย แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ชีวิตของผมเปลี่ยนแปลงไปพอสมควร นั่นก็คือผมต้องดูแลพื้นที่เพิ่มขึ้นในบางส่วนของจังหวัดนครศรีธรรมราช ส่วนในจังหวัดกระบี่ก็ดูแลเต็มพื้นที่เหมือนเดิม
ในช่วงแรกๆที่เริ่มทำงานในหน้าที่ใหม่นั้นก็ดูเหมือนจะสบายๆไม่น่าจะมีปัญหาอะไร แต่พอผ่านเข้าสัปดาห์ที่สองเท่านั้นเองครับ ผมก็เริ่มมีปัญหา
ปัญหาที่ว่าก็คือ ปัญหาจากสภาพอากาศ สภาพอากาศที่แตกต่างกันมากมาย ในพื้นที่ที่ผมรับผิดชอบ ช่วงแรกมีพายุฝนฟ้าคะนองในแถบทะเลอันดามัน ฝนตกหนัก ผมต้องทำงานกลางฝนไปบ้างในบางเวลา แต่เมื่อผมเดินทางเข้ามาทำงานในพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช แดดก็ร้อนเสียจนปรับตัวแทบไม่ทัน ยิ่งในสัปดาห์ที่สาม ที่ผมรับงานชิ้นนี้มานั้น ฝนตก แดด ออกอย่างไม่เป็นเวลา อยู่ดีๆ ฝนก็ตก อีกซักพักแดดก็ออก พอค่ำๆ ฝนก็ตกลงมาอีก
ดังนั้น ไม่ว่าจะมีใครบางคนเคยเรียกผมว่าคนเหล็ก หรือ มนุษย์หิน หรืออะไรๆอีกหลายๆอย่าง ก็ไม่อาจที่จะห้ามไม่ให้ผมป่วยได้ ผมป่วยมีไข้สูงพอสมควรแต่ไม่ถึงกับหนักมาก แต่ที่ร้ายที่สุดคือผมมีอาการไอ แพ้อากาศ ที่เต็มไปด้วยฝุ่น ในที่ทำงาน ทั้งๆที่ทางบริษัทให้อุปกรณ์ป้องกันไว้หมดแล้ว แต่ก็ยังไม่สามารถจะป้องกันสิ่งเหล่านี้ได้ทั้งหมด สรุปว่าผมต้องนอนซมอยู่กับบ้าน เพื่อให้อาการป่วยของผมดีขึ้น แต่เมื่อมีงานเข้ามาผมก็ต้องออกไปทำงานตามปกติ
จนเมื่อเดือนที่แล้ว ผมมีเพื่อนร่วมงานเข้ามาอีกหนึ่งคน ที่มาทำงานอยู่กับผมเพื่อเรียนรู้ระบบงาน ก่อนที่จะแยกออกเป็นอีกหนึ่งทีม เพื่อที่จะได้แบ่งเบาการทำงานของผมลงไป แต่จะด้วยสาเหตุอะไรก้ไม่ทราบได้ เพื่อนผมก็ออกอาการป่วยเช่นเดียวกัน ดังนั้นสภาพในการทำงานของเราทั้งคู่จึงมีสภาพไม่ต่างอะไรกันกับ ไก่ที่ติดเชื้อ อหิวาห์ สองตัว ที่ต้องเดินทางตะลอนๆไปทำงานกันทั้งกลางวันและกลางคืน
นอกจากนี้มนุษย์ที่ไม่เคยเจ็บไม่เคยป่วย อีกคนหนึ่ง ที่ผมมักจะโทรไปปรึกษาเสมอๆเวลาที่ผมเจ็บป่วยก็มามีอาการเหมือนๆกันเสียอีก นั่นคือเป็นไข้ และเจ็บคออย่างหนัก ดังนั้นผมจึงขาดที่ปรึกษาสำคัญไปเสียอีก ผมจึงต้องหาวิธีรักษาอาการป่วยของผมด้วยตัวเอง แต่ผมก็เลือกที่จะไม่ไปโรงพยาบาลครับ ผมคิดว่า อาการป่วยแบบนี้ มันต้องมีวิธีรักษาที่ดีกว่าการไปหามอ จ่ายเงิน ค่ายา เอายามากิน แน่ๆ อยู่ที่ว่าผมจะหาเจอหรือเปล่าเท่านั้นเอง
อาการเจ็บคอของผมนั้น มันเจ็บแบบ เหมือนมีแผลอยู่ในคอ ถ้าอยู่เฉยๆก็จะไม่เป็นไร แต่ถ้า พูดคุยนานๆ ก็จะไออย่างน่ากลัว และเจ็บร้าวไปทั้งตัวเลยครับ ร่างกายก็ร้อนๆอยู่ตลอดเวลา มันอึดอัดไปหมด ไม่ว่าจะเดินหรือทำงานมันเฉื่อยๆชาๆ ไปเสียหมดอ่อนเพลีย ตัวร้อน และไปอย่างน่ากลัวอยู่ตลอดเวลา
วันหนึ่งผมต้องไปงานเลี้ยงที่จังหวัดนครศรีธรรมราช แม่ของน้องที่นั่นถามผมว่า ผมป่วยมีอาการอย่างไรบ้าง พอผมบอกอาการเสร็จ แกก็ขับมอเตอร์ไซค์หายไป แล้วกลับมาพร้อมกับยา ห้าเม็ด สีสันสวยงามมากๆ พร้อมกับบอกให้ผมกินพร้อมกันในคราวเดียวกัน เดี๋ยวก็จะหาย
หลังจากที่ผมกินยาทั้งห้าเม็ดนั้นไปได้ซักครู่ มนุษย์ตัวใหญ่ๆแบบผมก็ฟุบหลับลงไปทันที เมื่อตื่นขึ้นมาก็ต้องนั่งทบทวนอยู่แป๊บนึงว่า ตอนนี้ผมอยู่ที่ไหน นี่ถ้ากินตอนจะขับรถละก็ มีหวังได้เหลือแต่ชื่อแน่นอนครับ และเมื่อตื่นขึ้นมาอาการร้อนๆหนาวๆก็หายไปเป็นปลิดทิ้งเช่นกัน แต่เมื่อมาถึงบ้านทุกอย่างก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
คราวนี้ ผมได้ยาเป็นยาที่ทำมาจาก ฟ้าทะลายโจร ของพ่อ อ่านข้างๆขวดบอกว่าให้กินครั้งละ สองถึงสามเม็ด หลังอาหาร ผมลองกินอยู่สามสี่ครั้งก็ไม่ดีขึ้นซ้ำยังดูเหมือนว่า มันจะแย่ลงกว่าเดิมเสียอีก
คราวนี้ผมเริ่มอ่อนเพลียเพิ่มมากขึ้น งานก็มากขึ้นเพราะมีพายุกระหน่ำเข้ามาในพื้นที่ภาคใต้ ฝั่งอันดามัน ฝนตกทุกวัน แถมบางวันผมต้องกลายเป็น คนสองทะเล เดินทางจากฝั่งอ่าวไทยไปอันดามัน แล้วกลับมาฝั่งอ่าวไทยอีกที ทำให้สภาพร่างกายของผมดูแย่ลงไปมากขึ้นเรื่อย เหตุการณ์ก็คงจะคล้ายๆกับเมื่อ ห้าปีที่แล้วที่ใครๆก็จะถามผมว่า เป็นอะไร อยู่ที่ไหน กินข้าว หรือยัง กินยาหรือยัง และสารพัดคำถามที่จะให้ผมตอบ ทั้งๆที่ผมบอกว่าผมเจ็บคอถ้าพูดมากๆ ผมก็จะไอและปวดเจ็บไปทั้งตัว
จนเมื่อถึงขีดสุดของอาการเจ็บนั้น ผมไอออกมามีลิ่มเลือดติดออกมาด้วย มันทำให้ผมรู้แล้วว่า อาการของผมมันหนักมากแล้ว ผมคงต้องขอลาหยุดไปนอนให้พยาบาล จับมือ เจาะเลือดเล่นๆซักสองสามวันเป็นแน่แท้ แต่ก็เหมือนกับมีอะไรมาดลใจให้ผมได้เจอกับหนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือที่เปลี่ยนแนวชีวิตของผมไปเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ หนังสือ ต.คนฉบับเดือนสิงหาคมครับ
ในหนังสือมีเรื่องราวของหมอเขียว ที่รักษาโรคด้วยพืชและการปรับสภาพร่างกาย ซึ่งเรื่องราวเหล่านี้ลองไปหามาอ่านกันดูนะครับ ดีมากจริงๆ ผมกับเพื่อนที่ทำงานด้วยกันก็เริ่มทดลองทำตาม พร้อมทั้งซื้อไปฝากพี่ที่ป่วยอยู่ที่สุราษฎร์ธานีด้วยอีกหนึ่งเล่ม เพื่อที่จะได้ทดลองรักษาตัวเองกัน เพราะพี่คนนั้นโทรมาบอกกับผมว่า ไปหาหมอที่โรงพยาบาล แล้วเอายามากิน กินจนยาหมดแล้วอาการก็ไม่ดีขึ้นเลย ดังนั้นเมื่อผมนำหนังสือเล่มนี้ไปฝาก พี่คนนี้ก็เลยทดลองปฏิบัติดูด้วยเช่นกัน
ผมเริ่มต้นจากการลดการกินอาหารที่มีฤทธิ์ร้อน อย่างพวกแกงพริก แกงคั่ว ต่างๆที่แถวๆภาคใต้บ้านผมนิยมชมชอบกันเป็นอย่างมาก ลดการดื่มเครื่องดื่มต่างๆ ลงมาเป็นน้ำเปล่า (ดื่ม คาราบาวแดงอยู่บ้างในบางวัน) กินผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายของผม ที่มีฤทธิ์ร้อนอยู่ภายใน ผมเลือกกินแก้วมังกร เพราะที่บ้านมีอยู่พอสมควร ผมกินแก้วมังกรเป็นอาหารมื้อเย็น กินผักให้มากขึ้น กินกล้วยน้ำว้า ไม่กินกล้วยหอม เพราะร่างกายของผมต้องการอาหารที่เป็นความเย็นเข้าไปลดอุณหภูมิ ของความร้อนในร่างกาย
ผมไม่กินอาหารมื้อเย็น นอกจากผลไม้ ลดปริมาณเนื้อลง เพิ่มส่วนที่เป็นผักให้มากขึ้น ผมทำกับข้าวกินเอง ใช้แตงกวามาผัดกับไข่ โดยไม่ใส่กระเทียม กินอาหารแบบไม่ปรุงเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นข้าวแกงหรือ ก๋วยเตี๋ยว ที่กินตามร้านต่างๆในเวลาที่ออกไปทำงาน มาแบบไหนก็กินแบบนั้น ดื่มน้ำมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเกือบเท่าตัว
สามวันผ่านไปหลังจากที่ผมเริ่มทำการรักษาตัวเอง ร่างกายผมเบาลงกว่าแต่ก่อน ถึงจะรู้สึกทรมานไปบ้างในตอนค่ำที่ไม่ได้กินอาหาร แต่พอตื่นเช้าขึ้นมาก็ไม่มีอาการหิว การขับถ่ายเป็นไปอย่างปกติ ปัสสาวะออกมาไม่เป็นสีเหลือง เหมือนแต่ก่อน เริ่มรู้สึกหนาว ขึ้นมาในเวลาที่สมควรจะหนาว ทั้งๆที่เมื่อก่อนเวลานอนในโรงแรมที่ต่างจังหวัดผมเปิดแอร์ 15 องศา แต่ยังต้องถอดเสื้อนอนอยู่บ้างในบางครั้ง
สัปดาห์ต่อมา ผมเริ่มกินอาหารน้อยลง เวลาทำงานร่างกายจะขับเหงื่อออกมามากขึ้น ทำให้รู้สึกโล่ง ตัวเบา สบายตัวกว่าแต่ก่อน ทั้งๆที่มีคนบอกกับผมว่า ทำงานแบบผม ต้องกินเยอะๆ กินน้อยๆแบบนี้ ไม่มีแรงทำงานหรอก ต้องกินเนื้อสัตว์ให้มากมันจะได้มีโปรตีน ถ้ากินผักกับผลไม้มากๆร่างกายจะไม่มีแรง จะทำงานไม่ไหว แต่เมื่อผมทดลองทำผมก็ยังทำงานไหวอยู่และดูเหมือนกับว่าร่างกายของผมจะดีขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก
แต่กว่าจะถึงช่วงนี้ผมรู้เลยว่าร่างกายของผมต้องขับสารพิษออกจากร่างกายของผมอย่างหนัก เพราะผมเองไม่เคยใช้ชีวิตแบบนี้มาก่อน ผมกินไม่เป็นเวลา บางครั้งมื้อเช้ากินตอนบ่ายสอง มื้อสุดท้าย กินตอนตีสามตีสี่ อยู่บ่อยครั้ง ทำให้ร่างกายของผมมันเจ็บป่วยเพราะใช้ร่างกายแบบไม่ปล่อยให้มันได้พักเลย
ทุกวันนี้ในตู้เย็นที่บ้านผมจะมีสารพัดผักที่จะเอามาทำอาหาร มีผลไม้มากมายมาแทนที่ ไส้กรอก หมูบด และมาม่า และไม่ต้องเสียเวลากับร้านสะดวกซื้อในขณะเดินทางเหมือนเมื่อก่อน และเมื่อถามพี่คนที่ผมซื้อหนังสือไปฝากก็ได้รับคำตอบเหมือนๆกัน นั่นก็คือ หายป่วยแบบเด็ดขาดไม่มีอาการเจ็บคอ ตัวร้อนอีกเลย
ผมจึงสรุปเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นกับตัวผมและคนรอบข้างว่า ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะตัวเราเอง การดูแลสุขภาพที่ถูกวิธีไม่จำเป็นต้องกิน อาหารเสริมขวดละพัน แค่กินให้พอดี และ กินให้ถูกต้องตามความต้องการของร่างกายตัวเองแค่นี้ก็ทำให้สุขภาพดีขึ้นมาได้แล้ว และเมื่อการกินที่ดีบวกกับการออกกำลังกายยิ่งทำให้สุขภาพร่างกายของเราแข็งแรงได้โดยไม่ต้องพึ่งอาหารเสริมใดๆเลยครับ
ที่ผมบ่นๆมาทั้งหมดนี้อาจจะเป็นเรื่องไร้สาระสำหรับใครบางคน หรือเป็นเรื่องที่หลายๆคนทำอยู่แล้ว แต่ที่ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นก็เพื่อจะบอกกับคนที่ยังไม่รู้หรือคนที่ยังไม่ได้ทำครับ ลองปรับเปลี่ยนวิถีชีวิตกันดูนะครับ ร่างกายแข็งแรงขึ้นจริงๆนะครับ ใช้เงินน้อยลงมาก มื้อหนึ่งไม่เกินสามสิบบาท แต่มีประโยชน์ต่อร่างกายมากกว่าการกินอาหารเสริมราคาแพงมากมายเลยครับ
นภดล www.siamsouth.com
วันศุกร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2553
วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ใบกระท่อม หางกั้ง
ใบกระท่อม หางกั้ง
ต้นฉบับที่ http://www.siamsouth.com
ผมสารภาพว่าในชีวิตผมที่ผ่านมาสามสิบกว่าปีมานี้ ผมไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนเลย ผมรู้แค่ว่าใบกระท่อมที่คนแถวๆนี้กินกันอยู่มีแบบก้านเขียวก้านแดงเท่านั้น มีคนบอกว่า ใบกระท่อมก้านแดงกินแล้วจะมึนๆกว่าใบกระท่อมก้านเขียว แต่สำหรับผมแล้ว กินแบบไหนก็เหมือนกันครับ ประมาณว่าไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสิ่งที่กินเข้าไปซักเท่าไหร่
บางคนที่บังเอิญเข้ามาอ่านเจอบทความนี้อาจจะคิดว่า ทำไมวันนี้ผมถึงพูดเรื่องของใบกระท่อม ใบกระท่อมมันผิดกฎหมายนี่นา แล้วทำไมถึงเอามาเขียนในลักษณะแบบนี้ ผมเองก็รู้อยู่นะครับว่าใบกระท่อมมันผิดกฎหมาย แต่มันก็เพิ่งจะมาผิดกฎหมายเอาเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง
กระท่อม เป็นพืชล้มลุก ที่จัดเป็น ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ตามความใน พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 7 ยาเสพติดให้โทษ ซึ่งสิ่งเสพติดในประเภท 5 ได้แก่ กัญชา และพืชกระท่อม
คนรุ่นปู่รุ่นพ่อของผมยังกินใบกระท่อมกันเป็นเรื่องปกติ กินวันละไม่กี่ใบ กินแล้วทำงาน ไม่ใช่เอามาต้มกินให้เมาแบบเด็กๆในปัจจุบันนี้ ถ้าใบกระท่อมผิดกฎหมาย เราลองย้อนกลับไปในสมัย "เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย" กันดูซักนิดนะครับ สมัยนั้นท่านผู้นำ ห้ามคนแก่กินหมาก ห้ามเล่นดนตรีไทย ด้วยสาเหตุที่ว่ามันล้าสมัย ทำให้คนในสมัยนั้นแทบจะลงแดงตายกันไปถ้วนหน้า แต่พอถึงปัจจุบันนี้ก็ยังมีคนกินหมากอยู่ทั่วไป ทั้งๆที่ช่วงนั้นมันก็ผิดกฏหมายเช่นกัน
พูดถึงยุคนั้นแล้วใครที่เคยดูหนังเรื่องโหมโรง คงจะยังพอเข้าใจว่า ความรันทดในสิ่งที่ถูกบังคับให้หลงลืมความเป็นไทยของเราไปนั้นมันเจ็บปวดแค่ไหน ศิลปวัฒนธรรมที่เราสร้างสมกันมายาวนาน ถูกบีบบังคับด้วยคำว่าล้าสมัย ยิ่งมาถึงยุคนี้สมัยนี้ ยุคที่ฝรั่งครองเมือง ขีดเส้นชี้ทางให้เราเดินตาม คนที่มีจิตสำนึกในความเป็นไทยอยู่บ้างก็คงจะเริ่มอึดอัด แต่ก็เป็นแค่บางคนเท่านั้น บางคนยังยกย่องฝรั่งเป็นพระเจ้า เป็นเทวดาอยู่ทุกวัน ฝรั่งทำอะไรถูกไปเสียหมด คนแบบนั้นเราก็คงต้องทำใจแล้วปล่อยให้เขาดำเนินชีวิตไปตามแบบที่เขาต้องการครับ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย
ผลการศึกษาหลายแห่งสรุปว่า
การใช้ใบกระท่อมในขนาดยาต่ำ ให้ผลกระตุ้นประสาท
ส่วนการใช้ขนาดยาสูง ให้ผลกดประสาท
เนื้อแท้ของใบกระท่อมแล้วนั้น มันมีสารเสพติดอยู่บ้างก็จริง แต่ผมคิดเอาเองนะครับว่า คงจะพอๆกันกับ กาแฟ ที่พวกเรากินประจำ น้ำอัดลมยี่ห้อดัง มีคาเฟอีนอยู่ในปริมาณที่มากพอสมควร น้ำชาเขียว ที่เราซื้อติดมือออกมาจากร้านสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมงนั้น ลองอ่านดูที่ข้างขวดจะเห็นถึงปริมาณของ คาเฟอีน ที่มากพอที่จะบั่นทอนสุขภาพเราได้อย่างไม่ยากลำบากมากมายนัก
แต่สองสามอย่างที่ผมยกมาอ้างนั้น มันเป็นของถูกกฎหมาย และจ่ายภาษีถูกต้อง เราเลยแกล้งลืมๆไป ทำเป็นไม่สนใจ รวมทั้งสื่อต่างๆก็ช่วยกันล้างสมองผู้บริโภค ที่โง่จริงๆหรือแกล้งโง่แบบพวกเราว่า มันมีสารต่อต้านตัวต้นเหตุของมะเร็ง แล้ว..เราก็เป็นเหยื่อของมัน
ที่บ่นๆมาทั้งหมดก็เพื่อจะบอกว่า คนที่กินใบกระท่อมในตอนนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนไม่ดี แต่ที่กลายเป็นคนผิดก็เพราะกฏหมายบอกว่าผิด ดังนั้นคนกินใบกระท่อมจึงต้องหลบๆซ่อนๆ แต่ก็ยังพอหาได้ตามหัวไร่ปลายนา พอให้ไม่ลงแดงตายกันไปเสียก่อนที่มันจะพลิกกลับขึ้นมาอยู่บนดินเหมือนเช่นแต่ก่อน
ใบกระท่อมรูปหางกั้ง
สมัยผมเรียน ปวส ผมเคยไปบ้านน้องคนหนึ่ง ที่บ้านของน้องคนนี้มีอาชีพปลูกกระท่อมขายครับ ปลูกแบบยกร่องใส่ปุ๋ยดูแลกันแบบเกษตรกรที่ปลูกมะม่วงหรือชมพู่ ในสมัยนี้ทีเดียว ช่วงบ่ายๆพ่อจะเข้าไปเก็บ แม่จะทำเป็นพับๆ แบบใบพลูแล้วเอาใส่ตะกร้า พายเรือออกมาส่งที่ตลาดท่าข้าม แต่ทุกวันนี้ผมกลับเข้าไปแถวนั้นก็ไม่เห็นแล้วครับ ต้นกระท่อมเหล่านั้นโดนโค่นทิ้งไปพร้อมๆกับความเข้มงวดของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจนหมด
เรื่องใบกระท่อม ยังมีอีกเรื่องที่อยากจะเล่าให้ฟัง ประมาณ ห้า หก ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมยังทำงานในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ไปกลับ สุราษฎร์ - ภูเก็ต เป็นว่าเล่น วันหนึ่งพี่หมูชวนผมไปเติมน้ำมัน Gen ที่ถลาง วันนั้นผมไม่ค่อยสบาย เลยบอกให้พี่หมูแวะที่ร้านค้าแถวๆข้างทาง ร้านที่พวกคนขับรถทางไกลจะทราบกันดีว่า ที่หน้าร้านจะมีใบกระท่อมใส่กระติกไว้คอยบริการลูกค้าอยู่เป็นประจำทุกวัน
วันนี้ผมเดินไปซื้อ เอ็มร้อยห้าสิบสองขวดแล้วหยิบใบกระท่อมมาสามสี่ใบ กะว่าจะเผื่อพี่หมูด้วย แต่พี่หมูปฏิเสธ ใบกระท่อม แกบอกว่าแกไม่เคยกิน คราวนี้เมื่อผมกินเอ็มร้อยห้าสิบ "หวน" ใบกระท่อม คำว่า หวน เป็น กริยาในภาษาใต้ หมายถึงการกินตามไปทันที เช่น กินยาแล้วหวนน้ำ หมายถึง กินยาแล้วดื่มน้ำตามเข้าไปทันที คำว่ากินเอ็มร้อยห้าสิบหวนใบกระท่อม ก็จะหมายถึง การกินใบกระท่อมแล้วดื่มเอ็มร้อยห้าสิบตามเข้าไปทันที
เมื่อผมกินเรียบร้อยมีใบกระท่อมเหลืออยู่สองใบ ไม่รู้จะเอาไว้ที่ไหน ผมก็เลยเอาใส่ไว้ในสมุดทะเบียนรถ กะว่าจะเก็บไว้กินตอนเย็น อีกรอบ แต่แล้วผมก็ลืมครับ ลืมกิน ลืมหยิบออกไปทิ้ง แต่วันรุ่งขึ้น ผมมีงานด่วนต้องไปภูเก็ตอีกรอบ คราวนี้ไปคนเดียว เมื่อมาถึงบริเวณแยกถลาง ผมเจอ ตำรวจเรียกตรวจ ตำรวจก็ดันขอดูคู่มือทะเบียนรถขึ้นมา ผมก็เปิดลิ้นชักด้านหน้าแล้วหยิบออกมาเปิดให้ตำรวจดู นอกจากทะเบียนรถแล้ว สิ่งที่อยู่ในสมุดคือ ใบกระท่อม ที่ยังเขียวๆอยู่สองใบ ตำรวจถามผมว่า "มีเยอะมั๊ย" "มีอยู่สองใบนี่ละครับ" พี่ตำรวจแกยิ้มแล้วบอกให้ผมไปได้ ...รอดมาหวุดหวิด ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม สงสัยพี่แกจะกินกระท่อมเหมือนกัน เลยปล่อยผมด้วยความรู้สึกที่ว่า "พวกเดียวกัน"
มาถึงเรื่องใบกระท่อมหางกั้งกันบ้าง ถึงผมจะกินใบกระท่อม แต่ก็ไม่กินแบบมืออาชีพ นั่นก็คือมีก็กินไม่มีก็ไม่เป็นไร ดังนั้นผมจึงไม่ได้สังเกตอะไรมากมาย จนช่วงที่ผมไปงานศพพ่อของเพื่อนที่ทำงานที่จังหวัดตรัง พ่อของเพื่อนผมคนนี้คงจะนิยมในรสชาดของใบกระท่อมอยู่พอสมควร จึงปลูกต้นกระท่อมไว้ที่หลังบ้านซะเลย ต้นกระท่อมต้นนี้พวกเราได้อาศัยกินเพิ่มพลังงานอยู่บ่อยๆในสมัยที่จังหวัดตรังยังไม่โอนไปให้ภาคใต้ตอนล่างดูแล ดังนั้นเมื่อกลับมาที่บ้านนี้อีกครั้งผมจึงเดินเข้าไปเก็บมาฝากพี่สมพร
"นี่ๆๆน้องนภเหอ ใบท่อมหางกั้งพันนี้ เมาหรอย" เสียงพี่พรบอกกับผม ผมจึงหันไปดู พี่พรเลยอธิบายว่าใบกระท่อมแบบนี้ เรียกว่าใบกระท่อมหางกั้ง คนทั่วๆไปจะเชื่อว่ามันมีความเข้มข้นสูง กินเข้าไปแล้วให้พลังงานมากกว่าปกติ จนถึงขนาดทำให้มึน เมา ได้มากกว่าใบกระท่อมทั่วไป
วันนี้ผมได้ความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว ความรู้ที่หาเรียนไม่ได้ในห้องเรียน ความรู้ที่ต้องอาศัยความสนใจในสิ่งรอบๆข้างถึงจะได้เห็น ถึงจะได้รู้ ขอบคุณคนเก่าเล่าเรื่องในวันนี้ เป็นอย่างมากที่เล่าเรื่องราวแบบนี้ให้ผมได้มาเล่าต่อ ให้คนอื่นๆได้รู้ (ช่วงนี้เอาพี่สมพรมาหากินเยอะเป็นพิเศษ)
ไว้วันหน้ามีเรื่องราวอะไรที่น่าสนใจผมจะมาเล่าให้ฟังกันอีกนะครับ
นภดล 19/7/2553
ต้นฉบับที่ http://www.siamsouth.com
ผมสารภาพว่าในชีวิตผมที่ผ่านมาสามสิบกว่าปีมานี้ ผมไม่เคยได้ยินคำนี้มาก่อนเลย ผมรู้แค่ว่าใบกระท่อมที่คนแถวๆนี้กินกันอยู่มีแบบก้านเขียวก้านแดงเท่านั้น มีคนบอกว่า ใบกระท่อมก้านแดงกินแล้วจะมึนๆกว่าใบกระท่อมก้านเขียว แต่สำหรับผมแล้ว กินแบบไหนก็เหมือนกันครับ ประมาณว่าไม่รู้ร้อนรู้หนาวกับสิ่งที่กินเข้าไปซักเท่าไหร่
บางคนที่บังเอิญเข้ามาอ่านเจอบทความนี้อาจจะคิดว่า ทำไมวันนี้ผมถึงพูดเรื่องของใบกระท่อม ใบกระท่อมมันผิดกฎหมายนี่นา แล้วทำไมถึงเอามาเขียนในลักษณะแบบนี้ ผมเองก็รู้อยู่นะครับว่าใบกระท่อมมันผิดกฎหมาย แต่มันก็เพิ่งจะมาผิดกฎหมายเอาเมื่อไม่กี่ปีมานี่เอง
กระท่อม เป็นพืชล้มลุก ที่จัดเป็น ยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 5 ตามความใน พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2522 มาตรา 7 ยาเสพติดให้โทษ ซึ่งสิ่งเสพติดในประเภท 5 ได้แก่ กัญชา และพืชกระท่อม
คนรุ่นปู่รุ่นพ่อของผมยังกินใบกระท่อมกันเป็นเรื่องปกติ กินวันละไม่กี่ใบ กินแล้วทำงาน ไม่ใช่เอามาต้มกินให้เมาแบบเด็กๆในปัจจุบันนี้ ถ้าใบกระท่อมผิดกฎหมาย เราลองย้อนกลับไปในสมัย "เชื่อผู้นำ ชาติพ้นภัย" กันดูซักนิดนะครับ สมัยนั้นท่านผู้นำ ห้ามคนแก่กินหมาก ห้ามเล่นดนตรีไทย ด้วยสาเหตุที่ว่ามันล้าสมัย ทำให้คนในสมัยนั้นแทบจะลงแดงตายกันไปถ้วนหน้า แต่พอถึงปัจจุบันนี้ก็ยังมีคนกินหมากอยู่ทั่วไป ทั้งๆที่ช่วงนั้นมันก็ผิดกฏหมายเช่นกัน
พูดถึงยุคนั้นแล้วใครที่เคยดูหนังเรื่องโหมโรง คงจะยังพอเข้าใจว่า ความรันทดในสิ่งที่ถูกบังคับให้หลงลืมความเป็นไทยของเราไปนั้นมันเจ็บปวดแค่ไหน ศิลปวัฒนธรรมที่เราสร้างสมกันมายาวนาน ถูกบีบบังคับด้วยคำว่าล้าสมัย ยิ่งมาถึงยุคนี้สมัยนี้ ยุคที่ฝรั่งครองเมือง ขีดเส้นชี้ทางให้เราเดินตาม คนที่มีจิตสำนึกในความเป็นไทยอยู่บ้างก็คงจะเริ่มอึดอัด แต่ก็เป็นแค่บางคนเท่านั้น บางคนยังยกย่องฝรั่งเป็นพระเจ้า เป็นเทวดาอยู่ทุกวัน ฝรั่งทำอะไรถูกไปเสียหมด คนแบบนั้นเราก็คงต้องทำใจแล้วปล่อยให้เขาดำเนินชีวิตไปตามแบบที่เขาต้องการครับ อย่าไปยุ่งกับเขาเลย
ผลการศึกษาหลายแห่งสรุปว่า
การใช้ใบกระท่อมในขนาดยาต่ำ ให้ผลกระตุ้นประสาท
ส่วนการใช้ขนาดยาสูง ให้ผลกดประสาท
เนื้อแท้ของใบกระท่อมแล้วนั้น มันมีสารเสพติดอยู่บ้างก็จริง แต่ผมคิดเอาเองนะครับว่า คงจะพอๆกันกับ กาแฟ ที่พวกเรากินประจำ น้ำอัดลมยี่ห้อดัง มีคาเฟอีนอยู่ในปริมาณที่มากพอสมควร น้ำชาเขียว ที่เราซื้อติดมือออกมาจากร้านสะดวกซื้อที่เปิด 24 ชั่วโมงนั้น ลองอ่านดูที่ข้างขวดจะเห็นถึงปริมาณของ คาเฟอีน ที่มากพอที่จะบั่นทอนสุขภาพเราได้อย่างไม่ยากลำบากมากมายนัก
แต่สองสามอย่างที่ผมยกมาอ้างนั้น มันเป็นของถูกกฎหมาย และจ่ายภาษีถูกต้อง เราเลยแกล้งลืมๆไป ทำเป็นไม่สนใจ รวมทั้งสื่อต่างๆก็ช่วยกันล้างสมองผู้บริโภค ที่โง่จริงๆหรือแกล้งโง่แบบพวกเราว่า มันมีสารต่อต้านตัวต้นเหตุของมะเร็ง แล้ว..เราก็เป็นเหยื่อของมัน
ที่บ่นๆมาทั้งหมดก็เพื่อจะบอกว่า คนที่กินใบกระท่อมในตอนนี้ไม่ใช่ว่าจะเป็นคนไม่ดี แต่ที่กลายเป็นคนผิดก็เพราะกฏหมายบอกว่าผิด ดังนั้นคนกินใบกระท่อมจึงต้องหลบๆซ่อนๆ แต่ก็ยังพอหาได้ตามหัวไร่ปลายนา พอให้ไม่ลงแดงตายกันไปเสียก่อนที่มันจะพลิกกลับขึ้นมาอยู่บนดินเหมือนเช่นแต่ก่อน
ใบกระท่อมรูปหางกั้ง
สมัยผมเรียน ปวส ผมเคยไปบ้านน้องคนหนึ่ง ที่บ้านของน้องคนนี้มีอาชีพปลูกกระท่อมขายครับ ปลูกแบบยกร่องใส่ปุ๋ยดูแลกันแบบเกษตรกรที่ปลูกมะม่วงหรือชมพู่ ในสมัยนี้ทีเดียว ช่วงบ่ายๆพ่อจะเข้าไปเก็บ แม่จะทำเป็นพับๆ แบบใบพลูแล้วเอาใส่ตะกร้า พายเรือออกมาส่งที่ตลาดท่าข้าม แต่ทุกวันนี้ผมกลับเข้าไปแถวนั้นก็ไม่เห็นแล้วครับ ต้นกระท่อมเหล่านั้นโดนโค่นทิ้งไปพร้อมๆกับความเข้มงวดของเจ้าหน้าที่บ้านเมืองจนหมด
เรื่องใบกระท่อม ยังมีอีกเรื่องที่อยากจะเล่าให้ฟัง ประมาณ ห้า หก ปีที่แล้ว ตอนนั้นผมยังทำงานในพื้นที่จังหวัดภูเก็ต ไปกลับ สุราษฎร์ - ภูเก็ต เป็นว่าเล่น วันหนึ่งพี่หมูชวนผมไปเติมน้ำมัน Gen ที่ถลาง วันนั้นผมไม่ค่อยสบาย เลยบอกให้พี่หมูแวะที่ร้านค้าแถวๆข้างทาง ร้านที่พวกคนขับรถทางไกลจะทราบกันดีว่า ที่หน้าร้านจะมีใบกระท่อมใส่กระติกไว้คอยบริการลูกค้าอยู่เป็นประจำทุกวัน
วันนี้ผมเดินไปซื้อ เอ็มร้อยห้าสิบสองขวดแล้วหยิบใบกระท่อมมาสามสี่ใบ กะว่าจะเผื่อพี่หมูด้วย แต่พี่หมูปฏิเสธ ใบกระท่อม แกบอกว่าแกไม่เคยกิน คราวนี้เมื่อผมกินเอ็มร้อยห้าสิบ "หวน" ใบกระท่อม คำว่า หวน เป็น กริยาในภาษาใต้ หมายถึงการกินตามไปทันที เช่น กินยาแล้วหวนน้ำ หมายถึง กินยาแล้วดื่มน้ำตามเข้าไปทันที คำว่ากินเอ็มร้อยห้าสิบหวนใบกระท่อม ก็จะหมายถึง การกินใบกระท่อมแล้วดื่มเอ็มร้อยห้าสิบตามเข้าไปทันที
เมื่อผมกินเรียบร้อยมีใบกระท่อมเหลืออยู่สองใบ ไม่รู้จะเอาไว้ที่ไหน ผมก็เลยเอาใส่ไว้ในสมุดทะเบียนรถ กะว่าจะเก็บไว้กินตอนเย็น อีกรอบ แต่แล้วผมก็ลืมครับ ลืมกิน ลืมหยิบออกไปทิ้ง แต่วันรุ่งขึ้น ผมมีงานด่วนต้องไปภูเก็ตอีกรอบ คราวนี้ไปคนเดียว เมื่อมาถึงบริเวณแยกถลาง ผมเจอ ตำรวจเรียกตรวจ ตำรวจก็ดันขอดูคู่มือทะเบียนรถขึ้นมา ผมก็เปิดลิ้นชักด้านหน้าแล้วหยิบออกมาเปิดให้ตำรวจดู นอกจากทะเบียนรถแล้ว สิ่งที่อยู่ในสมุดคือ ใบกระท่อม ที่ยังเขียวๆอยู่สองใบ ตำรวจถามผมว่า "มีเยอะมั๊ย" "มีอยู่สองใบนี่ละครับ" พี่ตำรวจแกยิ้มแล้วบอกให้ผมไปได้ ...รอดมาหวุดหวิด ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม สงสัยพี่แกจะกินกระท่อมเหมือนกัน เลยปล่อยผมด้วยความรู้สึกที่ว่า "พวกเดียวกัน"
มาถึงเรื่องใบกระท่อมหางกั้งกันบ้าง ถึงผมจะกินใบกระท่อม แต่ก็ไม่กินแบบมืออาชีพ นั่นก็คือมีก็กินไม่มีก็ไม่เป็นไร ดังนั้นผมจึงไม่ได้สังเกตอะไรมากมาย จนช่วงที่ผมไปงานศพพ่อของเพื่อนที่ทำงานที่จังหวัดตรัง พ่อของเพื่อนผมคนนี้คงจะนิยมในรสชาดของใบกระท่อมอยู่พอสมควร จึงปลูกต้นกระท่อมไว้ที่หลังบ้านซะเลย ต้นกระท่อมต้นนี้พวกเราได้อาศัยกินเพิ่มพลังงานอยู่บ่อยๆในสมัยที่จังหวัดตรังยังไม่โอนไปให้ภาคใต้ตอนล่างดูแล ดังนั้นเมื่อกลับมาที่บ้านนี้อีกครั้งผมจึงเดินเข้าไปเก็บมาฝากพี่สมพร
"นี่ๆๆน้องนภเหอ ใบท่อมหางกั้งพันนี้ เมาหรอย" เสียงพี่พรบอกกับผม ผมจึงหันไปดู พี่พรเลยอธิบายว่าใบกระท่อมแบบนี้ เรียกว่าใบกระท่อมหางกั้ง คนทั่วๆไปจะเชื่อว่ามันมีความเข้มข้นสูง กินเข้าไปแล้วให้พลังงานมากกว่าปกติ จนถึงขนาดทำให้มึน เมา ได้มากกว่าใบกระท่อมทั่วไป
วันนี้ผมได้ความรู้ใหม่เพิ่มขึ้นมาอีกแล้ว ความรู้ที่หาเรียนไม่ได้ในห้องเรียน ความรู้ที่ต้องอาศัยความสนใจในสิ่งรอบๆข้างถึงจะได้เห็น ถึงจะได้รู้ ขอบคุณคนเก่าเล่าเรื่องในวันนี้ เป็นอย่างมากที่เล่าเรื่องราวแบบนี้ให้ผมได้มาเล่าต่อ ให้คนอื่นๆได้รู้ (ช่วงนี้เอาพี่สมพรมาหากินเยอะเป็นพิเศษ)
ไว้วันหน้ามีเรื่องราวอะไรที่น่าสนใจผมจะมาเล่าให้ฟังกันอีกนะครับ
นภดล 19/7/2553
วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
เอกลักษณ์ไทย
หลายๆวันมานี้ ท่านบรมครูวิเชียร คำเจริญ หรือครูลพ บุรีรัตน์ เป็นผู้ที่นำความสุขสดชื่นมาสู่ชีวิตผมเป็นอย่างมาก หลายๆวันที่ผมต้องเดินทางไกล ต้องทำอะไรๆที่มากมายเหลือเกิน แต่ในช่วงเวลาที่ดูเหมือนจะยาวนานในแต่ละวันที่น่าเบื่อของผมนั้น หมดไปกับเสียงเพลงของพี่ผึ้ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ ที่กลั่นกรองออกมาจากความสามารถระดับศิลปินแห่งชาติ ของครูลพ บุรีรัตน์ อย่างเพลง ทรัพย์สินคนเก่า และตอนนี้ที่ผมฟังติดต่อกันหลายๆรอบก็จะเป็นเพลง "เอกลักษณ์ไทย" ครับ
เพลงนี้เนื้อหาใจความ คำร้องทำนอง เข้าไปถึงส่วนลึกของหัวใจผมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะท่อนที่ว่า
"ไทยมิเคยเป็นทาส ให้ต่างชาติ มาคอยชี้เหนือชี้ใต้" มันเข้าไปสะกิดความรู้สึกส่วนลึกของ ตนไทยตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่มีนายจ้างส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติแบบผมเสียเหลือเกิน ฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกภูมิใจในความเป็นไทยอย่างบอกไม่ถูก รู้สึก "รักในหลวง หวงประเทศ" ขึ้นมาอย่างเต็มกำลังทุกครั้งที่ได้ยิน ถ้ามีโอกาสผมอยากจะเข้าไปกราบท่านผู้ประพันธ์เพลงนี้ซักครั้ง กราบด้วยหัวใจที่เคารพและศรัทธาอย่างสูงสุด ที่ท่านได้สร้างสิ่งดีๆฝากไว้กับแผ่นดินไทยอย่างมากมายเหลือคณานับ
เพลงที่มีคุณค่าเหล่านี้สมควรเป็นอย่างยิ่งที่เราจะช่วยกันเผยแพร่ออกสู่วงกว้าง โดยไม่ต้องไปคำนึงถึงเรื่องผลประโยชน์ว่า ตอนนี้ใครเป็นผู้ขับร้องเมื่อเปิดแล้ว แผ่นของใครจะขายได้ หรือ เพลงของใครจะถูก Down Load เพราะถ้าเรามองในแง่ของความสร้างสรรค์และประโยชน์ในการปลูกฝังความเป็นไทย รักในหลวงหวงประเทศแล้วนั้น เพลงของ ครูลพ เป็นเพลงที่น่าจะเอามารวบรวมแล้วทำออกมาเป็นแผ่นมากกว่าเพลง รักชาติ ต่างๆที่ปั๊มกันออกมามากมายในตอนนี้เสียอีก แต่ก็ไม่ได้ว่าที่ทำอยู่มันไม่ดีนะครับ เพียงแต่ว่าถ้าเรากลับไปหาผลงานเก่าๆของครูลพ มาฟังกัน จะเห็นได้ว่า เพลงที่ครูลพ แต่ง มีเพลงที่เกี่ยวกับประเทศชาติ บ้านเมือง แลความสวยงามของชนบท ที่จะทำให้คนฟังรู้สึกรักในความเป็นไทยมากมายเหลือเกิน มากจนผมคิดว่า ถ้าทำอัลบั้มรวมเพลงแนวนี้ของครูลพ คงต้องทำกันหลายๆอัลบั้มเลยทีเดียว
คนเรานี่ก็แปลกนะครับ บางครั้งบางเวลาเราฟังเพลงนี้แล้วเรารู้สึกแบบนี้ แต่พออีกช่วงเวลาหนึ่งเราอาจจะรู้สึกไปอีกแบบก็ได้ นี่คือเสน่ห์ของศิลปะเชิงดนตรี กวี บทเพลง อย่างแท้จริง แต่ความรู้สึกนี้ไม่เคยแปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อยในยามที่ได้ฟังเพลงของครูลพ ไม่ว่าจะเป็นในแบบดั้งเดิม ที่พี่ผึ้งขับร้องไว้ หรือ แบบฉบับ ของ รัชนก ศรีโลพันธุ์ ที่ขับร้องได้ดีไม่แพ้กัน ผมชอบทั้งสองคนเลยครับ เสียงร้องเข้ากับบทเพลงที่ต้องการสื่อสาร ฟังกี่ครั้งมันก็ไม่ขัดหู ขัดใจ ขัดความรู้สึก ขอชื่นชมทุกท่านที่มีส่วนร่วมกับเพลงนี้ในส่วนที่เป็นผลงานของรัชนก ด้วยนะครับ ทั้งคนเลือกเพลง เลือกนักร้อง รวมทั้งคนเรียบเรียงดนตรี ในอัลบั้ม ดวงจันทร์กลางดวงใจ มันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมากมาย ไม่มาก ไม่น้อยจนเกินไป เป็นเพลงที่น่ารักมากมาย ฟังไปยิ้มไปจริงๆ
ขอบคุณอีกครั้งครับสำหรับผลงานดีๆชิ้นนี้ และจะอดไม่ได้กับการที่จะยกข้อความหรือคำพูดที่ตรงกันข้ามกับเรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวกับเพลงนี้ให้กับเพลง เห็นหมีหนูไหม เพลงนรก ที่ไม่มีอะไรที่จะสมควรเรียกว่าเพลงเลยครับ ฟังเพลงเอกลักษณ์ไทยที่ขับร้องโดยรัชนก ศรีโลพันธุ์ แล้วจะรู้ว่า เพลงที่ดี นั้นเป็นอย่างไร
การแต่งเพลงร้องเพลงฟังเพลง ก็เหมือนการสร้างวัตถุมงคลนั่นละครับ เจตนาดี วัตถุประสงค์ดี อาจารย์ที่ปลุกเสกเป็นพระดี วัตถุมงคลก็ขลัง และศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าเจตนาไม่ดี คนสร้างเลว คนปลุกเสกเป็นอลัชชี แล้วแบบนี้วัตถุมงคลจะขลังได้อย่างไร
เพลงก็เหมือนกันครับ เห็นหมีหนูไหม ถ้าใครคิดว่าเพลงนี้มีเจตนาดีแล้วละก็แสดงว่าท่านมีความสามารถที่เข้าร่วมงานกับทางภาครัฐในเรื่องการเจรจาปรองดองได้ครับลองไปติดต่อดูท่านอาจจะได้งานทำก็ได้ครับ และในเมื่อเจตนาไม่ดี วัตถุประสงค์ก็ต้องไม่ดีด้วย คือ หวังจะออกมาขายอย่างเดียว ไม่ได้เน้นถึงคุณภาพ แถมคนร้องก็ไม่ใช่ว่าเสียงจะดีมากมาย เมื่อครบองค์ประกอบ เจตนาไม่ดี วัตถุประสงค์ไม่ดี คนสร้างไม่ดี แล้วแบบนี้ จะไปฟังมันทำไม
คือถ้าคิดว่าสนุกๆ ก็เอาไว้ฟังกันเองที่บ้านหรือเฉพาะกลุ่มก็ได้ครับ ไม่ต้องเอามาใส่ไว้ในที่สาธารณะแล้วให้หน้าม้ามาชมกันเอง
เปลี่ยนเรื่องดีกว่าครับ เพราะ หมี ไม่มีในเอกลักษณ์ไทยครับ มาฟังเพลงให้สบายใจกันดีกว่าครับ ผมแค่อยากจะบอกว่า ถ้าใครฟังเพลงนี้แล้วมีความรู้สึก คล้อยตามบ้างแม้แต่เพียงเล็กน้อย ก็จะเข้าใจครับว่าทำไมช่วงนี้ผมเกลียดหมี และนักร้องสองคนนั้นรวมทั้งค่ายเพลงที่ทำเพลงแบบนั้นออกมาเสียเหลือเกิน
ฟังเพลงได้ที่ http://www.bunnarak.com/index.php?topic=272.0
เอกลักษณ์ไทย - รัชนก ศรีโลพันธุ์
หลายร้อยปีดีดักเอกลักษณ์ คนไทยทราบไปทั้งโลก
รอยยิ้มบนหน้า เหมือนหนึ่งว่า มิมีทุกข์โศก คนไทยเหมือนคนมีโชค ถูกโฉลกโลกทุกสมัย
เคารพคน สูงกว่า แหละศรัทธา ในครูผู้เคยสอนให้
ไม่ทิ้งพ่อแม่ เลี้ยงดูแลให้แกชื่นใจ สิบนิ้วน้อม พนมไหว้ เคารพผู้ใหญ่ เป็นอาจิณ
รักในหลวง ห่วงประเทศอยู่ไม่จาง ประเทศไทยตั้งแต่สร้าง มิเคยว่าง พระเจ้าแผ่นดิน
เอกลักษณ์นี้ ฟ้าประจักษ์และโลกได้ยิน ว่าไทยในทั้งธานินทร์ พระเจ้าแผ่นดิน คือหัวใจ
ไทยมิเคยเป็นทาส ให้ต่างชาติ มาคอยชี้เหนือชี้ใต้ เอกลักษณ์หนึ่ง ซึ้งอยู่ในหัวใจคนไทย
เรามีวัดงามไกลใกล้ มีพระสอนให้ เราทำดี
เพลงนี้เนื้อหาใจความ คำร้องทำนอง เข้าไปถึงส่วนลึกของหัวใจผมเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะท่อนที่ว่า
"ไทยมิเคยเป็นทาส ให้ต่างชาติ มาคอยชี้เหนือชี้ใต้" มันเข้าไปสะกิดความรู้สึกส่วนลึกของ ตนไทยตัวเล็กๆคนหนึ่ง ที่มีนายจ้างส่วนใหญ่เป็นคนต่างชาติแบบผมเสียเหลือเกิน ฟังเพลงนี้แล้วรู้สึกภูมิใจในความเป็นไทยอย่างบอกไม่ถูก รู้สึก "รักในหลวง หวงประเทศ" ขึ้นมาอย่างเต็มกำลังทุกครั้งที่ได้ยิน ถ้ามีโอกาสผมอยากจะเข้าไปกราบท่านผู้ประพันธ์เพลงนี้ซักครั้ง กราบด้วยหัวใจที่เคารพและศรัทธาอย่างสูงสุด ที่ท่านได้สร้างสิ่งดีๆฝากไว้กับแผ่นดินไทยอย่างมากมายเหลือคณานับ
เพลงที่มีคุณค่าเหล่านี้สมควรเป็นอย่างยิ่งที่เราจะช่วยกันเผยแพร่ออกสู่วงกว้าง โดยไม่ต้องไปคำนึงถึงเรื่องผลประโยชน์ว่า ตอนนี้ใครเป็นผู้ขับร้องเมื่อเปิดแล้ว แผ่นของใครจะขายได้ หรือ เพลงของใครจะถูก Down Load เพราะถ้าเรามองในแง่ของความสร้างสรรค์และประโยชน์ในการปลูกฝังความเป็นไทย รักในหลวงหวงประเทศแล้วนั้น เพลงของ ครูลพ เป็นเพลงที่น่าจะเอามารวบรวมแล้วทำออกมาเป็นแผ่นมากกว่าเพลง รักชาติ ต่างๆที่ปั๊มกันออกมามากมายในตอนนี้เสียอีก แต่ก็ไม่ได้ว่าที่ทำอยู่มันไม่ดีนะครับ เพียงแต่ว่าถ้าเรากลับไปหาผลงานเก่าๆของครูลพ มาฟังกัน จะเห็นได้ว่า เพลงที่ครูลพ แต่ง มีเพลงที่เกี่ยวกับประเทศชาติ บ้านเมือง แลความสวยงามของชนบท ที่จะทำให้คนฟังรู้สึกรักในความเป็นไทยมากมายเหลือเกิน มากจนผมคิดว่า ถ้าทำอัลบั้มรวมเพลงแนวนี้ของครูลพ คงต้องทำกันหลายๆอัลบั้มเลยทีเดียว
คนเรานี่ก็แปลกนะครับ บางครั้งบางเวลาเราฟังเพลงนี้แล้วเรารู้สึกแบบนี้ แต่พออีกช่วงเวลาหนึ่งเราอาจจะรู้สึกไปอีกแบบก็ได้ นี่คือเสน่ห์ของศิลปะเชิงดนตรี กวี บทเพลง อย่างแท้จริง แต่ความรู้สึกนี้ไม่เคยแปรเปลี่ยนไปเลยแม้แต่น้อยในยามที่ได้ฟังเพลงของครูลพ ไม่ว่าจะเป็นในแบบดั้งเดิม ที่พี่ผึ้งขับร้องไว้ หรือ แบบฉบับ ของ รัชนก ศรีโลพันธุ์ ที่ขับร้องได้ดีไม่แพ้กัน ผมชอบทั้งสองคนเลยครับ เสียงร้องเข้ากับบทเพลงที่ต้องการสื่อสาร ฟังกี่ครั้งมันก็ไม่ขัดหู ขัดใจ ขัดความรู้สึก ขอชื่นชมทุกท่านที่มีส่วนร่วมกับเพลงนี้ในส่วนที่เป็นผลงานของรัชนก ด้วยนะครับ ทั้งคนเลือกเพลง เลือกนักร้อง รวมทั้งคนเรียบเรียงดนตรี ในอัลบั้ม ดวงจันทร์กลางดวงใจ มันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวมากมาย ไม่มาก ไม่น้อยจนเกินไป เป็นเพลงที่น่ารักมากมาย ฟังไปยิ้มไปจริงๆ
ขอบคุณอีกครั้งครับสำหรับผลงานดีๆชิ้นนี้ และจะอดไม่ได้กับการที่จะยกข้อความหรือคำพูดที่ตรงกันข้ามกับเรื่องราวทั้งหมดที่เกี่ยวกับเพลงนี้ให้กับเพลง เห็นหมีหนูไหม เพลงนรก ที่ไม่มีอะไรที่จะสมควรเรียกว่าเพลงเลยครับ ฟังเพลงเอกลักษณ์ไทยที่ขับร้องโดยรัชนก ศรีโลพันธุ์ แล้วจะรู้ว่า เพลงที่ดี นั้นเป็นอย่างไร
การแต่งเพลงร้องเพลงฟังเพลง ก็เหมือนการสร้างวัตถุมงคลนั่นละครับ เจตนาดี วัตถุประสงค์ดี อาจารย์ที่ปลุกเสกเป็นพระดี วัตถุมงคลก็ขลัง และศักดิ์สิทธิ์ แต่ถ้าเจตนาไม่ดี คนสร้างเลว คนปลุกเสกเป็นอลัชชี แล้วแบบนี้วัตถุมงคลจะขลังได้อย่างไร
เพลงก็เหมือนกันครับ เห็นหมีหนูไหม ถ้าใครคิดว่าเพลงนี้มีเจตนาดีแล้วละก็แสดงว่าท่านมีความสามารถที่เข้าร่วมงานกับทางภาครัฐในเรื่องการเจรจาปรองดองได้ครับลองไปติดต่อดูท่านอาจจะได้งานทำก็ได้ครับ และในเมื่อเจตนาไม่ดี วัตถุประสงค์ก็ต้องไม่ดีด้วย คือ หวังจะออกมาขายอย่างเดียว ไม่ได้เน้นถึงคุณภาพ แถมคนร้องก็ไม่ใช่ว่าเสียงจะดีมากมาย เมื่อครบองค์ประกอบ เจตนาไม่ดี วัตถุประสงค์ไม่ดี คนสร้างไม่ดี แล้วแบบนี้ จะไปฟังมันทำไม
คือถ้าคิดว่าสนุกๆ ก็เอาไว้ฟังกันเองที่บ้านหรือเฉพาะกลุ่มก็ได้ครับ ไม่ต้องเอามาใส่ไว้ในที่สาธารณะแล้วให้หน้าม้ามาชมกันเอง
เปลี่ยนเรื่องดีกว่าครับ เพราะ หมี ไม่มีในเอกลักษณ์ไทยครับ มาฟังเพลงให้สบายใจกันดีกว่าครับ ผมแค่อยากจะบอกว่า ถ้าใครฟังเพลงนี้แล้วมีความรู้สึก คล้อยตามบ้างแม้แต่เพียงเล็กน้อย ก็จะเข้าใจครับว่าทำไมช่วงนี้ผมเกลียดหมี และนักร้องสองคนนั้นรวมทั้งค่ายเพลงที่ทำเพลงแบบนั้นออกมาเสียเหลือเกิน
ฟังเพลงได้ที่ http://www.bunnarak.com/index.php?topic=272.0
เอกลักษณ์ไทย - รัชนก ศรีโลพันธุ์
หลายร้อยปีดีดักเอกลักษณ์ คนไทยทราบไปทั้งโลก
รอยยิ้มบนหน้า เหมือนหนึ่งว่า มิมีทุกข์โศก คนไทยเหมือนคนมีโชค ถูกโฉลกโลกทุกสมัย
เคารพคน สูงกว่า แหละศรัทธา ในครูผู้เคยสอนให้
ไม่ทิ้งพ่อแม่ เลี้ยงดูแลให้แกชื่นใจ สิบนิ้วน้อม พนมไหว้ เคารพผู้ใหญ่ เป็นอาจิณ
รักในหลวง ห่วงประเทศอยู่ไม่จาง ประเทศไทยตั้งแต่สร้าง มิเคยว่าง พระเจ้าแผ่นดิน
เอกลักษณ์นี้ ฟ้าประจักษ์และโลกได้ยิน ว่าไทยในทั้งธานินทร์ พระเจ้าแผ่นดิน คือหัวใจ
ไทยมิเคยเป็นทาส ให้ต่างชาติ มาคอยชี้เหนือชี้ใต้ เอกลักษณ์หนึ่ง ซึ้งอยู่ในหัวใจคนไทย
เรามีวัดงามไกลใกล้ มีพระสอนให้ เราทำดี
วันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
สามก๊กในความทรงจำ ตอน สามพี่น้องเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย
สามก๊กในความทรงจำ ตอน สามพี่น้องเล่าปี่ กวนอู เตียวหุย กลับมาอีกครั้งหลังจากหายไปหลายวันครับ
เล่าปี่เมื่อเห็นชาวบ้านออกไปเป็น "จีนมุง" อยู่ที่หน้าประตูเมือง ก็ออกไปดูกับเขาด้วยและได้อ่านข้อความในประกาศที่ติดอยู่ที่หน้าประตู อ่านไปอ่านมาก็ ถอนหายใจออกมา เล่าปี่คงจะถอนหายใจมากมายจนถึงขั้นเกือบจะปิดบัญชี จนทำให้ดังไปถึงชาย รางใหญ่ ตากลมโต คางใหญ่ ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ชายผู้นั้น มีเสียงที่ดังปานฟ้าร้อง กิริยาดังม้าควบ เมื่อได้ยินเล่าปี่ถอนหายใจก็ถามขึ้นว่า
"ถอนหายใจทำไม" "เป็นชายชาติทหารไม่คิดช่วยชาติแล้วจะมาถอนหายใจทำไม"
เล่าปี่ซึ่งเป็นผู้มีสติปัญญาดีเลิศ ผู้ซึ่งมีสติปัญญาหลักแหลม ก็พลิกสถานการณ์ ที่จะต้องตอบคำถาม กลับเป็นผู้ถามแทน "ท่านละชื่ออะไร"
ชายผู้นั้นจึงตอบว่า ข้าชื่อ "เตียวหุย เอ๊กเต๊ก" อยู่บ้านตุ๊นก้วน มีทรัพย์สินมากมาย จัดได้ว่ามีฐานะร่ำรวยเลยทีเดียว มีกิจการมากมาย ร้านสุกร สุรา มีหมด ขาดแต่ดาวเทียม ที่ตอนนั้นประมูลมาทำไม่ได้ด้วยไม่มีเส้นสายภายในเหมือนใครบางคน แต่ถึงเราจะไม่ได้อยู่ในแวดวงโทรคมนาคม แต่เราก็มีจิตใจที่กว้างขวาง รักที่จะคบเพื่อนฝูงที่มีสติปัญญา ยิ่งวันนี้ข้ามายืนอยู่นานแล้ว ไม่เห็นใครเลยที่จะใส่ใจกับเรื่องบ้านเรื่องเมือง เพิ่งเห็นท่านเป็นคนแรกที่อ่านจดหมายน้อย ที่หน้าประตูแล้วมีอาการ จึงอยากจะสอบถามว่าท่านคิดเห็นเป็นประการใด
เล่าปี่จึงตอบว่า "เราเป็นเชื้อสายพระเจ้า ฮั่นเกงเต้ ในราชวงศ์ พระเจ้าฮั่นโกโจ ได้ยินข่าวว่า โจรโพกผ้าเหลือง มาทำร้ายคุกคามแผ่นดิน เลยคิดอาสาจะไปปราบโจร แต่ขัดสนว่า ข้ามันจน ไม่มีงบประมาณทั้ง งบประมาณแผ่นดิน งบลับ หรือ งบใต้โต๊ะ อย่างข้าราชการในประเทศแถวๆด้านล่างๆของเมืองจีนใช้กัน ดังนั้นจึงได้แต่ ถอนหายใจระบายอารมณ์เท่านั้น
เตียวหุยจึงว่า เรื่องเงินไม่ต้องห่วง เรามีเยอะเดี๋ยวเราจะให้งบท่านไปใช้เอง แต่ท่านต้องรับปากข้าว่าท่านจะไม่ใช้ผิดประเภทนะ เพราะถ้าท่านนำเงินบริจาคของข้าไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ แล้วถูก กกต ชี้มูลความผิดแล้วละก็..ความผิดถึงขั้นยุบพรรคเลยนะ
เล่าปี่ก็บอกว่า ท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอก ถึงแม้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าก็ปลอดภัยไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะข้าจะให้ กรรมการบริหารพรรค ดำเนินการแทน... ดังนั้นทั้งสองคนจึงชักชวนกันเข้าไปหาสุรามานั่งกิน นั่งคุย วางแผนกันว่าจะเอาอย่างไรกันต่อไปดี
ขระที่เริ่มตั้งวงดื่มไปได้ไม่นาน ดื่มไปคนละนิดแบบว่าไม่ต้องกลัวเครื่องตรวจแอลกอฮอร์ ตามข้างทาง ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาในร้านเหล้า แล้วตะโกนบอกคนขายเหล้า ให้รีบนำเหล้ามาให้โดยเร็ว โดยตนเองจะรีบไปอาสาแผ่นดิน เพื่อปราบโจรโพกผ้าเหลือง เล่าปี่นั่งสังเกตลักษณะท่าทางของชายผู้นั้นอยู่ก็เห็นว่า เป็นชายร่างสูงใหญ่ หน้าแดง ดวงตาเรียวยาว เข้าลักษณะที่ดี น่าจะทำความรู้จักไว้ เล่าปี่จึงเข้าไปชวน ชายผู้นั้นมาร่วมวงสุราด้วยกัน
"เราชื่อกวนอู" ชายผู้มาใหม่รายงานตัว หรือ อีกชื่อหนึ่งคือ หุนเตี๋ยง ( มีหลายชื่อคล้ายๆกับคนแถวๆนี้ที่เวลาไปจีบนักร้องจะใช้ชื่ออื่นๆ ที่ไม่ใช่ชื่อตัวเอง) ประวัติส่วนตัวก็เป็นคนเรียบร้อย บ้านเดิมอยู่ที่เมือง ฮอตั๋งไกเหลียง ในเมืองที่อยู่ มีคนๆหนึ่ง ถือว่าตนเองมีทรัพย์สินมาก มีพวกเยอะ จะรุกที่ดินสาธารณะ จะบุกป่าสงวน หรือจะข่มเหงชาวบ้าน อย่างไรก็ได้ เราทนไม่ได้จึงจัดการ ฆ่าเสีย แล้วหนีออกมาท่องเที่ยวไปตามเมืองต่างๆ จนได้มาเห็น จดหมายน้อยปิดอยู่ที่หน้าประตู เลยเข้ามาเพื่อจะสมัครไปเป็นทหารอาสา
เล่าปี่จึงแจ้งแก่กวนอูว่า ท่านคิดเช่นเดียวกับเราทั้งสอง ดังนั้นขอเชิญท่านทั้งสองไปที่บ้านเราเถิด เพื่อที่จะได้เตรียมการณ์ใดๆ เพื่ออาสาแผ่นดินกันต่อไป เล่าปี่พาทั้งสองคนเข้ามาที่สวนหลังบ้านอันเป็นที่สงบเงียบ มีดอกยี่โถ บานอยู่มากมาย ทั้งสามเห็นพ้องต้องกันว่า ถ้าจะทำการณ์ใหญ่ เราควรมาสาบานปฏิญาณตนต่อเทวดา ว่าจะไม่หักหลังกัน เวลาที่เป็นใหญ่หรือ ถีบหัวส่งเวลาที่มีผลประโยชน์เหมือนนักการเมืองในประเทสทางตอนใต้ของจีน ดังนั้นทั้งสามก็ชวนกันไปที่บ้านเตียวหุยกันก่อน เพื่อที่จะไปเอาเครื่องเซ่นบูชาเทวดา
เตียวหุยจัดเอาม้าขาว ควายดำ และข้าวของทั้งปวงมาจัดพิธีที่สวนดอกไม้บ้านเล่าปี่ จุดธูปเทียนบูชา เทวดา แล้วตั้งสัตย์สาบานว่าจะเป็นพี่น้องกันจนวันตาย จะช่วยกันทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เป็นสุข จะไม่ทิ้งกันจนวันตาย ถ้าใครไม่ซื่อสัตย์ขอให้เทวดาลงโทษได้ทันที (โดยไม่ต้องรอศาลรัฐธรรมนูญตีความ) และตามอายุทำให้เล่าปี่เป็นพี่เอื้อย กวนอูเป็นน้องกลาง เตียวหุย เป็นน้องสุดท้อง
เมื่อสาบานกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งสามก้เริ่มจัดตั้งกองกำลังของตัวเองทันที จัดเตรียมอุปกรณ์ อาวุธ เสบียงอาหาร นับรวมไพร่พลได้ สามร้อยเศษ ขาดแต่พาหนะที่จะใช้ทำศึก นั่นก็คือ ม้า ทั้งสามช่วยกันคิดหา ม้า รวมทั้งบอกกล่าวไปยังบ้านเมืองใกล้เคียงว่าที่นี่ขาดแคลนม้า ต้องการผู้สนับสนุนด่วน แต่สุดท้ายก็ยังหาไม่ได้ บางเมืองก็ตอบมาว่า เดี่ยวนี้ม้า ไม่มีแล้ว ท่านผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งตอนมีอำนาจ สร้างผลงานสุดยอดให้กับบ้านเมือง ด้วยการเปลี่ยนชื่อ ยาม้า เป็น ยาบ้า ไปซะแล้ว ( ด้วยความสัตย์ ทั้งชีวิตผมไม่เคยจดจำผลงานของท่านผู้นี้ได้เลย นอกจากเรื่องนี้ )
ดังนั้นสามพี่น้องจึงยังต้องดิ้นรนหาม้า กันต่อไป แต่แล้วเหมือนโชคช่วย เทวดาหนุนส่ง มีพ่อค้าม้าสองคน ชื่อ เตียวสิเผง กับ เล่าสง ต้อนม้าเข้ามาในเมือง แล้วบอกกับเล่าปี่ว่า ทั้งสองเป็นพ่อค้าม้ามาหลายปี แต่ปีนี้ออกไปค้าม้าไม่ได้ เนื่องจากขายสู้เจ้าหน้าที่ไม่ได้..(ไม่ใช่แล้ว) เนื่องจากพบโจรกลางทางไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ เล่าปี่จึงชักชวนทั้งสองเข้าไปในบ้าน ตั้งโต๊ะ เลี้ยงข้าวเลี้ยงสุราอย่างเต็มที่
และเมื่อพ่อค้าม้า ได้ทราบความคิดของ เล่าปี่ กวนอู และเตียวหุย แล้วก็ชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง บอกว่าทั้งสามนั้นคิดเหมือนกันกับทั้งสองดังนั้นจึงยกม้า ห้าสิบตัว กับเงิน ห้าร้อยตำลึง เหล็กร้อยหาบ ให้กับกองกำลังของเล่าปี่ เล่าปี่เมื่อได้เหล้กมาแล้ว ก็หาช่างเหล็กฝีมือดีมาตีกระบี่ สำหรับถือ สองเล่ม กวนอูได้ง้าว ยาวสิบเอ็ดศอก หนักแปดสิบสองชั่ง ส่วนเตียวหุยได้ทวนยาวสิบศอก หนักแปดสิบห้าชั่ง ( เตียวหุยสั้นกว่ากวนอู แต่ใหญ่กว่านิดนึง) นอกจากนี้ยังทำเกราะ อานม้าสำหรับออกรบและเข้าไปเกลี่ยกล่อมชาวบ้านมาเพิ่มจนได้กำลังถึง ห้าร้อยคน
เมื่อมีกองกำลัง มีอาวุธ มีเงิน จะเข้าไปหาใคร ก็มีแต่คนต้อนรับ อยากให้เป็นหัวคะแนนให้ทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ต่อมา เจาเจ้ง จะพาทีมงานเล่าปี่เข้าไปพบ เล่าเอี๋ยน ที่เป็นเจ้าเมืองในขณะนั้น เมื่อสอบถามกันแล้ว เล่าเอี๋ยนรู้ว่า แซ่เล่า เหมือนกัน จึงรับเล่าปี่ไว้เป็นหลานชาย
พูดถึงเรื่องนี้ เล่าปี่อยู่ที่เมืองนี้มานาน เรียนหนังสือ ทำงานทำมาหากินอยู่นาน ติดแต่ว่า จน ไม่มีฐานะ ดังนั้นจึงไม่ได้มีโอกาสนับญาติกับเจ้าเมือง แต่พอ มีพรรคพวก มีกองกำลัง มีอาวุธ มีเงิน อยู่ดีๆก็ได้เป็นหลานชายเจ้าเมืองซะงั้น.. เหมือนกันทุกยุคทุกสมัยจริงๆเลยครับ
ไว้มาเล่าต่อในโอกาสหน้านะครับ
นภดล มณีวัต 11/7/2553
ต้นฉบับ http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=16105.0
เล่าปี่เมื่อเห็นชาวบ้านออกไปเป็น "จีนมุง" อยู่ที่หน้าประตูเมือง ก็ออกไปดูกับเขาด้วยและได้อ่านข้อความในประกาศที่ติดอยู่ที่หน้าประตู อ่านไปอ่านมาก็ ถอนหายใจออกมา เล่าปี่คงจะถอนหายใจมากมายจนถึงขั้นเกือบจะปิดบัญชี จนทำให้ดังไปถึงชาย รางใหญ่ ตากลมโต คางใหญ่ ที่ยืนอยู่ด้านหลัง ชายผู้นั้น มีเสียงที่ดังปานฟ้าร้อง กิริยาดังม้าควบ เมื่อได้ยินเล่าปี่ถอนหายใจก็ถามขึ้นว่า
"ถอนหายใจทำไม" "เป็นชายชาติทหารไม่คิดช่วยชาติแล้วจะมาถอนหายใจทำไม"
เล่าปี่ซึ่งเป็นผู้มีสติปัญญาดีเลิศ ผู้ซึ่งมีสติปัญญาหลักแหลม ก็พลิกสถานการณ์ ที่จะต้องตอบคำถาม กลับเป็นผู้ถามแทน "ท่านละชื่ออะไร"
ชายผู้นั้นจึงตอบว่า ข้าชื่อ "เตียวหุย เอ๊กเต๊ก" อยู่บ้านตุ๊นก้วน มีทรัพย์สินมากมาย จัดได้ว่ามีฐานะร่ำรวยเลยทีเดียว มีกิจการมากมาย ร้านสุกร สุรา มีหมด ขาดแต่ดาวเทียม ที่ตอนนั้นประมูลมาทำไม่ได้ด้วยไม่มีเส้นสายภายในเหมือนใครบางคน แต่ถึงเราจะไม่ได้อยู่ในแวดวงโทรคมนาคม แต่เราก็มีจิตใจที่กว้างขวาง รักที่จะคบเพื่อนฝูงที่มีสติปัญญา ยิ่งวันนี้ข้ามายืนอยู่นานแล้ว ไม่เห็นใครเลยที่จะใส่ใจกับเรื่องบ้านเรื่องเมือง เพิ่งเห็นท่านเป็นคนแรกที่อ่านจดหมายน้อย ที่หน้าประตูแล้วมีอาการ จึงอยากจะสอบถามว่าท่านคิดเห็นเป็นประการใด
เล่าปี่จึงตอบว่า "เราเป็นเชื้อสายพระเจ้า ฮั่นเกงเต้ ในราชวงศ์ พระเจ้าฮั่นโกโจ ได้ยินข่าวว่า โจรโพกผ้าเหลือง มาทำร้ายคุกคามแผ่นดิน เลยคิดอาสาจะไปปราบโจร แต่ขัดสนว่า ข้ามันจน ไม่มีงบประมาณทั้ง งบประมาณแผ่นดิน งบลับ หรือ งบใต้โต๊ะ อย่างข้าราชการในประเทศแถวๆด้านล่างๆของเมืองจีนใช้กัน ดังนั้นจึงได้แต่ ถอนหายใจระบายอารมณ์เท่านั้น
เตียวหุยจึงว่า เรื่องเงินไม่ต้องห่วง เรามีเยอะเดี๋ยวเราจะให้งบท่านไปใช้เอง แต่ท่านต้องรับปากข้าว่าท่านจะไม่ใช้ผิดประเภทนะ เพราะถ้าท่านนำเงินบริจาคของข้าไปใช้ผิดวัตถุประสงค์ แล้วถูก กกต ชี้มูลความผิดแล้วละก็..ความผิดถึงขั้นยุบพรรคเลยนะ
เล่าปี่ก็บอกว่า ท่านไม่ต้องห่วงข้าหรอก ถึงแม้ว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น ข้าก็ปลอดภัยไม่มีปัญหาอยู่แล้ว เพราะข้าจะให้ กรรมการบริหารพรรค ดำเนินการแทน... ดังนั้นทั้งสองคนจึงชักชวนกันเข้าไปหาสุรามานั่งกิน นั่งคุย วางแผนกันว่าจะเอาอย่างไรกันต่อไปดี
ขระที่เริ่มตั้งวงดื่มไปได้ไม่นาน ดื่มไปคนละนิดแบบว่าไม่ต้องกลัวเครื่องตรวจแอลกอฮอร์ ตามข้างทาง ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามาในร้านเหล้า แล้วตะโกนบอกคนขายเหล้า ให้รีบนำเหล้ามาให้โดยเร็ว โดยตนเองจะรีบไปอาสาแผ่นดิน เพื่อปราบโจรโพกผ้าเหลือง เล่าปี่นั่งสังเกตลักษณะท่าทางของชายผู้นั้นอยู่ก็เห็นว่า เป็นชายร่างสูงใหญ่ หน้าแดง ดวงตาเรียวยาว เข้าลักษณะที่ดี น่าจะทำความรู้จักไว้ เล่าปี่จึงเข้าไปชวน ชายผู้นั้นมาร่วมวงสุราด้วยกัน
"เราชื่อกวนอู" ชายผู้มาใหม่รายงานตัว หรือ อีกชื่อหนึ่งคือ หุนเตี๋ยง ( มีหลายชื่อคล้ายๆกับคนแถวๆนี้ที่เวลาไปจีบนักร้องจะใช้ชื่ออื่นๆ ที่ไม่ใช่ชื่อตัวเอง) ประวัติส่วนตัวก็เป็นคนเรียบร้อย บ้านเดิมอยู่ที่เมือง ฮอตั๋งไกเหลียง ในเมืองที่อยู่ มีคนๆหนึ่ง ถือว่าตนเองมีทรัพย์สินมาก มีพวกเยอะ จะรุกที่ดินสาธารณะ จะบุกป่าสงวน หรือจะข่มเหงชาวบ้าน อย่างไรก็ได้ เราทนไม่ได้จึงจัดการ ฆ่าเสีย แล้วหนีออกมาท่องเที่ยวไปตามเมืองต่างๆ จนได้มาเห็น จดหมายน้อยปิดอยู่ที่หน้าประตู เลยเข้ามาเพื่อจะสมัครไปเป็นทหารอาสา
เล่าปี่จึงแจ้งแก่กวนอูว่า ท่านคิดเช่นเดียวกับเราทั้งสอง ดังนั้นขอเชิญท่านทั้งสองไปที่บ้านเราเถิด เพื่อที่จะได้เตรียมการณ์ใดๆ เพื่ออาสาแผ่นดินกันต่อไป เล่าปี่พาทั้งสองคนเข้ามาที่สวนหลังบ้านอันเป็นที่สงบเงียบ มีดอกยี่โถ บานอยู่มากมาย ทั้งสามเห็นพ้องต้องกันว่า ถ้าจะทำการณ์ใหญ่ เราควรมาสาบานปฏิญาณตนต่อเทวดา ว่าจะไม่หักหลังกัน เวลาที่เป็นใหญ่หรือ ถีบหัวส่งเวลาที่มีผลประโยชน์เหมือนนักการเมืองในประเทสทางตอนใต้ของจีน ดังนั้นทั้งสามก็ชวนกันไปที่บ้านเตียวหุยกันก่อน เพื่อที่จะไปเอาเครื่องเซ่นบูชาเทวดา
เตียวหุยจัดเอาม้าขาว ควายดำ และข้าวของทั้งปวงมาจัดพิธีที่สวนดอกไม้บ้านเล่าปี่ จุดธูปเทียนบูชา เทวดา แล้วตั้งสัตย์สาบานว่าจะเป็นพี่น้องกันจนวันตาย จะช่วยกันทำนุบำรุงบ้านเมืองให้เป็นสุข จะไม่ทิ้งกันจนวันตาย ถ้าใครไม่ซื่อสัตย์ขอให้เทวดาลงโทษได้ทันที (โดยไม่ต้องรอศาลรัฐธรรมนูญตีความ) และตามอายุทำให้เล่าปี่เป็นพี่เอื้อย กวนอูเป็นน้องกลาง เตียวหุย เป็นน้องสุดท้อง
เมื่อสาบานกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งสามก้เริ่มจัดตั้งกองกำลังของตัวเองทันที จัดเตรียมอุปกรณ์ อาวุธ เสบียงอาหาร นับรวมไพร่พลได้ สามร้อยเศษ ขาดแต่พาหนะที่จะใช้ทำศึก นั่นก็คือ ม้า ทั้งสามช่วยกันคิดหา ม้า รวมทั้งบอกกล่าวไปยังบ้านเมืองใกล้เคียงว่าที่นี่ขาดแคลนม้า ต้องการผู้สนับสนุนด่วน แต่สุดท้ายก็ยังหาไม่ได้ บางเมืองก็ตอบมาว่า เดี่ยวนี้ม้า ไม่มีแล้ว ท่านผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งตอนมีอำนาจ สร้างผลงานสุดยอดให้กับบ้านเมือง ด้วยการเปลี่ยนชื่อ ยาม้า เป็น ยาบ้า ไปซะแล้ว ( ด้วยความสัตย์ ทั้งชีวิตผมไม่เคยจดจำผลงานของท่านผู้นี้ได้เลย นอกจากเรื่องนี้ )
ดังนั้นสามพี่น้องจึงยังต้องดิ้นรนหาม้า กันต่อไป แต่แล้วเหมือนโชคช่วย เทวดาหนุนส่ง มีพ่อค้าม้าสองคน ชื่อ เตียวสิเผง กับ เล่าสง ต้อนม้าเข้ามาในเมือง แล้วบอกกับเล่าปี่ว่า ทั้งสองเป็นพ่อค้าม้ามาหลายปี แต่ปีนี้ออกไปค้าม้าไม่ได้ เนื่องจากขายสู้เจ้าหน้าที่ไม่ได้..(ไม่ใช่แล้ว) เนื่องจากพบโจรกลางทางไม่สามารถเดินทางต่อไปได้ เล่าปี่จึงชักชวนทั้งสองเข้าไปในบ้าน ตั้งโต๊ะ เลี้ยงข้าวเลี้ยงสุราอย่างเต็มที่
และเมื่อพ่อค้าม้า ได้ทราบความคิดของ เล่าปี่ กวนอู และเตียวหุย แล้วก็ชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง บอกว่าทั้งสามนั้นคิดเหมือนกันกับทั้งสองดังนั้นจึงยกม้า ห้าสิบตัว กับเงิน ห้าร้อยตำลึง เหล็กร้อยหาบ ให้กับกองกำลังของเล่าปี่ เล่าปี่เมื่อได้เหล้กมาแล้ว ก็หาช่างเหล็กฝีมือดีมาตีกระบี่ สำหรับถือ สองเล่ม กวนอูได้ง้าว ยาวสิบเอ็ดศอก หนักแปดสิบสองชั่ง ส่วนเตียวหุยได้ทวนยาวสิบศอก หนักแปดสิบห้าชั่ง ( เตียวหุยสั้นกว่ากวนอู แต่ใหญ่กว่านิดนึง) นอกจากนี้ยังทำเกราะ อานม้าสำหรับออกรบและเข้าไปเกลี่ยกล่อมชาวบ้านมาเพิ่มจนได้กำลังถึง ห้าร้อยคน
เมื่อมีกองกำลัง มีอาวุธ มีเงิน จะเข้าไปหาใคร ก็มีแต่คนต้อนรับ อยากให้เป็นหัวคะแนนให้ทั้งนั้น ดังนั้นจึงไม่แปลกที่ต่อมา เจาเจ้ง จะพาทีมงานเล่าปี่เข้าไปพบ เล่าเอี๋ยน ที่เป็นเจ้าเมืองในขณะนั้น เมื่อสอบถามกันแล้ว เล่าเอี๋ยนรู้ว่า แซ่เล่า เหมือนกัน จึงรับเล่าปี่ไว้เป็นหลานชาย
พูดถึงเรื่องนี้ เล่าปี่อยู่ที่เมืองนี้มานาน เรียนหนังสือ ทำงานทำมาหากินอยู่นาน ติดแต่ว่า จน ไม่มีฐานะ ดังนั้นจึงไม่ได้มีโอกาสนับญาติกับเจ้าเมือง แต่พอ มีพรรคพวก มีกองกำลัง มีอาวุธ มีเงิน อยู่ดีๆก็ได้เป็นหลานชายเจ้าเมืองซะงั้น.. เหมือนกันทุกยุคทุกสมัยจริงๆเลยครับ
ไว้มาเล่าต่อในโอกาสหน้านะครับ
นภดล มณีวัต 11/7/2553
ต้นฉบับ http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=16105.0
ครูบนดอย ธารทิพย์ ถาวรศิริ
ครูบนดอย
นานแค่ไหนแล้วก็จำไม่ได้ที่ผมไม่ยินเสียงเพลงครูบนดอย จากน้ำเสียงของ ธารทิพย์ ถาวรศิริต้นฉบับดั้งเดิม ที่ผมเคยฟังในสมัยเด็ก เพลงนี้ผมจำได้ว่าในตอนนั้นดังมาก ตอนนั้นผมอายุประมาณ 10 ปีเห็นจะได้ แต่ผมก็สามารถร้องเพลงนี้ตามได้บ้างในบางช่วงบางตอน อย่างท่อนที่ว่า "ครูบนดอย ดุจแสงหิ่งห้อยกลางป่า..."และเพลงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำทางด้านเสียงเพลงของผมเพลงหนึ่งเลยทีเดียว
วันนี้ผมกลับมาจากงานศพคุณพ่อของอาจารย์ที่สอนผมในสมัยเรียนเทคนิค ซึ่งคุณพ่อของอาจารย์ก็เป็นครูเช่นกันครับ ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เวลาที่ผมไปนั่งคุยกับท่าน ท่านจะแทนตัวเองว่าครูตลอดเวลาซึ่งน่าจะมาจากสามัญสำนึกและจิตวิญญาณของคำว่าครูที่ท่านยึดถือและปฏิบัติมาทั้งชีวิต วันนี้ในขณะที่ผมนั่งฟังพระสวดพระอภิธรรม ใจผมก็คิดถึงเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับครูของผมในแต่ละช่วงของชีวิต ครูที่เป็นผู้ให้วิชาความรู้ มีความรักความเมตตากับลูกศิษย์โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ไม่ต้องสนใจว่าเด็กคนนี้เป็นลูกใคร พ่อแม่ จะจนหรือร่ำรวย
ผมเรียนหนังสือชั้นประถมตามเกณฑ์ที่กฏหมายกำหนด เรียงลำดับไปตามขั้นตอนและระดับชั้นในสมัยนั้น ไม่มีการเข้าเรียนเตรียมอนุบาลหรืออนุบาล 1,2,3 ดังเช่นเด็กๆในสมัยนี้ และที่ผมรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆก็คือ ผมได้ใช้คำว่าครูอย่างสนิทใจ คุณครูที่สอนก็ทำหน้าที่แม่พิมพ์ของชาติได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องใดๆ อบรมสั่งสอนนักเรียนในทุกๆด้านทั้งวิชาความรู้และศิลธรรม ดังนั้นวันนี้เมื่อผมได้เข้าไปนั่งอยู่ในงานศพของคุณครูที่มีลูกศิษย์ เคารพบูชามากที่สุดคนหนึ่ง ผมจึงคิดถึงแต่เรื่องพระคุณของครู ตลอดเวลาจนผมกลับมาถึงบ้าน
และจะด้วยความบังเอิญหรือโชคดีก็ไม่ทราบได้ วันนี้ผมได้ฟังเพลงประทับใจในวัยเด็กของผมอีกครั้ง เพลงที่ผมได้ยินได้ฟังและชื่นชอบในวัยเด็ก เพลงที่ขับร้องโดย นักร้องคนเดิมที่สุ้มเสียงยังไพเราะน่าฟังเช่นเดิม ยังมีความเป็นศิลปินอยู่อย่างเต็มตัว ยังขับร้องเพลงด้วยความสุขสดชื่นสดใสเช่นเดิม นั่นก็คือ คุณธารทิพย์ ถาวรศิริ เจ้าของผลงานเพลง "ครูบนดอย" ที่ใครหลายๆคนทั้งลุงป้าน้าอารวมทั้งคนที่อายุอานามใกล้ๆกันกับผมชื่นชอบ
เพลงครูบนดอย มีคนนำมาขับร้องกันกี่คนผมเองก็ไม่ทราบได้ แต่ที่ผมจำได้ ก็คือ คุณยอดรัก สลักใจ และเหมียว จินตนา แต่ผลงานของทั้งสองท่านผมฟังกี่ครั้งๆก็ไม่ทำให้ความคิดถึงเสียงร้องของคุณธารทิพย์ ถาวรศิริ จางหายไปจากความรู้สึกของผมได้เลย จนกระทั่งวันนี้ วันที่ผมได้เห็นภาพวีดีโอจาก ยูทูป ผมได้เห็นหน้าตาจริงๆของนักร้องที่ผมชื่นชอบเป็นครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจริงๆเลยครับผมไม่เคยคิดว่า นักร้องที่เคยขับร้องเพลงให้ผมฟังในสมัยเด็ก จะสวยขนาดนี้ ความรู้สึกของผมเหมือนกับการได้เจอผู้หญิงซักคนที่ถูกใจไปหมดทุกอย่าง สวย เสียงดี และที่สำคัญ เพลงที่เธอขับร้องเป็นเพลงที่ผมประทับใจมากว่ายี่สิบปี
ขอบคุณภาพและเสียงจาก www.lugtunglaithai.com ครับ
ผมนั่งดูวีดีโอเพลงนี้อยู่หลายรอบมากๆ ผมชอบผู้หญิงลักษณะแบบนี้มากๆ หรือจะเรียกว่า สเป็ค เลยทีเดียวครับ เป็นผู้หญิงที่อาจจะไม่ได้สวยแบบนางงาม แต่ดูยังไงก็ไม่เบื่อ ยิ่งเวลาที่เธอร้องเพลง เธอจะใช้สายตาและท่าทางสะกดผู้ฟังผู้ชมได้อย่างยอดเยี่ยม เวลาที่ได้ชมเวลาที่เธอร้องเพลง จะรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่ในความฝันกันเลยทีเดียว
เพลงครูบนดอยเพลงนี้เป็นเพลงที่เล่าเรื่องราวของครูที่ทำงานในพื้นที่ห่างไกลได้เป็นอย่างดี ทั้งคำร้อง ทำนอง ก็ไพเราะ คนร้องมีเสียงที่เหมาะมากๆกับเพลงนี้ เป็นเพลงที่สมควรยกย่องให้เป็นเพลงที่มีคุณค่า เป็นเพลงอมตะอีกหนึ่งเพลงของเมืองไทย เพลงที่สร้างสรรค์สังคมแบบนี้น่าจะมีการเผยแพร่กันให้มากๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับครูที่กำลังทำหน้าที่อยู่ในส่วนต่างๆของประเทศไทย ครูที่สอนเด็กด้วยหัวใจมากกว่าผลงานทางวิชาการและขั้นเงินเดือนอย่างเช่นทุกวันนี้
มีน้องสาวคนหนึ่งที่ผมรู้จัก เคยบอกกับผมว่า "เมื่อเรียนจบ ความฝันสูงสุดคือ อยากไปทำงานเป็นครูสอนเด็กบนดอย" ถ้านับถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสองปีกว่าแล้วที่น้องสาวคนนั้นบอกกับผมไว้แบบนี้ ผมจะรอให้ถึงวันที่เธอเรียนจบ และแอบภาวนาในใจว่า ให้เธอได้ทำในสิ่งที่เธอฝันไว้ แต่จะต้องไม่ลำบากยากเข็ญอย่างเช่นในเพลงที่ผมกำลังฟังอยู่
ขอให้ในช่วงเวลาที่เธอเรียนจบ ความคิดความฝันที่สวยงามเหล่านี้จะไม่จางหายไป ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ที่ด้อยโอกาสจะยังคงอยู่ในใจของเธอ อย่าให้สิ่งต่างๆที่กำลังบั่นทอนสังคมไทยในทุกวันนี้มาทำลายความบริสุทธิ์ในใจของเธอได้ และเมื่อถึงวันนั้นผมจะมาบอกครับว่าน้องสาวที่น่ารักคนนั้นเป็นใคร
กลับมาที่นักร้องคนสวยเสียงดีของผมกันต่อดีกว่าครับ ผมพยายามหาข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับนักร้องท่านนี้อยู่นานพอสมควรแต่ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรมากมายนัก คงต้องขอความช่วยเหลือ จากน้องน็อต ไอ้หนุ่มลูกทุ่งจาก www.siamsouth.com มาช่วยหาข้อมูลซะแล้ว ส่วนน้องน็อตจะหามาได้ตอนไหนนั้นผมจะมาบอกกันอีกทีนะครับ
เท่าที่พอจะหาข้อมูลมาได้นั้น ธารทิพย์ ถาวรศิริ มาจากการประกวดร้องเพลงในรายการชุมทางคนเด่น ของประจวบ จำปาทอง ที่โด่งดังมากๆในสมัยนั้น เป็นเวทีแจ้งเกิดของนักร้องชื่อดังหลายๆคน เช่น น้ำอ้อย พุ่มสุข และ สุนารี ราชสีมา แต่ทาง ธารทิพย์ ถาวรศิริ ประกวดไปได้ไม่ทันจบรายการก็ถอนตัวออกไปทำงานเพลงเสียก่อน เพราะว่ามีแววที่จะเป็นนักร้องอาชีพได้ ( ข้อมูลส่วนนี้จะพยายามสอบถามจากผู้รู้ท่านอื่นๆว่า จริงหรือไม่) แต่ผมว่าถ้าผมเป็นแมวมองในสมัยนั้นผมก็คงจะเข้าไปชวนคุณธารทิพย์ มาเป็นนักร้องอัดแผ่น เหมือนกันครับ เพราะเธอเสียงดีจริงๆ แถมหน้าตาก็สวย ถูกต้องตามตำราการเป็นนักร้องทุกประการ
วันนี้ผมก็ขออนุญาตนำผลงานเพลง "ครูบนดอย" มาให้ฟังกันนะครับ ฟังไปด้วยนั่งมองหน้าคนร้องไปด้วย ... ช่างมีความสุขอะไรเช่นนี้
นภดล 9/7/2553
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม และฟังเพลงครูบนดอยได้ที่
http://www.bunnarak.com/index.php?topic=286.0
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=16078.0
Promote your blog
นานแค่ไหนแล้วก็จำไม่ได้ที่ผมไม่ยินเสียงเพลงครูบนดอย จากน้ำเสียงของ ธารทิพย์ ถาวรศิริต้นฉบับดั้งเดิม ที่ผมเคยฟังในสมัยเด็ก เพลงนี้ผมจำได้ว่าในตอนนั้นดังมาก ตอนนั้นผมอายุประมาณ 10 ปีเห็นจะได้ แต่ผมก็สามารถร้องเพลงนี้ตามได้บ้างในบางช่วงบางตอน อย่างท่อนที่ว่า "ครูบนดอย ดุจแสงหิ่งห้อยกลางป่า..."และเพลงนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งในความทรงจำทางด้านเสียงเพลงของผมเพลงหนึ่งเลยทีเดียว
วันนี้ผมกลับมาจากงานศพคุณพ่อของอาจารย์ที่สอนผมในสมัยเรียนเทคนิค ซึ่งคุณพ่อของอาจารย์ก็เป็นครูเช่นกันครับ ในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ เวลาที่ผมไปนั่งคุยกับท่าน ท่านจะแทนตัวเองว่าครูตลอดเวลาซึ่งน่าจะมาจากสามัญสำนึกและจิตวิญญาณของคำว่าครูที่ท่านยึดถือและปฏิบัติมาทั้งชีวิต วันนี้ในขณะที่ผมนั่งฟังพระสวดพระอภิธรรม ใจผมก็คิดถึงเรื่องราวต่างๆที่เกี่ยวกับครูของผมในแต่ละช่วงของชีวิต ครูที่เป็นผู้ให้วิชาความรู้ มีความรักความเมตตากับลูกศิษย์โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ไม่ต้องสนใจว่าเด็กคนนี้เป็นลูกใคร พ่อแม่ จะจนหรือร่ำรวย
ผมเรียนหนังสือชั้นประถมตามเกณฑ์ที่กฏหมายกำหนด เรียงลำดับไปตามขั้นตอนและระดับชั้นในสมัยนั้น ไม่มีการเข้าเรียนเตรียมอนุบาลหรืออนุบาล 1,2,3 ดังเช่นเด็กๆในสมัยนี้ และที่ผมรู้สึกดีใจอยู่ลึกๆก็คือ ผมได้ใช้คำว่าครูอย่างสนิทใจ คุณครูที่สอนก็ทำหน้าที่แม่พิมพ์ของชาติได้อย่างไม่ขาดตกบกพร่องใดๆ อบรมสั่งสอนนักเรียนในทุกๆด้านทั้งวิชาความรู้และศิลธรรม ดังนั้นวันนี้เมื่อผมได้เข้าไปนั่งอยู่ในงานศพของคุณครูที่มีลูกศิษย์ เคารพบูชามากที่สุดคนหนึ่ง ผมจึงคิดถึงแต่เรื่องพระคุณของครู ตลอดเวลาจนผมกลับมาถึงบ้าน
และจะด้วยความบังเอิญหรือโชคดีก็ไม่ทราบได้ วันนี้ผมได้ฟังเพลงประทับใจในวัยเด็กของผมอีกครั้ง เพลงที่ผมได้ยินได้ฟังและชื่นชอบในวัยเด็ก เพลงที่ขับร้องโดย นักร้องคนเดิมที่สุ้มเสียงยังไพเราะน่าฟังเช่นเดิม ยังมีความเป็นศิลปินอยู่อย่างเต็มตัว ยังขับร้องเพลงด้วยความสุขสดชื่นสดใสเช่นเดิม นั่นก็คือ คุณธารทิพย์ ถาวรศิริ เจ้าของผลงานเพลง "ครูบนดอย" ที่ใครหลายๆคนทั้งลุงป้าน้าอารวมทั้งคนที่อายุอานามใกล้ๆกันกับผมชื่นชอบ
เพลงครูบนดอย มีคนนำมาขับร้องกันกี่คนผมเองก็ไม่ทราบได้ แต่ที่ผมจำได้ ก็คือ คุณยอดรัก สลักใจ และเหมียว จินตนา แต่ผลงานของทั้งสองท่านผมฟังกี่ครั้งๆก็ไม่ทำให้ความคิดถึงเสียงร้องของคุณธารทิพย์ ถาวรศิริ จางหายไปจากความรู้สึกของผมได้เลย จนกระทั่งวันนี้ วันที่ผมได้เห็นภาพวีดีโอจาก ยูทูป ผมได้เห็นหน้าตาจริงๆของนักร้องที่ผมชื่นชอบเป็นครั้งแรก มันเป็นความรู้สึกที่บอกไม่ถูกจริงๆเลยครับผมไม่เคยคิดว่า นักร้องที่เคยขับร้องเพลงให้ผมฟังในสมัยเด็ก จะสวยขนาดนี้ ความรู้สึกของผมเหมือนกับการได้เจอผู้หญิงซักคนที่ถูกใจไปหมดทุกอย่าง สวย เสียงดี และที่สำคัญ เพลงที่เธอขับร้องเป็นเพลงที่ผมประทับใจมากว่ายี่สิบปี
ขอบคุณภาพและเสียงจาก www.lugtunglaithai.com ครับ
ผมนั่งดูวีดีโอเพลงนี้อยู่หลายรอบมากๆ ผมชอบผู้หญิงลักษณะแบบนี้มากๆ หรือจะเรียกว่า สเป็ค เลยทีเดียวครับ เป็นผู้หญิงที่อาจจะไม่ได้สวยแบบนางงาม แต่ดูยังไงก็ไม่เบื่อ ยิ่งเวลาที่เธอร้องเพลง เธอจะใช้สายตาและท่าทางสะกดผู้ฟังผู้ชมได้อย่างยอดเยี่ยม เวลาที่ได้ชมเวลาที่เธอร้องเพลง จะรู้สึกเหมือนกำลังนั่งอยู่ในความฝันกันเลยทีเดียว
เพลงครูบนดอยเพลงนี้เป็นเพลงที่เล่าเรื่องราวของครูที่ทำงานในพื้นที่ห่างไกลได้เป็นอย่างดี ทั้งคำร้อง ทำนอง ก็ไพเราะ คนร้องมีเสียงที่เหมาะมากๆกับเพลงนี้ เป็นเพลงที่สมควรยกย่องให้เป็นเพลงที่มีคุณค่า เป็นเพลงอมตะอีกหนึ่งเพลงของเมืองไทย เพลงที่สร้างสรรค์สังคมแบบนี้น่าจะมีการเผยแพร่กันให้มากๆ เพื่อเป็นกำลังใจให้กับครูที่กำลังทำหน้าที่อยู่ในส่วนต่างๆของประเทศไทย ครูที่สอนเด็กด้วยหัวใจมากกว่าผลงานทางวิชาการและขั้นเงินเดือนอย่างเช่นทุกวันนี้
มีน้องสาวคนหนึ่งที่ผมรู้จัก เคยบอกกับผมว่า "เมื่อเรียนจบ ความฝันสูงสุดคือ อยากไปทำงานเป็นครูสอนเด็กบนดอย" ถ้านับถึงวันนี้ก็เป็นเวลาสองปีกว่าแล้วที่น้องสาวคนนั้นบอกกับผมไว้แบบนี้ ผมจะรอให้ถึงวันที่เธอเรียนจบ และแอบภาวนาในใจว่า ให้เธอได้ทำในสิ่งที่เธอฝันไว้ แต่จะต้องไม่ลำบากยากเข็ญอย่างเช่นในเพลงที่ผมกำลังฟังอยู่
ขอให้ในช่วงเวลาที่เธอเรียนจบ ความคิดความฝันที่สวยงามเหล่านี้จะไม่จางหายไป ความรักต่อเพื่อนมนุษย์ที่ด้อยโอกาสจะยังคงอยู่ในใจของเธอ อย่าให้สิ่งต่างๆที่กำลังบั่นทอนสังคมไทยในทุกวันนี้มาทำลายความบริสุทธิ์ในใจของเธอได้ และเมื่อถึงวันนั้นผมจะมาบอกครับว่าน้องสาวที่น่ารักคนนั้นเป็นใคร
กลับมาที่นักร้องคนสวยเสียงดีของผมกันต่อดีกว่าครับ ผมพยายามหาข้อมูลต่างๆที่เกี่ยวกับนักร้องท่านนี้อยู่นานพอสมควรแต่ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรมากมายนัก คงต้องขอความช่วยเหลือ จากน้องน็อต ไอ้หนุ่มลูกทุ่งจาก www.siamsouth.com มาช่วยหาข้อมูลซะแล้ว ส่วนน้องน็อตจะหามาได้ตอนไหนนั้นผมจะมาบอกกันอีกทีนะครับ
เท่าที่พอจะหาข้อมูลมาได้นั้น ธารทิพย์ ถาวรศิริ มาจากการประกวดร้องเพลงในรายการชุมทางคนเด่น ของประจวบ จำปาทอง ที่โด่งดังมากๆในสมัยนั้น เป็นเวทีแจ้งเกิดของนักร้องชื่อดังหลายๆคน เช่น น้ำอ้อย พุ่มสุข และ สุนารี ราชสีมา แต่ทาง ธารทิพย์ ถาวรศิริ ประกวดไปได้ไม่ทันจบรายการก็ถอนตัวออกไปทำงานเพลงเสียก่อน เพราะว่ามีแววที่จะเป็นนักร้องอาชีพได้ ( ข้อมูลส่วนนี้จะพยายามสอบถามจากผู้รู้ท่านอื่นๆว่า จริงหรือไม่) แต่ผมว่าถ้าผมเป็นแมวมองในสมัยนั้นผมก็คงจะเข้าไปชวนคุณธารทิพย์ มาเป็นนักร้องอัดแผ่น เหมือนกันครับ เพราะเธอเสียงดีจริงๆ แถมหน้าตาก็สวย ถูกต้องตามตำราการเป็นนักร้องทุกประการ
วันนี้ผมก็ขออนุญาตนำผลงานเพลง "ครูบนดอย" มาให้ฟังกันนะครับ ฟังไปด้วยนั่งมองหน้าคนร้องไปด้วย ... ช่างมีความสุขอะไรเช่นนี้
นภดล 9/7/2553
อ่านรายละเอียดเพิ่มเติม และฟังเพลงครูบนดอยได้ที่
http://www.bunnarak.com/index.php?topic=286.0
http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=16078.0
Promote your blog
วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ศาลพระภูมิที่เมืองตรัง
วันนี้ ผมต้องเดินทางไกลอีกครั้งเพื่อไปร่วมงานศพพ่อของเพื่อนที่ตรัง เพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนสมัยเรียน ปวส ที่วิทยาลัยเทคนิคสุราษฎร์ธานี และก็เป็นเพื่อร่วมงานของผมในปัจจุบันนี้ด้วย ผมสนิทกับครอบครัวนี้พอสมควรเพราะทุกครั้งที่เราแวะไปทำงานที่ตรังเราจะต้องมากินข้าวที่บ้านนี้แทบทุกครั้ง ผมออกเดินทางจากสุราษฎร์ธานีไปเรื่อยๆ โดยขับรถล่วงหน้ากันไปก่อนสองคัน เมื่อเข้าเขตพื้นที่อำเภอทุ่งสงจังหวัดนครศรีธรรมราช ผมก็กดโทรศัพท์ไปหาเพื่อนที่อยู่อำเภอห้วยยอด เพื่อแจ้งข่าวเรื่องการเสียชีวิตของพ่อเพื่อนคนนี้
"รู้ข่าวพ่อเจ้าน้อยเสียหรือยัง"
"ยังเลยยังไม่มีใครบอกเลย"
"อ๋อ เมื่อคืนเพิ่งจัดงาน ศพเพิ่งมาถึง เพราะพ่อเสียที่ มอ หาดใหญ่"
"แล้วเข้างานวันไหน"
"ก็วันนี้แหละ แต่เมื่อคืนก็น่าจะสวดแล้วนะ"
"งั้นก็เผาพรุ่งนี้แล้วสิ"
"เผาวันศุกร์หน้า"
"เผาศุกร์หน้าแล้วเข้างานวันนี้ได้ไงต้องเข้างานอาทิตย์หน้าสิ"
ผมเริ่มงงกับคำถามของเพื่อนคนนี้ เลยตัดบทบอกว่า งั้นเดี๋ยวเข้าไปเจอกันที่งานศพที่ในตัวเมืองตรังก็แล้วกันจะได้คุยกันง่ายๆหน่อย เพราะผมเองก็เริ่มสับสนกับคำถามของเพื่อนคนนี้เช่นกัน "อะไรของมันวะ เข้างานวันไหน" ผมเก็บความสงสัยไว้ในใจเงียบๆ ก่อนที่จะขับรถต่อไปจนถึงบ้านที่จัดงานศพ
ที่บ้านงานศพ ผมทักทายเจ้าภาพ และเพื่อนๆที่มาจากหาดใหญ่ที่มานั่งกินข้าวกันอยู่ก่อน พร้อมทั้งหันไปถามเจ้าเอก เพื่อนที่มาด้วยกันว่า "ไหนไอ้จอกมันบอกว่า เข้างานอาทิตย์หน้าวะ นี่ก็เห็น มีเตนท์ มีกับข้าวมากมาย มีเลี้ยงข้าวกันอยู่นี่หว่า"
หลังจากผมกินข้าวที่งานพอเป็นพิธี ( สองจานใหญ่) ผมก็ได้นั่งคุยกับพี่พร พี่สาวของเจ้าน้อยเพื่อนผมที่เป็นเจ้าภาพงานนี้
"นี่ถ้าว่าง วันพุธนี้เข้ามาด้วยนะมาช่วยงานหน่อย มานอนที่นี่ก็แล้วกัน"
"ทำไมต้องวันพุธละครับ ก็เผาวันศุกร์ มาวันพฤหัสก็น่าจะทันนี่นา"
"เผาวันศุกร์ก็เข้างาน วันพุธกับพฤหัสไง"
เมื่อเห็นผมทำหน้างงๆ ไอ้จอกที่เพิ่งเข้ามาถึงในงานก็เริ่มอธิบายให้ผมฟังว่า
"ที่นี่วันจัดงานก็จัดกันปกติ กลางคืนก็เลี้ยงน้ำชา กาแฟ ขนม ทั่วๆไป แต่ที่เรียกว่า "วันเข้างาน" ก็คือวันก่อนวันเผา สองวัน ในวันเข้างานนั้นจะมีคนมามากมาย เอาซองมาช่วยงานกันในสองวันสุดท้าย แล้วทางเจ้าภาพก็จะทำกับข้าวมากกว่าปกติไว้เลี้ยงแขกที่จะมากันมากมายใน วันเข้างาน
เมื่อก่อนเวลาที่บ้านไหนมีงานศพ ก็จะพิมพ์ใบประกาศ เอาไปติดไว้ตามที่ชุมชน อย่างร้านกาแฟตอนเช้าเพื่อที่จะได้บอกข่าวต่อๆกันไป แต่เดี๋ยวนี้มันน้อยลงแล้วเพราะโทรศัพท์บอกข่าวกันเร็วกว่ามาก
อ๋อ.. ก็ที่บ้านผมไม่ได้เรียกแบบนี้นี่นา ที่บ้านผมถ้าเป็นงานศพก็จะเลี้ยงแขกกันทุกวัน ทั้งกลางวันกลางคืน ใครมางานก็จะเอาซองมาช่วยงานทุกวัน ไม่ได้แบ่งเป็นวันธรรมดาหรือวันเข้างานแบบที่ตรังเลย ... เกิดมาจนอายุปูนนี้ก็เพิ่งได้รู้เรื่องวันเข้างาน ของคนตรังก็วันนี้เองครับ
ผมกินข้าวอิ่มแล้วก็เริ่มหามุมสงบๆส่วนตัวเอนหลังแป๊บนึง ตามประสาเด็กกำลังกินกำลังนอน นอนไปพลางมองดูสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวไปพลาง ผมก็ได้เห็นภาพสวยๆงามๆ ที่ประทับใจมากมาย ผมเห็นลุงคนนึงขับรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง เข้ามาจอดที่หน้าบ้าน แล้วเรียกเพื่อนผมออกไป เอาถั่วฝักยาวมัดใหญ่ ที่แกเอามาช่วยงาน ผมเห็นป้าคนนึงเดินหิ้วหมากถุงใหญ่มาให้ โดยไม่ได้มีการตีราคาออกมาเป็น กระดาษ ที่เราเรียกว่าเงินเลย มันเป็นน้ำจิตน้ำใจที่หาได้ยากในสังคมเมืองใหญ่ๆ แต่ที่นี่มันยังมีอยู่มากจนล้นเหลือภาพที่เห็นการทักทายกัน ระหว่างคนรู้จัก ป้ากอดหลาน ทักทายแขกที่มาเคารพศพ มันดูเป็นธรรมชาติที่น่าประทับใจ ผมแอบเก็บความรู้สึกนี้ไว้ในใจเงียบๆ จนกระทั่งสายตาที่ซุกซนของผมไปสะดุดตากับสิ่งนี้ครับ
ด้วยความสงสัยผมเลยเดินเข้าไปถามไอ้จอกอีกครั้ง ว่า เอาผ้าขาวไปคลุมศาลพระภูมิทำไม
"ที่บ้านมึงไม่คลุมเหรอ"
"ไม่คลุม ... เพิ่งเคยเห็นที่นี่แหละ"
"ที่นี่จะคลุมผ้าขาวที่ศาลพระภูมิ บางบ้านจะคลุมที่หิ้งพระด้วย น่าจะเป็นความเชื่อที่ว่า เวลาคนตายกลับมาที่บ้าน สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จะได้มองไม่เห็น วิญญาณคนตายจะได้มาอยู่กับลูกกับหลานได้อีกซักช่วงหนึ่ง หรือจะได้มาทักทายกับแขกที่มาเคารพศพได้"
"อ๋อ.. ผมเริ่มเข้าใจอีกครั้ง แต่ในใจก็ยังคงสงสัยอะไรไปเรื่อยๆตามประสาเด็กที่กำลังอยากรู้อยากเห็น แต่ก็คิดว่า แต่ละพื้นที่มีประเพณีและความเชื่อที่ไม่เหมือนกัน มีการปฏิบัติที่แตกต่างกัน ขนาดว่าผมเคยมาทำงานที่ตรังอยู่ตั้งสองปี แต่เรื่องพวกนี้ผมกลับไม่เคยรู้มาก่อนเลย แล้วแบบนี้ในประเทศไทยของเราจะมีเรื่องราวที่แตกต่างหรือแปลกๆที่ผมยังไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นอีกมากมายอีกขนาดไหนกัน
เมื่อผมกลับถึงบ้านที่สุราษฎร์ธานี ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาเกือบๆตีสองแล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเก็บเรื่องนี้มาบันทึกไว้เสียก่อน กลัวว่าถ้าปล่อยเวลาผ่านไปมากกว่านี้ เดี๋ยวผมจะลืม แล้วปล่อยค้างไว้เหมือนพวกเรื่องต่างๆที่ค้างอยู่หลายเรื่องในตอนนี้ ที่เริ่มโดยทวงบทความจากหลายๆท่านเข้ามาแล้ว อย่างเรื่องภูกระดึงที่ดองมาหก เจ็ด เดือน แล้ว ไหนจะ สามก๊กในความทรงจำ ที่ขาดตอนมานานแล้ว ตอนนี้เห็น ป้านก เริ่มทวงเรื่อง พะงัน เกาะเต่า เข้ามาอีกแล้ว แต่วันพรุ่งนี้ผมมีกำหนดการณ์ว่าจะไปเดินถ่ายภาพและหาข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ที่ไชยา และถ้ากลับมาไม่ดึกมากนัก ผมคงจะได้มีเวลานั่งเขียนเรื่องราวอื่นๆเพิ่มเติมอีกครั้ง
อย่างน้อยการเดินทางไปกลับ ระยะทาง สี่ร้อยกว่ากิโล ของผมในวันนี้ นอกจากการที่ได้ไปเคารพศพของบุคคลที่เคารพนับถือกันเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ผมยังได้ความรู้ที่ไม่เคยได้เรียนในสถาบันการศึกษาใดๆ เพิ่มเข้ามาอีกถึงสองเรื่อง ทั้งเรื่อง "วันเข้างาน" และ "การคลุมศาลพระภูมิ" ถือว่าการเดินทางวันนี้คุ้มค่ามากจริงๆ
นภดล 25/6/2553
"รู้ข่าวพ่อเจ้าน้อยเสียหรือยัง"
"ยังเลยยังไม่มีใครบอกเลย"
"อ๋อ เมื่อคืนเพิ่งจัดงาน ศพเพิ่งมาถึง เพราะพ่อเสียที่ มอ หาดใหญ่"
"แล้วเข้างานวันไหน"
"ก็วันนี้แหละ แต่เมื่อคืนก็น่าจะสวดแล้วนะ"
"งั้นก็เผาพรุ่งนี้แล้วสิ"
"เผาวันศุกร์หน้า"
"เผาศุกร์หน้าแล้วเข้างานวันนี้ได้ไงต้องเข้างานอาทิตย์หน้าสิ"
ผมเริ่มงงกับคำถามของเพื่อนคนนี้ เลยตัดบทบอกว่า งั้นเดี๋ยวเข้าไปเจอกันที่งานศพที่ในตัวเมืองตรังก็แล้วกันจะได้คุยกันง่ายๆหน่อย เพราะผมเองก็เริ่มสับสนกับคำถามของเพื่อนคนนี้เช่นกัน "อะไรของมันวะ เข้างานวันไหน" ผมเก็บความสงสัยไว้ในใจเงียบๆ ก่อนที่จะขับรถต่อไปจนถึงบ้านที่จัดงานศพ
ที่บ้านงานศพ ผมทักทายเจ้าภาพ และเพื่อนๆที่มาจากหาดใหญ่ที่มานั่งกินข้าวกันอยู่ก่อน พร้อมทั้งหันไปถามเจ้าเอก เพื่อนที่มาด้วยกันว่า "ไหนไอ้จอกมันบอกว่า เข้างานอาทิตย์หน้าวะ นี่ก็เห็น มีเตนท์ มีกับข้าวมากมาย มีเลี้ยงข้าวกันอยู่นี่หว่า"
หลังจากผมกินข้าวที่งานพอเป็นพิธี ( สองจานใหญ่) ผมก็ได้นั่งคุยกับพี่พร พี่สาวของเจ้าน้อยเพื่อนผมที่เป็นเจ้าภาพงานนี้
"นี่ถ้าว่าง วันพุธนี้เข้ามาด้วยนะมาช่วยงานหน่อย มานอนที่นี่ก็แล้วกัน"
"ทำไมต้องวันพุธละครับ ก็เผาวันศุกร์ มาวันพฤหัสก็น่าจะทันนี่นา"
"เผาวันศุกร์ก็เข้างาน วันพุธกับพฤหัสไง"
เมื่อเห็นผมทำหน้างงๆ ไอ้จอกที่เพิ่งเข้ามาถึงในงานก็เริ่มอธิบายให้ผมฟังว่า
"ที่นี่วันจัดงานก็จัดกันปกติ กลางคืนก็เลี้ยงน้ำชา กาแฟ ขนม ทั่วๆไป แต่ที่เรียกว่า "วันเข้างาน" ก็คือวันก่อนวันเผา สองวัน ในวันเข้างานนั้นจะมีคนมามากมาย เอาซองมาช่วยงานกันในสองวันสุดท้าย แล้วทางเจ้าภาพก็จะทำกับข้าวมากกว่าปกติไว้เลี้ยงแขกที่จะมากันมากมายใน วันเข้างาน
เมื่อก่อนเวลาที่บ้านไหนมีงานศพ ก็จะพิมพ์ใบประกาศ เอาไปติดไว้ตามที่ชุมชน อย่างร้านกาแฟตอนเช้าเพื่อที่จะได้บอกข่าวต่อๆกันไป แต่เดี๋ยวนี้มันน้อยลงแล้วเพราะโทรศัพท์บอกข่าวกันเร็วกว่ามาก
อ๋อ.. ก็ที่บ้านผมไม่ได้เรียกแบบนี้นี่นา ที่บ้านผมถ้าเป็นงานศพก็จะเลี้ยงแขกกันทุกวัน ทั้งกลางวันกลางคืน ใครมางานก็จะเอาซองมาช่วยงานทุกวัน ไม่ได้แบ่งเป็นวันธรรมดาหรือวันเข้างานแบบที่ตรังเลย ... เกิดมาจนอายุปูนนี้ก็เพิ่งได้รู้เรื่องวันเข้างาน ของคนตรังก็วันนี้เองครับ
ผมกินข้าวอิ่มแล้วก็เริ่มหามุมสงบๆส่วนตัวเอนหลังแป๊บนึง ตามประสาเด็กกำลังกินกำลังนอน นอนไปพลางมองดูสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวไปพลาง ผมก็ได้เห็นภาพสวยๆงามๆ ที่ประทับใจมากมาย ผมเห็นลุงคนนึงขับรถมอเตอร์ไซค์พ่วงข้าง เข้ามาจอดที่หน้าบ้าน แล้วเรียกเพื่อนผมออกไป เอาถั่วฝักยาวมัดใหญ่ ที่แกเอามาช่วยงาน ผมเห็นป้าคนนึงเดินหิ้วหมากถุงใหญ่มาให้ โดยไม่ได้มีการตีราคาออกมาเป็น กระดาษ ที่เราเรียกว่าเงินเลย มันเป็นน้ำจิตน้ำใจที่หาได้ยากในสังคมเมืองใหญ่ๆ แต่ที่นี่มันยังมีอยู่มากจนล้นเหลือภาพที่เห็นการทักทายกัน ระหว่างคนรู้จัก ป้ากอดหลาน ทักทายแขกที่มาเคารพศพ มันดูเป็นธรรมชาติที่น่าประทับใจ ผมแอบเก็บความรู้สึกนี้ไว้ในใจเงียบๆ จนกระทั่งสายตาที่ซุกซนของผมไปสะดุดตากับสิ่งนี้ครับ
ด้วยความสงสัยผมเลยเดินเข้าไปถามไอ้จอกอีกครั้ง ว่า เอาผ้าขาวไปคลุมศาลพระภูมิทำไม
"ที่บ้านมึงไม่คลุมเหรอ"
"ไม่คลุม ... เพิ่งเคยเห็นที่นี่แหละ"
"ที่นี่จะคลุมผ้าขาวที่ศาลพระภูมิ บางบ้านจะคลุมที่หิ้งพระด้วย น่าจะเป็นความเชื่อที่ว่า เวลาคนตายกลับมาที่บ้าน สิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้จะได้มองไม่เห็น วิญญาณคนตายจะได้มาอยู่กับลูกกับหลานได้อีกซักช่วงหนึ่ง หรือจะได้มาทักทายกับแขกที่มาเคารพศพได้"
"อ๋อ.. ผมเริ่มเข้าใจอีกครั้ง แต่ในใจก็ยังคงสงสัยอะไรไปเรื่อยๆตามประสาเด็กที่กำลังอยากรู้อยากเห็น แต่ก็คิดว่า แต่ละพื้นที่มีประเพณีและความเชื่อที่ไม่เหมือนกัน มีการปฏิบัติที่แตกต่างกัน ขนาดว่าผมเคยมาทำงานที่ตรังอยู่ตั้งสองปี แต่เรื่องพวกนี้ผมกลับไม่เคยรู้มาก่อนเลย แล้วแบบนี้ในประเทศไทยของเราจะมีเรื่องราวที่แตกต่างหรือแปลกๆที่ผมยังไม่เคยรู้ไม่เคยเห็นอีกมากมายอีกขนาดไหนกัน
เมื่อผมกลับถึงบ้านที่สุราษฎร์ธานี ถึงแม้ว่าจะเป็นเวลาเกือบๆตีสองแล้วแต่ก็อดไม่ได้ที่จะเก็บเรื่องนี้มาบันทึกไว้เสียก่อน กลัวว่าถ้าปล่อยเวลาผ่านไปมากกว่านี้ เดี๋ยวผมจะลืม แล้วปล่อยค้างไว้เหมือนพวกเรื่องต่างๆที่ค้างอยู่หลายเรื่องในตอนนี้ ที่เริ่มโดยทวงบทความจากหลายๆท่านเข้ามาแล้ว อย่างเรื่องภูกระดึงที่ดองมาหก เจ็ด เดือน แล้ว ไหนจะ สามก๊กในความทรงจำ ที่ขาดตอนมานานแล้ว ตอนนี้เห็น ป้านก เริ่มทวงเรื่อง พะงัน เกาะเต่า เข้ามาอีกแล้ว แต่วันพรุ่งนี้ผมมีกำหนดการณ์ว่าจะไปเดินถ่ายภาพและหาข้อมูลด้านประวัติศาสตร์ที่ไชยา และถ้ากลับมาไม่ดึกมากนัก ผมคงจะได้มีเวลานั่งเขียนเรื่องราวอื่นๆเพิ่มเติมอีกครั้ง
อย่างน้อยการเดินทางไปกลับ ระยะทาง สี่ร้อยกว่ากิโล ของผมในวันนี้ นอกจากการที่ได้ไปเคารพศพของบุคคลที่เคารพนับถือกันเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ผมยังได้ความรู้ที่ไม่เคยได้เรียนในสถาบันการศึกษาใดๆ เพิ่มเข้ามาอีกถึงสองเรื่อง ทั้งเรื่อง "วันเข้างาน" และ "การคลุมศาลพระภูมิ" ถือว่าการเดินทางวันนี้คุ้มค่ามากจริงๆ
นภดล 25/6/2553
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา
26/6/2553 หลังจากเหนื่อยล้าจากการทำงานและเริ่มฟื้นจากอาการเจ็บไหล่ด้านซ้าย ที่ทำให้ผมไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ต้องนอนอยู่กับบ้านมาสองสามวัน วันนี้เลยออกเดินทางไปหาสถานที่พักผ่อนทางใจเพื่อผ่อนคลายความอึดอัดจากการที่ต้องนอนอยู่กับบ้านมาหลายวัน และสถานที่นั้นก็คือ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป้าหมายหลักก็คือ พระบรมธาตุไชยา โบราณสถานที่ไม่ไกลจากบ้านผมมากนัก โดยเป้าหมายหลักคือจะเข้าไปชมเศียรพระวิษณุที่พบในอำเภอท่าชนะ เพราะช่วงหลังๆมานี้ผมอ่านหนังสือหลายเล่มเห็นภาพ โบราณวัตถุชิ้นนี้บ่อยมาก ผมจึงคิดว่า ของชิ้นนี้อยู่ที่บ้านเราเอง ทำไมต้องดูผ่านกระดาษผ่านหน้าหนังสือ อยู่ใกล้ๆแค่นี้ไปดูด้วยตาตัวเองเลยดีกว่า
จริงๆแล้วผมเข้ามาชม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว ถ้านับเป็นจำนวนครั้งแล้วดูจะน้อยไปซักหน่อยถ้าเทียบกับจำนวนครั้งที่ผมเข้ามาไหว้พระบรมธาตุไชยา แต่อย่างว่าละครับ เข้ามากี่ทีกี่ทีของก็มีอยู่เหมือนเดิม แล้วจะเข้ามาทำไมบ่อยๆ แต่ครั้งนี้มีอะไรๆที่พิเศษมากกว่านั้นครับ
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับสถานที่นี้กันก่อนดีกว่าครับ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางทิศตะวันออกของวัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร ตำบลเวียง อำเภอไชยา จัดเป็นพิพิธภัณฑสถานประเภทประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดี มีหน้าที่สำคัญตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 คือ มีหน้าที่ในการเก็บรักษาโบราณวัตถุ และศิลปวัตถุ อันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน
การก่อตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา ในระยะแรก จากการรวบรวมศิลปวัตถุที่พบในเขตพื้นที่อำเภอไชยา โดยท่านพระครูโสภณเจตสิการาม (เอี่ยม) อดีตเจ้าคณะอำเภอไชยา เป็นผู้ก่อตั้ง และกรมศิลปากรได้รับไว้เป็นสาขาของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเมื่อปี พ.ศ. 2478 ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 ท่านพระครูอินทปัญญาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุฯ และเงินจากการจำหน่ายหนังสือเรื่อง "แนวสังเขปโบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอน" อาคารหลังนี้สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2495 ต่อมาในปี พ.ศ. 2499 กรมศิลปากรได้จัดสรรงบประมาณเพื่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์หลังที่ 2 ขึ้น โดยได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจาก พ.ต.อ. พัฒน์ นิลวัฒนานนท์ ผู้แทนราษฎรจังหวัดสุราษฎร์ธานี จนอาคารเสร็จสมบูรณ์เมื่อ พ.ศ. 2500 และได้ทำการขนย้ายโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ในวัดพระบรมธาตุไชยาทั้งหมดไปจัดเก็บและจัดแสดงในอาคารพิพิธภัณฑ์หลังใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2521 ได้รับเงินงบประมาณปรับปรุงขยายต่อเติมอาคารหลังแรก และปรับปรุงการจัดแสดงใหม่ให้ได้มาตรฐานสากล
การดำเนินงานแล้วเสร็จและได้รับพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ โดยได้กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารพิพิธภัณฑแห่งชาติ ไชยา และทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2525
เนื่องจากติดปัญหาเรื่อง การขออนุญาตเผยแพร่ รบกวนเข้าชมได้ที่นี่ครับ http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=15862.0
26/6/2553 หลังจากเหนื่อยล้าจากการทำงานและเริ่มฟื้นจากอาการเจ็บไหล่ด้านซ้าย ที่ทำให้ผมไม่สามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ต้องนอนอยู่กับบ้านมาสองสามวัน วันนี้เลยออกเดินทางไปหาสถานที่พักผ่อนทางใจเพื่อผ่อนคลายความอึดอัดจากการที่ต้องนอนอยู่กับบ้านมาหลายวัน และสถานที่นั้นก็คือ อำเภอไชยา จังหวัดสุราษฎร์ธานี เป้าหมายหลักก็คือ พระบรมธาตุไชยา โบราณสถานที่ไม่ไกลจากบ้านผมมากนัก โดยเป้าหมายหลักคือจะเข้าไปชมเศียรพระวิษณุที่พบในอำเภอท่าชนะ เพราะช่วงหลังๆมานี้ผมอ่านหนังสือหลายเล่มเห็นภาพ โบราณวัตถุชิ้นนี้บ่อยมาก ผมจึงคิดว่า ของชิ้นนี้อยู่ที่บ้านเราเอง ทำไมต้องดูผ่านกระดาษผ่านหน้าหนังสือ อยู่ใกล้ๆแค่นี้ไปดูด้วยตาตัวเองเลยดีกว่า
จริงๆแล้วผมเข้ามาชม พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา ครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว ถ้านับเป็นจำนวนครั้งแล้วดูจะน้อยไปซักหน่อยถ้าเทียบกับจำนวนครั้งที่ผมเข้ามาไหว้พระบรมธาตุไชยา แต่อย่างว่าละครับ เข้ามากี่ทีกี่ทีของก็มีอยู่เหมือนเดิม แล้วจะเข้ามาทำไมบ่อยๆ แต่ครั้งนี้มีอะไรๆที่พิเศษมากกว่านั้นครับ
ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับสถานที่นี้กันก่อนดีกว่าครับ
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา ตั้งอยู่ในพื้นที่ทางทิศตะวันออกของวัดพระบรมธาตุไชยาราชวรวิหาร ตำบลเวียง อำเภอไชยา จัดเป็นพิพิธภัณฑสถานประเภทประวัติศาสตร์ศิลปะและโบราณคดี มีหน้าที่สำคัญตามมาตรา 25 แห่งพระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2535 คือ มีหน้าที่ในการเก็บรักษาโบราณวัตถุ และศิลปวัตถุ อันเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน
การก่อตั้งพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา ในระยะแรก จากการรวบรวมศิลปวัตถุที่พบในเขตพื้นที่อำเภอไชยา โดยท่านพระครูโสภณเจตสิการาม (เอี่ยม) อดีตเจ้าคณะอำเภอไชยา เป็นผู้ก่อตั้ง และกรมศิลปากรได้รับไว้เป็นสาขาของพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติเมื่อปี พ.ศ. 2478 ต่อมาในปี พ.ศ. 2493 ท่านพระครูอินทปัญญาจารย์ (พุทธทาสภิกขุ) เจ้าอาวาสวัดพระบรมธาตุฯ และเงินจากการจำหน่ายหนังสือเรื่อง "แนวสังเขปโบราณคดีรอบอ่าวบ้านดอน" อาคารหลังนี้สร้างแล้วเสร็จในปี พ.ศ. 2495 ต่อมาในปี พ.ศ. 2499 กรมศิลปากรได้จัดสรรงบประมาณเพื่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์หลังที่ 2 ขึ้น โดยได้รับความร่วมมืออย่างดียิ่งจาก พ.ต.อ. พัฒน์ นิลวัฒนานนท์ ผู้แทนราษฎรจังหวัดสุราษฎร์ธานี จนอาคารเสร็จสมบูรณ์เมื่อ พ.ศ. 2500 และได้ทำการขนย้ายโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ ในวัดพระบรมธาตุไชยาทั้งหมดไปจัดเก็บและจัดแสดงในอาคารพิพิธภัณฑ์หลังใหม่ ต่อมาในปี พ.ศ. 2521 ได้รับเงินงบประมาณปรับปรุงขยายต่อเติมอาคารหลังแรก และปรับปรุงการจัดแสดงใหม่ให้ได้มาตรฐานสากล
การดำเนินงานแล้วเสร็จและได้รับพิธีเปิดอย่างเป็นทางการ โดยได้กราบบังคมทูลเชิญพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารพิพิธภัณฑแห่งชาติ ไชยา และทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จพระราชดำเนินแทนพระองค์ ทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ไชยา เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2525
เนื่องจากติดปัญหาเรื่อง การขออนุญาตเผยแพร่ รบกวนเข้าชมได้ที่นี่ครับ http://www.siamsouth.com/smf/index.php?topic=15862.0
วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
ภาษามลายูกับชื่อบ้านนามเมือง
ภาษามลายูกับชื่อบ้านนามเมือง
ไหนๆก็เริ่มสงสัยแล้วว่า ชื่อบ้านชื่อเมืองในภาคใต้บ้านผม นี้มีความเป็นมาอย่างไรทำไมบางชื่อถึงดูแปลกๆ หาคำแปลที่ตรงกับภาษาปัจจุบันไม่ได้ ว่าแล้วก็เริ่มค้นห้องสมุดในกะลา ของผมที่พอจะมีหนังสืออยู่บ้างพอสมควร เปิดๆๆๆๆ แล้วก็ค้นหาข้อมูลต่างๆ เพื่อที่จะนำมาเขียนเล่าให้เพื่อนๆได้อ่านกัน
ในสุราษฎร์ธานี มีคำโบราณที่ใช้กันอยู่หลายๆคำที่ผมเคยอ่านเจอในหนังสือหลายๆเล่มและได้รับการบอกเล่ามาจากท่านผู้รู้หลายๆคน อย่างเช่น ท่าขนอน หรือ สำเนียงสุราษฎร์จะเรียก ท่าหนอน ซึ่งการตัดคำนำหน้าเสียงสั้นออกจะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของภาษาใต้ ท่าขนอน จะเรียกสั้นๆว่าท่าหนอน แปลว่า ปากน้ำด่าน (เก็บเงิน) ซึ่งจะใช้คำนี้กับแม่น้ำที่มีการเดินทางสัญจร มีเรือขนสินค้าผ่าน กลุ่มคนที่มีบ้านเรือนหรือมีอาณาจักรบริเวณนั้นจะเก็บค่าผ่านทาง คล้ายๆกับมอเตอร์เวย์ในสมัยนี้ และสถานที่เก็บเงินเหล่านั้นจะเรียกว่า "ท่าขนอน" ในภาคกลางก็พอมีคำนี้อยู่บ้าง คำว่า ขนอนเหนือ ขนอนใต้ ซึ่งผมเดาเอาเองตามประสาอึ่งอ่างในกะลาของผมว่า น่าจะมีความหมายเดียวกัน
จากที่เคยเล่ามาในบทก่อนหน้านี้ที่ผมเคยบอกว่า ผมสงสัยว่าคำหลายคำหรือชื่อสถานที่หลายๆชื่อ อาจจะเป็นสถานที่เดียวกันหรือมีความหมายเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่า ชนชาติใดเป็นผู้เรียก หรือใช้คำศัพท์เหล่านั้น คำว่าท่าขนอน น่าจะใช้ในสมัยอยุธยา หรือก่อนหน้านั้นไม่นาน เพราะไม่พบว่ามีคำนี้ใช้มาก่อนหน้านั้น
ปากน้ำด่าน ผมเคยเจอและเคยอ่านพบในหนังสือเครือ มติชน (ขออภัยที่จำไม่ได้ว่าเล่มไหน) มีท่านผู้รู้ภาษามลายู แปลคำว่า กระบี่ ว่าหมายถึง ปากน้ำด่านเช่นกัน
และผมเชื่อในคำแปลนี้ มากกว่าที่คนกระบี่กลุ่มใหม่ๆที่ให้คำนิยามของบ้านเกิดตัวเองว่า มาจากการที่ค้นพบดาบโบราณ ซึ่งผมว่าไม่น่าจะใช่ เพราะดาบเล่มเดียวที่เพิ่งพบไม่นาน คงไม่สามารถฝังความคิดของคนทั้งแถบนี้ให้ยึดติดกับคำว่ากระบี่ได้
คำว่า "กระ" "กะ" แปลว่าปากน้ำที่มีช่องทางออกสู่ทะเลอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พื้นที่ฝั่งทะเลอันดามันที่มีความผูกพันธ์กับภาษามลายู จะมีชื่อบ้านนามเมืองเป็นชื่อที่มีคำว่า กะ ผสมอยู่มากมาย เช่น กมลา แปลว่า ปากน้ำแห่งความเศร้า (พ้องกับตำนานพระนางเลือดขาว) กะหลิม กะไหล กะปง กะปาง และอีกมากมาย ผมลองขับรถอ่านชื่อป้ายหมู่บ้านต่างๆที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่า กะ ก็พบว่าพื้นที่เหล่านั้นจะเป็น พื้นที่ติดน้ำและใกล้ๆทะเลหรือเป็นเส้นทางเดินเรือสมัยก่อนแทบทั้งสิ้น
กระโสม คือชื่อตัวเมืองของอำเภอตะกั่วทุ่ง โสม หรือ โซม ซวม แปลว่า ร้อน ไม่แน่ใจว่า คำว่าโสมที่เราใช้ๆกันอย่างโสมเกาหลีต่างๆจะมาจากคำนี้ด้วยหรือเปล่า เพราะเจ้าสมุนไพรตัวนี้กินแล้วร้อนเช่นกัน ดังนั้นถ้า กระ แปลว่าปากน้ำ โสม แปลว่าร้อน กระโสมต้องแปลว่า ปากน้ำร้อน และถ้าลองเดินขึ้นไปตามลำน้ำกระโสม ก็จะพบว่าที่ต้นน้ำนั้นมีบ่อน้ำร้อนตั้งอยู่จริงๆ
จากหนังสือในเครือมติชนเล่มนี้ ยังยกตัวอย่าง กะไหล อีกหนึ่งชื่อ กะไหล ( Kalai ) แปลว่ายืนพิงกัน ซึ่งก็ถูกต้องแล้วครับ เพราะปากน้ำกะไหลที่บ้านสามช่องเป็นที่ตั้งของเขาพิงกันที่หลายๆคนเคยไปเที่ยวนั่นละครับ แต่ครั้นจะใช้คำว่า กะกะไหล หรือ กระกะไหล ก็ไม่ใช้ลักษณ์การใช้คำหรือการออกเสียงในภาษาใต้ ดังนั้นปากน้ำแห่งนี้เลยกร่อนคำออกมาเป็น กะไหล เท่านั้นเองครับ
มีอีกเรื่องคือเรื่องตะกั่วป่า หรือ ที่มีคนเรียกว่า ตะโกลา อาณาจักรโบราณสมัย พุทธศัตวรรษที่ 12 ผมก็ไม่ทราบว่าทำไมถึงเรียกชื่อนี้ ที่มีชื่อนี้ขึ้นมาก็เป็นเพราะได้ค้นพบชื่อนี้จากเอกสารบันทึกของจีน หรือ อาหรับที่มาทำการค้าขายกับหัวเมืองแถบนี้ในสมัยนั้นๆ
ที่ตะกั่วป่านี้ คงจะใช้สาเหตุการเรียกชื่อแบบตะกั่วทุ่งไม่ได้ เพราะที่ตะกั่วทุ่งท่านผู้รู้ได้บอกไว้ว่า ตะกั่วทุ่งกร่อนมาจากภาษามลายู คำว่า กัวลาทุงกุ แปลว่า ทางสามช่อง ( บ้านสามช่อง ตรงกะไหล) ซึ่งก็น่าจะใกล้เคียง เพราะเมื่องตะกั่วทุ่งเดิมอยู่ที่กะไหลนั่นเอง ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่กระโสม แต่คำว่าตะกั่วป่า หรือ ตะโกลา นี้มาจากไหนไม่ทราบ เป็นภาษาอะไร อึ่งอ่างในกะลาอย่างผมก็มิอาจทราบได้ แต่จากการศึกษาด้านศิลปวัตถุและการคงอยู่ของกลุ่มคนบริเวณนั้น และศึกษาเส้นทางค้าขาย ทำให้ทราบว่า บริเวณตะกั่วป่า หรือแถวๆ เขาพระนารายณ์นั้น มีกลุ่มคนมาอาศัยอยู่เพื่อใช้เส้นทางเดินทางจากอันดามันสู่อ่าวไทย โดยขึ้นบกแล้วเดินผ่านทางช่องเขามาลงแม่น้ำแถวๆคีรีรัฐนิคม ออกแม่น้ำพุมดวง มาแม่น้ำตาปี ซึ่งเรื่องราวของเส้นทางโบราณเส้นนี้จะมาเล่าให้ฟังอีกครั้งเพราะเป็นเรื่องที่น่าสนใจดีครับ
ตลอดเส้นทางโบราณเส้นนี้เราจะพบโบราณวัตถุมากมาย เช่นกลองมโหรทึก ที่น้ำรอบ มีวัดถ้ำสิงขร มาจนบรรจบกับแม่น้ำตาปีที่พุนพิน บริเวณควนท่าข้ามก็พบลูกปัดโบราณ ต่างๆมากมายตลอดเส้นทางสายนี้
ชนชาติที่มาอาศัยอยู่ที่ตะกั่วป่า เป็นชนชาติ ทมิฬ ที่นับถือ ศาสนาพราหมณ์ และน่าจะเป็นต้นกำเนิดของพราหมณ์สายต่างๆของทาง นครศรีธรรมราชด้วย เพราะเมื่อพราหมณ์เหล่านี้เดินทางล่องมาตามแม่น้ำพุมดวง มาถึงความพุนพินแล้ว ก็สามารถแยกย้าย เดินทางขึ้นไปตามแม่น้ำหลวง ( แม่น้ำตาปี) ไปทางเวียงสระจนถึงนครศรีธรรมราชได้เช่นกัน รายละเอียดเรื่องนี้ยังมีอีกมากมายขอข้ามไปก่อนเช่นกันครับ เดี๋ยวพื้นที่ในกะลาแคบๆของผมจะเต็มซะก่อน
กลับมาที่ชื่อตะกั่วป่ากันบ้าง ผมสนใจคำว่า ตะลูฆู มากๆ คำว่าตะลูฆู นี้ อาจจะไม่ใกล้เคียงกับตะกั่วป่า หรือ ตะโกลา เลย แต่คำนี้ก็หมายถึงชาวทมิฬ เช่นกัน แต่ผมคงต้องยกไว้ศึกษาในกะลาของผมอีกซักระยะ เพราะไม่มีอะไรมารองรับข้อสงสัยของผมได้เลย แต่สรุปว่าแถวๆตะกั่วป่าในสมัยนั้นเป็นทาง ลักผ่าน ที่จะไม่ต้องจ่ายค่าผ่านทางให้กับอาณาจักรทะเลใต้ที่ควบคุมช่องทางเดินเรือและมีกองทัพที่ชำนาญการรบทางน้ำ อาศัยการเก็บภาษีผ่านทางอย่างเดียวก็ร่ำรวยแล้ว ตะโกลา ตะกั่วป่า มีอายุอยู่ไม่นานนัก ก็ถูก เจ้าถิ่น แห่งอาณาจักรทะเลใต้ ยกทัพมาปราบจนราบคาบ เหลือไว้แต่เส้นทางเดินที่ไม่ใช่เพื่อการค้าที่ยังคงใช้งานกันมาจนถึงเมื่อประมาณไม่กี่สิบปีมานี้ ก่อนที่จะสร้างเขื่อนรัชประภา และการคมนาคมสะดวกมากขึ้น
ช่องทางเดินนี้มีเส้นทางใหม่ที่ไม่ต้องผ่านเขาศก คือ เมื่อเดินทางขึ้นมาจนสุดแม่น้ำคีรีรัฐแล้ว สามารถเปลี่ยนเส้นทางไปทางอ่าวลึกได้ ( เหมือนรถไฟฟ้าเลย ) แล้วไปลงทะเลที่แถวๆปากลาว นั่งเรือหรือเดินต่อไปพังงา ภูเก็ตได้สะดวก เส้นทางนี้ใช้กันมากในสมัยอยุธยาครับ
เอาไว้วันหน้าจะมาเปิดกะลาให้อ่านกันอีกนะครับวันนี้มีภาระกิจต้องไปตรัง คงจะกลับมาดึก
นภดล 25/6/2553
ไหนๆก็เริ่มสงสัยแล้วว่า ชื่อบ้านชื่อเมืองในภาคใต้บ้านผม นี้มีความเป็นมาอย่างไรทำไมบางชื่อถึงดูแปลกๆ หาคำแปลที่ตรงกับภาษาปัจจุบันไม่ได้ ว่าแล้วก็เริ่มค้นห้องสมุดในกะลา ของผมที่พอจะมีหนังสืออยู่บ้างพอสมควร เปิดๆๆๆๆ แล้วก็ค้นหาข้อมูลต่างๆ เพื่อที่จะนำมาเขียนเล่าให้เพื่อนๆได้อ่านกัน
ในสุราษฎร์ธานี มีคำโบราณที่ใช้กันอยู่หลายๆคำที่ผมเคยอ่านเจอในหนังสือหลายๆเล่มและได้รับการบอกเล่ามาจากท่านผู้รู้หลายๆคน อย่างเช่น ท่าขนอน หรือ สำเนียงสุราษฎร์จะเรียก ท่าหนอน ซึ่งการตัดคำนำหน้าเสียงสั้นออกจะเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของภาษาใต้ ท่าขนอน จะเรียกสั้นๆว่าท่าหนอน แปลว่า ปากน้ำด่าน (เก็บเงิน) ซึ่งจะใช้คำนี้กับแม่น้ำที่มีการเดินทางสัญจร มีเรือขนสินค้าผ่าน กลุ่มคนที่มีบ้านเรือนหรือมีอาณาจักรบริเวณนั้นจะเก็บค่าผ่านทาง คล้ายๆกับมอเตอร์เวย์ในสมัยนี้ และสถานที่เก็บเงินเหล่านั้นจะเรียกว่า "ท่าขนอน" ในภาคกลางก็พอมีคำนี้อยู่บ้าง คำว่า ขนอนเหนือ ขนอนใต้ ซึ่งผมเดาเอาเองตามประสาอึ่งอ่างในกะลาของผมว่า น่าจะมีความหมายเดียวกัน
จากที่เคยเล่ามาในบทก่อนหน้านี้ที่ผมเคยบอกว่า ผมสงสัยว่าคำหลายคำหรือชื่อสถานที่หลายๆชื่อ อาจจะเป็นสถานที่เดียวกันหรือมีความหมายเดียวกัน ขึ้นอยู่กับว่า ชนชาติใดเป็นผู้เรียก หรือใช้คำศัพท์เหล่านั้น คำว่าท่าขนอน น่าจะใช้ในสมัยอยุธยา หรือก่อนหน้านั้นไม่นาน เพราะไม่พบว่ามีคำนี้ใช้มาก่อนหน้านั้น
ปากน้ำด่าน ผมเคยเจอและเคยอ่านพบในหนังสือเครือ มติชน (ขออภัยที่จำไม่ได้ว่าเล่มไหน) มีท่านผู้รู้ภาษามลายู แปลคำว่า กระบี่ ว่าหมายถึง ปากน้ำด่านเช่นกัน
และผมเชื่อในคำแปลนี้ มากกว่าที่คนกระบี่กลุ่มใหม่ๆที่ให้คำนิยามของบ้านเกิดตัวเองว่า มาจากการที่ค้นพบดาบโบราณ ซึ่งผมว่าไม่น่าจะใช่ เพราะดาบเล่มเดียวที่เพิ่งพบไม่นาน คงไม่สามารถฝังความคิดของคนทั้งแถบนี้ให้ยึดติดกับคำว่ากระบี่ได้
คำว่า "กระ" "กะ" แปลว่าปากน้ำที่มีช่องทางออกสู่ทะเลอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่แปลกที่พื้นที่ฝั่งทะเลอันดามันที่มีความผูกพันธ์กับภาษามลายู จะมีชื่อบ้านนามเมืองเป็นชื่อที่มีคำว่า กะ ผสมอยู่มากมาย เช่น กมลา แปลว่า ปากน้ำแห่งความเศร้า (พ้องกับตำนานพระนางเลือดขาว) กะหลิม กะไหล กะปง กะปาง และอีกมากมาย ผมลองขับรถอ่านชื่อป้ายหมู่บ้านต่างๆที่มีชื่อขึ้นต้นด้วยคำว่า กะ ก็พบว่าพื้นที่เหล่านั้นจะเป็น พื้นที่ติดน้ำและใกล้ๆทะเลหรือเป็นเส้นทางเดินเรือสมัยก่อนแทบทั้งสิ้น
กระโสม คือชื่อตัวเมืองของอำเภอตะกั่วทุ่ง โสม หรือ โซม ซวม แปลว่า ร้อน ไม่แน่ใจว่า คำว่าโสมที่เราใช้ๆกันอย่างโสมเกาหลีต่างๆจะมาจากคำนี้ด้วยหรือเปล่า เพราะเจ้าสมุนไพรตัวนี้กินแล้วร้อนเช่นกัน ดังนั้นถ้า กระ แปลว่าปากน้ำ โสม แปลว่าร้อน กระโสมต้องแปลว่า ปากน้ำร้อน และถ้าลองเดินขึ้นไปตามลำน้ำกระโสม ก็จะพบว่าที่ต้นน้ำนั้นมีบ่อน้ำร้อนตั้งอยู่จริงๆ
จากหนังสือในเครือมติชนเล่มนี้ ยังยกตัวอย่าง กะไหล อีกหนึ่งชื่อ กะไหล ( Kalai ) แปลว่ายืนพิงกัน ซึ่งก็ถูกต้องแล้วครับ เพราะปากน้ำกะไหลที่บ้านสามช่องเป็นที่ตั้งของเขาพิงกันที่หลายๆคนเคยไปเที่ยวนั่นละครับ แต่ครั้นจะใช้คำว่า กะกะไหล หรือ กระกะไหล ก็ไม่ใช้ลักษณ์การใช้คำหรือการออกเสียงในภาษาใต้ ดังนั้นปากน้ำแห่งนี้เลยกร่อนคำออกมาเป็น กะไหล เท่านั้นเองครับ
มีอีกเรื่องคือเรื่องตะกั่วป่า หรือ ที่มีคนเรียกว่า ตะโกลา อาณาจักรโบราณสมัย พุทธศัตวรรษที่ 12 ผมก็ไม่ทราบว่าทำไมถึงเรียกชื่อนี้ ที่มีชื่อนี้ขึ้นมาก็เป็นเพราะได้ค้นพบชื่อนี้จากเอกสารบันทึกของจีน หรือ อาหรับที่มาทำการค้าขายกับหัวเมืองแถบนี้ในสมัยนั้นๆ
ที่ตะกั่วป่านี้ คงจะใช้สาเหตุการเรียกชื่อแบบตะกั่วทุ่งไม่ได้ เพราะที่ตะกั่วทุ่งท่านผู้รู้ได้บอกไว้ว่า ตะกั่วทุ่งกร่อนมาจากภาษามลายู คำว่า กัวลาทุงกุ แปลว่า ทางสามช่อง ( บ้านสามช่อง ตรงกะไหล) ซึ่งก็น่าจะใกล้เคียง เพราะเมื่องตะกั่วทุ่งเดิมอยู่ที่กะไหลนั่นเอง ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่กระโสม แต่คำว่าตะกั่วป่า หรือ ตะโกลา นี้มาจากไหนไม่ทราบ เป็นภาษาอะไร อึ่งอ่างในกะลาอย่างผมก็มิอาจทราบได้ แต่จากการศึกษาด้านศิลปวัตถุและการคงอยู่ของกลุ่มคนบริเวณนั้น และศึกษาเส้นทางค้าขาย ทำให้ทราบว่า บริเวณตะกั่วป่า หรือแถวๆ เขาพระนารายณ์นั้น มีกลุ่มคนมาอาศัยอยู่เพื่อใช้เส้นทางเดินทางจากอันดามันสู่อ่าวไทย โดยขึ้นบกแล้วเดินผ่านทางช่องเขามาลงแม่น้ำแถวๆคีรีรัฐนิคม ออกแม่น้ำพุมดวง มาแม่น้ำตาปี ซึ่งเรื่องราวของเส้นทางโบราณเส้นนี้จะมาเล่าให้ฟังอีกครั้งเพราะเป็นเรื่องที่น่าสนใจดีครับ
ตลอดเส้นทางโบราณเส้นนี้เราจะพบโบราณวัตถุมากมาย เช่นกลองมโหรทึก ที่น้ำรอบ มีวัดถ้ำสิงขร มาจนบรรจบกับแม่น้ำตาปีที่พุนพิน บริเวณควนท่าข้ามก็พบลูกปัดโบราณ ต่างๆมากมายตลอดเส้นทางสายนี้
ชนชาติที่มาอาศัยอยู่ที่ตะกั่วป่า เป็นชนชาติ ทมิฬ ที่นับถือ ศาสนาพราหมณ์ และน่าจะเป็นต้นกำเนิดของพราหมณ์สายต่างๆของทาง นครศรีธรรมราชด้วย เพราะเมื่อพราหมณ์เหล่านี้เดินทางล่องมาตามแม่น้ำพุมดวง มาถึงความพุนพินแล้ว ก็สามารถแยกย้าย เดินทางขึ้นไปตามแม่น้ำหลวง ( แม่น้ำตาปี) ไปทางเวียงสระจนถึงนครศรีธรรมราชได้เช่นกัน รายละเอียดเรื่องนี้ยังมีอีกมากมายขอข้ามไปก่อนเช่นกันครับ เดี๋ยวพื้นที่ในกะลาแคบๆของผมจะเต็มซะก่อน
กลับมาที่ชื่อตะกั่วป่ากันบ้าง ผมสนใจคำว่า ตะลูฆู มากๆ คำว่าตะลูฆู นี้ อาจจะไม่ใกล้เคียงกับตะกั่วป่า หรือ ตะโกลา เลย แต่คำนี้ก็หมายถึงชาวทมิฬ เช่นกัน แต่ผมคงต้องยกไว้ศึกษาในกะลาของผมอีกซักระยะ เพราะไม่มีอะไรมารองรับข้อสงสัยของผมได้เลย แต่สรุปว่าแถวๆตะกั่วป่าในสมัยนั้นเป็นทาง ลักผ่าน ที่จะไม่ต้องจ่ายค่าผ่านทางให้กับอาณาจักรทะเลใต้ที่ควบคุมช่องทางเดินเรือและมีกองทัพที่ชำนาญการรบทางน้ำ อาศัยการเก็บภาษีผ่านทางอย่างเดียวก็ร่ำรวยแล้ว ตะโกลา ตะกั่วป่า มีอายุอยู่ไม่นานนัก ก็ถูก เจ้าถิ่น แห่งอาณาจักรทะเลใต้ ยกทัพมาปราบจนราบคาบ เหลือไว้แต่เส้นทางเดินที่ไม่ใช่เพื่อการค้าที่ยังคงใช้งานกันมาจนถึงเมื่อประมาณไม่กี่สิบปีมานี้ ก่อนที่จะสร้างเขื่อนรัชประภา และการคมนาคมสะดวกมากขึ้น
ช่องทางเดินนี้มีเส้นทางใหม่ที่ไม่ต้องผ่านเขาศก คือ เมื่อเดินทางขึ้นมาจนสุดแม่น้ำคีรีรัฐแล้ว สามารถเปลี่ยนเส้นทางไปทางอ่าวลึกได้ ( เหมือนรถไฟฟ้าเลย ) แล้วไปลงทะเลที่แถวๆปากลาว นั่งเรือหรือเดินต่อไปพังงา ภูเก็ตได้สะดวก เส้นทางนี้ใช้กันมากในสมัยอยุธยาครับ
เอาไว้วันหน้าจะมาเปิดกะลาให้อ่านกันอีกนะครับวันนี้มีภาระกิจต้องไปตรัง คงจะกลับมาดึก
นภดล 25/6/2553
ภาษาถิ่น กับ ประวัติศาสตร์
สุราษฎร์ธานี เป็นจังหวัดใหญ่ที่มีพื้นที่กว้างขวางมาก มีพื้นที่ติดทะเลและมีเกาะแก่งต่างๆรวมถึงพื้นที่เป็นภูเขาทางด้านตะวันตก มีความเกี่ยวข้องกับศิลปวัฒนธรรมมากมายหลายรุ่น ทั้งอารยธรรมเก่าแก่ตั้งแต่พุทธศัตวรรษที่ 5 เป็นต้นมา หรืออาจจะยาวนานกว่านั้น
กลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในสุราษฎร์ธานีมีอยู่หลากหลายประเภท มีวัฒนธรรมทางภาษาที่แตกต่างกัน อย่างทางกาญจนดิษฐ์ ดอนสัก เกาะสมุย เกาะพะงัน ยาวไปถึงอำเภอขนอมจังหวัดนครศรีธรรมราช จะมีสำเนียงเฉพาะที่ใครๆได้ฟังแล้วจะรู้ได้ทันทีว่า คนพูดสำเนียงแบบนี้ต้องมาจากพื้นที่แถวนั้น
บริเวณด้านตะวันออกของสุราษฎร์ธานีจะออกเสียง ไม้โทเป็นเสียงจัตวา เช่น ได้ จะออกเสียงเป็น ด๋าย ด้วย ก็จะเป็น ด๋วย ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของคนแถบนั้น แต่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษและเกี่ยวข้องกับอารยธรรมเก่าแก่ของดินแดนแถบนี้หรือรวมไปถึงประวัติศาสตร์ชาติไทยก็คือ สำเนียงภาษาของคนไชยาและท่าชนะครับ
ดินแดนไชยาเป็นดินแดนเก่าแก่ หรือที่หลายๆคนรู้จักว่า ศรีวิชัย คำว่าศรีวิชัยเป็นคำที่นักโบราณคดีชาวต่างชาติใช้เรียกดินแดนแถบนี้ แต่ต่อมาก็เปลี่ยนไปเรียกชื่ออื่น เช่นดินแดนอาณาจักรทะเลใต้ แต่ถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนชื่อเรียกไปแล้วในเชิงเอกสารโบราณคดี แต่ชื่อศรีวิชัยกลับติดปากคุ้นหูของคนไทยไปเสียแล้ว ยากที่จะเปลี่ยนความเข้าใจได้ ดังนั้นคำว่าศรีวิชัยจึงยังคงอยู่คู่กับอารยธรรมแถบนี้ไปอีกยาวนานเลยทีเดียวจนกว่าจะชี้ชัดเจนแบบฟันธงลงไปได้โดยไม่ให้มีข้อโต้เถียงกันอีก
พูดถึงเรื่องภาษาถิ่นของคนไทยสุราษฎร์ธานี ที่ไชยาและท่าชนะนั้น เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่ยังคงอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ เพื่อนๆของผมที่มาจากพุมเรียงหรือคันธุลี จะออกเสียงสำเนียงแบบนี้กันทั้งนั้น เช่น เย็น จะออกเสียงเป็น หยิน ตู้หยิน ลมออกเสียงเป็น ลุม เค็ม ออกเสียงเป็น คิม แบบนี้เช่นกัน ดังน้นถ้าเรามองย้อนกลับไปประมาณพันกว่าปีที่แล้ว ถ้าสำเนียงแบบนี้ที่พูดกันอยู่ในดินแดนแถบนี้ยังมั่นคงแข็งแรงทางวัฒนธรรมที่ยังไม่มี ภาษากลาง บางกอก เข้ามากลืนให้เริ่มเลือนลาง สำเนียงเฉพาะถิ่นตรงนี้จะมีบทบาทสำคัญในการเรียกชื่อบ้านนามเมืองในสมัยนั้นมากมาย
ผมสงสัยว่า สำเนียงไชยาและท่าชนะ จะมีบทบาทสำคัญในบันทึกของจีน ที่เรียกชื่อบ้านเมืองแถบนี้อย่าง หลวงจีนอี้จิง เพราะในสมัยนั้นการจะรู้จักบ้านเมืองที่ไม่รู้จัก หรือการเรียกชื่อท้องถิ่นคงจะต้องถามจากคนพื้นเมืองในสมัยนั้น อย่างตอนนี้เพื่อนผมที่อยู่ที่ท่าชนะ ยังออกเสียงบ้านเกิดของมันว่า คัน โท่ ลี ตามสำเนียงพื้นถิ่นอยู่เลย ซึ่สำเนียง คันโท่ลี นี้ก็ตรงกับเอกสารจีนโบราณที่เขียนไว้เกี่ยวกับบ้านเมืองเก่าแก่แถบนี้ แต่ถ้าออกเสียงแบบภาษากลางจะเป็น คันธุลี ไปเสีย
ดังนั้นการค้นเอกสารจีนที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในแนวทาง ประวัติศาสตร์ในกะลา ของผมจึงพยายามจะมองลึกลงไปถึงเรื่องของภาษาถิ่นหรือตำนานท้องถิ่นควบคู่กันไปด้วย ส่วนจะลงไปได้ลึกแค่ไหนนั้นต้องคอยดูกันต่อไปว่าผมจะหาเอกสารหลักฐานเหล่านั้นได้มากขนาดไหน หรือเมื่อเวลาผ่านไปแล้วผมก็ยังคงวนเวียนอยู่ในกะลาของผมต่อไปโดยไม่ได้อะไรเพิ่มเติมขึ้นมาเลยก็เป็นได้
นอกจากภาษาถิ่นในสุราษฎร์ธานีแล้ว ภาษามลายู เป็นภาษาที่น่าสนใจมากๆ เพราะดินแดนแถบนี้ใช้ภาษามลายูมาตั้งแต่สมัยโบราณ ชื่อบ้านนามเมืองและภูเขาทะเลแม่น้ำ ล้วนมีรากฐานมาจากภาษามลายูเสียเป็นส่วนมาก ในแนวความคิดของผมมีความสงสัยว่า บางครั้งชื่อเรียกต่างๆของเมืองแถบนี้ อาจจะมีหลายชื่อ แต่เป็นสถานที่เดียวกัน แตกต่างกันตรงที่บริเวณนั้นจดบันทึกโดยคนชาติใดและใช้ภาษาอะไรในการบันทึก ทั้งนี้จะต้องมีเงื่อนไขของเวลามาเกี่ยวข้องด้วยว่า แผ่นดินขณะนั้นเป็นสมัยใดและชนชาติใดปกครอง
และมาจนถึงบรรทัดนี้ ความรู้เดิมที่ว่าคนไทยมาจากที่อื่นอพยพลงมาจากเทือกเขาอัลไต ได้ถูกล้างออกไปจนหมดสิ้นจากสมองของผมแล้วครับ เพราะที่ศึกษามาก็รู้แล้วว่าอารยธรรมแถวๆนี้มีความเป็นมายาวนานร่วมสองพันปีเลยทีเดียว แล้วแบบนี้เราจะยังคงเชื่อตามนักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศษที่มาเขียนประวัติศาสตร์ให้เราเรียนกันอีกหรือ เราลองมาค้นคว้าหาที่มาของบ้านเมืองของเราด้วยความเป็นกลางและตามหลักฐานที่มีอยู่ในบ้านเรากันดีกว่าครับ ถึงแม้ว่าบางครั้งเราทำไปแล้วจะไม่ได้ความรู้เพิ่มเติมขึ้นมาเลย แต่อย่างน้อยเราก็จะได้ภาคภูมิใจในความเป็นมาของเรากันครับ
ครั้งต่อไปผมจะลองหาคำต่างๆเกี่ยวกับภาษาถิ่น ที่เป็นภาษามลายูมาเปรียบเทียบกับสถานที่ในปัจจุบันเท่าที่จะหาได้จากห้องสมุดในกะลาของผมให้ได้อ่านกันนะครับ
นภดล
24/6/2553
กลุ่มคนที่อาศัยอยู่ในสุราษฎร์ธานีมีอยู่หลากหลายประเภท มีวัฒนธรรมทางภาษาที่แตกต่างกัน อย่างทางกาญจนดิษฐ์ ดอนสัก เกาะสมุย เกาะพะงัน ยาวไปถึงอำเภอขนอมจังหวัดนครศรีธรรมราช จะมีสำเนียงเฉพาะที่ใครๆได้ฟังแล้วจะรู้ได้ทันทีว่า คนพูดสำเนียงแบบนี้ต้องมาจากพื้นที่แถวนั้น
บริเวณด้านตะวันออกของสุราษฎร์ธานีจะออกเสียง ไม้โทเป็นเสียงจัตวา เช่น ได้ จะออกเสียงเป็น ด๋าย ด้วย ก็จะเป็น ด๋วย ซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของคนแถบนั้น แต่ที่น่าสนใจเป็นพิเศษและเกี่ยวข้องกับอารยธรรมเก่าแก่ของดินแดนแถบนี้หรือรวมไปถึงประวัติศาสตร์ชาติไทยก็คือ สำเนียงภาษาของคนไชยาและท่าชนะครับ
ดินแดนไชยาเป็นดินแดนเก่าแก่ หรือที่หลายๆคนรู้จักว่า ศรีวิชัย คำว่าศรีวิชัยเป็นคำที่นักโบราณคดีชาวต่างชาติใช้เรียกดินแดนแถบนี้ แต่ต่อมาก็เปลี่ยนไปเรียกชื่ออื่น เช่นดินแดนอาณาจักรทะเลใต้ แต่ถึงแม้ว่าจะมีการเปลี่ยนชื่อเรียกไปแล้วในเชิงเอกสารโบราณคดี แต่ชื่อศรีวิชัยกลับติดปากคุ้นหูของคนไทยไปเสียแล้ว ยากที่จะเปลี่ยนความเข้าใจได้ ดังนั้นคำว่าศรีวิชัยจึงยังคงอยู่คู่กับอารยธรรมแถบนี้ไปอีกยาวนานเลยทีเดียวจนกว่าจะชี้ชัดเจนแบบฟันธงลงไปได้โดยไม่ให้มีข้อโต้เถียงกันอีก
พูดถึงเรื่องภาษาถิ่นของคนไทยสุราษฎร์ธานี ที่ไชยาและท่าชนะนั้น เป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่ยังคงอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ เพื่อนๆของผมที่มาจากพุมเรียงหรือคันธุลี จะออกเสียงสำเนียงแบบนี้กันทั้งนั้น เช่น เย็น จะออกเสียงเป็น หยิน ตู้หยิน ลมออกเสียงเป็น ลุม เค็ม ออกเสียงเป็น คิม แบบนี้เช่นกัน ดังน้นถ้าเรามองย้อนกลับไปประมาณพันกว่าปีที่แล้ว ถ้าสำเนียงแบบนี้ที่พูดกันอยู่ในดินแดนแถบนี้ยังมั่นคงแข็งแรงทางวัฒนธรรมที่ยังไม่มี ภาษากลาง บางกอก เข้ามากลืนให้เริ่มเลือนลาง สำเนียงเฉพาะถิ่นตรงนี้จะมีบทบาทสำคัญในการเรียกชื่อบ้านนามเมืองในสมัยนั้นมากมาย
ผมสงสัยว่า สำเนียงไชยาและท่าชนะ จะมีบทบาทสำคัญในบันทึกของจีน ที่เรียกชื่อบ้านเมืองแถบนี้อย่าง หลวงจีนอี้จิง เพราะในสมัยนั้นการจะรู้จักบ้านเมืองที่ไม่รู้จัก หรือการเรียกชื่อท้องถิ่นคงจะต้องถามจากคนพื้นเมืองในสมัยนั้น อย่างตอนนี้เพื่อนผมที่อยู่ที่ท่าชนะ ยังออกเสียงบ้านเกิดของมันว่า คัน โท่ ลี ตามสำเนียงพื้นถิ่นอยู่เลย ซึ่สำเนียง คันโท่ลี นี้ก็ตรงกับเอกสารจีนโบราณที่เขียนไว้เกี่ยวกับบ้านเมืองเก่าแก่แถบนี้ แต่ถ้าออกเสียงแบบภาษากลางจะเป็น คันธุลี ไปเสีย
ดังนั้นการค้นเอกสารจีนที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ท้องถิ่นในแนวทาง ประวัติศาสตร์ในกะลา ของผมจึงพยายามจะมองลึกลงไปถึงเรื่องของภาษาถิ่นหรือตำนานท้องถิ่นควบคู่กันไปด้วย ส่วนจะลงไปได้ลึกแค่ไหนนั้นต้องคอยดูกันต่อไปว่าผมจะหาเอกสารหลักฐานเหล่านั้นได้มากขนาดไหน หรือเมื่อเวลาผ่านไปแล้วผมก็ยังคงวนเวียนอยู่ในกะลาของผมต่อไปโดยไม่ได้อะไรเพิ่มเติมขึ้นมาเลยก็เป็นได้
นอกจากภาษาถิ่นในสุราษฎร์ธานีแล้ว ภาษามลายู เป็นภาษาที่น่าสนใจมากๆ เพราะดินแดนแถบนี้ใช้ภาษามลายูมาตั้งแต่สมัยโบราณ ชื่อบ้านนามเมืองและภูเขาทะเลแม่น้ำ ล้วนมีรากฐานมาจากภาษามลายูเสียเป็นส่วนมาก ในแนวความคิดของผมมีความสงสัยว่า บางครั้งชื่อเรียกต่างๆของเมืองแถบนี้ อาจจะมีหลายชื่อ แต่เป็นสถานที่เดียวกัน แตกต่างกันตรงที่บริเวณนั้นจดบันทึกโดยคนชาติใดและใช้ภาษาอะไรในการบันทึก ทั้งนี้จะต้องมีเงื่อนไขของเวลามาเกี่ยวข้องด้วยว่า แผ่นดินขณะนั้นเป็นสมัยใดและชนชาติใดปกครอง
และมาจนถึงบรรทัดนี้ ความรู้เดิมที่ว่าคนไทยมาจากที่อื่นอพยพลงมาจากเทือกเขาอัลไต ได้ถูกล้างออกไปจนหมดสิ้นจากสมองของผมแล้วครับ เพราะที่ศึกษามาก็รู้แล้วว่าอารยธรรมแถวๆนี้มีความเป็นมายาวนานร่วมสองพันปีเลยทีเดียว แล้วแบบนี้เราจะยังคงเชื่อตามนักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศษที่มาเขียนประวัติศาสตร์ให้เราเรียนกันอีกหรือ เราลองมาค้นคว้าหาที่มาของบ้านเมืองของเราด้วยความเป็นกลางและตามหลักฐานที่มีอยู่ในบ้านเรากันดีกว่าครับ ถึงแม้ว่าบางครั้งเราทำไปแล้วจะไม่ได้ความรู้เพิ่มเติมขึ้นมาเลย แต่อย่างน้อยเราก็จะได้ภาคภูมิใจในความเป็นมาของเรากันครับ
ครั้งต่อไปผมจะลองหาคำต่างๆเกี่ยวกับภาษาถิ่น ที่เป็นภาษามลายูมาเปรียบเทียบกับสถานที่ในปัจจุบันเท่าที่จะหาได้จากห้องสมุดในกะลาของผมให้ได้อ่านกันนะครับ
นภดล
24/6/2553
ประวัติศาสตร์ในกะลาของผม
ประวัติศาสตร์ในกะลาของผม
ผมป็นคนสุราษฎร์ธานีโดยกำเนิด โตที่นี่ เรียนที่นี่ และทำงานที่นี่ มาตลอดสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา จะมีห่างหายไปบ้างก็ตอนไปเรียนปริญญาตรีที่กรุงเทพ แต่ก็กลับบ้านอยู่บ่อยๆ ดังนั้นจึงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในบ้านเกิด และบางสิ่งบางอย่างที่ผมได้เห็นก็นำความประหลาดใจรวมทั้งสร้างความสงสัยให้ผมเป้นอย่างมากว่า บางเรื่องที่ผมได้เรียนรู้มาก่อนหน้านี้มันจริงหรือเปล่า..
ที่แน่ๆ ในตอนนี้ผมรู้แน่นอนแล้วว่า ผมโดนระบบการศึกษาของไทยในสมัยก่อน แหกตา และล้างสมองส่วนจินตนาการและความคิดของผมให้หายไปซะหลายปี กว่าที่จะได้มาหาความรู้และหาแนวคิด วิเคราะห์ในเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเอง เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรื่องที่ผมปวดใจมากที่สุดก็คือ "คนไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไต" จนป่านนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าเทือกเขาอัลไตนี่มันอยู่ที่ไหน แล้วเราอพยพมาได้อย่างไร แถมครูที่สอนในสมัยนั้นยังบอกอีกว่า เราหนีมาจนติดทะเล ไปไหนไม่ได้อีก เลยปักหลักปักฐานอยู่ที่นี่ ถ้าความคิดของครูที่สอนผมในสมัยที่ การศึกษาไทยเน้นให้จดจำมากกว่าใช้ความคิดเป็นจริง แล้วถ้าบังเอิญว่าแหลมทองของไทยตอนนี้ไม่มีช่องแคบมะละกา กั้นขวาง เป็นแผ่นดินยาวไปตลอด คนไทยคงจะต้องหนีไปตั้งหลักแหล่งถึงขั้วโลกใต้กันเลยหรืออย่างไร
เมื่อผมได้เริ่มศึกษา เริ่มหาหนังสือมาอ่านเกี่ยวกับความเป็นมาของเชื้อชาติและสัญชาติตัวเอง ผมก็เริ่มเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง ประวัติศาสตร์ที่เขียนมาเพราะการเมือง ทำให้บิดเบือนความเป็นจริงไปมากมาย โชคดีที่แผ่นดินไทยยังมีคนดีมีความสามารถมากมายที่ไม่ยอมก้มหัวให้ประวัติศาสตร์การเมือง ยอมทุ่มเท เสียสละ ค้นคว้าหาหลักฐานต่างๆมาวิเคราะห์หาข้อเท็จจริง ทำให้ได้รู้เรื่องราวต่างๆของผืนแผ่นดินนี้ได้มากขึ้น แบบที่ไม่ต้องรอให้ฝรั่งมาบังคับให้เรียน หรือ แหกตาเพื่อผลประโยชน์บางอย่างอีกต่อไป
เรื่องราวต่างๆที่ผมอยากจะนำมาเล่าให้ฟังหลังจากนี้ จะนำมาจากหนังสือต่างๆที่ผมอ่านและเก็บไว้ รวมทั้งนำเสนอแนวคิดในรูปแบบของผมซึ่งอาจจะไม่ถูกต้อง และมีส่วนผิดอยู่บ้างตั้งแต่เล็กน้อย จนถึงผิดทั้งหมด แต่การศึกษาแนววิเคราะห์ก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนความรู้ต่างๆกัน เสนอแนวคิดที่แตกต่างกันเพื่อหาข้อสรุปที่ถูกต้องที่สุด เพราะแน่นอนว่า ทุกคนที่ได้อ่านตัวหนังสือที่ผมเขียนนี้ ไม่มีใครเกิดทันยุคนั้นสมัยนั้นแน่นนอน และ ถ้าเทือกเขาอัลไต เป็นเรื่องแหกตา ประวัติศาสตร์บางอย่างที่เรารู้กันตอนนี้ ก็อาจจะเป็นเรื่องเล่าหลอกเด็กเพื่อผลประโยชน์บางอย่างของคนเขียนก็เป็นได้
ประวัติศาสตร์ทางการเมือง เป็นประวัติศาสตร์ที่ผู้ชนะเขียนเพื่อสร้างความชอบให้ตนเอง บางครั้งอาจจะบิดเบือนไปทั้งหมดก็ได้ รวมทั้งการศึกษาที่มีความเป็นชาตินิยม อาจจะทำให้ที่มาที่ไปต่างๆผิดไปจากความเป็นจริง ดังนั้นกบในกะลาอย่างผม ที่ไม่ได้เรียน จบมาจากสถาบันใดๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ จะลองขุดๆๆๆหาข้อมูลต่างๆที่ผมได้รับรู้มาเขียนเล่าให้เพื่อนๆได้อ่านกันและได้เข้าใจว่า ผมคิดแบบนี้ และคิดแบบนี้เพราะอะไร หรือแม้แต่นำเอาแนวความคิดที่แตกต่างกันมาเปรียบเทียบให้ดูว่าใครคิดแบบไหน แล้วเราค่อยมาช่วยกันตัดสินใจกันว่า เราจะเชื่อแนวคิดของใคร
แนวทางที่ผมจะเขียนหลังจากนี้ในหัวข้อที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ จะใช้คำจำกัดความในแนวทางนี้ว่า "ประวัติศาสตร์ในกะลาของผม" หมายถึงการที่ผมจะนั่งอยู่ในกะลาหรือโลกส่วนตัวของผมเอง จะเปิดกะลาก็ต่อเมื่อ ออกไปหาหนังสือของท่านผู้รู้มาอ่าน ออกไปถ่ายภาพหรือไปดูสถานที่ต่างๆที่อยากไปดู แต่ความคิดต่างๆจะเป็นความคิดที่วนเวียนอยู่ในความรู้สึกของผมเพียงคนเดียว หรือที่หลายๆท่านเรียกว่า เป็นเพียงกบอยู่ในกะลา เท่านั้น แต่ผมยังคงพอใจที่จะอยู่ในกะลาใบนี้ของผมต่อไป ผมคิดว่าถ้าเราไม่รู้เรื่องบ้านเราให้ได้มากเท่าที่ควรจะเป็น เราก็ไม่ต้องไปศึกษาเรื่องราวของบ้านอื่นเมืองอื่นหรอกครับ
สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และภาคใต้บ้านผมมีเรื่องราวมากมายที่ให้ค้นหา ยังมีเรื่องราวมากมายที่หลาบคนยังไม่รู้ วันนี้เป็นโอกาสที่ดีแล้วครับที่ผมจะเริ่มเขียนเรื่องราวในทำนองนี้ออกมา ถึงแม้ว่าจะมาๆหายๆ แบบว่ามาไม่ปกติ แต่ก็จะพยายามเขียนมาให้มากที่สุด เรียบเรียงความรู้สึกออกมาให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะนำเสนอความคิดของผมเองที่มีต่อเรื่องราวเหล่านี้ครับ
ด้วยความเคารพ
นภดล
24/6/2553
ผมป็นคนสุราษฎร์ธานีโดยกำเนิด โตที่นี่ เรียนที่นี่ และทำงานที่นี่ มาตลอดสามสิบกว่าปีที่ผ่านมา จะมีห่างหายไปบ้างก็ตอนไปเรียนปริญญาตรีที่กรุงเทพ แต่ก็กลับบ้านอยู่บ่อยๆ ดังนั้นจึงได้เห็นการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่างที่เกิดขึ้นในบ้านเกิด และบางสิ่งบางอย่างที่ผมได้เห็นก็นำความประหลาดใจรวมทั้งสร้างความสงสัยให้ผมเป้นอย่างมากว่า บางเรื่องที่ผมได้เรียนรู้มาก่อนหน้านี้มันจริงหรือเปล่า..
ที่แน่ๆ ในตอนนี้ผมรู้แน่นอนแล้วว่า ผมโดนระบบการศึกษาของไทยในสมัยก่อน แหกตา และล้างสมองส่วนจินตนาการและความคิดของผมให้หายไปซะหลายปี กว่าที่จะได้มาหาความรู้และหาแนวคิด วิเคราะห์ในเรื่องเหล่านี้ด้วยตัวเอง เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรื่องที่ผมปวดใจมากที่สุดก็คือ "คนไทยอพยพมาจากเทือกเขาอัลไต" จนป่านนี้ผมยังไม่รู้เลยว่าเทือกเขาอัลไตนี่มันอยู่ที่ไหน แล้วเราอพยพมาได้อย่างไร แถมครูที่สอนในสมัยนั้นยังบอกอีกว่า เราหนีมาจนติดทะเล ไปไหนไม่ได้อีก เลยปักหลักปักฐานอยู่ที่นี่ ถ้าความคิดของครูที่สอนผมในสมัยที่ การศึกษาไทยเน้นให้จดจำมากกว่าใช้ความคิดเป็นจริง แล้วถ้าบังเอิญว่าแหลมทองของไทยตอนนี้ไม่มีช่องแคบมะละกา กั้นขวาง เป็นแผ่นดินยาวไปตลอด คนไทยคงจะต้องหนีไปตั้งหลักแหล่งถึงขั้วโลกใต้กันเลยหรืออย่างไร
เมื่อผมได้เริ่มศึกษา เริ่มหาหนังสือมาอ่านเกี่ยวกับความเป็นมาของเชื้อชาติและสัญชาติตัวเอง ผมก็เริ่มเข้าใจอะไรหลายๆอย่าง ประวัติศาสตร์ที่เขียนมาเพราะการเมือง ทำให้บิดเบือนความเป็นจริงไปมากมาย โชคดีที่แผ่นดินไทยยังมีคนดีมีความสามารถมากมายที่ไม่ยอมก้มหัวให้ประวัติศาสตร์การเมือง ยอมทุ่มเท เสียสละ ค้นคว้าหาหลักฐานต่างๆมาวิเคราะห์หาข้อเท็จจริง ทำให้ได้รู้เรื่องราวต่างๆของผืนแผ่นดินนี้ได้มากขึ้น แบบที่ไม่ต้องรอให้ฝรั่งมาบังคับให้เรียน หรือ แหกตาเพื่อผลประโยชน์บางอย่างอีกต่อไป
เรื่องราวต่างๆที่ผมอยากจะนำมาเล่าให้ฟังหลังจากนี้ จะนำมาจากหนังสือต่างๆที่ผมอ่านและเก็บไว้ รวมทั้งนำเสนอแนวคิดในรูปแบบของผมซึ่งอาจจะไม่ถูกต้อง และมีส่วนผิดอยู่บ้างตั้งแต่เล็กน้อย จนถึงผิดทั้งหมด แต่การศึกษาแนววิเคราะห์ก็ต้องมีการแลกเปลี่ยนความรู้ต่างๆกัน เสนอแนวคิดที่แตกต่างกันเพื่อหาข้อสรุปที่ถูกต้องที่สุด เพราะแน่นอนว่า ทุกคนที่ได้อ่านตัวหนังสือที่ผมเขียนนี้ ไม่มีใครเกิดทันยุคนั้นสมัยนั้นแน่นนอน และ ถ้าเทือกเขาอัลไต เป็นเรื่องแหกตา ประวัติศาสตร์บางอย่างที่เรารู้กันตอนนี้ ก็อาจจะเป็นเรื่องเล่าหลอกเด็กเพื่อผลประโยชน์บางอย่างของคนเขียนก็เป็นได้
ประวัติศาสตร์ทางการเมือง เป็นประวัติศาสตร์ที่ผู้ชนะเขียนเพื่อสร้างความชอบให้ตนเอง บางครั้งอาจจะบิดเบือนไปทั้งหมดก็ได้ รวมทั้งการศึกษาที่มีความเป็นชาตินิยม อาจจะทำให้ที่มาที่ไปต่างๆผิดไปจากความเป็นจริง ดังนั้นกบในกะลาอย่างผม ที่ไม่ได้เรียน จบมาจากสถาบันใดๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้ จะลองขุดๆๆๆหาข้อมูลต่างๆที่ผมได้รับรู้มาเขียนเล่าให้เพื่อนๆได้อ่านกันและได้เข้าใจว่า ผมคิดแบบนี้ และคิดแบบนี้เพราะอะไร หรือแม้แต่นำเอาแนวความคิดที่แตกต่างกันมาเปรียบเทียบให้ดูว่าใครคิดแบบไหน แล้วเราค่อยมาช่วยกันตัดสินใจกันว่า เราจะเชื่อแนวคิดของใคร
แนวทางที่ผมจะเขียนหลังจากนี้ในหัวข้อที่เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ จะใช้คำจำกัดความในแนวทางนี้ว่า "ประวัติศาสตร์ในกะลาของผม" หมายถึงการที่ผมจะนั่งอยู่ในกะลาหรือโลกส่วนตัวของผมเอง จะเปิดกะลาก็ต่อเมื่อ ออกไปหาหนังสือของท่านผู้รู้มาอ่าน ออกไปถ่ายภาพหรือไปดูสถานที่ต่างๆที่อยากไปดู แต่ความคิดต่างๆจะเป็นความคิดที่วนเวียนอยู่ในความรู้สึกของผมเพียงคนเดียว หรือที่หลายๆท่านเรียกว่า เป็นเพียงกบอยู่ในกะลา เท่านั้น แต่ผมยังคงพอใจที่จะอยู่ในกะลาใบนี้ของผมต่อไป ผมคิดว่าถ้าเราไม่รู้เรื่องบ้านเราให้ได้มากเท่าที่ควรจะเป็น เราก็ไม่ต้องไปศึกษาเรื่องราวของบ้านอื่นเมืองอื่นหรอกครับ
สุราษฎร์ธานี นครศรีธรรมราช และภาคใต้บ้านผมมีเรื่องราวมากมายที่ให้ค้นหา ยังมีเรื่องราวมากมายที่หลาบคนยังไม่รู้ วันนี้เป็นโอกาสที่ดีแล้วครับที่ผมจะเริ่มเขียนเรื่องราวในทำนองนี้ออกมา ถึงแม้ว่าจะมาๆหายๆ แบบว่ามาไม่ปกติ แต่ก็จะพยายามเขียนมาให้มากที่สุด เรียบเรียงความรู้สึกออกมาให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะนำเสนอความคิดของผมเองที่มีต่อเรื่องราวเหล่านี้ครับ
ด้วยความเคารพ
นภดล
24/6/2553
วันพุธที่ 7 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
สามก๊ก ตอน รู้จักเล่าปี่
เมื่อหน่วย ปจว ของเล่าเอี๋ยน เดินทางมาถึงเมืองตุ้นก้วน ก็เริ่มดำเนินการติดป้ายประชาสัมพันธ์ไว้ที่หน้าประตูเมืองเพื่อรับสมัครผู้กล้าทั้งหลายเข้ามาร่วมรบกับกลุ่มโจรโพกผ้าเหลือง และที่เมืองตุ้นก้วนแห่งนี้ก็เป็นต้นกำเนิดของพระเอกในใจของคนอ่านสามก๊กหลายๆท่าน นั่นก็คือ"เล่าปี่"..ผู้ซึ่งเป็นผู้นำของก๊กใหญ่ก๊กหนึ่งในบรรดาก๊กทั้งสามที่เป็นที่มาของเรื่องสามก๊ก เรามาทำความรู้จักกับเล่าปี่กันก่อนดีกว่าครับว่าเล่าปี่มีประวัติความเป็นมาอย่างไร เพราะถ้าอ่านๆไปจนถึงเวลาเล่าปี่ไปเป็นใหญ่เป็นโตแล้วจะได้ไม่ต้องกลับมาขุดเรื่องราวเก่าๆเอาไปอภิปรายในสภา เวลายื่นถอดถอนหรือไม่ไว้วางใจกันอีก
เล่าปี่นี้เมื่อตอนเด็กๆ มีชื่อว่า เหี้ยนเต๊ก มีเชื้อสายเจ้า มีเชื้อสายของพระเจ้าฮั่นโกโจ ปฐมวงศ์ของราชวงศ์ที่ปกครองแผ่นดินอยู่ในตอนนี้ โดยผ่านมาทางเชื้อสายของ"พระเจ้าฮั่นเกงเต้"เล่าปี่กำพร้าบิดา เหลือแต่แม่ที่เป็นผู้เลี้ยงดูเล่าปี่จนเติบโต และเล่าปี่เองเป็นคนมีใจกตัญญูทำนุบำรุงมารดา มิให้ต้องลำบากใดๆ แม้ว่าครอบครัวของเล่าปี่จะเป็นคนยากจนมีอาชีพทอเสื่อขายเลี้ยงชีพ ( ในหนังสามก๊ก ตอนโจโฉแตกทัพเรือ กล่าวว่าเล่าปี่ มีอาชีพถักรองเท้าฟาง ) แต่ที่ผมสงสัยก็คือทำไมทั้งๆที่เล่าปี่มีเชื้อพระวงศ์ แล้วทำไมต้องมาลำบากอยู่ที่หัวเมืองที่ห่างไกลความเจริญขนาดนี้ แล้วเมื่อพระเจ้า ฮั่นเต้ ไม่มีราชบุตร ทำไมถึงเอา เลนเต้มาเลี้ยงแล้วยกราชสมบัติให้ ทั้งๆที่ถ้าสืบความกันดีๆแล้วยังมีเชื้อสายของพระเจ้าฮั่นโกโจอยู่อีกมากมาย
หรือเลนเต้เองก็มีเชื้อสายของพระเจ้าฮั่นโกโจเช่นกัน..?
เล่าปี่นั้นไม่ค่อยที่จะรักในเรื่องการเรียนหนังสือเท่าใดนัก อาจจะด้วยฐานะทางบ้านที่ยากจนหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ และในสมัยนั้นก็ยังไม่มีโครงการกู้ยืมเพื่อการศึกษาอีกด้วย ดังนั้นเล่าปี่จึงไม่ได้เป็น จอหงวน ไม่ได้เป็นขุนนาง เพราะถ้าเล่าปี่ขยันเรียนสอบจอหงวนได้ แล้วเข้าไปรับราชการในเมืองหลวง เรื่องสามก๊กก็คงจะเอวังลงแต่เพียงเท่านี้ ผมก็คงจะไม่มีอะไรมานั่งเล่าให้ฟังอีก ดังนั้นจึงถือว่าโชคดีของผมที่เล่าปี่ไม่ขยันที่จะเรียนหนังสือครับ ทำให้มีเรื่องมาเล่าตามประสาคนแก่ไปได้อีกนานเลยทีเดียว
เล่าปี่เป็นคนใจกว้าง มีน้ำใจกับเพื่อนฝูง ใครไปใครมาก็ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี เป็นคนสุขุม ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่พอใจ สีหน้าก็เรียบเฉย เป็นคนเก็บอารมณ์ได้เป็นอย่างดี คนที่มีลักษณะสุขุม เก็บสีหน้าท่าทางไว้ได้เช่นนี้ มีโอกาสที่จะเป็นใหญ่เป็นโตได้ไม่ยากนัก การที่จะเป็นคนที่เก็บอารมณ์ความรู้สึกไว้ได้อย่างมิดชิดนั้น ต้องอาศัยวุฒิภาวะ ระดับการศึกษา และอีกหลายๆอย่างมาประกอบกัน เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าใครๆก็ทำได้ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่คำว่า ไพร่ กับผู้ดี มาแยกแยะให้เห็นกันอย่างชัดเจนแน่นอน เล่าปี่มีรูปร่างสูงใหญ่ สมบูรณ์ หูยานถึงบ่า (ไม่มีใครดีงแน่ๆ ) มือยาวถึงเข่า หน้าขาว ปากแดง ตาเรียวยาวสามารถชำเลืองมองเห็นใบหูได้ ลักษณะแบบนี้ถ้ามาปรากฏในสมัยนี้คงจะดูแปลกๆตาจนมีคนสนใจมาดู อาจจะโด่งดังไปไกลถึงต่างประเทศผ่านทางยูทูป อาจจะได้ออก ซีเอ็นเอ็น โดยผ่านการสัมภาษณ์ของนายแดน ริเวอร์ส ก็เป็นได้ แต่ในสมัยนั้นลักษณะเช่นนี้จัดได้ว่าเป็นลักษณะของผู้มีบุญกันเลยทีเดียว
บ้านที่เล่าปี่อาศัยอยู่ มีชื่อว่า บ้านเล่าซองฉุน คงจะเหมือนชื่อบ้านจันทร์ส่องหล้า บ้านบางแค ในสมัยนี้ ที่ชอบตั้งชื่อกันอย่างสวยหรู แต่น่าแปลกที่บ้านเหล่านี้ ไม่ค่อยมีคนอยากอยู่ หรือไม่ก็อยากจะอยู่แต่กลับมาอยู่ไม่ได้ ที่บ้านเล่าซองฉุนมีต้นหม่อนต้นใหญ่อยู่หนึ่งต้น กิ่งต้นหม่อนมีลักษณะเป็นพุ่มฉัตรมีร่มเงากว้างขวาง เคยมีหมอดูเดินผ่านบ้านของเล่าปี่ แล้วบอกว่าบ้านนี้มีผู้มีบุญอาศัยอยู่ น่าเสียดายที่แม้ว่าลักษณะท่าทางของเล่าปี่รวมทั้งที่อยู่อาศัยจะบ่งบอกว่าเป็นคนมีบุญแต่ครอบครัวของเล่าปี่ยังยากจนต้องทอเสื่อขาย ไม่มีเงินทองใช้จ่ายมากมายนัก จะด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มี สแกนกรรม สเกตกรรม ขยำกระดาษ ฟันธง มาช่วยแก้ปัญหาชีวิต และเทคโนโลยีในสมัยนั้นไม่พัฒนาถึงขั้นสูงสุดเหมือนสมัยนี้ ที่มีป้าย "บ้านนี้อยู่แล้วรวย" มาติดที่หน้าบ้าน แล้วทำให้รวยได้โดยไม่ต้องทำงาน ดังนั้นเล่าปี่จึงต้องอดทนรับความลำบากกันต่อไป
สมัยเด็ก เล่าปี่ก็เหมือนเด็กทั่วไป วิ่งเล่นไปรอบๆบ้าน ส่วนจะตีไก่กัดปลาด้วยหรือเปล่านั้นผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆเล่าปี่ในสมัยเด็กไม่ได้ออกไปขับมอเตอร์ไซค์ป่วนเมืองเหมือนเด็กๆสมัยนี้แน่นอนครับ เด็กชายเล่าปี่ทำได้แค่วิ่งเล่นไล่จับ เล่นซ่อนหา อาจจะมีมอญซ่อนผ้าด้วยแต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เด็กชายเล่าปี่เป็นที่รู้จักของเด็กในหมู่บ้านโดยไม่ต้องถ่ายคลิปตัวเองลงในอินเตอร์เนต แต่เป็นที่รู้จักด้วยความที่เป็นคนใจกว้างโอบอ้อมอารี รักเพื่อนฝูง ดังนั้นเล่าปี่เลยถูกยกให้เป็นพี่ใหญ่ เป็นผู้นำเด็กและเยาวชนในหมู่บ้านในการจัดสรรพื้นที่วิ่งเล่น เป็นคนออกหมายกำหนดการเดินทางไปเล่นในสถานที่ต่างๆโดยที่ไม่มีใครกล้าขัดแย้ง เมื่อถึงเวลาสายๆหลังจากกินข้าวกินปลากันเรียบร้อยเหล่าเด็กๆในหมู่บ้านก็มารวมตัวกันที่บ้านเล่าปี่กันอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อไปหาที่เล่นสนุกกันโดยไม่ต้องมี เฟสบุ๊ค หรือ เอ็มเอสเอ็น ในการติดต่อกันแต่อย่างใด
ในวันหนึ่งเล่าปี่ เล่นกับเพื่อนๆทั้งหลายตามปกติ เมื่อมาถึงต้นหม่อนต้นนี้ เล่าปี่ก็ประกาศกับเพื่อนๆว่า "ถ้ากูได้เป็นเจ้า กูจะเอาต้นหม่อนต้นนี้ไปทำเศวตรฉัตร" เมื่อความนี้รู้ไปถึง "เล่าอ้วนกี"ผู้เป็นอา เล่าอ้วนกี แทนที่จะว่ากล่าวตักเตือนหลานชาย ว่าอย่าคิดอะไรที่ไกลเกินตัว เดี๋ยวจะเดือดร้อนไม่มีแผ่นดินอยู่ แต่ผู้เป็นอากลับคิดว่าเล่าปี่จะต้องเป็นผู้มีบุญ ต่อไปจะได้เป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมืองอย่างแน่นอน ทั้งๆที่ในความรู้สึกของผมแล้ว ถึงจะมีบุญจริงๆก็ไม่ค่อยชอบที่ใครจะมาพูดแบบนี้ ในหนังสือเรื่องสามก๊กอาจจะแต่งเติมขึ้นไปให้เล่าปี่ดูเหมือนกับคนมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ เกินความเป็นจริงไปซักหน่อย แต่ก็ยังรับได้ครับ ก็หนังสือแต่งมาเพื่อความบันเทิงนี่ครับจะไปคิดอะไรกันมากมาย..
ดังนั้นเล่าอ้วนกี จึงแอบเอาเงินมาสนับสนุนพรรค(...ไม่ใช่ๆๆ) มาสนับสนุนเล่าปี่อยู่เนืองๆ ให้เงินเล่าปี่เพื่อนำไปเลี้ยงดูมารดา ให้เงินกินขนม เผื่อว่าโตขึ้นเล่าปี่ได้เป็นใหญ่เป็นโตขึ้นมาจริงๆ อาจะได้สบายด้วย หรือไม่ก็จะได้ฝากลูกฝากหลานไปเป็นรัฐมนตรีได้โดยที่ไม่ต้องมีความสามารถ เหมือนกับสมัยนี้ที่รัฐมนตรีในรัฐบาลแทบจะทุกรัฐบาล ต้องมี"หมาหลง" เข้ามาเป็นรัฐมนตรี ไอ้คำว่าหมาหลง ปกติใช้กับผู้สมัคร ส ส ที่ไม่ใช่คนพื้นที่ หรือมาสมัครรับเลือกตั้งในจังหวัดที่ไม่ใช่บ้านเกิด รัฐมนตรีหมาหลง ก็คล้ายๆกันครับ มาจากไหนก็ไม่รู้ ทำงานเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นโควต้าของกลุ่มที่สนับสนุนพรรคการเมืองเลยได้มาเป็นรัฐมนตรีเล่นๆ เพื่อยกระดับหน้าตาในสังคม.. (หยุดพัก ไว้อาลัยให้ประเทศไทย สองนาทีครับ) แสดงว่าเรื่องแบบนี้มีมานานแล้วจริงๆด้วย
ในด้านการศึกษา ถึงเล่าปี่จะไม่ได้เรียนหนังสือถึงขั้นสูง แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นคนไร้การศึกษา เล่าปี่ได้เรียนหนังสือเมื่อตอนอายุ สิบห้าปี (ถ้าเป็นยุคนี้ น่าจะเรียกเด็กโข่ง) โดยมารดาฝากให้ไปเรียนกับ อาจารย์ เต้เหี้ยน เล่าปี่มีเพื่อนร่วมรุ่น อยู่สองคน คือ "โลติด" กับ "กองซุนจ้าน" น่าเสียดายที่เพื่อนร่วมรุ่นน้อยไปหน่อย ถ้ามีมากๆ วันดีคืนดีอาจจะร่วมกัน ปฏิวัติ เล่นๆ แบบพวกนักเรียนโรงเรียนนายร้อยบางประเทศก็เป็นได้
พูดถึงโรงเรียนนายร้อยในบางประเทศแถวๆนี้ ผมเริ่มสงสัยว่ามันมีวิชา จำพวก "ทฤษฏีปฏิวัติ" "การปฏิวัติเบื้องต้น" เป็นวิชาเลือกให้เรียนอยู่ด้วยหรือเปล่า เห็นจบมาทำงานแล้วถ้าไม่ปฏิวัติก็ต้องมีคำว่าปฏิวัติอยู่ในหัวกันแทบทุกคน และถ้ามีอยู่จริงอยากจะฝากให้ใส่วิชา "ปฏิวัติแล้วควรทำอะไร" เป็นวิชาบังคับไว้ด้วย เผื่อว่าบังเอิญปฏิวัติสำเร็จแล้วจะได้รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป..หลังจากยึดอำนาจมาได้
เล่าปี่เรียนที่สำนักของอาจารย์เต้เหี้ยนอยู่ถึงสิบปีจะเป็นเพราะหลักสูตรระยะยาวหรือสอบตกต้องเรียนซ้ำชั้นในหนังสือไม่ได้บอกไว้ครับ ส่วนจะได้วุฒิการศึกษาระดับใดนั้นในเรื่องไม่ได้บอกไว้ เรื่องวุฒิการศึกษาคงจะไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเล่าปี่เพราะไม่ได้คิดจะเล่นการเมือง หรือถ้าคิดจะเล่นการเมืองจริงๆก็คงจะพอหาซื้อได้ไม่ยากนัก เห็นนักการเมืองบางประเทศจะจบ ด็อกเตอร์กันแล้ว ภาษาอังกฤษยังไม่กระดิกเลยก็มี
เอาเป็นว่าเล่าปี่แยกทางกับ โลติด และ กองซุนจ้าน ตอนอายุยี่สิบห้าปี นี่ถ้าเป็นคนไทยก็คงจะบวชเพื่ออุทิศส่วนบุญให้เจ้ากรรมนายเวรกันก่อน เพราะเข้าเบญจเพสแล้วเดี๋ยวจะโชคไม่ดี จะโดนรถชน ตกงาน แฟนทิ้ง และอื่นๆอีกมากมาย แต่เท่าที่ผมอ่านสามก๊กมา ไม่เห็นคนยุคนี้พูดถึงเรื่องเบญจเพสนี้เลย ไม่มีเรื่องราวถึงพิธีบวชตอนอายุยี่สิบห้า ไม่เห็นนักบวชในสมัยนั้น บังคับคนไปรดน้ำมนต์ รีดเงินทำบุญด้วยคำขู่ที่ว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" ถึงจะไม่มีใครในสมัยนั้นทำบุญใหญ่หรือบวชตอนอายุยี่สิบห้า แต่ก็ไม่เห็นมีใคร โดนเกวียนชน ตกม้า หมากัด ให้ต้องไป โทษเวร โทษกรรม โทษอายุตัวเองเลยแม้แต่คนเดียว
เพื่อนร่วมสำนักของเล่าปี่ทั้งสองคนหลังจากที่เรียนจบที่นี่ก็ไปเรียนต่อและไปทำงานที่ต่างเมืองได้ดิบได้ดีกันตามความรู้ความสามารถ แต่เล่าปี่ไม่ออกไปไหนเพราะมีหน้าที่ต้องเลี้ยงดูมารดา ตามลักษณะของลูกกตัญญู โดยที่เพื่อนของเล่าปี่ทั้งสองคนนี้ถึงแม้ว่าจะแยกย้ายกันไปอยู่ห่างไกลกัน แต่ก็ไม่ลืมกัน ยังส่งข่าวคราวถึงกันอยู่เป็นระยะ และในภายหลังก็มีส่วนในการเป็นใหญ่เป็นโตของเล่าปี่อยู่มากพอสมควร โดยกองซุนจ้านนั้นมีส่วนสำคัญในการพา เล่าปี่ กวนอูและเตียวหุยติดตามกองทัพของตนไปร่วมปราบโจรโพกผ้าเหลือง เรียกได้ว่าเป็นนักปั้นตัวจริงเลยทีเดียว ถ้าเล่าปี่เป็นอั้ม พัชราภา กองซุนจ้านก็เป็น อุ๊บ วิริยะ ละครับ
จะเห็นได้ว่า ตัวเล่าปี่เอง ไม่ได้มีความพร้อมใดๆที่จะเป็นใหญ่เป็นโตได้เลย เรียนก็ไม่เก่ง ฐานะก็ยากจน แต่ทำไมในบั้นปลายถึงได้เป็นเจ้า เป็นผู้ปกครองแคว้นใหญ่หนึ่งในสามก๊ก ตอบได้ว่า เป็นเพราะความใจกว้าง รักเพื่อนรักฝูง รู้จักคบคนดี ไม่เอาเปรียบเพื่อน ดังเช่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องของการมีกัลยาณมิตร เรื่องราวภูมิหลังของเล่าปี่ก็คงจะจบลงแค่นี้ ไว้ตอนหน้าจะมาเล่าถึงตอนที่เล่าปี่ได้เจอกับ พี่น้องร่วมสาบาน กวนอูและเตียวหุยให้ฟังกันครับ
นภดล 5/6/2553
เล่าปี่นี้เมื่อตอนเด็กๆ มีชื่อว่า เหี้ยนเต๊ก มีเชื้อสายเจ้า มีเชื้อสายของพระเจ้าฮั่นโกโจ ปฐมวงศ์ของราชวงศ์ที่ปกครองแผ่นดินอยู่ในตอนนี้ โดยผ่านมาทางเชื้อสายของ"พระเจ้าฮั่นเกงเต้"เล่าปี่กำพร้าบิดา เหลือแต่แม่ที่เป็นผู้เลี้ยงดูเล่าปี่จนเติบโต และเล่าปี่เองเป็นคนมีใจกตัญญูทำนุบำรุงมารดา มิให้ต้องลำบากใดๆ แม้ว่าครอบครัวของเล่าปี่จะเป็นคนยากจนมีอาชีพทอเสื่อขายเลี้ยงชีพ ( ในหนังสามก๊ก ตอนโจโฉแตกทัพเรือ กล่าวว่าเล่าปี่ มีอาชีพถักรองเท้าฟาง ) แต่ที่ผมสงสัยก็คือทำไมทั้งๆที่เล่าปี่มีเชื้อพระวงศ์ แล้วทำไมต้องมาลำบากอยู่ที่หัวเมืองที่ห่างไกลความเจริญขนาดนี้ แล้วเมื่อพระเจ้า ฮั่นเต้ ไม่มีราชบุตร ทำไมถึงเอา เลนเต้มาเลี้ยงแล้วยกราชสมบัติให้ ทั้งๆที่ถ้าสืบความกันดีๆแล้วยังมีเชื้อสายของพระเจ้าฮั่นโกโจอยู่อีกมากมาย
หรือเลนเต้เองก็มีเชื้อสายของพระเจ้าฮั่นโกโจเช่นกัน..?
เล่าปี่นั้นไม่ค่อยที่จะรักในเรื่องการเรียนหนังสือเท่าใดนัก อาจจะด้วยฐานะทางบ้านที่ยากจนหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้ และในสมัยนั้นก็ยังไม่มีโครงการกู้ยืมเพื่อการศึกษาอีกด้วย ดังนั้นเล่าปี่จึงไม่ได้เป็น จอหงวน ไม่ได้เป็นขุนนาง เพราะถ้าเล่าปี่ขยันเรียนสอบจอหงวนได้ แล้วเข้าไปรับราชการในเมืองหลวง เรื่องสามก๊กก็คงจะเอวังลงแต่เพียงเท่านี้ ผมก็คงจะไม่มีอะไรมานั่งเล่าให้ฟังอีก ดังนั้นจึงถือว่าโชคดีของผมที่เล่าปี่ไม่ขยันที่จะเรียนหนังสือครับ ทำให้มีเรื่องมาเล่าตามประสาคนแก่ไปได้อีกนานเลยทีเดียว
เล่าปี่เป็นคนใจกว้าง มีน้ำใจกับเพื่อนฝูง ใครไปใครมาก็ต้อนรับขับสู้เป็นอย่างดี เป็นคนสุขุม ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่พอใจ สีหน้าก็เรียบเฉย เป็นคนเก็บอารมณ์ได้เป็นอย่างดี คนที่มีลักษณะสุขุม เก็บสีหน้าท่าทางไว้ได้เช่นนี้ มีโอกาสที่จะเป็นใหญ่เป็นโตได้ไม่ยากนัก การที่จะเป็นคนที่เก็บอารมณ์ความรู้สึกไว้ได้อย่างมิดชิดนั้น ต้องอาศัยวุฒิภาวะ ระดับการศึกษา และอีกหลายๆอย่างมาประกอบกัน เรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าใครๆก็ทำได้ ไม่อย่างนั้นเราจะไม่คำว่า ไพร่ กับผู้ดี มาแยกแยะให้เห็นกันอย่างชัดเจนแน่นอน เล่าปี่มีรูปร่างสูงใหญ่ สมบูรณ์ หูยานถึงบ่า (ไม่มีใครดีงแน่ๆ ) มือยาวถึงเข่า หน้าขาว ปากแดง ตาเรียวยาวสามารถชำเลืองมองเห็นใบหูได้ ลักษณะแบบนี้ถ้ามาปรากฏในสมัยนี้คงจะดูแปลกๆตาจนมีคนสนใจมาดู อาจจะโด่งดังไปไกลถึงต่างประเทศผ่านทางยูทูป อาจจะได้ออก ซีเอ็นเอ็น โดยผ่านการสัมภาษณ์ของนายแดน ริเวอร์ส ก็เป็นได้ แต่ในสมัยนั้นลักษณะเช่นนี้จัดได้ว่าเป็นลักษณะของผู้มีบุญกันเลยทีเดียว
บ้านที่เล่าปี่อาศัยอยู่ มีชื่อว่า บ้านเล่าซองฉุน คงจะเหมือนชื่อบ้านจันทร์ส่องหล้า บ้านบางแค ในสมัยนี้ ที่ชอบตั้งชื่อกันอย่างสวยหรู แต่น่าแปลกที่บ้านเหล่านี้ ไม่ค่อยมีคนอยากอยู่ หรือไม่ก็อยากจะอยู่แต่กลับมาอยู่ไม่ได้ ที่บ้านเล่าซองฉุนมีต้นหม่อนต้นใหญ่อยู่หนึ่งต้น กิ่งต้นหม่อนมีลักษณะเป็นพุ่มฉัตรมีร่มเงากว้างขวาง เคยมีหมอดูเดินผ่านบ้านของเล่าปี่ แล้วบอกว่าบ้านนี้มีผู้มีบุญอาศัยอยู่ น่าเสียดายที่แม้ว่าลักษณะท่าทางของเล่าปี่รวมทั้งที่อยู่อาศัยจะบ่งบอกว่าเป็นคนมีบุญแต่ครอบครัวของเล่าปี่ยังยากจนต้องทอเสื่อขาย ไม่มีเงินทองใช้จ่ายมากมายนัก จะด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่สามารถที่จะบอกได้ เนื่องจากสมัยนั้นยังไม่มี สแกนกรรม สเกตกรรม ขยำกระดาษ ฟันธง มาช่วยแก้ปัญหาชีวิต และเทคโนโลยีในสมัยนั้นไม่พัฒนาถึงขั้นสูงสุดเหมือนสมัยนี้ ที่มีป้าย "บ้านนี้อยู่แล้วรวย" มาติดที่หน้าบ้าน แล้วทำให้รวยได้โดยไม่ต้องทำงาน ดังนั้นเล่าปี่จึงต้องอดทนรับความลำบากกันต่อไป
สมัยเด็ก เล่าปี่ก็เหมือนเด็กทั่วไป วิ่งเล่นไปรอบๆบ้าน ส่วนจะตีไก่กัดปลาด้วยหรือเปล่านั้นผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ที่แน่ๆเล่าปี่ในสมัยเด็กไม่ได้ออกไปขับมอเตอร์ไซค์ป่วนเมืองเหมือนเด็กๆสมัยนี้แน่นอนครับ เด็กชายเล่าปี่ทำได้แค่วิ่งเล่นไล่จับ เล่นซ่อนหา อาจจะมีมอญซ่อนผ้าด้วยแต่ยังไม่ได้รับการยืนยัน เด็กชายเล่าปี่เป็นที่รู้จักของเด็กในหมู่บ้านโดยไม่ต้องถ่ายคลิปตัวเองลงในอินเตอร์เนต แต่เป็นที่รู้จักด้วยความที่เป็นคนใจกว้างโอบอ้อมอารี รักเพื่อนฝูง ดังนั้นเล่าปี่เลยถูกยกให้เป็นพี่ใหญ่ เป็นผู้นำเด็กและเยาวชนในหมู่บ้านในการจัดสรรพื้นที่วิ่งเล่น เป็นคนออกหมายกำหนดการเดินทางไปเล่นในสถานที่ต่างๆโดยที่ไม่มีใครกล้าขัดแย้ง เมื่อถึงเวลาสายๆหลังจากกินข้าวกินปลากันเรียบร้อยเหล่าเด็กๆในหมู่บ้านก็มารวมตัวกันที่บ้านเล่าปี่กันอย่างพร้อมเพรียงกัน เพื่อไปหาที่เล่นสนุกกันโดยไม่ต้องมี เฟสบุ๊ค หรือ เอ็มเอสเอ็น ในการติดต่อกันแต่อย่างใด
ในวันหนึ่งเล่าปี่ เล่นกับเพื่อนๆทั้งหลายตามปกติ เมื่อมาถึงต้นหม่อนต้นนี้ เล่าปี่ก็ประกาศกับเพื่อนๆว่า "ถ้ากูได้เป็นเจ้า กูจะเอาต้นหม่อนต้นนี้ไปทำเศวตรฉัตร" เมื่อความนี้รู้ไปถึง "เล่าอ้วนกี"ผู้เป็นอา เล่าอ้วนกี แทนที่จะว่ากล่าวตักเตือนหลานชาย ว่าอย่าคิดอะไรที่ไกลเกินตัว เดี๋ยวจะเดือดร้อนไม่มีแผ่นดินอยู่ แต่ผู้เป็นอากลับคิดว่าเล่าปี่จะต้องเป็นผู้มีบุญ ต่อไปจะได้เป็นใหญ่เป็นโตในบ้านเมืองอย่างแน่นอน ทั้งๆที่ในความรู้สึกของผมแล้ว ถึงจะมีบุญจริงๆก็ไม่ค่อยชอบที่ใครจะมาพูดแบบนี้ ในหนังสือเรื่องสามก๊กอาจจะแต่งเติมขึ้นไปให้เล่าปี่ดูเหมือนกับคนมีบุญหนักศักดิ์ใหญ่ เกินความเป็นจริงไปซักหน่อย แต่ก็ยังรับได้ครับ ก็หนังสือแต่งมาเพื่อความบันเทิงนี่ครับจะไปคิดอะไรกันมากมาย..
ดังนั้นเล่าอ้วนกี จึงแอบเอาเงินมาสนับสนุนพรรค(...ไม่ใช่ๆๆ) มาสนับสนุนเล่าปี่อยู่เนืองๆ ให้เงินเล่าปี่เพื่อนำไปเลี้ยงดูมารดา ให้เงินกินขนม เผื่อว่าโตขึ้นเล่าปี่ได้เป็นใหญ่เป็นโตขึ้นมาจริงๆ อาจะได้สบายด้วย หรือไม่ก็จะได้ฝากลูกฝากหลานไปเป็นรัฐมนตรีได้โดยที่ไม่ต้องมีความสามารถ เหมือนกับสมัยนี้ที่รัฐมนตรีในรัฐบาลแทบจะทุกรัฐบาล ต้องมี"หมาหลง" เข้ามาเป็นรัฐมนตรี ไอ้คำว่าหมาหลง ปกติใช้กับผู้สมัคร ส ส ที่ไม่ใช่คนพื้นที่ หรือมาสมัครรับเลือกตั้งในจังหวัดที่ไม่ใช่บ้านเกิด รัฐมนตรีหมาหลง ก็คล้ายๆกันครับ มาจากไหนก็ไม่รู้ ทำงานเป็นหรือเปล่าก็ไม่รู้ รู้แต่ว่าเป็นโควต้าของกลุ่มที่สนับสนุนพรรคการเมืองเลยได้มาเป็นรัฐมนตรีเล่นๆ เพื่อยกระดับหน้าตาในสังคม.. (หยุดพัก ไว้อาลัยให้ประเทศไทย สองนาทีครับ) แสดงว่าเรื่องแบบนี้มีมานานแล้วจริงๆด้วย
ในด้านการศึกษา ถึงเล่าปี่จะไม่ได้เรียนหนังสือถึงขั้นสูง แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นคนไร้การศึกษา เล่าปี่ได้เรียนหนังสือเมื่อตอนอายุ สิบห้าปี (ถ้าเป็นยุคนี้ น่าจะเรียกเด็กโข่ง) โดยมารดาฝากให้ไปเรียนกับ อาจารย์ เต้เหี้ยน เล่าปี่มีเพื่อนร่วมรุ่น อยู่สองคน คือ "โลติด" กับ "กองซุนจ้าน" น่าเสียดายที่เพื่อนร่วมรุ่นน้อยไปหน่อย ถ้ามีมากๆ วันดีคืนดีอาจจะร่วมกัน ปฏิวัติ เล่นๆ แบบพวกนักเรียนโรงเรียนนายร้อยบางประเทศก็เป็นได้
พูดถึงโรงเรียนนายร้อยในบางประเทศแถวๆนี้ ผมเริ่มสงสัยว่ามันมีวิชา จำพวก "ทฤษฏีปฏิวัติ" "การปฏิวัติเบื้องต้น" เป็นวิชาเลือกให้เรียนอยู่ด้วยหรือเปล่า เห็นจบมาทำงานแล้วถ้าไม่ปฏิวัติก็ต้องมีคำว่าปฏิวัติอยู่ในหัวกันแทบทุกคน และถ้ามีอยู่จริงอยากจะฝากให้ใส่วิชา "ปฏิวัติแล้วควรทำอะไร" เป็นวิชาบังคับไว้ด้วย เผื่อว่าบังเอิญปฏิวัติสำเร็จแล้วจะได้รู้ว่าควรจะทำอะไรต่อไป..หลังจากยึดอำนาจมาได้
เล่าปี่เรียนที่สำนักของอาจารย์เต้เหี้ยนอยู่ถึงสิบปีจะเป็นเพราะหลักสูตรระยะยาวหรือสอบตกต้องเรียนซ้ำชั้นในหนังสือไม่ได้บอกไว้ครับ ส่วนจะได้วุฒิการศึกษาระดับใดนั้นในเรื่องไม่ได้บอกไว้ เรื่องวุฒิการศึกษาคงจะไม่ใช่เรื่องสำคัญสำหรับเล่าปี่เพราะไม่ได้คิดจะเล่นการเมือง หรือถ้าคิดจะเล่นการเมืองจริงๆก็คงจะพอหาซื้อได้ไม่ยากนัก เห็นนักการเมืองบางประเทศจะจบ ด็อกเตอร์กันแล้ว ภาษาอังกฤษยังไม่กระดิกเลยก็มี
เอาเป็นว่าเล่าปี่แยกทางกับ โลติด และ กองซุนจ้าน ตอนอายุยี่สิบห้าปี นี่ถ้าเป็นคนไทยก็คงจะบวชเพื่ออุทิศส่วนบุญให้เจ้ากรรมนายเวรกันก่อน เพราะเข้าเบญจเพสแล้วเดี๋ยวจะโชคไม่ดี จะโดนรถชน ตกงาน แฟนทิ้ง และอื่นๆอีกมากมาย แต่เท่าที่ผมอ่านสามก๊กมา ไม่เห็นคนยุคนี้พูดถึงเรื่องเบญจเพสนี้เลย ไม่มีเรื่องราวถึงพิธีบวชตอนอายุยี่สิบห้า ไม่เห็นนักบวชในสมัยนั้น บังคับคนไปรดน้ำมนต์ รีดเงินทำบุญด้วยคำขู่ที่ว่า "ไม่เชื่ออย่าลบหลู่" ถึงจะไม่มีใครในสมัยนั้นทำบุญใหญ่หรือบวชตอนอายุยี่สิบห้า แต่ก็ไม่เห็นมีใคร โดนเกวียนชน ตกม้า หมากัด ให้ต้องไป โทษเวร โทษกรรม โทษอายุตัวเองเลยแม้แต่คนเดียว
เพื่อนร่วมสำนักของเล่าปี่ทั้งสองคนหลังจากที่เรียนจบที่นี่ก็ไปเรียนต่อและไปทำงานที่ต่างเมืองได้ดิบได้ดีกันตามความรู้ความสามารถ แต่เล่าปี่ไม่ออกไปไหนเพราะมีหน้าที่ต้องเลี้ยงดูมารดา ตามลักษณะของลูกกตัญญู โดยที่เพื่อนของเล่าปี่ทั้งสองคนนี้ถึงแม้ว่าจะแยกย้ายกันไปอยู่ห่างไกลกัน แต่ก็ไม่ลืมกัน ยังส่งข่าวคราวถึงกันอยู่เป็นระยะ และในภายหลังก็มีส่วนในการเป็นใหญ่เป็นโตของเล่าปี่อยู่มากพอสมควร โดยกองซุนจ้านนั้นมีส่วนสำคัญในการพา เล่าปี่ กวนอูและเตียวหุยติดตามกองทัพของตนไปร่วมปราบโจรโพกผ้าเหลือง เรียกได้ว่าเป็นนักปั้นตัวจริงเลยทีเดียว ถ้าเล่าปี่เป็นอั้ม พัชราภา กองซุนจ้านก็เป็น อุ๊บ วิริยะ ละครับ
จะเห็นได้ว่า ตัวเล่าปี่เอง ไม่ได้มีความพร้อมใดๆที่จะเป็นใหญ่เป็นโตได้เลย เรียนก็ไม่เก่ง ฐานะก็ยากจน แต่ทำไมในบั้นปลายถึงได้เป็นเจ้า เป็นผู้ปกครองแคว้นใหญ่หนึ่งในสามก๊ก ตอบได้ว่า เป็นเพราะความใจกว้าง รักเพื่อนรักฝูง รู้จักคบคนดี ไม่เอาเปรียบเพื่อน ดังเช่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าในเรื่องของการมีกัลยาณมิตร เรื่องราวภูมิหลังของเล่าปี่ก็คงจะจบลงแค่นี้ ไว้ตอนหน้าจะมาเล่าถึงตอนที่เล่าปี่ได้เจอกับ พี่น้องร่วมสาบาน กวนอูและเตียวหุยให้ฟังกันครับ
นภดล 5/6/2553
วันอังคารที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
แม่ของผมกับ "ผม"ของผม
แม่ของผมกับ "ผม"ของผม
"ถ้าผูกผม ไม่ต้องมากินข้าวที่บ้านนะลูก" นี่คือคำพูดของแม่ผมเมื่อซักสองสามวันที่แล้ว หลังจากที่แม่มาลูบหัวผมตอนที่ผมนั่งกินข้าวอยู่ที่บ้านแม่ แม่พูดยิ้มๆ แต่ผมก็เข้าใจดีว่าแม่ไม่ชอบให้ลูกของแม่ไว้ผมยาว ผมไม่ได้ตัด"ผม" มาหกเดือนแล้วจะด้วยสาเหตุอะไรก็ช่างมันเถอะครับ แต่ตอนนี้มันยาวประมาณคอซึ่งเมื่อก่อนผมก็เคยไว้ยาวกว่านี้ ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบอยู่ในกรอบของการบังคับใดๆมากนัก อยากจะทำอะไรก็ทำ บางครั้งผมไว้หนวดไว้เคราซะยาว จนพี่ปุก ฝ่ายบุคคลที่น่ารักในบริษัท แอบๆเหล่ จนต้องไปโกนก่อนเข้า ออฟฟิศ
ผมเคยคิดว่าก็มันเรื่องของผมนี่นาจะยาวจะสั้นก็เรื่องของผม ใครจะทำไม แต่รอบก่อนผมตัด"ผม" ก็เพราะว่าไม่อยากจะไว้ผมยาวเพราะการพนัน ก็ผมไปพนันกับพี่บ็อบ ไว้ว่าใครตัดผมก่อนต้องเสียเบียร์ลังนึง ผมก็เสียดายค่าเบียร์เลยไว้ผมยาวแต่สุดท้าย ผมก็ยอมซื้อเบียร์ให้พี่ค้าไปลังนึงแล้วก็ไปตัดผม ไม่ไหวมันรำคาญมากๆเลยครับ จนมาครั้งนี้จะเป็นเพราะอะไรก็ไม่ทราบผมถึงไม่ยอมไปหาช่างตัดผม อาจจะเป็นเพราะทะเลาะกับช่างตัดผมอย่างที่ป้าจุกจิกว่าไว้ก็ได้ครับ
แม่ของผมเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆที่สวยที่สุดในโลกของผม ผมยังจำภาพที่แม่ผมไปโรงพักไปหาผู้กำกับ แล้วบอกว่า "เด็กคนนี้เป็นลูกแม่ถ้ามีอะไรก็บอกมาได้เลย" หลังจากที่ผมไปสร้างวีรเวรไว้นิดหน่อย พูดถึงสมัยที่ผมยังวัยรุ่นผมมีเรื่องขึ้นโรงพักอยู่สองครั้ง สองอำเภอ แม่ไปเคลียร์ครั้งนึง พ่อไปเคลียร์ครั้งนึง จนผมสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีกแน่ๆในชีวิตนี้ แม่สอนผมมาตั้งแต่เด็กให้ แบ่งปันสิ่งต่างๆให้คนรอบข้าง บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมแม่ต้องให้คนอื่นด้วย จนผมโตขึ้นผมถึงเข้าใจ ทุกวันนี้ผมไปที่ไหนถ้าใครรู้ว่าผมเป็นลูกแม่หรือลูกพ่อ ผมจะได้รับไมตรีอย่างดียิ่ง ผมได้รู้ว่าพ่อกับแม่ของผมมีคนรักมากจริงๆ ชีวิตนี้ผมคงทำไม่ได้แม้เพียงเสี้ยวนึงของที่พ่อกับแม่ของผมทำไว้ แต่ผมก็ภูมิใจมากที่เป็นลูกของพ่อกับแม่
แม่ของผมมาจากครอบครัวชาวสวนจนๆ จากอำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียนจบปวช แล้วก็ทำงาน มีลูกคนโตคือผม แม่เป็นข้าราชการระดับล่างสุดของกระทรวงศึกษาธิการ แต่แม่ก็ไม่เคยท้อถอย แม่เรียน ปวส ภาคค่ำ ในตอนที่ผมเรียนประถม แล้วผมก็เห็นแม่เรียน ปริญญาตรี วันเสาร์ อาทิตย์ แม่สอนผมเสมอว่า คนทุกคนเกิดมาเหมือนกัน ออกมาจากท้องแม่เหมือนกัน สิ่งที่จะทำให้คนเราแตกต่างกันในทางโลกก็คือการศึกษา และสิ่งที่จะทำให้คนเราแตกต่างในทางธรรมก็คือ ความดี
ดังนั้นเมื่อแม่จบปริญญาตรี หน้าที่การงานของแม่ก็ก้าวหน้าไปมาก ประกอบกับการใช้ชีวิตที่ไม่ฟุ่มเฟือยของพ่อและแม่ ครอบครัวของผมจึงเป็นปึกแผ่นอย่างรวดเร็ว พ่อกับแม่ได้เป็นข้าราชการระดับหัวหน้างานกันทั้งคู่ แต่แม่ผมก็ไม่เคยหยุดที่จะหาความรู้ใส่ตัว แม่ผมเรียนปริญญาโท และจบปริญญาโทมานานหลายปีแล้ว และแม่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นกำลังใจให้ผมเรียนจบออกมาจนได้ทำงานในบริษัทที่เป็นที่รู้จัก แม่เป็นกำลังใจให้ผมเสมอมาไม่ให้ท้อถอยหรือชิงลาออกจากบริษัทไปก่อนหน้านี้ สมัยที่ผมจบปริญญาตรี แต่ใช้วุฒิ ปวส ทำงาน แม่สอนให้ผมอดทน จนวันนี้ผมอยู่ในบริษัทนี้ด้วยตำแหน่ง วิศวกร มีเงินเดือนที่พอกินพอใช้ มีบ้านมีสวนยาง มีอะไรหลายๆอย่างที่พึงจะมี ผมบอกได้เลยครับว่าชีวิตนี้ผมได้เป็นแบบนี้เพราะผมเป็นลูกพ่อกับแม่
แม่เคยถามผมครั้งเดียวว่า "เลิกบุหรี่ได้มั้ย" ผมบอกว่าถ้าถึงเวลาเดี๋ยวจะเลิกเอง หลังจากนั้นแม่ผมก็ไม่ถามผมอีกเลยครับ มันจึงไม่แปลกที่ผมจะไม่รับปากใครทั้งนั้นว่าผมจะเลิกบุหรี่ ไม่ว่าสาวสวยคนนั้นจะเป็นใคร เพราะว่าอะไรก็ตามที่ผมให้แม่ผมไม่ได้ ก็จะไม่มีทางที่จะให้คนอื่นเช่นกัน
ผมซื้อสลากออมสินฝากแม่ไว้ทุกรอบ รอบละหมื่นบาทให้แม่ผมตรวจไปเรื่อยๆ พอครบกำหนดก็ให้แม่ไปขึ้นเงินมาใช้ บางครั้งก็ไม่เคยถูกเลย แต่รอบนี้แม่บอกผมว่า ถูกเลขท้ายมาสี่ครั้งแล้วได้ 600 บาท แสดงว่ารอบนี้ดวงดีขึ้นกว่ารอบก่อน แต่จะถูกหรือไม่ถูกพอครบกำหนดของสลากผมก็ยกให้แม่อยู่ดีละครับ
เคยมีคนถามแม่ว่าทำไมแม่ไม่ซื้อรถดีๆกว่านี้ แม่ก็บอกว่า รถคันเล็กๆแบบนี้ก็ดีแล้วแม่ตัวเล็กขับรถคันใหญ่คงไม่ไหว แม่ผมขับ Vios เกียร์ธรรมดา แต่แม่ซื้อเงินสด ด้วยเหตุผลที่ว่า ขี้เกียจมานั่งผ่อนอยู่ จะได้เอาหัวไปคิดเรื่องอื่น ถ้าซื้อรถแพงๆสี่ห้าปีก็ต้องขายเหมือนกันเก็บเงินไว้ทำอย่างอื่นดีกว่า
แม่ผมทำกับข้าวอร่อยมากๆ ผมเป็นคนที่อยู่ต่างจังหวัดบ่อย บ้านไม่ค่อยได้อยู่ซักเท่าไหร่ ต้องกินอาหารหลายที่หลายจังหวัด แต่ไม่เคยมีที่ไหน กินอร่อยเหมือนที่แม่ผมทำเลยครับ กิจวัตรประจำวันในวันหยุดของพ่อกับแม่ผมก็คือการเตรียมอาหารให้ลูกๆ พ่อจะไปตลาดตั้งแต่เช้า ไปนั่งกินกาแฟกับเพื่อนๆ เรื่องกินกาแฟกับเพื่อนๆตอนเช้านี่พ่อผมบอกว่า เราต้องไปคุยไปทักทายเพื่อนๆบ้าง พวกข้าราชการส่วนใหญ่ เวลามียศมีตำแหน่งมักจะลืมเพื่อน ติดในยศในตำแหน่ง เวลาเกษียณอายุแล้วมักจะไม่มีเพื่อน ตอนนี้เรายังทำงานเราก็ต้องไปหาเพื่อนหาพวกไว้บ้างมีอะไรจะช่วยเหลือกันได้ก็จะได้ช่วย เวลาเกษียณจะได้มีเพื่อน หลังจากกินกาแฟเสร็จพ่อจะซื้อกับข้าวกลับมา แล้วแม่ก็จะลงมือปรุงอาหาร แม่จะทำกับข้าวครั้งละมากๆ เพราะลูกแม่ทั้งสองคนกินมากจริงๆ ผมกินข้าวครั้งละเกือบครึ่งหม้อ ยิ่งน้องชายก็ยิ่งกินเยอะ แต่แม่ก็ดูเหมือนจะดีใจที่เจ้าลูกชายสองคนกินกับข้าวฝีมือแม่ได้มาก แม่บอกว่าเรื่องกิน กินไปเถอะมันจะกินได้เท่าไหร่ก็กินไป ยิ่งช่วงหลังๆน้องชายผมต้องไปอยู่ต่างอำเภอ นอนบ้านพักที่อำเภอทำให้เวลาวันเสาร์อาทิตย์ที่อยู่พร้อมหน้ากัน แม่จะมีเมนูพิเศษอยู่เรื่อยๆ แถมยังซื้อน้ำส้มมาแอบใส่ตู้เย็นที่บ้านผมครั้งละหลายๆแพ็คเสมอ
วันนี้ผมมีงานแค่ครึ่งวันตอนเช้า ตอนบ่ายเลยตรงไปร้านตัดผมทันที นั่งตัดผมไปนั่งคิดไปเรื่อยๆว่า นี่ใครเห็นต้องคิดว่าผมอกหักแน่ๆ ก็เห็นคนอกหักเค้าชอบตัดผมสั้นกันนี่นา แต่วันนี้ไม่ใช่เลยครับผมตัดผมด้วยใจที่เป็นสุข เย็นนี้แม่ต้องดีใจแน่ๆที่ลูกชายแม่เป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง และก็ไม่ผิดหวังครับ แม่ตรงเข้ามากอดผมทันทีที่เห็น แม่ลูบหัวให้พร ผมได้เห็นรอยยิ้มของผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก รอยยิ้มของผู้หญิงที่รักผมอย่างบริสุทธิ์ใจ รอยยิ้มของแม่ที่รักลูก รอยยิ้มที่หาคำพูดใดๆมาอธิบายไม่ได้ ผมรู้สึกอบอุ่นใจ ดีใจมากครับที่ทำให้แม่ผมมีความสุข
คืนนี้ผมกลับมานอนด้วยความสบายใจพร้อมกับความคิดที่ว่า "รู้แบบนี้ตัดผมตั้งนานแล้ว"
"ถ้าผูกผม ไม่ต้องมากินข้าวที่บ้านนะลูก" นี่คือคำพูดของแม่ผมเมื่อซักสองสามวันที่แล้ว หลังจากที่แม่มาลูบหัวผมตอนที่ผมนั่งกินข้าวอยู่ที่บ้านแม่ แม่พูดยิ้มๆ แต่ผมก็เข้าใจดีว่าแม่ไม่ชอบให้ลูกของแม่ไว้ผมยาว ผมไม่ได้ตัด"ผม" มาหกเดือนแล้วจะด้วยสาเหตุอะไรก็ช่างมันเถอะครับ แต่ตอนนี้มันยาวประมาณคอซึ่งเมื่อก่อนผมก็เคยไว้ยาวกว่านี้ ผมเป็นคนที่ไม่ค่อยชอบอยู่ในกรอบของการบังคับใดๆมากนัก อยากจะทำอะไรก็ทำ บางครั้งผมไว้หนวดไว้เคราซะยาว จนพี่ปุก ฝ่ายบุคคลที่น่ารักในบริษัท แอบๆเหล่ จนต้องไปโกนก่อนเข้า ออฟฟิศ
ผมเคยคิดว่าก็มันเรื่องของผมนี่นาจะยาวจะสั้นก็เรื่องของผม ใครจะทำไม แต่รอบก่อนผมตัด"ผม" ก็เพราะว่าไม่อยากจะไว้ผมยาวเพราะการพนัน ก็ผมไปพนันกับพี่บ็อบ ไว้ว่าใครตัดผมก่อนต้องเสียเบียร์ลังนึง ผมก็เสียดายค่าเบียร์เลยไว้ผมยาวแต่สุดท้าย ผมก็ยอมซื้อเบียร์ให้พี่ค้าไปลังนึงแล้วก็ไปตัดผม ไม่ไหวมันรำคาญมากๆเลยครับ จนมาครั้งนี้จะเป็นเพราะอะไรก็ไม่ทราบผมถึงไม่ยอมไปหาช่างตัดผม อาจจะเป็นเพราะทะเลาะกับช่างตัดผมอย่างที่ป้าจุกจิกว่าไว้ก็ได้ครับ
แม่ของผมเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆที่สวยที่สุดในโลกของผม ผมยังจำภาพที่แม่ผมไปโรงพักไปหาผู้กำกับ แล้วบอกว่า "เด็กคนนี้เป็นลูกแม่ถ้ามีอะไรก็บอกมาได้เลย" หลังจากที่ผมไปสร้างวีรเวรไว้นิดหน่อย พูดถึงสมัยที่ผมยังวัยรุ่นผมมีเรื่องขึ้นโรงพักอยู่สองครั้ง สองอำเภอ แม่ไปเคลียร์ครั้งนึง พ่อไปเคลียร์ครั้งนึง จนผมสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีกแน่ๆในชีวิตนี้ แม่สอนผมมาตั้งแต่เด็กให้ แบ่งปันสิ่งต่างๆให้คนรอบข้าง บางครั้งผมก็ไม่เข้าใจว่า ทำไมแม่ต้องให้คนอื่นด้วย จนผมโตขึ้นผมถึงเข้าใจ ทุกวันนี้ผมไปที่ไหนถ้าใครรู้ว่าผมเป็นลูกแม่หรือลูกพ่อ ผมจะได้รับไมตรีอย่างดียิ่ง ผมได้รู้ว่าพ่อกับแม่ของผมมีคนรักมากจริงๆ ชีวิตนี้ผมคงทำไม่ได้แม้เพียงเสี้ยวนึงของที่พ่อกับแม่ของผมทำไว้ แต่ผมก็ภูมิใจมากที่เป็นลูกของพ่อกับแม่
แม่ของผมมาจากครอบครัวชาวสวนจนๆ จากอำเภอฉวาง จังหวัดนครศรีธรรมราช เรียนจบปวช แล้วก็ทำงาน มีลูกคนโตคือผม แม่เป็นข้าราชการระดับล่างสุดของกระทรวงศึกษาธิการ แต่แม่ก็ไม่เคยท้อถอย แม่เรียน ปวส ภาคค่ำ ในตอนที่ผมเรียนประถม แล้วผมก็เห็นแม่เรียน ปริญญาตรี วันเสาร์ อาทิตย์ แม่สอนผมเสมอว่า คนทุกคนเกิดมาเหมือนกัน ออกมาจากท้องแม่เหมือนกัน สิ่งที่จะทำให้คนเราแตกต่างกันในทางโลกก็คือการศึกษา และสิ่งที่จะทำให้คนเราแตกต่างในทางธรรมก็คือ ความดี
ดังนั้นเมื่อแม่จบปริญญาตรี หน้าที่การงานของแม่ก็ก้าวหน้าไปมาก ประกอบกับการใช้ชีวิตที่ไม่ฟุ่มเฟือยของพ่อและแม่ ครอบครัวของผมจึงเป็นปึกแผ่นอย่างรวดเร็ว พ่อกับแม่ได้เป็นข้าราชการระดับหัวหน้างานกันทั้งคู่ แต่แม่ผมก็ไม่เคยหยุดที่จะหาความรู้ใส่ตัว แม่ผมเรียนปริญญาโท และจบปริญญาโทมานานหลายปีแล้ว และแม่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่เป็นกำลังใจให้ผมเรียนจบออกมาจนได้ทำงานในบริษัทที่เป็นที่รู้จัก แม่เป็นกำลังใจให้ผมเสมอมาไม่ให้ท้อถอยหรือชิงลาออกจากบริษัทไปก่อนหน้านี้ สมัยที่ผมจบปริญญาตรี แต่ใช้วุฒิ ปวส ทำงาน แม่สอนให้ผมอดทน จนวันนี้ผมอยู่ในบริษัทนี้ด้วยตำแหน่ง วิศวกร มีเงินเดือนที่พอกินพอใช้ มีบ้านมีสวนยาง มีอะไรหลายๆอย่างที่พึงจะมี ผมบอกได้เลยครับว่าชีวิตนี้ผมได้เป็นแบบนี้เพราะผมเป็นลูกพ่อกับแม่
แม่เคยถามผมครั้งเดียวว่า "เลิกบุหรี่ได้มั้ย" ผมบอกว่าถ้าถึงเวลาเดี๋ยวจะเลิกเอง หลังจากนั้นแม่ผมก็ไม่ถามผมอีกเลยครับ มันจึงไม่แปลกที่ผมจะไม่รับปากใครทั้งนั้นว่าผมจะเลิกบุหรี่ ไม่ว่าสาวสวยคนนั้นจะเป็นใคร เพราะว่าอะไรก็ตามที่ผมให้แม่ผมไม่ได้ ก็จะไม่มีทางที่จะให้คนอื่นเช่นกัน
ผมซื้อสลากออมสินฝากแม่ไว้ทุกรอบ รอบละหมื่นบาทให้แม่ผมตรวจไปเรื่อยๆ พอครบกำหนดก็ให้แม่ไปขึ้นเงินมาใช้ บางครั้งก็ไม่เคยถูกเลย แต่รอบนี้แม่บอกผมว่า ถูกเลขท้ายมาสี่ครั้งแล้วได้ 600 บาท แสดงว่ารอบนี้ดวงดีขึ้นกว่ารอบก่อน แต่จะถูกหรือไม่ถูกพอครบกำหนดของสลากผมก็ยกให้แม่อยู่ดีละครับ
เคยมีคนถามแม่ว่าทำไมแม่ไม่ซื้อรถดีๆกว่านี้ แม่ก็บอกว่า รถคันเล็กๆแบบนี้ก็ดีแล้วแม่ตัวเล็กขับรถคันใหญ่คงไม่ไหว แม่ผมขับ Vios เกียร์ธรรมดา แต่แม่ซื้อเงินสด ด้วยเหตุผลที่ว่า ขี้เกียจมานั่งผ่อนอยู่ จะได้เอาหัวไปคิดเรื่องอื่น ถ้าซื้อรถแพงๆสี่ห้าปีก็ต้องขายเหมือนกันเก็บเงินไว้ทำอย่างอื่นดีกว่า
แม่ผมทำกับข้าวอร่อยมากๆ ผมเป็นคนที่อยู่ต่างจังหวัดบ่อย บ้านไม่ค่อยได้อยู่ซักเท่าไหร่ ต้องกินอาหารหลายที่หลายจังหวัด แต่ไม่เคยมีที่ไหน กินอร่อยเหมือนที่แม่ผมทำเลยครับ กิจวัตรประจำวันในวันหยุดของพ่อกับแม่ผมก็คือการเตรียมอาหารให้ลูกๆ พ่อจะไปตลาดตั้งแต่เช้า ไปนั่งกินกาแฟกับเพื่อนๆ เรื่องกินกาแฟกับเพื่อนๆตอนเช้านี่พ่อผมบอกว่า เราต้องไปคุยไปทักทายเพื่อนๆบ้าง พวกข้าราชการส่วนใหญ่ เวลามียศมีตำแหน่งมักจะลืมเพื่อน ติดในยศในตำแหน่ง เวลาเกษียณอายุแล้วมักจะไม่มีเพื่อน ตอนนี้เรายังทำงานเราก็ต้องไปหาเพื่อนหาพวกไว้บ้างมีอะไรจะช่วยเหลือกันได้ก็จะได้ช่วย เวลาเกษียณจะได้มีเพื่อน หลังจากกินกาแฟเสร็จพ่อจะซื้อกับข้าวกลับมา แล้วแม่ก็จะลงมือปรุงอาหาร แม่จะทำกับข้าวครั้งละมากๆ เพราะลูกแม่ทั้งสองคนกินมากจริงๆ ผมกินข้าวครั้งละเกือบครึ่งหม้อ ยิ่งน้องชายก็ยิ่งกินเยอะ แต่แม่ก็ดูเหมือนจะดีใจที่เจ้าลูกชายสองคนกินกับข้าวฝีมือแม่ได้มาก แม่บอกว่าเรื่องกิน กินไปเถอะมันจะกินได้เท่าไหร่ก็กินไป ยิ่งช่วงหลังๆน้องชายผมต้องไปอยู่ต่างอำเภอ นอนบ้านพักที่อำเภอทำให้เวลาวันเสาร์อาทิตย์ที่อยู่พร้อมหน้ากัน แม่จะมีเมนูพิเศษอยู่เรื่อยๆ แถมยังซื้อน้ำส้มมาแอบใส่ตู้เย็นที่บ้านผมครั้งละหลายๆแพ็คเสมอ
วันนี้ผมมีงานแค่ครึ่งวันตอนเช้า ตอนบ่ายเลยตรงไปร้านตัดผมทันที นั่งตัดผมไปนั่งคิดไปเรื่อยๆว่า นี่ใครเห็นต้องคิดว่าผมอกหักแน่ๆ ก็เห็นคนอกหักเค้าชอบตัดผมสั้นกันนี่นา แต่วันนี้ไม่ใช่เลยครับผมตัดผมด้วยใจที่เป็นสุข เย็นนี้แม่ต้องดีใจแน่ๆที่ลูกชายแม่เป็นผู้เป็นคนอีกครั้ง และก็ไม่ผิดหวังครับ แม่ตรงเข้ามากอดผมทันทีที่เห็น แม่ลูบหัวให้พร ผมได้เห็นรอยยิ้มของผู้หญิงที่สวยที่สุดในโลก รอยยิ้มของผู้หญิงที่รักผมอย่างบริสุทธิ์ใจ รอยยิ้มของแม่ที่รักลูก รอยยิ้มที่หาคำพูดใดๆมาอธิบายไม่ได้ ผมรู้สึกอบอุ่นใจ ดีใจมากครับที่ทำให้แม่ผมมีความสุข
คืนนี้ผมกลับมานอนด้วยความสบายใจพร้อมกับความคิดที่ว่า "รู้แบบนี้ตัดผมตั้งนานแล้ว"
วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
สามก๊ก ตอน เตียวก๊ก โจรโพกผ้าเหลือง
เตียวก๊ก โจรโพกผ้าเหลือง
เตียวก๊ก ชื่อนี้คงจะถูกลืมไปแล้วจากคนที่เคยอ่านสามก๊กหรือติดตามสามก๊กมาอย่างต่อเนื่องผ่านงานเขียนของนักเขียนท่านต่างๆ ผมเองก็ลืมชื่อนี้ไปแล้ว แต่พอหยิบสามก๊กขึ้นมาเปิดอ่านใหม่อีกครั้ง ชื่อนี้ก็สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรามาคิดกันดีๆแล้ว ถ้าไม่มีเตียวก๊ก เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ก็คงจะไม่ได้เจอกัน วันนี้เรามาทำความรู้จักกับ "เตียวก๊ก" คนนี้กันครับ
ในขณะที่ในเมื่องหลวงเกิดแก๊งค์ สิบเสียงสี ขึ้นมาทำการฉ้อราษฏร์บังหลวง สั่งปลดขุนนางที่ไม่เข้าข้างพวกตน โยกย้ายให้ไปทำงานในที่ห่างไกลบ้าง ดึงรายชื่อออกจากโผโยกย้ายบ้างทำให้เดือดร้อนกันไปทั่วหน้า ที่หัวเมืองด้านนอกก็เกิดการปล้นชิงตั้งตนเป็นก๊กเป็นเหล่าต่างๆมากมาย ดังเช่นที่ เมืองกิลกกุ๋น มีชายสามพี่น้องชื่อ เตียวก๊ก เตียวโป้ และเตียวเหลียง ทำมาหากินอยู่อย่างปกติเหมือนชาวเมืองทั่วๆไป จนกระทั่งวันหนึ่ง เตียวก๊ก เดินเข้าป่าไปหายาสมุนไพร เดินไปจนถึงบนภูเขาแห่งหนึ่ง ก็ได้พบกับชายชราหน้าตาเด็ก..? ตาเหลือง ยืนถือไม้เท้ารออยู่ที่บนภูเขาแห่งนั้น เมื่อเจอเตียวก๊ก ก็บอกกับเตียวก๊กว่า อันตัวข้านั้นเป็นเทวดาที่อยู่บนเขาแห่งนี้ ถ้าเจ้าอยากเห็นอะไรดีๆ ก็จงตามข้ามา แล้วเทวดาก็พาเตียวก๊ก เข้าไปในถ้ำแถวๆนั้น ในถ้ำมีตำราโบราณอยู่ สามเล่ม ในหนังสือสามก๊กเรียกว่า "ไทแผงเยาสุด" เทวดามอบตำราทั้งสามเล่มให้กับเตียวก๊ก แล้วบอกว่า "ถ้าเอาตำรานี้ไปทำนุบำรุงคนทั้งปวง เจ้าจะอยู่เย็นเป็นสุข แต่ถ้าเจ้าคิดร้ายคิดไม่ซื่อต่อแผ่นดิน ภัยอีนตรายจะมาถึงตัว จะถูกยึดทรัพย์ ไม่มีแผ่นดินอยู่ ครอบครัวแตกแยกอย่างแน่นอน" กล่าวจบเทวดาก็หายตัวไป
ฝ่ายเตียวก๊กเมื่อได้ตำรามาก็กลับมาฝึกที่บ้าน ฝึกทั้งกลางวันกลางคืน จนสำเร็จวิชาทั้งปวงในตำรา สามารถเรียกลม เรียกฝน ได้ตามต้องการ มีวิชาความรู้มากมาย จนตั้งตนเองขึ้นเป็น โต๋หยิน ซึ่งแปลว่า พราหมณ์ผู้มีความรู้ ไม่แน่ใจว่าพราหมณ์เตียวก๊ก ได้เรียนวิชาเทเลือดหน้าทำเนียบมาด้วยหรือเปล่า ถ้าได้เรียนแสดงว่าวิชานี้เป็นวิชาที่เก่าแก่จริงอย่างที่ได้ยินคนยุคนี้บอกมา
ต่อมาเกิด ห่าลงเมืองกิลกกุ๋น ห่า หรือ อหิวาห์ตกโรค ทำให้คนเมืองนี้เจ็บไข้ได้ป่วยไปตามๆกัน เตียวก๊กเขียนยันต์ให้ชาวบ้านไปติดที่หน้าบ้าน ไม่รู้ว่าเป็นคำว่า "ห้ามห่าเข้าบ้าน" "บ้านนี้ไม่มีห่า" หรืออะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ โรคห่า หายไปจากเมืองนี้โดยสิ้นเชิง ทำให้เตียวก๊กได้รับการนับถือจากชาวเมืองนี้เป็นอันมาก เมื่อรักษาคนเมืองนี้หายดีทั้งหมดแล้วเตียวก๊กก็ออกเดินสาย ทัวร์ไปตามหัวมืองต่างๆ ใครเจ็บไข้ไม่สบายก็มาเอายันต์ไป ทั้งติดหน้าบ้าน ไปต้มน้ำกิน โรคร้ายทั้งหลายก็หายไปสิ้น ดังนั้นเตียวก๊กจึงมีลูกศิษย์ลูกหา นับถือมากขึ้นทุกวัน
เมื่อมีศิษย์มากขึ้น เตียวก๊ก ก็คัดเอาคนที่ดูดีมีอำนาจขึ้นมาปกครองลูกศิษย์ชั้นรองอีกที มีหัวหน้าการ์ด ไว้คอยรักษาความปลอดภัย แบ่งเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ หกพันคน จนถึง กลุ่มละหมื่นคน แต่ละกลุ่มจะมีสัญญลักษณ์เป็นธงรบ แต่จะสีอะไรในเรื่องไม่ได้บอกไว้ครับ
เมื่อมีกองกำลังเป็นของตัวเอง เตียวก๊กก็ตั้งตนเป็นพระยา (จงกุ๋น) สร้างแนวร่วมออกสร้างข่าวลือว่า แผ่นดินจะเปลี่ยนแล้ว ฟ้าจะส่งผู้มีบุญคนใหม่มาครองแผ่นดิน ให้ชาวเมืองที่นับถือตน เขียนตัวหนังสือด้วยปูนขาวไว้ที่หน้าบ้านว่า "ปีชวดบ้านเมืองจะเป็นสุข" เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าบ้านไหนเข้าข้างตนบ้าง ชาวเมืองแปดหัวเมืองในบริเวณนั้น คือเมืองกิลกกุ๋น เฉงจิ๋ว อิวจิ๋ว ชิวจิ๋ว เกงจิ๋ว ยังจิ๋ว กุนจิ๋ว ขอนแก่น..ไม่ใช่ๆๆๆ อิจิ๋ว ทั้งแปดหัวเมืองต่างหันมาขึ้นตรงกับพระยาเตียวก๊ก ทั้งสิ้นทุกบ้านเขียนชื่อเตียวก๊ก ไว้บูชาทุกบ้าน
คนเราเมื่อได้รับการสรรเสริญยกย่องมากขึ้นก็เริ่มลืมตัว เวลาเตียวก๊กจะเดินทางไปไหนก็ต้องมีคนมาห้อมล้อม อาจจะยังไม่ถึงขั้นมีธงมาสะบัดโบกต้อนรับ แต่ก็พยายามทำตัวเลียนแบบเจ้า เวลาใครเข้าหาก็ต้องคลานเข่าเข้าไปหา ใครที่อยากก้าวหน้าในหน้าที่การงาน อยากเป็นหัวหน้ากลุ่ม อยากมีเงินทองโดยไม่ต้องทำงานก็ต้องคุกเข่าคลานเข้าไปหา ยิ่งใครสอพลอ กล่าวยกย่องว่าบารมีท่านสูงยิ่งนักเหมือนเทวดาลงมาโปรด ก็ยิ่งชอบ เมื่อเตียวก๊กได้ยินคำสอพลอบ่อยๆเข้าก็เริ่มลืมตัว คิดทำการใหญ่ขึ้นมา
โดยหลังจากนั้น เตียวก๊ก ก็ส่งสายลับชื่อ "ม้าอ้วนยี่"เอาเงินทองมากมายไปติดสินบนขันทีใหญ่ในเมืองหลวง ขันทีผู้นั้นชื่อ "ฮองสี" เป็นหนึ่งใน สิบเสียงสี ที่มีอำนาจมากที่ในเมืองหลวง เมื่อฮองสี ยอมเป็นไส้ศึกให้กับเตียวก๊กแล้ว เตียวก๊ก ก็เริ่มขึ้นคิดการใหญ่ โดยปรึกษากับน้องชายทั้งคู่ว่า บัดนี้เราได้ใจไพร่ทั้งหลายมาเป็นของเรามากมายพอสมควรแล้ว ถึงเวลาที่เราจะเอาแผ่นดินเสียได้แล้ว น้องทั้งสองก็ตกลงเตรียมซ่องสุมเสบียงและอาวุธไว้เป็นจำนวนมาก
เมื่อตกลงกันชัดเจนแล้วว่าจะทำการยึดแผ่นดิน เตียวก๊ก ก็ให้สมุนอีกคนหนึ่งชื่อ "ตองจิ๋ว" เอาหมายกำหนดการไปแจ้งกับขันทีฮองสีเพื่อนัดหมายวัน ว. เวลา น. กันให้แน่นอน แต่เจ้าตองจิ๋วกลับทรยศ เพราะไม่ว่าจะรักเตียวก๊กแค่ไหน แต่ก็รักชาติมากกว่า ดังนั้นตองจิ๋วเลยเอาหนังสือลับไปมอบให้ขุนนางที่จงนักภักดีต่อพระเจ้าเลนเต้ เพื่อให้นำไปกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ให้ได้รับทราบ
เมื่อพระเจ้าเลนเต้ทราบเรื่องก็ส่งขุนนางใหญ่ชื่อ "โฮจิ๋น" ยกกองกำลังมาจับ ฮองสี ไปขังแล้วจับ ม้าอ้วนยี่ ฆ่าทิ้งทันที พร้อมกันนั้นพระเจ้าเลนเต้ก็สั่งเตรียมไพร่พลเพื่อยกทัพไปปราบพระยาเตียวก๊ก
ฝ่ายเตียวก๊กเมื่อรู้ว่าแผนที่เตรียมไว้ไม่เป็นตามนั้น แทนที่จะหยุดกลับอัพตำแหน่งให้ตัวเองขึ้นไปอีกขั้นโดยตั้งตนเป็น "เทียนก๋งจงกุ๋น" แปลว่าเจ้าพระยาสวรรค์ แต่งตั้งน้องทั้งสองคือ เตียวโป้ เป็น "แต้ก๋งจงกุ๋น" แปลว่าเจ้าพระยาแผ่นดิน เตียวเหลีบงเป็น "ยินก๋งจงกุ๋น"แปลว่า เจ้าพระยามนุษย์ เมื่อมีตำแหน่งกันทั้งสามพี่น้องแล้ว เตียวก๊กก็ประกาศกับชาวเมืองที่เข้าข้างตนว่า แผ่นดินพระเจ้าเลนเต้จะต้องสูญสิ้นไป ผู้มีบุญคนใหม่จะมาครองแผ่นดินแทน ขอให้คนทั้งปวง ทำตามคำเทวดาทำนายเถิด ถ้าเราทำสำเร็จ เราจะได้อยู่ใน"รัฐจีนใหม่"กันอย่างมีความสุข
การประกาศเช่นนี้ของเตียวก๊ก ทำให้มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย บางเมือง บางกลุ่ม ก็บอกว่า ที่มาอยู่ร่วมด้วยก็เพราะนับถือในภูมิปัญญาของเตียวก๊ก แต่ถ้าจะให้ ล้มเจ้าพลิกแผ่นดินก็ไม่ขอร่วมด้วยเด็ดขาด ฝ่ายเตียวก๊กเมื่อรู้ว่ามีคนไม่เห็นด้วย ก็รวบรวมทหารและการ์ดประจำตัว ออกโจมตีกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยทำให้เกิดสงครามย่อยๆขึ้นในบริเวณแปดหัวเมือง และเตียวก๊กก็ได้รับชัยชนะมาโดยตลอดทำให้มีไพร่พลมากขึ้นเรื่อยๆ
ในการศึก จำเป็นต้องมีสัญลักษณ์ประจำกองทัพ เพื่อที่จะได้รู้ว่านี่เป็นพวกเดียวกันจะได้ไม่ทำร้ายกัน ดังนั้นเตียวก๊กจึงให้ทหารทั้งปวงของฝ่ายตนโพกผ้าสีเหลือง เป็นเครื่องหมาย กองทัพโพกผ้าเหลืองของเตียวก๊ก ตีเมืองต่างๆได้มากมายได้กองกำลังทหารเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จน โฮจิ๋น ขุนนางใหญ่ที่เป็นเจ้าของคดีนี้มาตั้งแต่ต้น นำความเข้ากราบทูลพระเจ้าเลนเต้ว่า ตอนนี้เจ้าโจรโพกผ้าเหลืองมันมีกำลังมากขึ้นทุกที ยากที่กองกำลังของตนจะต้านทานไว้ได้แล้ว ขอให้พระเจ้าเลนเต้ หาคนมาช่วยด้วย พระเจ้าเลนเต้จึงมีตราไปทุกหัวเมือง (ส่งจดหมายมีตราประจำพระองค์ประทับ) ว่าใครมีความสามารถจับโจรโพกผ้าเหลืองเหล่านี้ได้จะมีรางวัลให้ และจะแต่งตั้งให้เป็นขุนนาง
ในตอนนี้จะแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความเสื่อมของราชสำนักในยุคของพระเจ้าเลนเต้ แม้แต่กองโจรเล็กๆ ก็หาคนดีมีฝีมืออกไปปราบไม่ได้ เข้าข่าย Failed State เหมือนกันนะเนี่ย แต่ด้วยการที่บ้านเมืองยังต้องมีกองทัพ ดังนั้นกองกำลังทหารของพระเจ้าเลนเต้ก็ยังพอมีอยู่บ้าง พระเจ้าเลนเต้จึงส่งทหารเอกของเมืองหลวง คือ "จงลงเจียง" "โลจิ๋น" "ฮองฮูสง" "จูฮี" สี่ทหารเอก ให้ไปตกลงกันเองว่าจะทำอย่างไรที่จะจับตัวเตียวก๊กมาให้ได้ ไม่ว่าเป็นหรือตาย เหล่าขุนพลทั้งสี่เลยแบ่งกำลังจัดทัพออกเป็นสามกองทัพเพื่อที่จะไปล้อมตีกองโจรโพกผ้าเหลืองตามคำสั่งที่ได้รับมา ส่วนใครจะเป็นทัพหน้า ซ้ายหรือขวานั้น ในตอนนี้ยังไม่ได้กล่าวถึง
มากล่าวถึงกองกำลังโพกผ้าเหลืองของเตียวก๊กกันบ้าง ชื่อของกองกำลังเหล่านี้อยู่ที่ฝ่ายไหนเป็นคนเรียก ถ้าฝ่ายเตียวก๊ก เองก็เรียกกองกำลังจากสวรรค์ กองกำลังโพกผ้าเหลือง แต่ถ้าฝ่ายเมืองหลวง ก็จะเรียก โจรโพกผ้าเหลืองบ้าง กบฏ บ้างแล้วแต่ถนัด แต่สรุปใจความหลักๆในหนังสือสามก๊กเล่มที่ผมอ่านจะเรียกว่า "โจรโพกผ้าเหลือง" ครับ ดังนั้น เราจะใช้ชื่อนี้ไปตลอดโดยไม่ต้องมีตัวย่อ เป็น จ.พ.ล แต่อย่างใด
โจรโพกผ้าเหลืองกลุ่มนี้นับวันจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะใช้ยุทธศาสตร์ กองทัพควบคู่กับยุทธศาสตร์ความเชื่อ เมื่อชาวบ้านมีความเชื่อว่าเตียวก๊กคือผู้มีบุญที่จะมาพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ทำให้ชาวบ้านเหล่านั้นยอมสู้ตาย เมื่อมีทหารที่ยอมตายแทนนายได้ กองกำลังก็เข้มแข็ง ยุทธวิธีสร้างความเชื่อแบบนี้ยังคงนำมาใช้ในทุกยุคทุกสมัย โชคดีที่ยุคนั้นสมัยนั้นไม่มี ทวิสเตอร์ ไม่มีเฟคบุ๊ค ไม่มีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ไม่งั้น กองทัพของเตียวก๊กคงจะยิ่งใหญ่กว่านี้อีกมาก
กลุ่มโจรโพกผ้าเหลือง ยกทหารตีเมืองต่างๆมาเรื่อยๆจนถึงเมือง อิวจิ๋ว เมืองนี้ชาวเมืองส่วนใหญ่เป็นฝ่าย เตียวก๊ก ไปเสียมาก ทหารต่างๆก็แอบมีใจให้เตียวก๊กอยู่ด้วยเช่นกัน แต่เจ้าเมืองไม่เหลืองด้วยครับ เพราะเจ้าเมืองที่ชื่อ "เล่าเอี๋ยน" คนนี้มีเชื้อสายของพระเจ้าฮั่นโกโจ มีเชื้อสายเจ้าเมืองเก่าแก่มาแต่เดิม ดังนั้นจึงยอมไม่ได้ที่จะให้ โจรร้ายมายึดแผ่นดินของบรรพบุรุษ ดังนั้นจึงปรึกษากับ "เจาเจ้ง" ทหารคนสนิทว่าจะทำอย่างไรกันดี เจาเจ้งก็บอกว่าตอนนี้ทหารของเราที่ใช้งานได้จริงๆ ไม่แอบเหลือง มีอยู่ไม่มากนัก เราต้องประกาศหาคนดีมีฝีมือมาร่วมรบกับเรา แต่ตอนนี้ รมต.ที่ดูกรมประชาสัมพันธ์ของเมืองเรา ไม่สามารถควบคุมสื่อต่างๆในเมืองได้ และอีกอย่างตอนนี้ท่านก็ไม่ว่างด้วย เห็นว่าต้องไปจัดงานร้องเพลงชาติอยู่ที่หัวเมืองต่างจังหวัด ดังนั้นวิธีเดียวที่เราจะประกาศข่าวนี้ให้ชาวเมืองต่างๆได้รับรู้ก็คือ พิมพ์ใบปลิวแล้วใช้ทหารเอาไปติดประกาศตามหัวเมืองเหมือนกับที่เคยทำกันมาในอดีต เล่าเอี๋ยนเห็นด้วยกับวิธีของเจาเจ้ง เล่าเอี๋ยนจึงสั่งพิมพ์หนังสือออกไปติดตามหัวเมืองต่างๆเพื่อรับสมัครคนที่มีใจรักชาติ รักแผ่นดิน และไม่เห็นด้วยกับนโยบาย ล้มเจ้า ของเตียวก๊ก ให้เข้ามาช่วยกันปกป้องแผ่นดิน
เหล่าทหารของเล่าเอี๋ยนจึงออกเดินทางปิดประกาศมาเรื่อยๆ จนมาถึงเมืองตุ้นก้วน เมืองตุ้นก้วนแห่งนี้เป็นที่กำเนิดของ วีรบุรุษ ของใครหลายๆคนที่ชอบอ่านสามก๊กครับ นั่นก็คือ เล่าปี่ และที่เมืองนี้ เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ได้สาบานเป็นพี่น้องกันที่นี่ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามได้ในตอนต่อไปครับ
เตียวก๊ก ชื่อนี้คงจะถูกลืมไปแล้วจากคนที่เคยอ่านสามก๊กหรือติดตามสามก๊กมาอย่างต่อเนื่องผ่านงานเขียนของนักเขียนท่านต่างๆ ผมเองก็ลืมชื่อนี้ไปแล้ว แต่พอหยิบสามก๊กขึ้นมาเปิดอ่านใหม่อีกครั้ง ชื่อนี้ก็สะดุดตาเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเรามาคิดกันดีๆแล้ว ถ้าไม่มีเตียวก๊ก เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ก็คงจะไม่ได้เจอกัน วันนี้เรามาทำความรู้จักกับ "เตียวก๊ก" คนนี้กันครับ
ในขณะที่ในเมื่องหลวงเกิดแก๊งค์ สิบเสียงสี ขึ้นมาทำการฉ้อราษฏร์บังหลวง สั่งปลดขุนนางที่ไม่เข้าข้างพวกตน โยกย้ายให้ไปทำงานในที่ห่างไกลบ้าง ดึงรายชื่อออกจากโผโยกย้ายบ้างทำให้เดือดร้อนกันไปทั่วหน้า ที่หัวเมืองด้านนอกก็เกิดการปล้นชิงตั้งตนเป็นก๊กเป็นเหล่าต่างๆมากมาย ดังเช่นที่ เมืองกิลกกุ๋น มีชายสามพี่น้องชื่อ เตียวก๊ก เตียวโป้ และเตียวเหลียง ทำมาหากินอยู่อย่างปกติเหมือนชาวเมืองทั่วๆไป จนกระทั่งวันหนึ่ง เตียวก๊ก เดินเข้าป่าไปหายาสมุนไพร เดินไปจนถึงบนภูเขาแห่งหนึ่ง ก็ได้พบกับชายชราหน้าตาเด็ก..? ตาเหลือง ยืนถือไม้เท้ารออยู่ที่บนภูเขาแห่งนั้น เมื่อเจอเตียวก๊ก ก็บอกกับเตียวก๊กว่า อันตัวข้านั้นเป็นเทวดาที่อยู่บนเขาแห่งนี้ ถ้าเจ้าอยากเห็นอะไรดีๆ ก็จงตามข้ามา แล้วเทวดาก็พาเตียวก๊ก เข้าไปในถ้ำแถวๆนั้น ในถ้ำมีตำราโบราณอยู่ สามเล่ม ในหนังสือสามก๊กเรียกว่า "ไทแผงเยาสุด" เทวดามอบตำราทั้งสามเล่มให้กับเตียวก๊ก แล้วบอกว่า "ถ้าเอาตำรานี้ไปทำนุบำรุงคนทั้งปวง เจ้าจะอยู่เย็นเป็นสุข แต่ถ้าเจ้าคิดร้ายคิดไม่ซื่อต่อแผ่นดิน ภัยอีนตรายจะมาถึงตัว จะถูกยึดทรัพย์ ไม่มีแผ่นดินอยู่ ครอบครัวแตกแยกอย่างแน่นอน" กล่าวจบเทวดาก็หายตัวไป
ฝ่ายเตียวก๊กเมื่อได้ตำรามาก็กลับมาฝึกที่บ้าน ฝึกทั้งกลางวันกลางคืน จนสำเร็จวิชาทั้งปวงในตำรา สามารถเรียกลม เรียกฝน ได้ตามต้องการ มีวิชาความรู้มากมาย จนตั้งตนเองขึ้นเป็น โต๋หยิน ซึ่งแปลว่า พราหมณ์ผู้มีความรู้ ไม่แน่ใจว่าพราหมณ์เตียวก๊ก ได้เรียนวิชาเทเลือดหน้าทำเนียบมาด้วยหรือเปล่า ถ้าได้เรียนแสดงว่าวิชานี้เป็นวิชาที่เก่าแก่จริงอย่างที่ได้ยินคนยุคนี้บอกมา
ต่อมาเกิด ห่าลงเมืองกิลกกุ๋น ห่า หรือ อหิวาห์ตกโรค ทำให้คนเมืองนี้เจ็บไข้ได้ป่วยไปตามๆกัน เตียวก๊กเขียนยันต์ให้ชาวบ้านไปติดที่หน้าบ้าน ไม่รู้ว่าเป็นคำว่า "ห้ามห่าเข้าบ้าน" "บ้านนี้ไม่มีห่า" หรืออะไรกันแน่ แต่ที่แน่ๆ โรคห่า หายไปจากเมืองนี้โดยสิ้นเชิง ทำให้เตียวก๊กได้รับการนับถือจากชาวเมืองนี้เป็นอันมาก เมื่อรักษาคนเมืองนี้หายดีทั้งหมดแล้วเตียวก๊กก็ออกเดินสาย ทัวร์ไปตามหัวมืองต่างๆ ใครเจ็บไข้ไม่สบายก็มาเอายันต์ไป ทั้งติดหน้าบ้าน ไปต้มน้ำกิน โรคร้ายทั้งหลายก็หายไปสิ้น ดังนั้นเตียวก๊กจึงมีลูกศิษย์ลูกหา นับถือมากขึ้นทุกวัน
เมื่อมีศิษย์มากขึ้น เตียวก๊ก ก็คัดเอาคนที่ดูดีมีอำนาจขึ้นมาปกครองลูกศิษย์ชั้นรองอีกที มีหัวหน้าการ์ด ไว้คอยรักษาความปลอดภัย แบ่งเป็นกลุ่มๆ กลุ่มละ หกพันคน จนถึง กลุ่มละหมื่นคน แต่ละกลุ่มจะมีสัญญลักษณ์เป็นธงรบ แต่จะสีอะไรในเรื่องไม่ได้บอกไว้ครับ
เมื่อมีกองกำลังเป็นของตัวเอง เตียวก๊กก็ตั้งตนเป็นพระยา (จงกุ๋น) สร้างแนวร่วมออกสร้างข่าวลือว่า แผ่นดินจะเปลี่ยนแล้ว ฟ้าจะส่งผู้มีบุญคนใหม่มาครองแผ่นดิน ให้ชาวเมืองที่นับถือตน เขียนตัวหนังสือด้วยปูนขาวไว้ที่หน้าบ้านว่า "ปีชวดบ้านเมืองจะเป็นสุข" เพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าบ้านไหนเข้าข้างตนบ้าง ชาวเมืองแปดหัวเมืองในบริเวณนั้น คือเมืองกิลกกุ๋น เฉงจิ๋ว อิวจิ๋ว ชิวจิ๋ว เกงจิ๋ว ยังจิ๋ว กุนจิ๋ว ขอนแก่น..ไม่ใช่ๆๆๆ อิจิ๋ว ทั้งแปดหัวเมืองต่างหันมาขึ้นตรงกับพระยาเตียวก๊ก ทั้งสิ้นทุกบ้านเขียนชื่อเตียวก๊ก ไว้บูชาทุกบ้าน
คนเราเมื่อได้รับการสรรเสริญยกย่องมากขึ้นก็เริ่มลืมตัว เวลาเตียวก๊กจะเดินทางไปไหนก็ต้องมีคนมาห้อมล้อม อาจจะยังไม่ถึงขั้นมีธงมาสะบัดโบกต้อนรับ แต่ก็พยายามทำตัวเลียนแบบเจ้า เวลาใครเข้าหาก็ต้องคลานเข่าเข้าไปหา ใครที่อยากก้าวหน้าในหน้าที่การงาน อยากเป็นหัวหน้ากลุ่ม อยากมีเงินทองโดยไม่ต้องทำงานก็ต้องคุกเข่าคลานเข้าไปหา ยิ่งใครสอพลอ กล่าวยกย่องว่าบารมีท่านสูงยิ่งนักเหมือนเทวดาลงมาโปรด ก็ยิ่งชอบ เมื่อเตียวก๊กได้ยินคำสอพลอบ่อยๆเข้าก็เริ่มลืมตัว คิดทำการใหญ่ขึ้นมา
โดยหลังจากนั้น เตียวก๊ก ก็ส่งสายลับชื่อ "ม้าอ้วนยี่"เอาเงินทองมากมายไปติดสินบนขันทีใหญ่ในเมืองหลวง ขันทีผู้นั้นชื่อ "ฮองสี" เป็นหนึ่งใน สิบเสียงสี ที่มีอำนาจมากที่ในเมืองหลวง เมื่อฮองสี ยอมเป็นไส้ศึกให้กับเตียวก๊กแล้ว เตียวก๊ก ก็เริ่มขึ้นคิดการใหญ่ โดยปรึกษากับน้องชายทั้งคู่ว่า บัดนี้เราได้ใจไพร่ทั้งหลายมาเป็นของเรามากมายพอสมควรแล้ว ถึงเวลาที่เราจะเอาแผ่นดินเสียได้แล้ว น้องทั้งสองก็ตกลงเตรียมซ่องสุมเสบียงและอาวุธไว้เป็นจำนวนมาก
เมื่อตกลงกันชัดเจนแล้วว่าจะทำการยึดแผ่นดิน เตียวก๊ก ก็ให้สมุนอีกคนหนึ่งชื่อ "ตองจิ๋ว" เอาหมายกำหนดการไปแจ้งกับขันทีฮองสีเพื่อนัดหมายวัน ว. เวลา น. กันให้แน่นอน แต่เจ้าตองจิ๋วกลับทรยศ เพราะไม่ว่าจะรักเตียวก๊กแค่ไหน แต่ก็รักชาติมากกว่า ดังนั้นตองจิ๋วเลยเอาหนังสือลับไปมอบให้ขุนนางที่จงนักภักดีต่อพระเจ้าเลนเต้ เพื่อให้นำไปกราบทูลพระเจ้าเลนเต้ให้ได้รับทราบ
เมื่อพระเจ้าเลนเต้ทราบเรื่องก็ส่งขุนนางใหญ่ชื่อ "โฮจิ๋น" ยกกองกำลังมาจับ ฮองสี ไปขังแล้วจับ ม้าอ้วนยี่ ฆ่าทิ้งทันที พร้อมกันนั้นพระเจ้าเลนเต้ก็สั่งเตรียมไพร่พลเพื่อยกทัพไปปราบพระยาเตียวก๊ก
ฝ่ายเตียวก๊กเมื่อรู้ว่าแผนที่เตรียมไว้ไม่เป็นตามนั้น แทนที่จะหยุดกลับอัพตำแหน่งให้ตัวเองขึ้นไปอีกขั้นโดยตั้งตนเป็น "เทียนก๋งจงกุ๋น" แปลว่าเจ้าพระยาสวรรค์ แต่งตั้งน้องทั้งสองคือ เตียวโป้ เป็น "แต้ก๋งจงกุ๋น" แปลว่าเจ้าพระยาแผ่นดิน เตียวเหลีบงเป็น "ยินก๋งจงกุ๋น"แปลว่า เจ้าพระยามนุษย์ เมื่อมีตำแหน่งกันทั้งสามพี่น้องแล้ว เตียวก๊กก็ประกาศกับชาวเมืองที่เข้าข้างตนว่า แผ่นดินพระเจ้าเลนเต้จะต้องสูญสิ้นไป ผู้มีบุญคนใหม่จะมาครองแผ่นดินแทน ขอให้คนทั้งปวง ทำตามคำเทวดาทำนายเถิด ถ้าเราทำสำเร็จ เราจะได้อยู่ใน"รัฐจีนใหม่"กันอย่างมีความสุข
การประกาศเช่นนี้ของเตียวก๊ก ทำให้มีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย บางเมือง บางกลุ่ม ก็บอกว่า ที่มาอยู่ร่วมด้วยก็เพราะนับถือในภูมิปัญญาของเตียวก๊ก แต่ถ้าจะให้ ล้มเจ้าพลิกแผ่นดินก็ไม่ขอร่วมด้วยเด็ดขาด ฝ่ายเตียวก๊กเมื่อรู้ว่ามีคนไม่เห็นด้วย ก็รวบรวมทหารและการ์ดประจำตัว ออกโจมตีกลุ่มคนที่ไม่เห็นด้วยทำให้เกิดสงครามย่อยๆขึ้นในบริเวณแปดหัวเมือง และเตียวก๊กก็ได้รับชัยชนะมาโดยตลอดทำให้มีไพร่พลมากขึ้นเรื่อยๆ
ในการศึก จำเป็นต้องมีสัญลักษณ์ประจำกองทัพ เพื่อที่จะได้รู้ว่านี่เป็นพวกเดียวกันจะได้ไม่ทำร้ายกัน ดังนั้นเตียวก๊กจึงให้ทหารทั้งปวงของฝ่ายตนโพกผ้าสีเหลือง เป็นเครื่องหมาย กองทัพโพกผ้าเหลืองของเตียวก๊ก ตีเมืองต่างๆได้มากมายได้กองกำลังทหารเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จน โฮจิ๋น ขุนนางใหญ่ที่เป็นเจ้าของคดีนี้มาตั้งแต่ต้น นำความเข้ากราบทูลพระเจ้าเลนเต้ว่า ตอนนี้เจ้าโจรโพกผ้าเหลืองมันมีกำลังมากขึ้นทุกที ยากที่กองกำลังของตนจะต้านทานไว้ได้แล้ว ขอให้พระเจ้าเลนเต้ หาคนมาช่วยด้วย พระเจ้าเลนเต้จึงมีตราไปทุกหัวเมือง (ส่งจดหมายมีตราประจำพระองค์ประทับ) ว่าใครมีความสามารถจับโจรโพกผ้าเหลืองเหล่านี้ได้จะมีรางวัลให้ และจะแต่งตั้งให้เป็นขุนนาง
ในตอนนี้จะแสดงให้เห็นได้อย่างชัดเจนถึงความเสื่อมของราชสำนักในยุคของพระเจ้าเลนเต้ แม้แต่กองโจรเล็กๆ ก็หาคนดีมีฝีมืออกไปปราบไม่ได้ เข้าข่าย Failed State เหมือนกันนะเนี่ย แต่ด้วยการที่บ้านเมืองยังต้องมีกองทัพ ดังนั้นกองกำลังทหารของพระเจ้าเลนเต้ก็ยังพอมีอยู่บ้าง พระเจ้าเลนเต้จึงส่งทหารเอกของเมืองหลวง คือ "จงลงเจียง" "โลจิ๋น" "ฮองฮูสง" "จูฮี" สี่ทหารเอก ให้ไปตกลงกันเองว่าจะทำอย่างไรที่จะจับตัวเตียวก๊กมาให้ได้ ไม่ว่าเป็นหรือตาย เหล่าขุนพลทั้งสี่เลยแบ่งกำลังจัดทัพออกเป็นสามกองทัพเพื่อที่จะไปล้อมตีกองโจรโพกผ้าเหลืองตามคำสั่งที่ได้รับมา ส่วนใครจะเป็นทัพหน้า ซ้ายหรือขวานั้น ในตอนนี้ยังไม่ได้กล่าวถึง
มากล่าวถึงกองกำลังโพกผ้าเหลืองของเตียวก๊กกันบ้าง ชื่อของกองกำลังเหล่านี้อยู่ที่ฝ่ายไหนเป็นคนเรียก ถ้าฝ่ายเตียวก๊ก เองก็เรียกกองกำลังจากสวรรค์ กองกำลังโพกผ้าเหลือง แต่ถ้าฝ่ายเมืองหลวง ก็จะเรียก โจรโพกผ้าเหลืองบ้าง กบฏ บ้างแล้วแต่ถนัด แต่สรุปใจความหลักๆในหนังสือสามก๊กเล่มที่ผมอ่านจะเรียกว่า "โจรโพกผ้าเหลือง" ครับ ดังนั้น เราจะใช้ชื่อนี้ไปตลอดโดยไม่ต้องมีตัวย่อ เป็น จ.พ.ล แต่อย่างใด
โจรโพกผ้าเหลืองกลุ่มนี้นับวันจะยิ่งใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะใช้ยุทธศาสตร์ กองทัพควบคู่กับยุทธศาสตร์ความเชื่อ เมื่อชาวบ้านมีความเชื่อว่าเตียวก๊กคือผู้มีบุญที่จะมาพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ทำให้ชาวบ้านเหล่านั้นยอมสู้ตาย เมื่อมีทหารที่ยอมตายแทนนายได้ กองกำลังก็เข้มแข็ง ยุทธวิธีสร้างความเชื่อแบบนี้ยังคงนำมาใช้ในทุกยุคทุกสมัย โชคดีที่ยุคนั้นสมัยนั้นไม่มี ทวิสเตอร์ ไม่มีเฟคบุ๊ค ไม่มีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ไม่งั้น กองทัพของเตียวก๊กคงจะยิ่งใหญ่กว่านี้อีกมาก
กลุ่มโจรโพกผ้าเหลือง ยกทหารตีเมืองต่างๆมาเรื่อยๆจนถึงเมือง อิวจิ๋ว เมืองนี้ชาวเมืองส่วนใหญ่เป็นฝ่าย เตียวก๊ก ไปเสียมาก ทหารต่างๆก็แอบมีใจให้เตียวก๊กอยู่ด้วยเช่นกัน แต่เจ้าเมืองไม่เหลืองด้วยครับ เพราะเจ้าเมืองที่ชื่อ "เล่าเอี๋ยน" คนนี้มีเชื้อสายของพระเจ้าฮั่นโกโจ มีเชื้อสายเจ้าเมืองเก่าแก่มาแต่เดิม ดังนั้นจึงยอมไม่ได้ที่จะให้ โจรร้ายมายึดแผ่นดินของบรรพบุรุษ ดังนั้นจึงปรึกษากับ "เจาเจ้ง" ทหารคนสนิทว่าจะทำอย่างไรกันดี เจาเจ้งก็บอกว่าตอนนี้ทหารของเราที่ใช้งานได้จริงๆ ไม่แอบเหลือง มีอยู่ไม่มากนัก เราต้องประกาศหาคนดีมีฝีมือมาร่วมรบกับเรา แต่ตอนนี้ รมต.ที่ดูกรมประชาสัมพันธ์ของเมืองเรา ไม่สามารถควบคุมสื่อต่างๆในเมืองได้ และอีกอย่างตอนนี้ท่านก็ไม่ว่างด้วย เห็นว่าต้องไปจัดงานร้องเพลงชาติอยู่ที่หัวเมืองต่างจังหวัด ดังนั้นวิธีเดียวที่เราจะประกาศข่าวนี้ให้ชาวเมืองต่างๆได้รับรู้ก็คือ พิมพ์ใบปลิวแล้วใช้ทหารเอาไปติดประกาศตามหัวเมืองเหมือนกับที่เคยทำกันมาในอดีต เล่าเอี๋ยนเห็นด้วยกับวิธีของเจาเจ้ง เล่าเอี๋ยนจึงสั่งพิมพ์หนังสือออกไปติดตามหัวเมืองต่างๆเพื่อรับสมัครคนที่มีใจรักชาติ รักแผ่นดิน และไม่เห็นด้วยกับนโยบาย ล้มเจ้า ของเตียวก๊ก ให้เข้ามาช่วยกันปกป้องแผ่นดิน
เหล่าทหารของเล่าเอี๋ยนจึงออกเดินทางปิดประกาศมาเรื่อยๆ จนมาถึงเมืองตุ้นก้วน เมืองตุ้นก้วนแห่งนี้เป็นที่กำเนิดของ วีรบุรุษ ของใครหลายๆคนที่ชอบอ่านสามก๊กครับ นั่นก็คือ เล่าปี่ และที่เมืองนี้ เล่าปี่ กวนอู เตียวหุย ได้สาบานเป็นพี่น้องกันที่นี่ เรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป ติดตามได้ในตอนต่อไปครับ
วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553
สามก๊ก ตอน ปฐมเหตุแห่งสามก๊ก
สามก๊กในความทรงจำ ตอน ปฐมเหตุแห่งสามก๊ก
ในช่วงนี้ผมโดนท่านผู้บังคับบัญชาการส่วนตัว สั่งการให้เขียนเรื่องสามก๊กให้อ่าน โดยมีการขีดเส้นตายไว้ให้ในแต่ละตอน ทำให้ผมต้องรีบหาข้อมูลเรื่องสามก๊กอย่างเร่งด่วน เรียกได้ว่าเป็นวาระแห่งชาติกันเลยทีเดียว เมื่อมานั่งคิดๆๆๆๆว่าจะเขียนอะไรดี ก็มีความรู้สึกว่ามนุษย์เดินทางอย่างผมที่ทำงานไม่เป็นเวลาและไม่ค่อยที่จะว่างเหมือนชาวบ้านซักเท่าไหร่ ถ้าเขียนเรื่องสามก๊กแบบ เอาตรงโน้นมาทีเอาตรงนี้มาทีก็คงจะทำให้ตัวผมสับสนเองเป็นแน่ ไม่รู้ว่าตรงไหนเป็นตรงไหน เพราะอย่างที่ทราบกันแล้วว่า สามก๊กมันยาวขนาดไหน เรื่องราวลึกลับซับซ้อนยิ่งกว่า ขบวนการใดๆทั้งบนดิน ใต้ดินที่ก่อตัวอยู่ในประเทศเราตอนนี้ซะอีก
ดังนั้นผมก็ตัดสินใจว่าจะเขียนตั้งแต่เริ่มต้นกำเนิดสามก๊กไปเรื่อยๆ เหนื่อยตอนไหน หรือ ติดงานไม่ว่างตอนไหนก็จะได้กลับมาเขียนต่อได้โดยไม่ข้ามไปข้ามมา และท่านผู้บัญชาการส่วนตัวจะได้เข้าใจเรื่องราวของสามก๊กได้อย่างไม่สับสน เพราะถ้าท่าน ผบ.สับสนผมคงจะต้องเดือดร้อนในหลายๆเรื่องเป็นแน่แท้...
สามก๊ก ความหมายคือสามกลุ่ม สามหัวเมืองที่แยกกันมีอำนาจ ไม่ขึ้นแก่กัน แต่ก่อนที่แผ่นดินจีนจะแบ่งเป็นสามก๊กนั้นเคยเป็นปึกแผ่นเป็นจีนเดียว โดยราชวงศ์สุดท้ายในช่วงนั้น ก่อนที่จะเป็นสามก๊ก คือ ราชวงศ์ของ "พระเจ้าฮั่นโกโจ" โดยพระเจ้าฮั่นโกโจ และราชวงศ์ครองราชย์สืบต่อมา สิบสองพระองค์ ก่อนที่จะถูกขุนนางที่ชื่อ"อองมัง" ก่อการยึดอำนาจ ในสามก๊กฉบับที่ผมอ่านเขียนว่า อองมัง ก่อการขบถชิงราชสมบัติ แต่ในยุคปัจจุบัน ขบถ หรือกบฏ จะใช้กับผู้ที่กระทำการไม่สำเร็จมากกว่า ถ้าบังเอิญว่า ผู้ที่กระทำการดำเนินการไปได้อย่างเรียบร้อย ผมเห็นในบ้านเราใช้คำว่าคณะปฏิวัติ รัฐประหาร หรือ คณะต่างๆที่ใช้ตัวย่อ ลงท้ายด้วยตัว ช.ช้าง กันทั้งนั้น.. โดย ช.ช้าง นั้นจะเป็นอักษรย่อแทนคำว่า แห่งชาติ ซึ่งบางครั้งผมก็สับสนว่า "มันเพื่อชาติ จริงหรือเปล่าหว่า"
กลับมาที่สมัยราชวงศ์พระเจ้าฮั่นโกโจกันต่อครับ หลังจาก อองมัง ยึดอำนาจแล้วครองอำนาจสืบต่อมาได้ สิบแปดปี เชื้อสายของพระเจ้าฮั่นโกโจ โดยมีศักดิ์เป็น หลานของพระเจ้าฮั่นโกโจ ชื่อ "ฮั่นกองบู๊" ก็ชิงเอาแผ่นดินคืนมาได้ โดยจับเอาอองมังฆ่าทิ้งตามประเพณีที่ทำกันเป็นเรื่องปกติในสมัยนั้น ซึ่งการทำสงคราม ฆ่าฟันกัน เป็นเรื่องปกติ เมื่อมีการยึดอำนาจกลับคืนมาได้ และผู้ที่ยึดอำนาจกลับมา มีเชื้อสายของราชวงศ์เดิม ดังนั้นจึงเป็นการนับราชวงศ์ต่อไป เป็นราชวงศ์ พระเจ้าฮั่นโกโจเช่นเดิม
พระเจ้าฮั่นกองบู๊ ครองราชย์สืบต่อกันมาได้อีก สิบสองพระองค์จนมาถึงสมัยของ"พระเจ้าฮั่นเต้" แผ่นดินที่เคยร่มเย็นก็เริ่มมีเค้าลางของความวิบัติแตกแยก..สาเหตุคือ พระเจ้าฮั่นเต้ไม่มีราชบุตรที่จะสืบราชวงศ์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงรับเอา "เลนเต้" มาเลี้ยง ซึ่งในหนังสือเล่มที่ผมอ่านก็ไม่ได้บอกว่า เลนเต้ เป็นใครมาจากไหนทำไมอยู่ดีๆถึงได้มีวาสนาใหญ่โตเช่นนั้น และเลนเต้ นี่เองที่เป็นต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งปวง เมื่อ เลนเต้ขึ้นครองราชย์ ในนาม "พระเจ้าเลนเต้"
พระเจ้าเลนเต้ในขณะที่ครองราชย์นั้น เป็นกษัตริย์ที่ไม่อยู่ใน ทศพิธราชธรรม อันเป็นธรรมสิบประการของผู้ที่ครองบ้านเมือง ทำให้อาณาประชาราษฏร์ เดือดร้อนมากมาย เมื่ออ่านมาถึงตอนนี้ทำให้ผมรู้ว่า คนไทยในยุคนี้โชคดีมากมายขนาดไหนที่พวกเรามีพระมหากษัตริย์ที่ทรง ทศพิธราชธรรม ปกครองบ้านเมืองให้ พสกนิกรชาวไทยได้อยู่เย็นเป็นสุขภายใต้พระบารมีได้อย่างไม่มีสิ่งใดมาเสมอเหมือน ดังนั้นผมจึงภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่เกิดเป็นคนไทย และไม่เคยคิดจะไปอยู่ที่ไหน หรือเปลี่ยนไปใช้สัญชาติใดๆในโลกอย่างแน่นอนครับ
พระเจ้าเลนเต้ เมื่อไม่อยู่ในโบราณราชประเพณี ไม่ใส่ใจประชาชน ดังนั้นเหล่าขุนนางที่จะเข้ากับนายประเภทนี้ได้จึงต้องเป็นคนที่มีนิสัยใจคอที่เหมือนกัน คนดีๆไม่ได้โต เอาคนโง่มาเป็นใหญ่ เอาคนพาลมาปกครองคนดี ดังนั้นชาวบ้านชาวเมืองในสมัยนั้นคงจะลำบากกันน่าดู ในกลุ่มขุนนาง หรือ ขันที ที่อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าเลนเต้นั้น มี "เทาเจียด" เป็นหัวหน้าขันที ซึ่งเจ้าเทาเจียดคนนี้เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าเลนเต้มาก จะทำอะไรก็น่ารักน่าเอ็นดูไปหมด ไม่มีอะไรผิดทั้งสิ้น ดังนั้น เทาเจียดจึงรวมหัวกับพวกขุนนางในสังกัด ขูดรีดชาวบ้าน ข่มเหงข้าราชการและขุนนางที่ไม่เข้าพวกกับเทาเจียดให้ได้รับความลำบากยากเข็ญเป็นอันมาก ใครจะโยกย้ายหรือเลื่อนตำแหน่งก็ต้องจ่ายเงิน ถ้าไม่จ่ายก็อย่าหวังว่าจะได้เลื่อนตำแหน่ง ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนหรืออายุราชการจะมากเพียงใด ถ้าไม่จ่ายใต้โต๊ะก็ทำได้แค่เพียงนั่งมองดูเด็กรุ่นหลังที่ไม่มีความสามารถแต่มีเงินเหยียบหัวขึ้นเป็นใหญ่แทน
ส่วนพวกที่ใช้เงินซื้อตำแหน่งเมื่อได้ตำแหน่งมาแล้วก็ทำการถอนทุน ด้วยการโกงงบประมาณ ขูดรีด ฮั้วประมูลทุกอย่าง เพื่อที่จะถอนทุนคืนและเก็บไว้เป็นทุนในการซื้อตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้น บางคนก็สั่งให้ลูกน้องไปตั้งด่านลอย ตรวจจับความเร็วเกวียน ดูใบอนุญาติขี่ม้า สารพัดที่จะทำ ประชาชนหาเช้ากินค่ำหรือเด็กนักเรียนจะไปเรียนหนังสือ โดนพวกขุนนางเหล่านี้กลั่นแกล้งจับผิดไปทุกๆเรื่อง และสิ่งที่น่าแปลกและเป็นวัฒนธรรมตกทอดมาจนถึงยุคนี้ก็คือ จับกับตอนเช้าๆ เกวียนเยอะๆ ม้าเยอะๆ การจราจรคับคั่ง พอได้ยอดแล้วก็หายหัวกันหมด ถ้าอ้างว่าเพื่อความปลอดภัยของประชาชน แน่จริงก็ตั้งด่านมันทั้งวันทั้งคืนสิวะ เวลาฝนตกก็อย่าหลบไปนอน ... นอกเรื่องแล้วละครับ เอาเรื่องส่วนตัวมาปนซะแล้ว ไปที่สามก๊กกันต่อดีกว่า
ดังนั้นในเมืองหลวงจึงเกิดกลุ่ม คลื่นใต้น้ำในหมู่ขุนนาง ที่จ้องจะทำการปฏิวัติที่ไม่ถึงกับการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ กล่าวคือ มีความคิดเพียงแค่จะล้มล้างอำนาจของเจ้าขันทีใหญ่ ที่ชื่อ เทาเจียด เท่านั้น ไม่ได้หวังถึงขั้นจะครองแผ่นดิน หนึ่งในกลุ่มขุนนางเหล่านั้น คือ กลุ่มที่มี "เตาบู" และ "ตันผวน" เป็นผู้นำ จึงดำเนินการปฏิวัติทันที แต่..ไม่สำเร็จ และโทษสถานเดียวของผู้ที่ปฏิวัติไม่สำเร็จคือ การประหารชีวิตทั้งคู่ และการปฏิวัติครั้งนั้น นอกจากจะไม่สำเร็จแล้ว ยังทำให้ เทาเจียดและพวก ระวังตัวมากขึ้น และกำเริบขึ้นมากกว่าเดิมเพราะคิดว่า คงจะไม่มีใครกล้ากระทำการเช่นนั้นอีกต่อไปอย่างแน่นอนเพราะได้ เชือดไก่ให้ลิงดู ไปแล้ว
เหตุการณ์ต่างๆดำเนินต่อมาจนถึงปีที่สิบสองของการครองราชย์ของพระเจ้าเลนเต้ ( สังเกตหลายครั้งแล้วว่า เหตุการณ์ต่างๆ ลงที่เลข สิบสองซะเป็นส่วนใหญ่ ) ก็เริ่มมีลางร้ายบอกเหตุ ต่างๆเกิดขึ้นในแผ่นดิน อาทิเช่น เกิดพายุใหญ่พัดกระหน่ำ แล้วบังเกิดมีงูเขียวใหญ่ ตกลงมาพันตรงเก้าอี้ ที่พระเจ้าเลนเต้ นั่งอยู่ พระเจ้าเลนเต้ ตกใจจนเป็นลม ขุนนางต่างๆต้องช่วยกันพยุงเข้าไปพักผ่อน ขุนนางบางคนเห็นงูใหญ่ก็ตกใจวิ่งหนี ซึ่งงูตัวนี้คงจะใหญ่มากถึงขนาดทำให้ ขุนนางตกใจวิ่งหนีได้ ตอนแรกๆที่อ่านผมเคยสงสัยว่าทำไมไม่เอา ดาบฆ่างูซะ วิ่งหนีกันทำไม แต่พอเริ่มอ่านหนังสือต่างๆมากขึ้น ก็เริ่มเข้าใจว่า เวลาเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีใครพกอาวุธกันหรอกครับ ต้องถูกเก็บไว้ในที่อันควรด้านนอก ก่อนที่จะเข้าเฝ้าทุกคนไม่มียกเว้น จากประเพณีข้างต้นก็ยังมีการสืบทอดกันมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ตำรวจที่เฝ้าระวังรักษาการณ์ บนเส้นทางเสด็จ จะสวมถุงมือขาว ที่ผมเข้าใจเอาเองว่า ถุงมือสีขาวจะทำให้มองเห็นได้ชัดว่าจะไม่มีสิ่งใดอยู่ในมือ และตำรวจเหล่านั้น ห้ามพกปืนโดยเด็ดขาด
เมื่องูเขียวใหญ่ตัวนั้นออกมาสร้างความตื่นตระหนกในราชสำนักจนพอใจแล้วงูตัวนั้นก็หายไปเฉยๆ แต่เมื่องูหายไปก็เกิดพายุใหญ่โหมกระหน่ำ เกิดลูกเห็บถล่มเมือง บ้านเรือนประชาชนเสียหายเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นที่กล่าวขวัญกันในหมู่ชนทั้งหลายเป็นอันมาก และกว่าจะใช้งบประมาณเยียวยาสภาพจิตใจประชาชนได้ก็ใช้เวลานานมากพอดูเลยทีเดียว
พระเจ้าเลนเต้ มีราชบุตร สององค์ด้วยกัน ชื่อ "หองจูเหียบ" กับ "หองจูเปียน" ซึ่งเราจะข้ามเรื่องราวของสององค์นี้ไปก่อน เพราะยังไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวตอนนี้ แต่จะมีบทบาทพอสมควรในตอนที่สิ้นพระเจ้าเลนเต้แล้ว ซึ่งถ้าไม่มีเหตุการณ์ใดๆที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น เป็นต้นว่า หิมะตก หรือ สึนามิถล่มที่บ้านผม ทำให้ผมไม่สามารถเขียนต่อได้แล้วนั้น ผมคงจะได้กล่าวถึง ราชบุตรทั้งสององค์ของพระเจ้าเลนเต้อย่างแน่นอนครับ
มาว่ากันต่อครับ หลังจากเหตุการณ์งูเขียวใหญ่ถล่มวังหลวงผ่านไปได้สี่ปี ( พ.ศ. ๗๒๖ ) ในเดือนยี่ปีนั้น ที่เมืองลกเอี๋ยง เกิดแผ่นดินไหว น้ำทะเลใหญ่เกิดท่วมบ้านเรือนราษฏร บ้านเรือนที่อยู่ริมฝั่งถล่มทลายไปเป็นจำนวนมาก ไก่ตัวเมียกลายเป็นไก่ตัวผู้ เหตุการณ์นี้คงจะเป็น สึนามิ ที่บ้านเราเคยเจอ แต่ที่ผมติดใจนิดนึงคือ ที่บ้านเราเกิดตอน 26 ธันวาคม 2547 น่าจะเป็นเดือนยี่ เช่นกันครับ ส่วนไก่ตัวเมียเป็นไก่ตัวผู้นี้ในหนังสือไม่ได้บอกว่าเป็นทั้งหมดหรือ แค่ตัวเดียว แต่สรุปว่าเกิดอาเภทขึ้นในบ้านเมืองทำให้ราษฏรเดือดร้อนเป็นอันมาก
ผ่านเดือนยี่ ย่างเข้าเดือนหก ฝนก็ตกพรำๆ กบมันก็ร้องงำงัมระงมไปทั่วท้องนา..ไม่ใช่สิ เดือนหกขึ้นหนึ่งค่ำปีนั้น เกิดไฟไหม้พระที่นั่งอุนต๊กเตี้ยน ซึ่งคงจะเป็นพระที่นั่งในพระราชวัง พอผ่านเดือนหก ขึ้นเดือนเจ็ด เกิดรัศมีของสายรุ้งลงในพระราชวัง ซึ่งเรื่องสายรุ้งนี้ผมเองก็ไม่ทราบว่าเป็นลางร้ายแบบไหน แต่เหตุที่เห็นได้ชัดคือ ภูเขารันซัว ถล่ม ในหนังสือบอกว่าเป็นภูเขาสูงใหญ่ และเมื่อภูเขาสูงใหญ่ถล่ม ก็คงจะมีชาวบ้านเดือดร้อนมากอีกเช่นกัน เมื่อเกิดเหตุร้ายมากมายเกิดขึ้นติดต่อกันเช่นนั้น พระเจ้าเลนเต้ก็เริ่มเกิดความวิตกกังวล เรียกประชุมขุนนางต่างๆเพื่อสอบถามว่า เหตุพวกนี้ เป็นลางร้ายมากมายขนาดไหน และเกิดขึ้นเพราะอะไร กลุ่มขุนนางชั่วก็บอกว่า เป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรมากมายส่วนพวกตามน้ำก็เฉยๆว่าไงว่าตามกันมิกล้าทักท้วง แต่ก็มี ขุนนางที่ไม่เห็นด้วยกับแก๊งค์เทาเจียด ที่ชื่อ "ยีหลง" ทำหนังสือลับ กราบทูล พระเจ้าเลนเต้ว่า เหตุทั้งปวงเกิดจากขันทีทั้งปวงกระทำล่วงพระราชอาญา ทำให้เทพเทวาบันดาลให้นิมิตรเหล่านี้ได้บังเกิด
พระเจ้าเลนเต้ก็ช่างกระไร..เมื่ออ่านหนังสือลับฉบับนั้นแล้วมิได้ตรัสสิ่งใด ลุกขึ้นเดินออกไปผลัดเปลี่ยนเครื่องทรงด้านใหม่ โดยที่ทิ้งหนังสือไว้ตรงนั้นโดยมิได้เก็บไว้ให้มิดชิดแต่อย่างใด ดังนั้นเทาเจียด ที่เป็นขันทีและขุนนางใกล้ชิด เลยได้เห็นหนังสือฉบับนั้นด้วย และแน่นอนครับว่า อนาคตราชการของ ยีหลง ต้องดับวูบลงไปในทันที ยีหลงถูกใส่ความโยนความผิดให้ออกจากราชการ แต่จะตายหรือไม่นั้นในเรื่องไม่ได้กล่าวถึง เดาเอาว่า ถ้ายีหลงไม่ถูกยึดทรัพย์แล้วไล่ออกไปอยู่นอกเมือง ก็คงจะถูกกองกำลังลับ ลอบสังหารด้วย "สไนเปอร์" เป็นแน่แท้
ฝ่ายเทาเจียด หลังจากกำเริบมานานโดยที่คิดว่าคงจะไม่มีใครกล้าต่อต้านก็รู้ตัวว่า ตนเองยังไม่สามารถยึดอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และงานใหญ่อันนี้คงจะทำกันแค่คนไม่กี่คนไม่ได้อีกแล้ว ก็เลยรวบรวมสมัครพรรคพวก อีก เก้า คนรวมเป็น สิบคน ส่วนจะมีชื่ออะไรบ้างนั้นก็คงจะขอข้ามไปก่อนเพราะเดี๋ยวจะมีตัวละครมากมายจนท่าน ผบ.สับสน เอาเป็นว่ามีเทาเจียดเป็นผู้นำ และอีกคนนึงที่มีอิทธิพลต่อพระเจ้าเลนเต้มาก มากถึงขนาดที่พระเจ้าเลนเต้ยกให้เป็นบิดาเลี้ยง (ตามในหนังสือ)เลยทีเดียว ท่านผู้นั้นมีชื่อว่า "เตียวเหยียง" ไม่ว่าเตียวเหยียงจะบอกเรื่องใด พระเจ้าเลนเต้ไม่เคยขัด ด้วยความเกรงใจในขุนนางผู้นี้ ดังนั้น แก๊งค์ สิบขันทีจึงมีอำนาจเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก มีชื่อเป็นทางการว่า "สิบเสียงสี"
คณะสิบเสียงสี ที่ทำการยึดอำนาจเงียบได้อย่างเด็ดขาดนั้น ก็เริ่มรีดไถราษฏร ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนมาก ขุนนางผู้ใดไม่เข้าด้วยกับพวกตนก็กลั่นแกล้งต่างๆนานา ให้ออกบ้าง ย้ายบ้าง ทำให้แผ่นดินร้อนรุ่ม ด้านหัวเมืองต่างๆก็เริ่มอดอยาก เริ่มมีโจรก๊กต่างๆออกปล้นชิง การปกครองเริ่มอ่อนแอ หรือที่เรียกว่า Failed State อย่างที่หลายๆคนอยากให้เกิดขึ้นในบ้านเรานั่นละครับ เมื่ออ่านสามก๊กมาถึงตอนนี้แล้ว ก็คิดว่า บ้านเราเมืองเรายังดีกว่านี้มากมายนัก ถึงแม้ว่าบางช่วงบางตอนเหตุการณ์ในบ้านเราจะพาไปจนเกือบถึงขั้น Failed State ก็เถอะ แต่ถึงยังไงแผ่นดินไทยก็ยังมีคนดีมีฝีมือที่จะมากอบกู้สถานการณ์ให้กลับคืนมาได้เสมอ แต่ถ้าเราไม่ช่วยกันต่อต้านกลุ่มคนที่โกงกิน นักการเมืองที่เห็นแต่ผลประโยชน์ของตัวเองแล้วคงอีกไม่นานหรอกครับ บ้านเมืองเราก็คงจะเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันกับในยุคสมัยพระเจ้าเลนเต้อย่างแน่นอน
วันนี้ปฐมบทแห่งสามก๊ก ก็ขอจบไว้เพียงแค่นี้ก่อนนะครับ ตอนต่อไปผมจะมาเล่าถึงเรื่องราวของหัวเมืองรอบนอกให้อ่านกัน ว่าในขณะที่เมืองหลวงเกิดการโกงกินกันอย่างมากมายนั้น ที่หัวเมืองด้านนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง
นภดล 26/5/2553
ในช่วงนี้ผมโดนท่านผู้บังคับบัญชาการส่วนตัว สั่งการให้เขียนเรื่องสามก๊กให้อ่าน โดยมีการขีดเส้นตายไว้ให้ในแต่ละตอน ทำให้ผมต้องรีบหาข้อมูลเรื่องสามก๊กอย่างเร่งด่วน เรียกได้ว่าเป็นวาระแห่งชาติกันเลยทีเดียว เมื่อมานั่งคิดๆๆๆๆว่าจะเขียนอะไรดี ก็มีความรู้สึกว่ามนุษย์เดินทางอย่างผมที่ทำงานไม่เป็นเวลาและไม่ค่อยที่จะว่างเหมือนชาวบ้านซักเท่าไหร่ ถ้าเขียนเรื่องสามก๊กแบบ เอาตรงโน้นมาทีเอาตรงนี้มาทีก็คงจะทำให้ตัวผมสับสนเองเป็นแน่ ไม่รู้ว่าตรงไหนเป็นตรงไหน เพราะอย่างที่ทราบกันแล้วว่า สามก๊กมันยาวขนาดไหน เรื่องราวลึกลับซับซ้อนยิ่งกว่า ขบวนการใดๆทั้งบนดิน ใต้ดินที่ก่อตัวอยู่ในประเทศเราตอนนี้ซะอีก
ดังนั้นผมก็ตัดสินใจว่าจะเขียนตั้งแต่เริ่มต้นกำเนิดสามก๊กไปเรื่อยๆ เหนื่อยตอนไหน หรือ ติดงานไม่ว่างตอนไหนก็จะได้กลับมาเขียนต่อได้โดยไม่ข้ามไปข้ามมา และท่านผู้บัญชาการส่วนตัวจะได้เข้าใจเรื่องราวของสามก๊กได้อย่างไม่สับสน เพราะถ้าท่าน ผบ.สับสนผมคงจะต้องเดือดร้อนในหลายๆเรื่องเป็นแน่แท้...
สามก๊ก ความหมายคือสามกลุ่ม สามหัวเมืองที่แยกกันมีอำนาจ ไม่ขึ้นแก่กัน แต่ก่อนที่แผ่นดินจีนจะแบ่งเป็นสามก๊กนั้นเคยเป็นปึกแผ่นเป็นจีนเดียว โดยราชวงศ์สุดท้ายในช่วงนั้น ก่อนที่จะเป็นสามก๊ก คือ ราชวงศ์ของ "พระเจ้าฮั่นโกโจ" โดยพระเจ้าฮั่นโกโจ และราชวงศ์ครองราชย์สืบต่อมา สิบสองพระองค์ ก่อนที่จะถูกขุนนางที่ชื่อ"อองมัง" ก่อการยึดอำนาจ ในสามก๊กฉบับที่ผมอ่านเขียนว่า อองมัง ก่อการขบถชิงราชสมบัติ แต่ในยุคปัจจุบัน ขบถ หรือกบฏ จะใช้กับผู้ที่กระทำการไม่สำเร็จมากกว่า ถ้าบังเอิญว่า ผู้ที่กระทำการดำเนินการไปได้อย่างเรียบร้อย ผมเห็นในบ้านเราใช้คำว่าคณะปฏิวัติ รัฐประหาร หรือ คณะต่างๆที่ใช้ตัวย่อ ลงท้ายด้วยตัว ช.ช้าง กันทั้งนั้น.. โดย ช.ช้าง นั้นจะเป็นอักษรย่อแทนคำว่า แห่งชาติ ซึ่งบางครั้งผมก็สับสนว่า "มันเพื่อชาติ จริงหรือเปล่าหว่า"
กลับมาที่สมัยราชวงศ์พระเจ้าฮั่นโกโจกันต่อครับ หลังจาก อองมัง ยึดอำนาจแล้วครองอำนาจสืบต่อมาได้ สิบแปดปี เชื้อสายของพระเจ้าฮั่นโกโจ โดยมีศักดิ์เป็น หลานของพระเจ้าฮั่นโกโจ ชื่อ "ฮั่นกองบู๊" ก็ชิงเอาแผ่นดินคืนมาได้ โดยจับเอาอองมังฆ่าทิ้งตามประเพณีที่ทำกันเป็นเรื่องปกติในสมัยนั้น ซึ่งการทำสงคราม ฆ่าฟันกัน เป็นเรื่องปกติ เมื่อมีการยึดอำนาจกลับคืนมาได้ และผู้ที่ยึดอำนาจกลับมา มีเชื้อสายของราชวงศ์เดิม ดังนั้นจึงเป็นการนับราชวงศ์ต่อไป เป็นราชวงศ์ พระเจ้าฮั่นโกโจเช่นเดิม
พระเจ้าฮั่นกองบู๊ ครองราชย์สืบต่อกันมาได้อีก สิบสองพระองค์จนมาถึงสมัยของ"พระเจ้าฮั่นเต้" แผ่นดินที่เคยร่มเย็นก็เริ่มมีเค้าลางของความวิบัติแตกแยก..สาเหตุคือ พระเจ้าฮั่นเต้ไม่มีราชบุตรที่จะสืบราชวงศ์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงรับเอา "เลนเต้" มาเลี้ยง ซึ่งในหนังสือเล่มที่ผมอ่านก็ไม่ได้บอกว่า เลนเต้ เป็นใครมาจากไหนทำไมอยู่ดีๆถึงได้มีวาสนาใหญ่โตเช่นนั้น และเลนเต้ นี่เองที่เป็นต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งปวง เมื่อ เลนเต้ขึ้นครองราชย์ ในนาม "พระเจ้าเลนเต้"
พระเจ้าเลนเต้ในขณะที่ครองราชย์นั้น เป็นกษัตริย์ที่ไม่อยู่ใน ทศพิธราชธรรม อันเป็นธรรมสิบประการของผู้ที่ครองบ้านเมือง ทำให้อาณาประชาราษฏร์ เดือดร้อนมากมาย เมื่ออ่านมาถึงตอนนี้ทำให้ผมรู้ว่า คนไทยในยุคนี้โชคดีมากมายขนาดไหนที่พวกเรามีพระมหากษัตริย์ที่ทรง ทศพิธราชธรรม ปกครองบ้านเมืองให้ พสกนิกรชาวไทยได้อยู่เย็นเป็นสุขภายใต้พระบารมีได้อย่างไม่มีสิ่งใดมาเสมอเหมือน ดังนั้นผมจึงภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่เกิดเป็นคนไทย และไม่เคยคิดจะไปอยู่ที่ไหน หรือเปลี่ยนไปใช้สัญชาติใดๆในโลกอย่างแน่นอนครับ
พระเจ้าเลนเต้ เมื่อไม่อยู่ในโบราณราชประเพณี ไม่ใส่ใจประชาชน ดังนั้นเหล่าขุนนางที่จะเข้ากับนายประเภทนี้ได้จึงต้องเป็นคนที่มีนิสัยใจคอที่เหมือนกัน คนดีๆไม่ได้โต เอาคนโง่มาเป็นใหญ่ เอาคนพาลมาปกครองคนดี ดังนั้นชาวบ้านชาวเมืองในสมัยนั้นคงจะลำบากกันน่าดู ในกลุ่มขุนนาง หรือ ขันที ที่อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าเลนเต้นั้น มี "เทาเจียด" เป็นหัวหน้าขันที ซึ่งเจ้าเทาเจียดคนนี้เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าเลนเต้มาก จะทำอะไรก็น่ารักน่าเอ็นดูไปหมด ไม่มีอะไรผิดทั้งสิ้น ดังนั้น เทาเจียดจึงรวมหัวกับพวกขุนนางในสังกัด ขูดรีดชาวบ้าน ข่มเหงข้าราชการและขุนนางที่ไม่เข้าพวกกับเทาเจียดให้ได้รับความลำบากยากเข็ญเป็นอันมาก ใครจะโยกย้ายหรือเลื่อนตำแหน่งก็ต้องจ่ายเงิน ถ้าไม่จ่ายก็อย่าหวังว่าจะได้เลื่อนตำแหน่ง ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนหรืออายุราชการจะมากเพียงใด ถ้าไม่จ่ายใต้โต๊ะก็ทำได้แค่เพียงนั่งมองดูเด็กรุ่นหลังที่ไม่มีความสามารถแต่มีเงินเหยียบหัวขึ้นเป็นใหญ่แทน
ส่วนพวกที่ใช้เงินซื้อตำแหน่งเมื่อได้ตำแหน่งมาแล้วก็ทำการถอนทุน ด้วยการโกงงบประมาณ ขูดรีด ฮั้วประมูลทุกอย่าง เพื่อที่จะถอนทุนคืนและเก็บไว้เป็นทุนในการซื้อตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้น บางคนก็สั่งให้ลูกน้องไปตั้งด่านลอย ตรวจจับความเร็วเกวียน ดูใบอนุญาติขี่ม้า สารพัดที่จะทำ ประชาชนหาเช้ากินค่ำหรือเด็กนักเรียนจะไปเรียนหนังสือ โดนพวกขุนนางเหล่านี้กลั่นแกล้งจับผิดไปทุกๆเรื่อง และสิ่งที่น่าแปลกและเป็นวัฒนธรรมตกทอดมาจนถึงยุคนี้ก็คือ จับกับตอนเช้าๆ เกวียนเยอะๆ ม้าเยอะๆ การจราจรคับคั่ง พอได้ยอดแล้วก็หายหัวกันหมด ถ้าอ้างว่าเพื่อความปลอดภัยของประชาชน แน่จริงก็ตั้งด่านมันทั้งวันทั้งคืนสิวะ เวลาฝนตกก็อย่าหลบไปนอน ... นอกเรื่องแล้วละครับ เอาเรื่องส่วนตัวมาปนซะแล้ว ไปที่สามก๊กกันต่อดีกว่า
ดังนั้นในเมืองหลวงจึงเกิดกลุ่ม คลื่นใต้น้ำในหมู่ขุนนาง ที่จ้องจะทำการปฏิวัติที่ไม่ถึงกับการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ กล่าวคือ มีความคิดเพียงแค่จะล้มล้างอำนาจของเจ้าขันทีใหญ่ ที่ชื่อ เทาเจียด เท่านั้น ไม่ได้หวังถึงขั้นจะครองแผ่นดิน หนึ่งในกลุ่มขุนนางเหล่านั้น คือ กลุ่มที่มี "เตาบู" และ "ตันผวน" เป็นผู้นำ จึงดำเนินการปฏิวัติทันที แต่..ไม่สำเร็จ และโทษสถานเดียวของผู้ที่ปฏิวัติไม่สำเร็จคือ การประหารชีวิตทั้งคู่ และการปฏิวัติครั้งนั้น นอกจากจะไม่สำเร็จแล้ว ยังทำให้ เทาเจียดและพวก ระวังตัวมากขึ้น และกำเริบขึ้นมากกว่าเดิมเพราะคิดว่า คงจะไม่มีใครกล้ากระทำการเช่นนั้นอีกต่อไปอย่างแน่นอนเพราะได้ เชือดไก่ให้ลิงดู ไปแล้ว
เหตุการณ์ต่างๆดำเนินต่อมาจนถึงปีที่สิบสองของการครองราชย์ของพระเจ้าเลนเต้ ( สังเกตหลายครั้งแล้วว่า เหตุการณ์ต่างๆ ลงที่เลข สิบสองซะเป็นส่วนใหญ่ ) ก็เริ่มมีลางร้ายบอกเหตุ ต่างๆเกิดขึ้นในแผ่นดิน อาทิเช่น เกิดพายุใหญ่พัดกระหน่ำ แล้วบังเกิดมีงูเขียวใหญ่ ตกลงมาพันตรงเก้าอี้ ที่พระเจ้าเลนเต้ นั่งอยู่ พระเจ้าเลนเต้ ตกใจจนเป็นลม ขุนนางต่างๆต้องช่วยกันพยุงเข้าไปพักผ่อน ขุนนางบางคนเห็นงูใหญ่ก็ตกใจวิ่งหนี ซึ่งงูตัวนี้คงจะใหญ่มากถึงขนาดทำให้ ขุนนางตกใจวิ่งหนีได้ ตอนแรกๆที่อ่านผมเคยสงสัยว่าทำไมไม่เอา ดาบฆ่างูซะ วิ่งหนีกันทำไม แต่พอเริ่มอ่านหนังสือต่างๆมากขึ้น ก็เริ่มเข้าใจว่า เวลาเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีใครพกอาวุธกันหรอกครับ ต้องถูกเก็บไว้ในที่อันควรด้านนอก ก่อนที่จะเข้าเฝ้าทุกคนไม่มียกเว้น จากประเพณีข้างต้นก็ยังมีการสืบทอดกันมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ตำรวจที่เฝ้าระวังรักษาการณ์ บนเส้นทางเสด็จ จะสวมถุงมือขาว ที่ผมเข้าใจเอาเองว่า ถุงมือสีขาวจะทำให้มองเห็นได้ชัดว่าจะไม่มีสิ่งใดอยู่ในมือ และตำรวจเหล่านั้น ห้ามพกปืนโดยเด็ดขาด
เมื่องูเขียวใหญ่ตัวนั้นออกมาสร้างความตื่นตระหนกในราชสำนักจนพอใจแล้วงูตัวนั้นก็หายไปเฉยๆ แต่เมื่องูหายไปก็เกิดพายุใหญ่โหมกระหน่ำ เกิดลูกเห็บถล่มเมือง บ้านเรือนประชาชนเสียหายเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นที่กล่าวขวัญกันในหมู่ชนทั้งหลายเป็นอันมาก และกว่าจะใช้งบประมาณเยียวยาสภาพจิตใจประชาชนได้ก็ใช้เวลานานมากพอดูเลยทีเดียว
พระเจ้าเลนเต้ มีราชบุตร สององค์ด้วยกัน ชื่อ "หองจูเหียบ" กับ "หองจูเปียน" ซึ่งเราจะข้ามเรื่องราวของสององค์นี้ไปก่อน เพราะยังไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวตอนนี้ แต่จะมีบทบาทพอสมควรในตอนที่สิ้นพระเจ้าเลนเต้แล้ว ซึ่งถ้าไม่มีเหตุการณ์ใดๆที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น เป็นต้นว่า หิมะตก หรือ สึนามิถล่มที่บ้านผม ทำให้ผมไม่สามารถเขียนต่อได้แล้วนั้น ผมคงจะได้กล่าวถึง ราชบุตรทั้งสององค์ของพระเจ้าเลนเต้อย่างแน่นอนครับ
มาว่ากันต่อครับ หลังจากเหตุการณ์งูเขียวใหญ่ถล่มวังหลวงผ่านไปได้สี่ปี ( พ.ศ. ๗๒๖ ) ในเดือนยี่ปีนั้น ที่เมืองลกเอี๋ยง เกิดแผ่นดินไหว น้ำทะเลใหญ่เกิดท่วมบ้านเรือนราษฏร บ้านเรือนที่อยู่ริมฝั่งถล่มทลายไปเป็นจำนวนมาก ไก่ตัวเมียกลายเป็นไก่ตัวผู้ เหตุการณ์นี้คงจะเป็น สึนามิ ที่บ้านเราเคยเจอ แต่ที่ผมติดใจนิดนึงคือ ที่บ้านเราเกิดตอน 26 ธันวาคม 2547 น่าจะเป็นเดือนยี่ เช่นกันครับ ส่วนไก่ตัวเมียเป็นไก่ตัวผู้นี้ในหนังสือไม่ได้บอกว่าเป็นทั้งหมดหรือ แค่ตัวเดียว แต่สรุปว่าเกิดอาเภทขึ้นในบ้านเมืองทำให้ราษฏรเดือดร้อนเป็นอันมาก
ผ่านเดือนยี่ ย่างเข้าเดือนหก ฝนก็ตกพรำๆ กบมันก็ร้องงำงัมระงมไปทั่วท้องนา..ไม่ใช่สิ เดือนหกขึ้นหนึ่งค่ำปีนั้น เกิดไฟไหม้พระที่นั่งอุนต๊กเตี้ยน ซึ่งคงจะเป็นพระที่นั่งในพระราชวัง พอผ่านเดือนหก ขึ้นเดือนเจ็ด เกิดรัศมีของสายรุ้งลงในพระราชวัง ซึ่งเรื่องสายรุ้งนี้ผมเองก็ไม่ทราบว่าเป็นลางร้ายแบบไหน แต่เหตุที่เห็นได้ชัดคือ ภูเขารันซัว ถล่ม ในหนังสือบอกว่าเป็นภูเขาสูงใหญ่ และเมื่อภูเขาสูงใหญ่ถล่ม ก็คงจะมีชาวบ้านเดือดร้อนมากอีกเช่นกัน เมื่อเกิดเหตุร้ายมากมายเกิดขึ้นติดต่อกันเช่นนั้น พระเจ้าเลนเต้ก็เริ่มเกิดความวิตกกังวล เรียกประชุมขุนนางต่างๆเพื่อสอบถามว่า เหตุพวกนี้ เป็นลางร้ายมากมายขนาดไหน และเกิดขึ้นเพราะอะไร กลุ่มขุนนางชั่วก็บอกว่า เป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรมากมายส่วนพวกตามน้ำก็เฉยๆว่าไงว่าตามกันมิกล้าทักท้วง แต่ก็มี ขุนนางที่ไม่เห็นด้วยกับแก๊งค์เทาเจียด ที่ชื่อ "ยีหลง" ทำหนังสือลับ กราบทูล พระเจ้าเลนเต้ว่า เหตุทั้งปวงเกิดจากขันทีทั้งปวงกระทำล่วงพระราชอาญา ทำให้เทพเทวาบันดาลให้นิมิตรเหล่านี้ได้บังเกิด
พระเจ้าเลนเต้ก็ช่างกระไร..เมื่ออ่านหนังสือลับฉบับนั้นแล้วมิได้ตรัสสิ่งใด ลุกขึ้นเดินออกไปผลัดเปลี่ยนเครื่องทรงด้านใหม่ โดยที่ทิ้งหนังสือไว้ตรงนั้นโดยมิได้เก็บไว้ให้มิดชิดแต่อย่างใด ดังนั้นเทาเจียด ที่เป็นขันทีและขุนนางใกล้ชิด เลยได้เห็นหนังสือฉบับนั้นด้วย และแน่นอนครับว่า อนาคตราชการของ ยีหลง ต้องดับวูบลงไปในทันที ยีหลงถูกใส่ความโยนความผิดให้ออกจากราชการ แต่จะตายหรือไม่นั้นในเรื่องไม่ได้กล่าวถึง เดาเอาว่า ถ้ายีหลงไม่ถูกยึดทรัพย์แล้วไล่ออกไปอยู่นอกเมือง ก็คงจะถูกกองกำลังลับ ลอบสังหารด้วย "สไนเปอร์" เป็นแน่แท้
ฝ่ายเทาเจียด หลังจากกำเริบมานานโดยที่คิดว่าคงจะไม่มีใครกล้าต่อต้านก็รู้ตัวว่า ตนเองยังไม่สามารถยึดอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และงานใหญ่อันนี้คงจะทำกันแค่คนไม่กี่คนไม่ได้อีกแล้ว ก็เลยรวบรวมสมัครพรรคพวก อีก เก้า คนรวมเป็น สิบคน ส่วนจะมีชื่ออะไรบ้างนั้นก็คงจะขอข้ามไปก่อนเพราะเดี๋ยวจะมีตัวละครมากมายจนท่าน ผบ.สับสน เอาเป็นว่ามีเทาเจียดเป็นผู้นำ และอีกคนนึงที่มีอิทธิพลต่อพระเจ้าเลนเต้มาก มากถึงขนาดที่พระเจ้าเลนเต้ยกให้เป็นบิดาเลี้ยง (ตามในหนังสือ)เลยทีเดียว ท่านผู้นั้นมีชื่อว่า "เตียวเหยียง" ไม่ว่าเตียวเหยียงจะบอกเรื่องใด พระเจ้าเลนเต้ไม่เคยขัด ด้วยความเกรงใจในขุนนางผู้นี้ ดังนั้น แก๊งค์ สิบขันทีจึงมีอำนาจเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก มีชื่อเป็นทางการว่า "สิบเสียงสี"
คณะสิบเสียงสี ที่ทำการยึดอำนาจเงียบได้อย่างเด็ดขาดนั้น ก็เริ่มรีดไถราษฏร ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนมาก ขุนนางผู้ใดไม่เข้าด้วยกับพวกตนก็กลั่นแกล้งต่างๆนานา ให้ออกบ้าง ย้ายบ้าง ทำให้แผ่นดินร้อนรุ่ม ด้านหัวเมืองต่างๆก็เริ่มอดอยาก เริ่มมีโจรก๊กต่างๆออกปล้นชิง การปกครองเริ่มอ่อนแอ หรือที่เรียกว่า Failed State อย่างที่หลายๆคนอยากให้เกิดขึ้นในบ้านเรานั่นละครับ เมื่ออ่านสามก๊กมาถึงตอนนี้แล้ว ก็คิดว่า บ้านเราเมืองเรายังดีกว่านี้มากมายนัก ถึงแม้ว่าบางช่วงบางตอนเหตุการณ์ในบ้านเราจะพาไปจนเกือบถึงขั้น Failed State ก็เถอะ แต่ถึงยังไงแผ่นดินไทยก็ยังมีคนดีมีฝีมือที่จะมากอบกู้สถานการณ์ให้กลับคืนมาได้เสมอ แต่ถ้าเราไม่ช่วยกันต่อต้านกลุ่มคนที่โกงกิน นักการเมืองที่เห็นแต่ผลประโยชน์ของตัวเองแล้วคงอีกไม่นานหรอกครับ บ้านเมืองเราก็คงจะเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันกับในยุคสมัยพระเจ้าเลนเต้อย่างแน่นอน
วันนี้ปฐมบทแห่งสามก๊ก ก็ขอจบไว้เพียงแค่นี้ก่อนนะครับ ตอนต่อไปผมจะมาเล่าถึงเรื่องราวของหัวเมืองรอบนอกให้อ่านกัน ว่าในขณะที่เมืองหลวงเกิดการโกงกินกันอย่างมากมายนั้น ที่หัวเมืองด้านนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง
นภดล 26/5/2553
วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553
บทความเก่าๆ - ฝัน
ฝัน
วันที่ 18 มิถุนายน 2549
ใครไม่เคยมีความฝันบ้างครับ ถามโง่ๆมีใครหลายๆคนกำลังคิดแบบนั้นใช่มั้ยครับ ที่ผมถามแบบนี้ก็คือว่าผมกำลังสงสัยตัวเองอยู่ว่าตอนนี้ผมฝันไปหรือเปล่า และถ้าผมกำลังฝันสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เรียกว่าฝันดีหรือฝันร้ายกันแน่ ทุกคนอยากนอนหลับแล้วฝันดีกันทั้งนั้นคงไม่มีใครอยากฝันร้ายใช่มั้ยครับ แต่ภาวะของผมในขณะนี้ถ้าเลือกได้ขอนอนให้หลับสนิทอย่าฝันอะไรเลยดีกว่าครับ พูดถึงเรื่องความฝันนี่มันก็มีหลายแบบ ผมเคยถามหลานชายว่าเคยฝันบ้างมั้ย มันบอกผมว่าเคยครับ ผมฝันว่าเป็นอุลตร้าแมน! ผมเลยสงสัยว่าที่จริงแล้วความฝันเป็นสิ่งที่เราสามารถกำหนดได้เองหรือเปล่า อย่างที่คนโบราณเคยบอกว่้าก่อนนอนให้สวดมนต์ไหว้พระซะนะจะได้นอนฝันดี แสดงว่าคนโบราณอาจจะเข้าใจกลไกทางจิตได้ดีกว่าคนในปัจจุบันก็ได้ครับ
ที่ผมสงสัยอีกอย่างก็คือถ้าความฝันเกิดจากความทรงจำในช่วงก่อนนอนมาปรุงแต่งให้เกิดเป็นเรื่องเป็นราวในขณะที่เรานอนหลับทำไมบางครั้งเราถึงจำความฝันตัวเองไม่ได้ แต่พอมีเวลานั่งคิดดูก็พอจะเข้าใจได้ว่า คนเราบางคนแม้แต่คำพูดตัวเองที่ทำในขณะที่ยังไม่หลับสติครบถ้วนบางคนยังจำไม่ได้เลยครับ นับประสาอะไรกับเวลานอน คนบางคนมีสมองไว้คอยหาทางเอาเปรียบ มีเวลาไว้สะสมความเห็นแก่ตัว คนประเภทนี้เพื่อนๆคิดว่าเวลานอนเค้าจะฝันดีหรือฝันร้ายครับ ไว้ตอนสุดท้ายจะบอกนะครับ
จริงๆแล้วที่เริ่มต้นเรื่องความฝันก็้เพราะว่าผมได้มีโอกาสไปดู คอนเสริตในฝัน อัศจรรย์แห่งรัก ของชรินทร์ นันทนาคร ใช่ครับ ชรินทร์ นันทนาครศิลปินแห่งชาติคนนึงครับ หลายๆคนอาจจะหัวเราะว่าทำไมล้าสมัยจังเลย ไปดูทำไม ผมอยากจะบอกว่าผมเป็นคนที่ฟังเพลงทุกแนวครับแล้วที่ไปดูนี่ก็ซื้อบัตรนะครับไม่ได้ชมฟรี 429 บาทรวมอาหารบุฟเฟ่ ผมนั่งฟังเพลงของน้าชรินทร์แล้วมีความรู้สึกเหมือนกับฝันไปจริงๆ เสียงร้องที่เหมือนเดิมมีความเป็นกันเองเวลาที่แฟนเพลงของเพลงอะไรไม่เคยขัดแม้ว่าจะเป็นเพลงนานมากๆจำเนื้อร้องไม่ได้ น้าแกยังกลับไปที่ห้องพักเอาเนื้อเพลงมาเปิดเพื่อร้องให้มิตรรักแฟนเพลงได้ฟังกัน บรรยากาศแบบนี้หาไม่ได้หรอกครับกับพวกที่เรียกตัวเองว่้าศิลปินแต่จริงๆแล้วเป็นได้แค่เห็บที่เกาะวงการเพลงเท่านั้นเอง
พูดถึงเรื่องความฝันกันต่อ ผมเคยฝันที่จะทำอะไรๆเพื่อคนทุกคน อยากให้สิ่งดีๆกับคนรอบข้างแต่สารภาพตามตรงครับว่าผมฝันสลายไปแล้วครับ เราไม่สามารถทำดีได้กับคนทุกคน พระพุทธเจ้าสอนว่า สัตว์โลกไม่สามารถสอนได้ทุกประเภท ดังนั้นผู้ที่จะบวชในพุทธศาสนาได้จึงต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น พระพุทธองค์จึงเปรียบคนเป็นบัวสี่เหล่า ซึ่งถ้าศึกษากันดูก็จะรู้ว่าทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งสอนไว้เป็นจริงทั้งหมดครับ เพื่อนๆลองหามงคล 38 มาอ่านดูสิครับจะเข้าใจอะไรได้มากเลยครับ เวลาพระสวดชัยมงคลคาถา จริงๆแล้วคือการสอนให้เราปฏิบัติในสิ่งที่เป็นมงคลต่างๆ เริ่มจาก อะเสวนา จะ พาลานัง เป็นข้อแรก เราก็เริ่มปฎิบัติจากข้อแรกไปจนถึงข้อสุดท้ายรับรองว่าเห็นผลอย่างแน่นอน แต่สำหรับผมแล้วเลือกมาแค่ สอง สามข้อจากสามสิบแปดข้อครับ คือ อะเสวนา จะพาลานัง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนพาล คำว่าพาลนี่ไม่ใช่พวกนักเลงนะครับ สำหรับผมหมายถึงพวกเห็นแก่ได้ เอารัดเอาเปรียบเกิดมาแย่งอากาศชาวโลกหายใจพวกนี้ผมเลิกยุ่งเลยครับ ปูชาจะปูชะนียานัง บูชาบุคคลที่ควรบูชา ผมเลือกที่จะนับถึอคนที่ความดีครับไม่ใช่ที่ตำแหน่ง ถึงคุณจะยิ่งใหญ่มาจากไหนมีตำแหน่งใหญ่โตยังไง ถ้าคุณไม่ดีคุณก็ไม่มีความหมายสำหรับผมหรอกครับ นี่คือ สอง สามข้อที่ผมยึดถืออยู่ประจำครับ
เฉลยก่อนดีกว่าพวกที่มีสมองไว้คอยเอาเปรียบนี่จะไม่ฝันอะไรครับเวลานอน เพราะเค้ากลัวว่าจะขาดทุน เวลานอนเวลาพักผ่อนต้องเต็มที่ถ้ามัวเอาเวลาไปฝันอยู่ก็ขาดทุนสิครับ ตอนไม่นอนคิดแต่จะเอาเปรียบชาวบ้าน เวลานอนก็กลัวว่าตัวเองจะเอาเปรียบตัวเองเลยไม่ยอมที่ฝันอะไรครับ อย่าคิดว่าไม่มีนะครับคนแบบนี้บางครั้งเค้าอาจอยู่ใกล้ๆตัวคุณก็ได้ ใครจะไปรู้
วันที่ 18 มิถุนายน 2549
ใครไม่เคยมีความฝันบ้างครับ ถามโง่ๆมีใครหลายๆคนกำลังคิดแบบนั้นใช่มั้ยครับ ที่ผมถามแบบนี้ก็คือว่าผมกำลังสงสัยตัวเองอยู่ว่าตอนนี้ผมฝันไปหรือเปล่า และถ้าผมกำลังฝันสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เรียกว่าฝันดีหรือฝันร้ายกันแน่ ทุกคนอยากนอนหลับแล้วฝันดีกันทั้งนั้นคงไม่มีใครอยากฝันร้ายใช่มั้ยครับ แต่ภาวะของผมในขณะนี้ถ้าเลือกได้ขอนอนให้หลับสนิทอย่าฝันอะไรเลยดีกว่าครับ พูดถึงเรื่องความฝันนี่มันก็มีหลายแบบ ผมเคยถามหลานชายว่าเคยฝันบ้างมั้ย มันบอกผมว่าเคยครับ ผมฝันว่าเป็นอุลตร้าแมน! ผมเลยสงสัยว่าที่จริงแล้วความฝันเป็นสิ่งที่เราสามารถกำหนดได้เองหรือเปล่า อย่างที่คนโบราณเคยบอกว่้าก่อนนอนให้สวดมนต์ไหว้พระซะนะจะได้นอนฝันดี แสดงว่าคนโบราณอาจจะเข้าใจกลไกทางจิตได้ดีกว่าคนในปัจจุบันก็ได้ครับ
ที่ผมสงสัยอีกอย่างก็คือถ้าความฝันเกิดจากความทรงจำในช่วงก่อนนอนมาปรุงแต่งให้เกิดเป็นเรื่องเป็นราวในขณะที่เรานอนหลับทำไมบางครั้งเราถึงจำความฝันตัวเองไม่ได้ แต่พอมีเวลานั่งคิดดูก็พอจะเข้าใจได้ว่า คนเราบางคนแม้แต่คำพูดตัวเองที่ทำในขณะที่ยังไม่หลับสติครบถ้วนบางคนยังจำไม่ได้เลยครับ นับประสาอะไรกับเวลานอน คนบางคนมีสมองไว้คอยหาทางเอาเปรียบ มีเวลาไว้สะสมความเห็นแก่ตัว คนประเภทนี้เพื่อนๆคิดว่าเวลานอนเค้าจะฝันดีหรือฝันร้ายครับ ไว้ตอนสุดท้ายจะบอกนะครับ
จริงๆแล้วที่เริ่มต้นเรื่องความฝันก็้เพราะว่าผมได้มีโอกาสไปดู คอนเสริตในฝัน อัศจรรย์แห่งรัก ของชรินทร์ นันทนาคร ใช่ครับ ชรินทร์ นันทนาครศิลปินแห่งชาติคนนึงครับ หลายๆคนอาจจะหัวเราะว่าทำไมล้าสมัยจังเลย ไปดูทำไม ผมอยากจะบอกว่าผมเป็นคนที่ฟังเพลงทุกแนวครับแล้วที่ไปดูนี่ก็ซื้อบัตรนะครับไม่ได้ชมฟรี 429 บาทรวมอาหารบุฟเฟ่ ผมนั่งฟังเพลงของน้าชรินทร์แล้วมีความรู้สึกเหมือนกับฝันไปจริงๆ เสียงร้องที่เหมือนเดิมมีความเป็นกันเองเวลาที่แฟนเพลงของเพลงอะไรไม่เคยขัดแม้ว่าจะเป็นเพลงนานมากๆจำเนื้อร้องไม่ได้ น้าแกยังกลับไปที่ห้องพักเอาเนื้อเพลงมาเปิดเพื่อร้องให้มิตรรักแฟนเพลงได้ฟังกัน บรรยากาศแบบนี้หาไม่ได้หรอกครับกับพวกที่เรียกตัวเองว่้าศิลปินแต่จริงๆแล้วเป็นได้แค่เห็บที่เกาะวงการเพลงเท่านั้นเอง
พูดถึงเรื่องความฝันกันต่อ ผมเคยฝันที่จะทำอะไรๆเพื่อคนทุกคน อยากให้สิ่งดีๆกับคนรอบข้างแต่สารภาพตามตรงครับว่าผมฝันสลายไปแล้วครับ เราไม่สามารถทำดีได้กับคนทุกคน พระพุทธเจ้าสอนว่า สัตว์โลกไม่สามารถสอนได้ทุกประเภท ดังนั้นผู้ที่จะบวชในพุทธศาสนาได้จึงต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น พระพุทธองค์จึงเปรียบคนเป็นบัวสี่เหล่า ซึ่งถ้าศึกษากันดูก็จะรู้ว่าทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งสอนไว้เป็นจริงทั้งหมดครับ เพื่อนๆลองหามงคล 38 มาอ่านดูสิครับจะเข้าใจอะไรได้มากเลยครับ เวลาพระสวดชัยมงคลคาถา จริงๆแล้วคือการสอนให้เราปฏิบัติในสิ่งที่เป็นมงคลต่างๆ เริ่มจาก อะเสวนา จะ พาลานัง เป็นข้อแรก เราก็เริ่มปฎิบัติจากข้อแรกไปจนถึงข้อสุดท้ายรับรองว่าเห็นผลอย่างแน่นอน แต่สำหรับผมแล้วเลือกมาแค่ สอง สามข้อจากสามสิบแปดข้อครับ คือ อะเสวนา จะพาลานัง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนพาล คำว่าพาลนี่ไม่ใช่พวกนักเลงนะครับ สำหรับผมหมายถึงพวกเห็นแก่ได้ เอารัดเอาเปรียบเกิดมาแย่งอากาศชาวโลกหายใจพวกนี้ผมเลิกยุ่งเลยครับ ปูชาจะปูชะนียานัง บูชาบุคคลที่ควรบูชา ผมเลือกที่จะนับถึอคนที่ความดีครับไม่ใช่ที่ตำแหน่ง ถึงคุณจะยิ่งใหญ่มาจากไหนมีตำแหน่งใหญ่โตยังไง ถ้าคุณไม่ดีคุณก็ไม่มีความหมายสำหรับผมหรอกครับ นี่คือ สอง สามข้อที่ผมยึดถืออยู่ประจำครับ
เฉลยก่อนดีกว่าพวกที่มีสมองไว้คอยเอาเปรียบนี่จะไม่ฝันอะไรครับเวลานอน เพราะเค้ากลัวว่าจะขาดทุน เวลานอนเวลาพักผ่อนต้องเต็มที่ถ้ามัวเอาเวลาไปฝันอยู่ก็ขาดทุนสิครับ ตอนไม่นอนคิดแต่จะเอาเปรียบชาวบ้าน เวลานอนก็กลัวว่าตัวเองจะเอาเปรียบตัวเองเลยไม่ยอมที่ฝันอะไรครับ อย่าคิดว่าไม่มีนะครับคนแบบนี้บางครั้งเค้าอาจอยู่ใกล้ๆตัวคุณก็ได้ ใครจะไปรู้
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ คำนี้เราคงเคยได้ยินกันมามากมายหลายครั้งในชีวิต ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนพูดคนแรก และความหมายในครั้งแรกมันคืออะไร อาจจะแค่ห้ามปรามคนที่คึกคะนอง ไม่เชื่อในสิ่งที่คนทั่วไปเชื่อ ไม่กราบไหว้ในสิ่งที่คนทั่วไปกราบไหว้กันถ้าลบหลู่สิ่งเหล่านั้นแล้วชีวิตจะตกต่ำ เจ็บตัวหรืออาจจะถึงตายได้ ดังนั้นในยุคนี้จึงมีคนพูดประโยคนี้กันมากเหลือเกิน มากจนผมเริ่มสงสัยว่า ทำไมถึงลบหลู่ไม่ได้ ถ้าของสิ่งนั้นมันไม่มีจริง
ผมเป็นคนที่ชอบค้นหาความรู้ในสิ่งที่สงสัยด้วยตัวเอง จะไม่ค่อยเชื่อะไรที่ไม่ได้เห็นหรือพบเจอมาด้วยตนเอง ยิ่งช่วงหลังๆที่ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือธรรมะมากขึ้น ได้พบปะพูดคุยกับคนที่มีความรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนามากขึ้น ทำให้ผมเริ่มที่จะ ลบหลู่ ในบางสิ่งบางอย่างที่ผมไม่เชื่อ สิ่งที่ผมไม่เชื่อนั้นก็คือ สิ่งที่ขัดกับความเป็นพุทธแท้ คำว่าพุทธแท้นั้น คือพุทธที่ยึดเอาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง ปฏิบัติตามหลักของพระธรรมวินัย ตามแบบอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ไม่เอาแบบอย่างหรือสิ่งใดๆมาปะปนหรือทำให้เบี่ยงเบนไปเพื่อแสวงหาสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นสำหรับผู้ที่เรียกตนเองว่าพระสงฆ์
ก่อนหน้านี้หลายปีผมเป็นคนที่ชอบสะสมพระเครื่องมากๆ เกจิอาจารย์ดีที่ไหนต้องดิ้นรนไปกราบจนถึงที่ สะสมวัตถุมงคลไว้มากมายเป็นพันๆชิ้น พระบูชา ที่มีอยู่ใช้โต๊ะหมู่บูชา สองชุดใหญ่รวมทั้งโต๊ะตัวใหญ่อีกสองตัวก็ยังตั้งไม่หมด แต่เมื่อผมเริ่มได้อ่านงานเขียนและฟังคำสอนของท่านพุทธทาสแล้ว ผมก็เริ่มปล่อยวาง ปลดวัตถุมงคลออกจากตัว จนตอนนี้ผมไม่มีวัตถุมงคลติดตัวมาปีกว่าๆแล้วครับ ข้อดีมองเห็นได้ชัดในการไม่มีสร้อยหรือตะกรุดคาดเอวของผมก็คือ ในเวลาที่ผมเดินทางไปทำงานในต่างจังหวัด นอนพักที่โรงแรม เวลาตอนเช้าที่จะต้องออกเดินทาง ผมไม่ต้องกลัวว่าจะลืมสร้อยลืมพระ หรือลืมกระเป๋าวัตถุมงคลเลยครับ สบายใจกว่ามาก ไม่มีความกังวลใดๆ ออกไปทำงานมีความสุข ไม่เหมือนครั้งหนึ่งที่ผมใคยลืมสร้อยพระไว้ในห้องที่โรงแรม สร้อยราคาไม่เท่าไหร่ หรอกครับ แต่พระราคาหลักหมื่นอยู่เหมือนกัน วันนั้นกว่าผมจะนึกได้ก็ออกเดินทางมาหลายกิโลแล้ว ช่วงเวลาที่ขับรถกลับไปที่โรงแรมนั้นช่างเป็นเวลาที่ ทรมานและยาวนานเหลือเกิน เหมือนตกนรกทั้งเป็นเลยครับ แต่โชคดีที่ยังได้กลับคืนมาครบถ้วน
ที่เล่ามานั้นผมไม่ได้บอกว่าวัตถุมงคลไม่ดีนะครับ วัตถุมงคลเป็นสิ่งที่เหนี่ยวนำจิตใจให้คนอยู่กับความดี กลัวการทำชั่ว ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ วัตถุมงคลจึงมีส่วนดีมากกว่าไม่ดีครับ แต่ที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ ผมหมายถึงสิ่งที่ไม่รู้ว่ามันเป็นมงคลหรือเปล่า แต่เรามาเรียกว่าวัตถุมงคลกัน ก็สิ่งของจำพวกที่โฆษณากันว่าใช้ทำเสน่ห์ เช่นน้ำมันนู่น น้ำมันนี่ พราย โพรง ต่างๆ ที่สรรหากันมาบูชากัน โดยฟังสรรพคุณจากคนขาย ที่ไม่รู้ว่าเป็นพระหรือโจร แล้วเชื่อเป็นตุเป็นตะว่า น้ำมันเหล่านี้จะทำให้ตนเองเป็นที่รักของคนอื่นๆ
ผมเคยนั่งฟังพระรูปหนึ่งเทศนา แต่ผมเองก็จำไม่ได้ว่าท่านอยู่ที่วัดไหน ท่านกล่าวว่า "แปลกนะโยม ไอ้พวกของแบบนี้มันได้ผลกับคนที่คล้ายๆกัน" กล่าวคือ คนหน้าตาแบบไหนก็มักจะโดนทำเสน่ห์จากคนหน้าตาแบบนั้น "อาตมาเห็นคนที่โดนของ กับคนที่ทำของส่วนใหญ่ หน้าตาพอๆกันทั้งนั้น" "แหม อุตสาห์ได้ของดีมาจะทำเสน่ห์ทั้งที ทำไมไม่ไปดีดใส่พวกดาราหรือนางงามกัน มาดีดใส่คนหน้าตาคล้ายๆกันแบบนี้ไม่รู้ น้ำมันมันดีหรือคนที่โดนก็รออยู่แล้ว มันถึงได้ผล"
แต่พระรูปนี้ก็ยืนยันว่าการทำของเหล่านี้ มีอยู่จริง และผมเองก็เชื่อว่ามีอยู่จริง แต่นั่นไม่ใช่แนวทางของพุทธศาสนาครับ อีกอย่างของแบบนี้ ตอนนี้ร้อยละเก้าสิบเก้า โกหกทั้งนั้น เสียเงินไปมากมายได้น้ำอะไรมาก็ไม่รู้ ดีไม่ดี น้ำหมักป้าเช็ง ยังมีประโยชน์มากกว่าเสียอีก และสิ่งที่เหมือนๆกันของกลุ่มคนที่ทำมาหากินในรูปแบบนี้ นั่นก็คือ การโฆษณาครับ บอกเล่าสรรพคุณต่างๆ ถ้าเป็นวัตถุมงคลก็ ใช้ค้าขายดี ยิงฟันไม่เข้า สารพัดจะยกมาอ้าง เวลามีใครทำท่าจะไม่เชื่อก็ บอกว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะ ดังนั้นคำว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่จึงเป็นคำขู่ที่ได้ผลกับคนที่ไม่รู้จักพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
ใครบอกว่าฉันไม่รู้จักพุทธศาสนา ฉันนับถือพุทธศาสนามาตั้งแต่เกิด ส่วนใหญ่จะพูดแบบนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าเราศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจัง เสาะหาให้เข้าถึงพุทธแท้ โดยมองว่า วัตถุมงคลเหล่านี้เป็นเปลือก แล้วเราค่อยๆลอกเปลือกออกไม่นานเราก็จะเห็นแก่นแท้ของพุทธศาสนา แก่นแท้ที่ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องลางใดๆ ไม่ต้องทำบุญมากๆ ไม่ต้องทำบัตรผ่อนบุญ ก็สามารถมีความสุขได้อย่างเหลือคณานับ
อย่างพวกร่างทรงต่างๆ เจ้าพ่อนั่นเจ้าพ่อนี่ ร้อยละเก้าสิบเก้าเช่นกันครับที่แหกตา เจ้าพ่อ บ้าอะไรนั่งกินเหล้าขาวกับไก่ต้มที่คนเอามาเซ่น นั่นมันผีชัดๆแล้วดูร่างทรงมหาเทพแต่ละท่านสิครับ ชีวิตส่วนตัวน่ากราบไหว้หรือเปล่า เมาเหล้า เมายา บ้าผู้หญิง คนแบบนี้หรือ ที่มหาเทพจะมาแฝงร่าง ถ้ามาจริงก็ดูจะกระไรอยู่ คนไทย หก เจ็ด สิบล้าน มีปัญญาหาร่างทรงได้แค่นี้แล้วจะเป็นเทพได้อย่างไร
ถ้าเราเชื่อในสิ่งที่สมควรเชื่อ อย่าให้ความเชื่อมาอยู่เหนือความจริงแล้วละก็ เหตุการณ์บ้านเมืองที่วุ่นวายอยู่ในทุกวันนี้ก็จะคลี่คลายไปในเร็ววัน คำกล่าวที่ว่า เรียนมัธยมจะเชื่อครู เรียนปริญญาตรีจะเชื่อเพื่อน เรียนปริญญาโทจะเชื่อตำรา ส่วนเวลาเรียนด็อกเตอร์จะเชื่อหมอดูนั้น ดูจะไม่เกินความจริงเลยครับกับสังคมในทุกวันนี้
ดังนั้นถ้าเรามาศึกษาคำสอนในพุทธศาสนาที่ว่าด้วยความเชื่อกันแล้วนั้น จะเห็นว่ามีพระสูตรที่โดดเด่นอยู่บทหนึ่งนั่นคือ กาลามสูตร โดยกาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล เรียกว่า เกสปุตตสูตร ก็มีกาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อ ไม่ให้เชื่องมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ
มี ๑๐ ประการคือ
๑. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
๒. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
๓. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
๔. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
๕. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
๖. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
๗. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
๘. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
๙. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
๑๐.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่ มาจาก เกสปุตตสูตร อังคุตตรนิกาย พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐
จะเห็นได้ว่ากาลามสูตร บอกสอนให้เรามีสติในทุกๆเรื่องที่จะปักใจเชื่อลงไป การที่จะเชื่อสิ่งใดก็ตามถ้ายึดหลักสิบข้อนี้ไว้ รับรองได้ว่ามีแต่ความสุขความเจริญ ไม่มีใครจะมาชักจูงให้ออกนอกลู่นอกทางได้แน่นอน จะไม่มีคนไปปิดถนน เผาบ้านเผาเมือง ยึดทำเนียบ ปิดสนามบิน ค้นโรงพยาบาลแน่นอน รวมทั้งไม่ต้องเสียเงินเสียทองที่หามาด้วยความยากลำบาก ไม่ต้องเอาของมีค่าไปประเคนให้คนห่มเหลืองที่พูดเก่งๆ เรี่ยไรจัดๆ ไม่ต้องไปผ่อนส่งบุญ ไม่ต้องโดนตราหน้าว่าโง่ ในเวลาที่ความจริงเปิดเผย
สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องราวหรือคำสอนที่สลับซับซ้อนใดๆเลย อ่านแล้วสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ เป็นความมหัศจรรย์ของพุทธศาสนาอย่างแท้จริงเป็นคำสอนที่ใช้ได้ในทุกกาลเวลาและกับคนทุกชนชั้น ในเมื่อเราบอกกันว่าเป็นพุทธศาสนิกชนแล้วนั้น เราลองมาปฏิบัติตนให้เป็นพุทธที่แท้จริงกันดีกว่าครับ แล้วก็แสดงความลบหลู่ออกไปให้คนที่มาอาศัยพุทธศาสนาหากินได้เห็นด้วย อย่าไปกลัวกับคำขู่ต่างๆเหล่านั้น บอกพวกนั้นไปตรงๆเลยครับว่า "ต่อไปนี้ นอกจากฉันจะไม่เชื่อพวกแกแล้วฉันจะลบหลู่แกด้วย"
ขอความสุขความเจริญจงมีแด่ทุกท่านครับ
นภดล
ผมเป็นคนที่ชอบค้นหาความรู้ในสิ่งที่สงสัยด้วยตัวเอง จะไม่ค่อยเชื่อะไรที่ไม่ได้เห็นหรือพบเจอมาด้วยตนเอง ยิ่งช่วงหลังๆที่ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือธรรมะมากขึ้น ได้พบปะพูดคุยกับคนที่มีความรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนามากขึ้น ทำให้ผมเริ่มที่จะ ลบหลู่ ในบางสิ่งบางอย่างที่ผมไม่เชื่อ สิ่งที่ผมไม่เชื่อนั้นก็คือ สิ่งที่ขัดกับความเป็นพุทธแท้ คำว่าพุทธแท้นั้น คือพุทธที่ยึดเอาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง ปฏิบัติตามหลักของพระธรรมวินัย ตามแบบอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ไม่เอาแบบอย่างหรือสิ่งใดๆมาปะปนหรือทำให้เบี่ยงเบนไปเพื่อแสวงหาสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นสำหรับผู้ที่เรียกตนเองว่าพระสงฆ์
ก่อนหน้านี้หลายปีผมเป็นคนที่ชอบสะสมพระเครื่องมากๆ เกจิอาจารย์ดีที่ไหนต้องดิ้นรนไปกราบจนถึงที่ สะสมวัตถุมงคลไว้มากมายเป็นพันๆชิ้น พระบูชา ที่มีอยู่ใช้โต๊ะหมู่บูชา สองชุดใหญ่รวมทั้งโต๊ะตัวใหญ่อีกสองตัวก็ยังตั้งไม่หมด แต่เมื่อผมเริ่มได้อ่านงานเขียนและฟังคำสอนของท่านพุทธทาสแล้ว ผมก็เริ่มปล่อยวาง ปลดวัตถุมงคลออกจากตัว จนตอนนี้ผมไม่มีวัตถุมงคลติดตัวมาปีกว่าๆแล้วครับ ข้อดีมองเห็นได้ชัดในการไม่มีสร้อยหรือตะกรุดคาดเอวของผมก็คือ ในเวลาที่ผมเดินทางไปทำงานในต่างจังหวัด นอนพักที่โรงแรม เวลาตอนเช้าที่จะต้องออกเดินทาง ผมไม่ต้องกลัวว่าจะลืมสร้อยลืมพระ หรือลืมกระเป๋าวัตถุมงคลเลยครับ สบายใจกว่ามาก ไม่มีความกังวลใดๆ ออกไปทำงานมีความสุข ไม่เหมือนครั้งหนึ่งที่ผมใคยลืมสร้อยพระไว้ในห้องที่โรงแรม สร้อยราคาไม่เท่าไหร่ หรอกครับ แต่พระราคาหลักหมื่นอยู่เหมือนกัน วันนั้นกว่าผมจะนึกได้ก็ออกเดินทางมาหลายกิโลแล้ว ช่วงเวลาที่ขับรถกลับไปที่โรงแรมนั้นช่างเป็นเวลาที่ ทรมานและยาวนานเหลือเกิน เหมือนตกนรกทั้งเป็นเลยครับ แต่โชคดีที่ยังได้กลับคืนมาครบถ้วน
ที่เล่ามานั้นผมไม่ได้บอกว่าวัตถุมงคลไม่ดีนะครับ วัตถุมงคลเป็นสิ่งที่เหนี่ยวนำจิตใจให้คนอยู่กับความดี กลัวการทำชั่ว ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ วัตถุมงคลจึงมีส่วนดีมากกว่าไม่ดีครับ แต่ที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ ผมหมายถึงสิ่งที่ไม่รู้ว่ามันเป็นมงคลหรือเปล่า แต่เรามาเรียกว่าวัตถุมงคลกัน ก็สิ่งของจำพวกที่โฆษณากันว่าใช้ทำเสน่ห์ เช่นน้ำมันนู่น น้ำมันนี่ พราย โพรง ต่างๆ ที่สรรหากันมาบูชากัน โดยฟังสรรพคุณจากคนขาย ที่ไม่รู้ว่าเป็นพระหรือโจร แล้วเชื่อเป็นตุเป็นตะว่า น้ำมันเหล่านี้จะทำให้ตนเองเป็นที่รักของคนอื่นๆ
ผมเคยนั่งฟังพระรูปหนึ่งเทศนา แต่ผมเองก็จำไม่ได้ว่าท่านอยู่ที่วัดไหน ท่านกล่าวว่า "แปลกนะโยม ไอ้พวกของแบบนี้มันได้ผลกับคนที่คล้ายๆกัน" กล่าวคือ คนหน้าตาแบบไหนก็มักจะโดนทำเสน่ห์จากคนหน้าตาแบบนั้น "อาตมาเห็นคนที่โดนของ กับคนที่ทำของส่วนใหญ่ หน้าตาพอๆกันทั้งนั้น" "แหม อุตสาห์ได้ของดีมาจะทำเสน่ห์ทั้งที ทำไมไม่ไปดีดใส่พวกดาราหรือนางงามกัน มาดีดใส่คนหน้าตาคล้ายๆกันแบบนี้ไม่รู้ น้ำมันมันดีหรือคนที่โดนก็รออยู่แล้ว มันถึงได้ผล"
แต่พระรูปนี้ก็ยืนยันว่าการทำของเหล่านี้ มีอยู่จริง และผมเองก็เชื่อว่ามีอยู่จริง แต่นั่นไม่ใช่แนวทางของพุทธศาสนาครับ อีกอย่างของแบบนี้ ตอนนี้ร้อยละเก้าสิบเก้า โกหกทั้งนั้น เสียเงินไปมากมายได้น้ำอะไรมาก็ไม่รู้ ดีไม่ดี น้ำหมักป้าเช็ง ยังมีประโยชน์มากกว่าเสียอีก และสิ่งที่เหมือนๆกันของกลุ่มคนที่ทำมาหากินในรูปแบบนี้ นั่นก็คือ การโฆษณาครับ บอกเล่าสรรพคุณต่างๆ ถ้าเป็นวัตถุมงคลก็ ใช้ค้าขายดี ยิงฟันไม่เข้า สารพัดจะยกมาอ้าง เวลามีใครทำท่าจะไม่เชื่อก็ บอกว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะ ดังนั้นคำว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่จึงเป็นคำขู่ที่ได้ผลกับคนที่ไม่รู้จักพุทธศาสนาอย่างแท้จริง
ใครบอกว่าฉันไม่รู้จักพุทธศาสนา ฉันนับถือพุทธศาสนามาตั้งแต่เกิด ส่วนใหญ่จะพูดแบบนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าเราศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจัง เสาะหาให้เข้าถึงพุทธแท้ โดยมองว่า วัตถุมงคลเหล่านี้เป็นเปลือก แล้วเราค่อยๆลอกเปลือกออกไม่นานเราก็จะเห็นแก่นแท้ของพุทธศาสนา แก่นแท้ที่ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องลางใดๆ ไม่ต้องทำบุญมากๆ ไม่ต้องทำบัตรผ่อนบุญ ก็สามารถมีความสุขได้อย่างเหลือคณานับ
อย่างพวกร่างทรงต่างๆ เจ้าพ่อนั่นเจ้าพ่อนี่ ร้อยละเก้าสิบเก้าเช่นกันครับที่แหกตา เจ้าพ่อ บ้าอะไรนั่งกินเหล้าขาวกับไก่ต้มที่คนเอามาเซ่น นั่นมันผีชัดๆแล้วดูร่างทรงมหาเทพแต่ละท่านสิครับ ชีวิตส่วนตัวน่ากราบไหว้หรือเปล่า เมาเหล้า เมายา บ้าผู้หญิง คนแบบนี้หรือ ที่มหาเทพจะมาแฝงร่าง ถ้ามาจริงก็ดูจะกระไรอยู่ คนไทย หก เจ็ด สิบล้าน มีปัญญาหาร่างทรงได้แค่นี้แล้วจะเป็นเทพได้อย่างไร
ถ้าเราเชื่อในสิ่งที่สมควรเชื่อ อย่าให้ความเชื่อมาอยู่เหนือความจริงแล้วละก็ เหตุการณ์บ้านเมืองที่วุ่นวายอยู่ในทุกวันนี้ก็จะคลี่คลายไปในเร็ววัน คำกล่าวที่ว่า เรียนมัธยมจะเชื่อครู เรียนปริญญาตรีจะเชื่อเพื่อน เรียนปริญญาโทจะเชื่อตำรา ส่วนเวลาเรียนด็อกเตอร์จะเชื่อหมอดูนั้น ดูจะไม่เกินความจริงเลยครับกับสังคมในทุกวันนี้
ดังนั้นถ้าเรามาศึกษาคำสอนในพุทธศาสนาที่ว่าด้วยความเชื่อกันแล้วนั้น จะเห็นว่ามีพระสูตรที่โดดเด่นอยู่บทหนึ่งนั่นคือ กาลามสูตร โดยกาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล เรียกว่า เกสปุตตสูตร ก็มีกาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อ ไม่ให้เชื่องมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ
มี ๑๐ ประการคือ
๑. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
๒. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
๓. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
๔. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
๕. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
๖. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
๗. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
๘. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
๙. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
๑๐.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน
เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่ มาจาก เกสปุตตสูตร อังคุตตรนิกาย พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐
จะเห็นได้ว่ากาลามสูตร บอกสอนให้เรามีสติในทุกๆเรื่องที่จะปักใจเชื่อลงไป การที่จะเชื่อสิ่งใดก็ตามถ้ายึดหลักสิบข้อนี้ไว้ รับรองได้ว่ามีแต่ความสุขความเจริญ ไม่มีใครจะมาชักจูงให้ออกนอกลู่นอกทางได้แน่นอน จะไม่มีคนไปปิดถนน เผาบ้านเผาเมือง ยึดทำเนียบ ปิดสนามบิน ค้นโรงพยาบาลแน่นอน รวมทั้งไม่ต้องเสียเงินเสียทองที่หามาด้วยความยากลำบาก ไม่ต้องเอาของมีค่าไปประเคนให้คนห่มเหลืองที่พูดเก่งๆ เรี่ยไรจัดๆ ไม่ต้องไปผ่อนส่งบุญ ไม่ต้องโดนตราหน้าว่าโง่ ในเวลาที่ความจริงเปิดเผย
สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องราวหรือคำสอนที่สลับซับซ้อนใดๆเลย อ่านแล้วสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ เป็นความมหัศจรรย์ของพุทธศาสนาอย่างแท้จริงเป็นคำสอนที่ใช้ได้ในทุกกาลเวลาและกับคนทุกชนชั้น ในเมื่อเราบอกกันว่าเป็นพุทธศาสนิกชนแล้วนั้น เราลองมาปฏิบัติตนให้เป็นพุทธที่แท้จริงกันดีกว่าครับ แล้วก็แสดงความลบหลู่ออกไปให้คนที่มาอาศัยพุทธศาสนาหากินได้เห็นด้วย อย่าไปกลัวกับคำขู่ต่างๆเหล่านั้น บอกพวกนั้นไปตรงๆเลยครับว่า "ต่อไปนี้ นอกจากฉันจะไม่เชื่อพวกแกแล้วฉันจะลบหลู่แกด้วย"
ขอความสุขความเจริญจงมีแด่ทุกท่านครับ
นภดล
วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553
เห็นหมีหนูมั๊ย
เห็นหมีหนูมั๊ย
สารภาพว่าไม่เคยฟังเพลงนี้มาก่อนเลยในชีวิต แต่ที่อุตสาห์ดิ้นรนไปหามาฟังเพราะได้อ่านข่าวของเฮียเอ พีราวุธ ดีเจชื่อดังผู้ใจดีของพวกเรา ปกติพี่เอ แกจะไม่ค่อยวิจารณ์เพลงหนักๆขนาดนี้ แต่รอบนี้ดูเฮียแกของขึ้นพอสมควร ดังนั้นผมจึงต้องไปหามาลองฟังดู
พอเริ่มเปิดขึ้นมา "เห็นหมีหนูม้ายยย" เฮ๊ย... เพลงเหี้ยไรวะเนี่ย
ผมไม่อยากจะเชื่อเลยครับว่าชีวิตผมที่อยู่มาจนอายุสามสิบกว่าๆจะได้ฟังเพลงแบบนี้ในสื่อ ก่อนหน้านี้เคยรู้สึกอึดอัดๆกับเพลง ชิมิ แต่พอฟังเพลงนี้แล้ว ชิมิ ดูดีขึ้นมากเลยครับ ฟังไปไม่ทันจบเพลงก็ต้องปิด ปิดแบบสงสารตัวเองเหลือเกิน เพลงแบบนี้ไม่น่าจะมีอยู่ในโลก มัน...บอกไม่ถูกจริงๆครับ
เคยมีเพื่อนๆถามความเห็นของผมในเวลาที่นั่งคุยกันว่า "ทำไมเพลงใต้ถึงไม่พัฒนาเหมือนเพลงที่อื่น"
ผมก็ตอบไปว่าเพลงใต้ไม่พัฒนาก็เพราะคนใต้ไม่พัฒนาแนวเพลงของตัวเอง คอยแต่จะลอกคนอื่น และทำเพลงออกมาในแนวที่ไม่สร้างสรรค์
เพลงใต้คุณภาพที่เป็นเพลงใต้แท้ๆ อย่างมาลีฮวนน่า สันติภาพ เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในทุกยุคทุกสมัย ทำออกมาเมื่อไหร่ก็จะขายได้เสมอ นั่นคือเพลงใต้ที่ผมยอมรับและกล้าที่จะแนะนำเพื่อนๆที่อยู่ในภูมิภาคอื่นๆให้ฟัง
"แล้ว หลวงไก่ บิว บ่าววี ละ" นั่นก็เพลงใต้นี่ หลายๆคนเคยถามผมเช่นกัน
ในทีมของอาร์สยาม ผมว่าไม่ใช่เพลงใต้นะครับ แค่เอาคำในภาษาใต้มาร้องเท่านั้นเอง นักร้องแต่ละคนไม่ได้ออกเสียงในสำเนียงของบ้านเกิดตัวเองเลย ผมเองก็ไม่ใช่ผู้ที่มีความสามารถใดๆที่จะเรียบเรียงเสียงประสาน หรือแต่งคำร้อง ทำนองได้อย่างผู้รู้หรือครูเพลง (...?) ทั้งหลาย
แต่ผมว่าอาร์สยาม ไม่ใช่เพลงใต้พันธุ์แท้ครับ
"มันก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยสิคุณ" เสียงใครแถวๆนี้ตะโกนเข้ามาให้ผมได้ยิน
ใช่ครับมันก็ต้องเปลี่ยน แต่ถ้าเปลี่ยนแล้วมันดีขึ้นมันก็น่าจะทำ นี่แหละครับที่จะมาตอบคำถามที่ว่าทำไมเพลงใต้ถึงได้แค่นี้ ลองดูงานของ มาลีฮวนน่ากันซักนิดนะครับ นักร้องใหม่ๆที่ปั๊มแผ่นออกมาขายตอนนี้มีมากมายเลยครับที่เลียนแบบการร้องของอาจารย์ไข่ มาลีฮวนน่า หรือคิดว่าทำดนตรีในสไตล์ของมาลีฮวนน่า แล้วจะขายได้เพลงจะเป็นที่นิยม เป็นอมตะแบบมาลีฮวนน่า แต่ผมเห็นออกมากี่ชุดๆก็เจ๊ง ไม่เป็นท่า ขนาดใช้บริการ โลว์คอร์ส เรคคอร์ด แล้วนะครับ ยังไปไม่รอดกัน คงเป็นเพราะ คิดว่า ร้องแบบนั้น ทำดนตรีแบบนั้นแล้วจะเป็นที่นิยม แต่ก็พลาด ผิดหวังกันไปหลายราย
ผมยังชื่นชม พี่เอก เอกชัย ศรีวิชัย อยู่มากมายเลยทีเดียวในการที่ พี่เอก ใช้คำภาษาใต้ได้อย่างไม่ขัดเขิน ไม่มากไปไม่น้อยไป และเป็นคำไทยภาคใต้ที่ออกเสียงชัดแทบทุกเพลง ผมลองแอบๆคิดว่า ถ้าชุดไหน พี่เอกชัย ไม่ร้องแบบสำเนียงใต้ ชุดนั้น ขายไม่ดีแน่นอนครับ (ลองฟังเพลง แนวอื่นๆของพี่เอกดูก็ได้ครับ ยกเว้นชุด สุดซึ้งนะครับ ชุดนั้นพี่เอก ร้องเพราะมากๆๆ)
ลองมาฟังวงดนตรีแนวๆเพื่อชีวิตภาคใต้ระดับบรมครูอย่างมาลีฮวนน่ากันบ้างครับ
มาลีฮวนน่า ใช้คำภาษาใต้แท้ๆครับ คำว่าภาษาใต้แท้ จะออกเสียงต่ำ ดังนั้นการเขียนเนื้อร้องจึงจำเป็นต้องหาคำที่ ลงตัวกับโทนเสียงนี้
"มาลีฮวนน่า เสียงต่ำที่ไหน เสียงสูงจะตายห่า.. กูร้องตามไม่เคยถึงซักที" มีคนข้างๆบอกผมอีกแล้ว
"นั่นเป็นวิธีร้องโว๊ย มันเลยฟังว่าสูง" อย่างคำร้องท่อนที่ว่า "หัวใจพี่ยังพรือ......โฉ้" โหนเสียงขึ้นสูงแต่ "คำ" ที่ใช้เป็นตัวที่กดเสียงลงในภาษาใต้ คำว่าพรือโฉ้ โฉ้จะออกเสียงต่ำ ถ้าความหมายเดียวกันแล้วจะออกเสียงสูงต้องใช้คำว่า "ฉู้" พรือโฉ้ จะเป็น พรือฉู้ ในสำเนียงใต้ หัวใจพี่ยังพรือโฉ้ ออกเสียงต่ำตามภาษาดั้งเดิมของท้องถิ่น ก่อนที่จะดึงขึ้นไปสูง ทำให้เพลงนี้มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้ใครๆหลายคนชื่นชอบ
ลองยกตัวอย่างมาอีกซักเพลงครับ ของ เดช อิสระ ที่ชื่อ นางเอกหนังลุง เพลงนี้หลายๆคนชื่นชอบ และร้องตามกันได้แทบจะทั้งภาคใต้ เหตุผลง่ายๆแบบที่ไม่ต้องถามบิ๊กแอส ก็คือ สำเนียงร้องไงครับ "พรือมั่ง หว่างนี้" "มือม้วนใบจาก ส่วนในปาก เคี้ยวท่อม" การออกเสียงคำว่าปาก คือ สำเนียงใต้แท้ตัวต่ำ ไม่ต้องดัดเสียง คนใต้เลยฟังได้แบบไม่ขัดขืน และรู้สึกเป็นธรรมชาติเมื่อร้องตาม "ปูสาด นั่งแล หนังพร้อม" และอีกมากมายในเพลง นั่นคือ การออกเสียงตัวตรงตามสำเนียงท้องถิ่น มันเลยติดหูคนฟังได้เร็ว
คำว่าพรือ แปลว่า เป็นอย่างไร อย่างพรือมั่ง คือเป็นไงมั่ง
"โฉ้" เป็นคำขยายตัวหน้า แปลว่า "...ก็ไม่รู้"
พรือ เมื่อเติม "โฉ้" เข้าไปก็จะเป็น พรือโฉ้ แปลว่า "เป็นอย่างไรก็ไม่รู้"
ใคร เมื่อเติม "โฉ้" เข้าไปก็จะเป็น ใครโฉ้ แปลว่า "ใครก็ไม่รู้"
ไหน เติม โฉ้ เข้าไปก็จะเป็น ไหนโฉ้ แปลว่า "ที่ไหนก็ไม่รู้"
แต่เพลงของ บิว อย่างเพลงอิจฉา ที่ว่า มันอิจฉา โร่ม้าย ไอ้ โร่ม้าย นี่ไม่ใช่คำใต้นะครับ เพียงแค่เอาคำใต้มากดให้ลงตัวกับเมโลดี้ของเพลง ที่มาจากแนวความคิดของคนภาคกลางมากกว่า ผมว่า ถ้า บิวไม่ร้องเพลง แล้วพูดภาษาใต้ คำว่า โร่ม้าย ต้อง ออกเสียงว่า หรู่ม้าย หรือ โหร่ม้าย มากกว่าครับ
ก่อนที่จะกลายเป็นเวทีวิวาทะเรื่องภาษาใต้ไปซะก่อน ขอข้ามกลับมาเรื่องเพลงใต้กันอีกดีกว่า
ผมพูดเล่นๆกับเพื่อนๆที่นั่งฟังเพลงด้วยกันเสมอว่า เพลงใต้นี่โครตแมนเลย.. ถ้าอยากฟังเพลงที่ด่าผู้หญิง ละก็เพลงใต้ แน่นอนที่สุด ยิ่งแนวๆ เธอหลายใจ อ้อร้อ ตอแหล หาเพลงใต้มาฟังเถอะครับไม่ผิดหวัง บางครั้งผมยังบ่นคิดถึง มาลีฮวนน่า สะพาน สันติภาพ ที่ทำเพลงใต้คุณภาพออกมาให้ผมได้ฟังอยู่บ่อยๆ พี่ๆหายไปไหนกันหมด ออกมาให้ผมหายคิดถึงซักหน่อยเถอะครับ ทำเพลงใต้ สำเนียงใต้ แท้ๆ ออกมาให้คนใต้แบบผมได้ชื่นใจซักหน่อย
ผมคิดเอาเล่นๆแบบของผมคนเดียวนะครับว่า ถ้าใครจะทำเพลงใต้ให้ประสบผลสำเร็จ เป็นที่ติดหูของคนใต้ด้วยกันจริงๆแล้ว ลองใช้ภาษากับสำเนียงเป็นตัวตั้ง แล้วให้ทำนองกับดนตรีเป็นตัวรองดูสิครับ อย่าเอาทำนองมาก่อนแล้วแก้ภาษาหรือการออกเสียงตามทำนองเพลง ผมว่ามันจะเป็นเพลง ภาษาใต้ใส่ทำนองที่น่าฟังมากมายเลยทีเดียว และผมมั่นใจว่าถ้าจะทำเพลงใต้ให้ติดตลาดภาคใต้แบบยั่งยืน ต้องทำเพลงในรูปแบบที่เป็น เสียงจริง สำเนียงจริง ของคนใต้ครับ แล้วจะดังยาวนาน ไม่เชื่อลองหาเพลงของ "พายุ สุริยัน" มาฟังดูสิครับ กี่ปีกี่ชาติ ก็ยังสนุกเหมือนเดิม เพราะนั่นคือ เพลงใต้ที่ใช้ภาษาใต้และสำเนียงใต้ครับ
กลับมาที่เพลง "เห็นหมีหนูมั๊ย" ดีกว่าครับ ตอนแรกตั้งใจจะเขียนถึงเพลงนี้ แต่อ่านไปอ่านมา ฟังไปฟังมา ผมว่าผมได้ข้อสรุปของเพลงนี้เรียบร้อยแล้วครับ
มันเป็นความรู้สึกเดียวกับการที่ได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรกเลยครับนั่นก็คือ... "เพลงเหี้ย อะไรวะเนี่ย"
นภดล 28/6/2553
สารภาพว่าไม่เคยฟังเพลงนี้มาก่อนเลยในชีวิต แต่ที่อุตสาห์ดิ้นรนไปหามาฟังเพราะได้อ่านข่าวของเฮียเอ พีราวุธ ดีเจชื่อดังผู้ใจดีของพวกเรา ปกติพี่เอ แกจะไม่ค่อยวิจารณ์เพลงหนักๆขนาดนี้ แต่รอบนี้ดูเฮียแกของขึ้นพอสมควร ดังนั้นผมจึงต้องไปหามาลองฟังดู
พอเริ่มเปิดขึ้นมา "เห็นหมีหนูม้ายยย" เฮ๊ย... เพลงเหี้ยไรวะเนี่ย
ผมไม่อยากจะเชื่อเลยครับว่าชีวิตผมที่อยู่มาจนอายุสามสิบกว่าๆจะได้ฟังเพลงแบบนี้ในสื่อ ก่อนหน้านี้เคยรู้สึกอึดอัดๆกับเพลง ชิมิ แต่พอฟังเพลงนี้แล้ว ชิมิ ดูดีขึ้นมากเลยครับ ฟังไปไม่ทันจบเพลงก็ต้องปิด ปิดแบบสงสารตัวเองเหลือเกิน เพลงแบบนี้ไม่น่าจะมีอยู่ในโลก มัน...บอกไม่ถูกจริงๆครับ
เคยมีเพื่อนๆถามความเห็นของผมในเวลาที่นั่งคุยกันว่า "ทำไมเพลงใต้ถึงไม่พัฒนาเหมือนเพลงที่อื่น"
ผมก็ตอบไปว่าเพลงใต้ไม่พัฒนาก็เพราะคนใต้ไม่พัฒนาแนวเพลงของตัวเอง คอยแต่จะลอกคนอื่น และทำเพลงออกมาในแนวที่ไม่สร้างสรรค์
เพลงใต้คุณภาพที่เป็นเพลงใต้แท้ๆ อย่างมาลีฮวนน่า สันติภาพ เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในทุกยุคทุกสมัย ทำออกมาเมื่อไหร่ก็จะขายได้เสมอ นั่นคือเพลงใต้ที่ผมยอมรับและกล้าที่จะแนะนำเพื่อนๆที่อยู่ในภูมิภาคอื่นๆให้ฟัง
"แล้ว หลวงไก่ บิว บ่าววี ละ" นั่นก็เพลงใต้นี่ หลายๆคนเคยถามผมเช่นกัน
ในทีมของอาร์สยาม ผมว่าไม่ใช่เพลงใต้นะครับ แค่เอาคำในภาษาใต้มาร้องเท่านั้นเอง นักร้องแต่ละคนไม่ได้ออกเสียงในสำเนียงของบ้านเกิดตัวเองเลย ผมเองก็ไม่ใช่ผู้ที่มีความสามารถใดๆที่จะเรียบเรียงเสียงประสาน หรือแต่งคำร้อง ทำนองได้อย่างผู้รู้หรือครูเพลง (...?) ทั้งหลาย
แต่ผมว่าอาร์สยาม ไม่ใช่เพลงใต้พันธุ์แท้ครับ
"มันก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยสิคุณ" เสียงใครแถวๆนี้ตะโกนเข้ามาให้ผมได้ยิน
ใช่ครับมันก็ต้องเปลี่ยน แต่ถ้าเปลี่ยนแล้วมันดีขึ้นมันก็น่าจะทำ นี่แหละครับที่จะมาตอบคำถามที่ว่าทำไมเพลงใต้ถึงได้แค่นี้ ลองดูงานของ มาลีฮวนน่ากันซักนิดนะครับ นักร้องใหม่ๆที่ปั๊มแผ่นออกมาขายตอนนี้มีมากมายเลยครับที่เลียนแบบการร้องของอาจารย์ไข่ มาลีฮวนน่า หรือคิดว่าทำดนตรีในสไตล์ของมาลีฮวนน่า แล้วจะขายได้เพลงจะเป็นที่นิยม เป็นอมตะแบบมาลีฮวนน่า แต่ผมเห็นออกมากี่ชุดๆก็เจ๊ง ไม่เป็นท่า ขนาดใช้บริการ โลว์คอร์ส เรคคอร์ด แล้วนะครับ ยังไปไม่รอดกัน คงเป็นเพราะ คิดว่า ร้องแบบนั้น ทำดนตรีแบบนั้นแล้วจะเป็นที่นิยม แต่ก็พลาด ผิดหวังกันไปหลายราย
ผมยังชื่นชม พี่เอก เอกชัย ศรีวิชัย อยู่มากมายเลยทีเดียวในการที่ พี่เอก ใช้คำภาษาใต้ได้อย่างไม่ขัดเขิน ไม่มากไปไม่น้อยไป และเป็นคำไทยภาคใต้ที่ออกเสียงชัดแทบทุกเพลง ผมลองแอบๆคิดว่า ถ้าชุดไหน พี่เอกชัย ไม่ร้องแบบสำเนียงใต้ ชุดนั้น ขายไม่ดีแน่นอนครับ (ลองฟังเพลง แนวอื่นๆของพี่เอกดูก็ได้ครับ ยกเว้นชุด สุดซึ้งนะครับ ชุดนั้นพี่เอก ร้องเพราะมากๆๆ)
ลองมาฟังวงดนตรีแนวๆเพื่อชีวิตภาคใต้ระดับบรมครูอย่างมาลีฮวนน่ากันบ้างครับ
มาลีฮวนน่า ใช้คำภาษาใต้แท้ๆครับ คำว่าภาษาใต้แท้ จะออกเสียงต่ำ ดังนั้นการเขียนเนื้อร้องจึงจำเป็นต้องหาคำที่ ลงตัวกับโทนเสียงนี้
"มาลีฮวนน่า เสียงต่ำที่ไหน เสียงสูงจะตายห่า.. กูร้องตามไม่เคยถึงซักที" มีคนข้างๆบอกผมอีกแล้ว
"นั่นเป็นวิธีร้องโว๊ย มันเลยฟังว่าสูง" อย่างคำร้องท่อนที่ว่า "หัวใจพี่ยังพรือ......โฉ้" โหนเสียงขึ้นสูงแต่ "คำ" ที่ใช้เป็นตัวที่กดเสียงลงในภาษาใต้ คำว่าพรือโฉ้ โฉ้จะออกเสียงต่ำ ถ้าความหมายเดียวกันแล้วจะออกเสียงสูงต้องใช้คำว่า "ฉู้" พรือโฉ้ จะเป็น พรือฉู้ ในสำเนียงใต้ หัวใจพี่ยังพรือโฉ้ ออกเสียงต่ำตามภาษาดั้งเดิมของท้องถิ่น ก่อนที่จะดึงขึ้นไปสูง ทำให้เพลงนี้มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้ใครๆหลายคนชื่นชอบ
ลองยกตัวอย่างมาอีกซักเพลงครับ ของ เดช อิสระ ที่ชื่อ นางเอกหนังลุง เพลงนี้หลายๆคนชื่นชอบ และร้องตามกันได้แทบจะทั้งภาคใต้ เหตุผลง่ายๆแบบที่ไม่ต้องถามบิ๊กแอส ก็คือ สำเนียงร้องไงครับ "พรือมั่ง หว่างนี้" "มือม้วนใบจาก ส่วนในปาก เคี้ยวท่อม" การออกเสียงคำว่าปาก คือ สำเนียงใต้แท้ตัวต่ำ ไม่ต้องดัดเสียง คนใต้เลยฟังได้แบบไม่ขัดขืน และรู้สึกเป็นธรรมชาติเมื่อร้องตาม "ปูสาด นั่งแล หนังพร้อม" และอีกมากมายในเพลง นั่นคือ การออกเสียงตัวตรงตามสำเนียงท้องถิ่น มันเลยติดหูคนฟังได้เร็ว
คำว่าพรือ แปลว่า เป็นอย่างไร อย่างพรือมั่ง คือเป็นไงมั่ง
"โฉ้" เป็นคำขยายตัวหน้า แปลว่า "...ก็ไม่รู้"
พรือ เมื่อเติม "โฉ้" เข้าไปก็จะเป็น พรือโฉ้ แปลว่า "เป็นอย่างไรก็ไม่รู้"
ใคร เมื่อเติม "โฉ้" เข้าไปก็จะเป็น ใครโฉ้ แปลว่า "ใครก็ไม่รู้"
ไหน เติม โฉ้ เข้าไปก็จะเป็น ไหนโฉ้ แปลว่า "ที่ไหนก็ไม่รู้"
แต่เพลงของ บิว อย่างเพลงอิจฉา ที่ว่า มันอิจฉา โร่ม้าย ไอ้ โร่ม้าย นี่ไม่ใช่คำใต้นะครับ เพียงแค่เอาคำใต้มากดให้ลงตัวกับเมโลดี้ของเพลง ที่มาจากแนวความคิดของคนภาคกลางมากกว่า ผมว่า ถ้า บิวไม่ร้องเพลง แล้วพูดภาษาใต้ คำว่า โร่ม้าย ต้อง ออกเสียงว่า หรู่ม้าย หรือ โหร่ม้าย มากกว่าครับ
ก่อนที่จะกลายเป็นเวทีวิวาทะเรื่องภาษาใต้ไปซะก่อน ขอข้ามกลับมาเรื่องเพลงใต้กันอีกดีกว่า
ผมพูดเล่นๆกับเพื่อนๆที่นั่งฟังเพลงด้วยกันเสมอว่า เพลงใต้นี่โครตแมนเลย.. ถ้าอยากฟังเพลงที่ด่าผู้หญิง ละก็เพลงใต้ แน่นอนที่สุด ยิ่งแนวๆ เธอหลายใจ อ้อร้อ ตอแหล หาเพลงใต้มาฟังเถอะครับไม่ผิดหวัง บางครั้งผมยังบ่นคิดถึง มาลีฮวนน่า สะพาน สันติภาพ ที่ทำเพลงใต้คุณภาพออกมาให้ผมได้ฟังอยู่บ่อยๆ พี่ๆหายไปไหนกันหมด ออกมาให้ผมหายคิดถึงซักหน่อยเถอะครับ ทำเพลงใต้ สำเนียงใต้ แท้ๆ ออกมาให้คนใต้แบบผมได้ชื่นใจซักหน่อย
ผมคิดเอาเล่นๆแบบของผมคนเดียวนะครับว่า ถ้าใครจะทำเพลงใต้ให้ประสบผลสำเร็จ เป็นที่ติดหูของคนใต้ด้วยกันจริงๆแล้ว ลองใช้ภาษากับสำเนียงเป็นตัวตั้ง แล้วให้ทำนองกับดนตรีเป็นตัวรองดูสิครับ อย่าเอาทำนองมาก่อนแล้วแก้ภาษาหรือการออกเสียงตามทำนองเพลง ผมว่ามันจะเป็นเพลง ภาษาใต้ใส่ทำนองที่น่าฟังมากมายเลยทีเดียว และผมมั่นใจว่าถ้าจะทำเพลงใต้ให้ติดตลาดภาคใต้แบบยั่งยืน ต้องทำเพลงในรูปแบบที่เป็น เสียงจริง สำเนียงจริง ของคนใต้ครับ แล้วจะดังยาวนาน ไม่เชื่อลองหาเพลงของ "พายุ สุริยัน" มาฟังดูสิครับ กี่ปีกี่ชาติ ก็ยังสนุกเหมือนเดิม เพราะนั่นคือ เพลงใต้ที่ใช้ภาษาใต้และสำเนียงใต้ครับ
กลับมาที่เพลง "เห็นหมีหนูมั๊ย" ดีกว่าครับ ตอนแรกตั้งใจจะเขียนถึงเพลงนี้ แต่อ่านไปอ่านมา ฟังไปฟังมา ผมว่าผมได้ข้อสรุปของเพลงนี้เรียบร้อยแล้วครับ
มันเป็นความรู้สึกเดียวกับการที่ได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรกเลยครับนั่นก็คือ... "เพลงเหี้ย อะไรวะเนี่ย"
นภดล 28/6/2553