วันอาทิตย์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2560

โลโก้คาราบาวแดง

รูปบนเป็นฉลากคาราบาวแดงยุคแรก ผมลอกเก็บไว้นานแล้ว สองรูปล่างเอามาเปรียบเทียบกัน ปีแรกที่ออกมาโลโก้จะเหมือนกับที่ใช้ในวงคาราบาว นกสีแดงจะหันมาทางซ้าย




แต่ในปัจจุบัน นกจะหันมาทางขวา มีดวงดาวสว่างอยู่ที่ประมาณสองนาฬิกา เป็นความหมายของการบินไปสู่เป้าหมาย ไปให้ถึงดวงดาว บินอย่างมีจุดหมาย ประมาณนั้น

ถ้าจำไม่ผิดผู้ที่แนะนำเรื่องนี้คือเจ้าสัวธานินทร์ แห่งซีพี มิตรสหายที่สนิทสนมกันมากของน้าแอ๊ด คาราบาวนั่นเอง

ยำผักชะคราม

ยำผักชะครามของดีกาญจนดิษฐ์







ตลาดท่าทองเมืองเก่า วัดเขาพระนิ่ม ทุกวันอาทิตย์ 14:00 น. ถึง 20:00 น

วันเสาร์ที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2560

ทนายโอ ชะอวด

เห็นรูปนี้ในเฟซบุ๊คของพี่ทนายโอ ผมถ่ายรูปนี้มาเมื่อปีที่แล้ว เห็นแล้วคิดถึงความหลัง


มาๆๆๆ จะเล่าความหลังให้ฟัง

วันนั้นผมเดินทางไปหาดใหญ่ จะเอากล้องไปส่งเข้าศูนย์แคนนอน ผมขับรถไปจอดไว้ที่สถานีรถไฟ แล้วเดินทางด้วยรถท้องถิ่นขบวนที่ 447 สุราษฎร์ธานี - สุไหงโกลก

รถขบวนนี้ออกจากสุราษฎร์ธานีตอน 06:20 น. กินกาแฟกับขนมปังที่ซื้อจากเซเว่นรองท้องไปก่อน ตั้งใจว่าเดี๋ยวค่อยไปหาข้าวกินบนรถไฟ

แต่วันนี้แปลก ไม่มีแม่ค้าขึ้นมาขายของเลย แม่ค้าเจ้าประจำที่ปกติจะขึ้นที่สถานีบ้านส้องก็ไม่ขาย ระยะทางก็อีกไกลกว่าจะถึงหาดใหญ่ "แล้วเราจะกินอะไร" คำถามนี้เริ่มเกิดขึ้นมาในสมอง

ลองติดต่อ พขร.พูลศักดิ์ ที่ชุมทางทุ่งสงดูว่าวันนี้อยู่แถวไหน ปรากฏว่าโชคยังเข้าข้าง วันนี้เข้าเวรสับเปลี่ยน เลื่อนรถในย่านสถานีพอดี เลยขอความช่วยเหลือเรื่องอาหารเที่ยง ได้ข้าวมาสองกล่องจากร้านหมี่จันดีที่มาเปิดขายอยู่ในตลาดทุ่งสง

ได้ข้าวมาก็อุ่นใจ นั่งรถชมวิวไปแบบสบายๆ พอถึงชุมทางเขาชุมทอง ก็เปิดกล่องข้าว ชิบหายแล้ว ... ไม่มีช้อน ทำไงละทีนี้ มันเป็นข้าวอะไรซักอย่างที่ผมจำไม่ได้แล้วว่าเป็นข้าวอะไร แต่ใช้วิธีตัดฝากล่องมาทำช้อนไม่ได้ กินกับมือก็ไม่ได้ ต้องใช้ช้อนอย่างเดียวเท่านั้น

นั่งคิดหาวิธีอยู่นาน แล้วก็คิดได้ว่ามีพี่ชายที่น่ารักอยู่ที่ชะอวด ร้านทองและตึกรังนกของพี่ทนายโอ อยู่ไม่ไกลจากสถานีชะอวด เลยติดต่อขอความช่วยเหลือ พี่โอรับปากว่าจะจัดการให้ เลยเบาใจนั่งสบายๆไปจนถึงสถานีชะอวด

ผมบอกแกว่าอยู่รถคันแรกติดรถจักร แกก็บอกว่า ไม่ต้องห่วง มารออยู่แล้ว รออยู่ตรงป้ายสถานี ปกติรถเร็วขบวนยาวๆจะจอดบริเวณนั้น แต่วันนี้ผมมารถท้องถิ่นที่สั้นกว่ารถเร็ว รถจอดไม่ถึงป้ายสถานี

พี่โอเห็นรถจอดไกล รีบวิ่งมาเต็มที่ (ชนิดที่ไม่เคยเห็นตอนที่แกเตะบอล 555 ) เอาช้อนกับขนมมาให้ ทำให้วันนั้นได้กินข้าวอิ่ม อร่อย โดยได้รับความช่วยเหลือไปตลอดทาง จาก พขร. พูลศักดิ์ที่ชุมทางทุ่งสง ทนายโอ ที่สถานีชะอวด

นอกจากนี้เมื่อรถมาถึงสถานีพัทลุง พี่แมว วันชัย รัตนมณี ที่เป็น พขร.ทำขบวนนี้จากชุมทางทุ่งสงถึงชุมทางหาดใหญ่ ลงจากรถจักร เดินมาถามว่าจะเอาอะไรเพิ่มหรือเปล่า และระหว่างที่รอหลีกที่สถานีบ้านดินลาน น้องภูมิ ภาคภูมิ ช่างเครื่องลงมาทักทาย พูดคุยกันอีกพักใหญ่

รู้สึกอบอุ่นดี ที่ตลอดเส้นทางมีพี่ๆน้องๆ มาทักทายกัน ช่วยเหลือกัน พอเห็นภาพนี้แล้วคิดถึงความหลังเลยมาเล่าให้ฟัง ก่อนที่จะลืม ไปตามวัย ที่กำลังย่างเข้าวัยรุ่นของผม

บันทึกของเมื่อวาน 13 เมษายน 2560

บันทึกของเมื่อวาน 13 เมษายน 2560

วันนี้วันสงกรานต์ ตื่นตั้งแต่หกโมงเช้า ตอนแรกว่าจะขับรถไปส่งแม่ใส่บาตรที่ริมน้ำ แต่แม่ขับรถไปเอง ตอนเช้ามีที่จอดเยอะ ไม่ลำบากมาก เลยเตรียมเรื่องรดน้ำขอพรผู้ใหญ่

เก้าโมง แม่กลับมาจากงานตักบาตร นำพระประจำบ้านพ่อมาตั้งเป็นประธาน จัดเตรียมน้ำอบ ดอกไม้ สรงน้ำพระที่หน้าบ้าน เสร็จแล้ว จัดที่นั่ง ให้พ่อ แม่ อาไข่ นั่งให้ลูกหลานรดน้ำขอพร

เสร็จจากบ้านพ่อ กลับมาเตรียมอุปกรณ์ ทำความสะอาดห้องพระ สรงน้ำพระที่บ้าน มีความคิดจะจัดห้องพระใหม่ แต่ต้องรอให้ว่างอีกซักหน่อยช่วงนี้ไม่มีเวลาว่างเลยจริงๆ

ช่วงบ่าย ชวนน้องตั๊กมานอนเล่นที่บ้าน ดูโคนันจบไปหนึ่งเรื่อง หลานแก้มมาเรียกที่บ้าน ป้า อา น้องสาว มาถึงกันแล้ว เดินออกไปดูที่หน้าบ้านพ่อ มีลอดช่องมาฝาก อร่อยดี กินตอนอากาศร้อนๆ ชื่นใจดีแท้

อาเอาเค้กมาให้แม่เป่าย้อนหลังด้วย (แม่เกิดวันที่ 2 เมษายน)

กินเสร็จกลับบ้านมานอนอีกรอบ วันนี้เป็นวันพักผ่อนจริงๆ ไม่ได้ทำอะไรมากมายนัก ได้สรงน้ำพระ รดน้ำขอพรผู้ใหญ่ ทำความสะอาดห้องพระ คืนนี้หลับตั้งแต่สี่ทุ่ม

สับปะรดไทย

สับปะรดตรงนี้ เคยถามพ่อว่ามันพันธุ์อะไร เห็นมาหลายปีแล้วไม่เคยเป็นลูก กอมันใหญ่ สีของใบจะแปลกๆ ยอดมันยาวกว่าสับปะรดพันธุ์อื่นๆที่อยู่ในสวน




พ่อบอกว่า เขาเรียก"สับปะรดไทย" ผมเองก็ไม่รู้จักหรอก รู้แต่ว่ามันเป็นพันธุ์เก่าแก่ ที่อยู่ตรงนี้มานาน แต่ผมยังไม่เคยเห็นลูกของมัน สับปะรดพันธุ์อื่นๆในสวน มีลูกให้ได้กินทุกปี แต่เจ้าสับปะรดไทยเหล่านี้ ปีนี้มันเพิ่งจะมีลูกออกมาให้เห็นอยู่สองกอ คราวนี้จะได้หายสงสัยเสียทีว่าลูกมันแปลกกว่าพันธุ์อื่นๆตรงไหน ถ้ากินอร่อย ค่อยขยายพันธุ์ปลูกเพิ่ม แต่ถ้าไม่อร่อยก็เก็บไว้ดูเล่นแค่นี้ก็พอ

บันทึกของเมื่อวาน 12 เมษายน 2560

บันทึกของเมื่อวาน 12 เมษายน 2560

ตื่นมาตอนตีสาม คงเป็นเพราะนอนตั้งแต่หัวค่ำ นอนเล่นไปเรื่อยๆ หลับอีกรอบ คราวนี้ตื่นมาแปดโมง รีบพาแมวไปล้างแผล ช่วงนี้อาการดีขึ้น หมอให้ล้างวันเว้นวัน

กลับเข้าบ้าน กินข้าว ลงทำงาน เช้านี้เก็บงานตัดหญ้า หน้าบ้านพ่อ จัดเตรียมพื้นที่ เตรียมงานทำบุญวันที่สิบห้า

แดดร้อนมาก ทำไปเรื่อยๆจนบ่าย ต้องหยุดก่อน กลับเข้าบ้าน นอนหลับไปอีกงีบ ตื่นมาสี่โมงเย็น อาไข่กับตั๊กมาถึงแล้ว เข้าสวนไปตัดหน่อไม้ ได้มาห้าหน่อ ฟันกล้วยน้ำว้าอีกหนึ่งเครือ จะเอาไปให้ป็อก

ตัดหญ้าต่อจนเสร็จ เข้าบ้านอาบน้ำ ออกไปข้างนอก เอาหน่อไม้กับกล้วยไปให้ป็อก เจอกันกลางทางพอดี ป็อกกำลังจะเข้าบ้านดอน เลยเอาของใส่ท้ายรถให้ไปเลย

เข้าตลาดซื้อของกิน ได้โจ๊กกับปาท่องโก๋มา ช่วงนี้อยากกินอะไรร้อนๆ ร่างกายอ่อนเพลีย วันนี้เร่งงานมากด้วย เพราะพ่อห้ามไม่ให้ทำงานวันสงกรานต์ แกจะให้หยุด สามวันเลย แต่ต่อรองว่าขอหยุดแค่วันที่ สิบสามก็พอ

วันที่สิบสี่นัดพี่เขียวมาตัดหญ้าแถวศาลพ่อตา กับฝั่งบ้านพี่เขียวให้เสร็จ วันที่สิบห้าค่อยหยุดทำบุญบรรพบุรุษกันอีกวัน

กินโจ๊ก กินยา นอนพักผ่อน หลับตั้งแต่ยังไม่เที่ยงคืน สองสามวันนี้ไม่ได้ทำอะไรมากนัก เดินไป เดินมา อยู่แต่แถวๆบ้าน ไม่ค่อยอยากออกไปไหน

วันพฤหัสบดีที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2560

บันทึกของเมื่อวาน 11 เมษายน 2560

บันทึกของเมื่อวาน 11 เมษายน 2560

วันนี้ไม่รีบร้อน ตื่นตั้งแต่ตีสี่ ทั้งๆที่ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตีห้าครึ่ง หกโมงออกไปส่งแม่ที่โรงพยาบาล แม่มาตรวจสุขภาพ เดี๋ยวนี้คนแก่มาโรงพยาบาลต้องตื่นเช้ากว่าเด็กนักเรียนเสียอีก หกโมงเช้าได้คิวที่ยี่สิบกว่าๆ

ส่งแม่แล้วมานั่งเล่นที่สถานีรถไฟ ขบวน 173 เข้ามาพอดี เดินดูรถไฟอยู่ซักพัก คุณนายโทรมาบอกว่าแม่ให้กลับบ้านก่อน เจอเพื่อนพอดี เสร็จแล้วค่อยโทรให้มารับ

กลับมาบ้านตัดหญ้าข้างบ้าน ยังไม่ทันจะได้มากนัก แม่โทรมาให้ไปรับ ยังไม่ทันเที่ยงเลย เสร็จเร็วดีแท้

กลับเข้าบ้านอีกที ตัดหญ้าต่อ หญ้าแถวนี้เริ่มยาว แดดร้อนมาก ต้องพักอยู่เป็นระยะๆ ช่วงบ่ายมีฝนตกลงมานิดหน่อย ไม่หนัก พอให้ร้อนมากขึ้น และตัดหญ้าไม่ได้ ช่วงนี้เจอแดด เจอฝน ลม เริ่มรู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ แต่ยังไม่มีอาการมากนัก

ช่วงเย็นออกไปตลาดหน้าศูนย์ คุยกับป้าสุรีย์ เรื่องแผงขายของ ปรึกษาว่าจะขายอะไรดี เดี๋ยวหลังสงกรานต์คงจะชัดเจนมากขึ้น นั่งคุยกับพี่บุญฤทธิ์ จนเกือบๆทุ่ม ออกจากตลาดหน้าศูนย์ เข้าไปตลาดศาลเจ้า ซื้อผัดไทยมาฝากพ่อกับแม่

เข้าบ้านนั่งคุยกับแม่พักใหญ่ ก่อนจะแยกย้ายกลับมาบ้าน กินผัดไทย นั่งเล่นเฟซบุ๊ก ง่วงนอนมากๆ หลับตั้งแต่สามสี่ทุ่มประมาณนั้น

สิ่งที่น่าเบื่อที่สุดในเฟซบุ๊ก

สิ่งที่น่าเบื่อที่สุดในเฟซบุ๊ก คือเวลาที่เราอ่านเรื่องราวที่มีประโยชน์ ที่เรากำลังค้นหาข้อมูล แล้วมีการนำเสนอข้อมูลมาหักล้างกัน แบบมีเหตุผล เพื่อหาคำตอบและสิ่งที่ดีที่สุด ถูกต้องที่สุด เหตุการณ์กำลังเข้มข้น มีคนที่มีความรู้หลายๆท่าน นำเอกสาร หลักฐาน ข้อมูลมานำเสนอต่อๆกันไปอย่างน่าติดตามอ่าน ได้รู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้ สิ่งที่อยากรู้มานาน ได้เห็นภาพถ่ายเก่าตั้งแต่เรายังไม่เกิด ภาพหายากจากต่างประเทศ การแปลบันทึกจากชนชาติต่างๆ ที่กล่าวถึงบ้านเรา

แล้วในเวลาแบบนั้นจะต้องมี ไอ้ อี บางพวกที่เข้ามา ประชดประชัน อวดรู้ทั้งๆที่ดูยังไงก็โง่ เขาคุยกันเรื่องนี้ ต้องยกเรื่องนั้นมาอ้าง คุยกันคนละเรื่องกับเขา ลากการเมืองห่าเหวอะไรมาก็ไม่รู้ มาปนกันมั่วไปหมด

เขาคุยเรื่องจริงจัง เอามุกควายๆมาเล่น เขาเตือนก็บอกว่ามาคลายเครียด ด่าเขาอีกว่าโลกสวย โลกเขาไม่ได้สวยหรอก แต่โลกของเขาก็คงไม่อัปปรีย์เท่าโลกที่พวกมึงอยู่กัน

ตั้งแต่เกิดมาพ่อแม่ครูบาอาจารย์เคยพูดคำว่า กาละเทศะให้ได้ยินบ้างหรือเปล่า

"เกิดไม่ทัน มึงรู้ได้ไงว่าจริง"

หนึ่งในคำถามส้นตีน ที่เจอประจำ เขามีวิชาประวัติศาสตร์ โบราณคดี เรียนกันมาตั้งแต่พ่อกับแม่มึงยังไม่ได้กันด้วยซ้ำ บันทึก จารึก ตั้งแต่สมัยโบราณ มีให้ศึกษากันมากมาย

"ปล่อยวางเถอะ อดีต ผ่านมาแล้วจะไปรู้มันทำไม"

อีกหนึ่งแนวที่มากันเยอะ เสือกเป็นโพธิสัตว์อวตารมาเลยทีเดียว อดีตมีความสำคัญ ถ้าไม่มีที่มา รากเหง้าตัวเอง จะพัฒนาคน พัฒนาชาติได้อย่างไร

ที่มาของบรรพบุรุษ คือสิ่งที่เราต้องรู้ มึงเกิดมาเพราะช้างลากแม่มึงไปผสมพันธุ์หรือไง ... สัส

เหมือนกับว่าชีวิตพวกมึงมีกันอยู่แค่นี้ สุดท้ายก็เสียอารมณ์กันไปจนต้องเลิกคุยกันในคอมเมนท์สาธารณะ ต้องไปแอดไปคุยกันส่วนตัว ทำให้มิติในการขยายองค์ความรู้หายไป เพราะมุมมองมันจะแคบ ถ้าคุยกันแค่สองคน

ให้ไปเปิดกลุ่มคุยกันก็ไม่ใช่เรื่อง ที่จะต้องไปทำอะไรวุ่นวายเพิ่มขึ้นในชีวิตเพราะพวกห่านั่นไม่กี่ตัว

คนอย่างพวกมึงไม่น่าออกมามีสังคมเลย น่าจะเกิดมา นอนเขี่ยโทรศัพท์ เล่นเกมส์แล้วตายห่าไปเงียบๆ เสียยังดีกว่า

บันทึกของเมื่อวาน 10 เมษายน 2560

บันทึกของเมื่อวาน 10 เมษายน 2560

ตื่นเช้ามาแบบเพลียๆ คงเป็นเพราะอากาศร้อนจัดมาสอง สามวันแล้ว วันนี้ตั้งใจว่าจะเก็บงานในสวนหลังบ้านให้หมดเสียที ยังมีงานส่วนข้างบ้านหน้าบ้านพ่ออีกเยอะเลย จะทำบุญเลี้ยงพระช่วงสงกรานต์

ขึ้นมาตัดหญ้า เก็บกิ่งไม้ที่หักลงมาตอนลมพัดแรง ตัดรวดเดียวจนเสร็จ เหนื่อยพอสมควร กินมะพร้าวอ่อนเอาแรงไปลูกนึง เวลาเหนื่อยๆกินน้ำมะพร้าว มันสดชื่นดีจริงๆ

มังคุดออกดอกอยู่เยอะพอสมควร ทุเรียนก็เริ่มมีดอก ปีนี้คงพอได้กิน แต่คงไม่ถึงกับได้ขาย เพิ่งเริ่มต้นกับมัน อดทน ศึกษาไปเรื่อยๆ แก้ไข ปรับปรุงกันไป ซักวันคงจะอยู่รอดได้

บ่ายโมงออกจากบ้านมากินก๋วยเตี๋ยว แวะไปหาพี่ป็อก วางแผนเรื่องทำร้านขายของ จะทำเป็นโครงเหล็กแบบมีหลังคา ทำให้สวยเลย เผื่อว่าจะย้ายไปขายที่อื่นได้ด้วย ตั้งใจจะมาทางนี้แล้ว ก็เต็มที่กับมันไปเลย

เดือนหก จะเริ่มขายของควบคู่กับการทำสวน ช่วงเช้าๆ อยู่ในสวน ช่วงบ่ายๆ ออกมาขายของที่ตลาด คงจะพอมีรายได้เลี้ยงตัวเองได้ ... ถ้าไม่ขาดทุนมากนัก 555

พี่ฝาบอกว่ามีเหล็กกล่องเหลืออยู่สองเส้น เดี๋ยวเวลาจะทำค่อยเข้าไปเอา นั่งคุยกันพักใหญ่ กินกาแฟไปแก้วนึง ฝนทำท่าจะตก รีบกลับออกมาก่อน พ่อสั่งน้ำแตงโมปั่น เลยขับรถวนหาร้านขายน้ำปั่น มาเจอแถวๆสระพัง ฝนตกลงมาพอดี

ฝนตกหนักตลอดทาง แต่พอถึงบ้านหยุดสนิท ตกลงมาพอให้ร้อนจริงๆ นอนเล่นพักใหญ่ จนสี่โมงเย็น พาแมวมาทำแผล แล้วซื้อกับข้าวเข้าบ้าน

กินข้าว พักผ่อน พรุ่งนี้นัดแม่ไว้หกโมงเช้า จะพาแม่ไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลพุนพิน ตั้งนาฬิกาปลุกไว้ตีห้าครึ่ง เปิดยูทูปฟังเสียงบทสวดทิเบต จนหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้อีกเช่นเคย

บันทึกของเมื่อวาน 9 เมษายน 2560

บันทึกของเมื่อวาน 9 เมษายน 2560

ตื่นนอนแปดโมง รีบออกไปข้างนอก วันนี้พาอาไปรับหมากลับบ้าน อาการมันดีขึ้นจนเกือบเป็นปกติ แสดงว่าพามารักษาได้ทันเวลา บวกกับเจอหมอที่เก่ง หมาตัวนี้เลยได้กลับมาวิ่งเล่นอีกครั้ง

ก่อนกลับเข้าบ้านซื้อก๋วยเตี๋ยวแถววัดประดู่มากินคนละถุง เขาว่าอร่อย เลยลองซื้อมากินดู รสชาติพอกินได้ แต่ผมชอบร้านเพื่อนยิ้วหลังโรงเรียนเมืองมากกว่า

กลับเข้าบ้าน วันนี้แดดจ้าทั้งวัน ซักผ้า รอจนปั่นแห้งเสร็จ เที่ยงพอดี เข้าสวนไปทำงาน คิดว่าจะทำให้เสร็จ วันนี้พ่อเข้ามานอนเล่นในสวนด้วย อยู่ที่บ้านมันร้อนเกิน แต่ในสวนก็ร้อนไม่ใช่เล่น ตัดไปได้ไม่มากนัก ร้อนจนต้องหยุดพักเป็นระยะๆ

วันนี้ตัดหญ้าโดนลูกมะพร้าว ลูกเล็กๆขนาดกำปั้น กระเด็นใส่ที่เท้า ห่างตาตุ่มราวๆนิ้วเดียวเอง ปวดมากต้องหยุด ถอดรองเท้ามาดู บวมเขียวเลย นี่ถ้าสูงกว่านี้อีกนิดโดนตรงตาตุ่มคงจะเดินไม่ไหวแน่ๆ

ตัดสินใจกลับบ้านก่อนพรุ่งนี้ค่อยเข้ามาใหม่ ถ้าขืนตัดต่อไปคงจะเป็นลมตาย ร้อนด้วย ปวดเท้าด้วย พรุ่งนี้ค่อยว่ากันอีกที

ลงมาถึงบ้านอาบน้ำ ทำท่าจะนอน พี่ฝาโทรมาให้ไปดูโต๊ะขายของ จะไปดูว่าใช้ได้หรือเปล่า ถ้าใช้ได้จะได้ไม่ต้องทำใหม่ ลดต้นทุนไปได้อีกเยอะเลย

รีบเอาแมวไปล้างแผลที่คลีนิคใกล้บ้าน เสร็จแล้วออกไปในเมือง รถติดพอสมควร แวะไปร้านจิรา รับพี่ฝากับจิราไปดูโต๊ะ แต่ก็ดูแล้ว ไม่น่าจะใช้ได้ ตัดสินใจว่าจะทำใหม่ดีกว่า เรามีพี่ป็อก นายช่างใหญ่อยู่ทั้งคน พรุ่งนี้ค่อยเข้าไปปรึกษาที่ร้าน

ขับรถออกมา เกิดอยากกินหมูกระทะ ไม่ได้กินมาหลายเดือนแล้ว จัดไปสองคน แต่กินไม่มากเท่าไหร่ กินพอให้หายอยาก แป๊บๆก็กลับบ้าน ช่วงหลังๆกินไม่มากนัก สงสัยกระเพาะจะเล็กลง

กลับเข้าบ้าน วันนี้ไม่ได้ทำอะไรมากมายนัก นอนพักผ่อน กินยาแก้อักเสบไปหนึ่งชุด เท้ายังบวมเล็กน้อย แต่ไม่เจ็บมากนัก พรุ่งนี้คงจะเป็นปกติ

เข้าที่กำบัง

เมื่อวาน หม้อแปลงที่เสาสัญญาณโทรศัพท์ข้างบ้านระเบิด ฟิวส์ขาด เสียงดังมาก ทำให้ผมคิดถึงเรื่องนี้ เมื่อหลายปีที่แล้ว ที่ยังทำงานประจำอยู่

มาๆๆ คนแก่จะเล่าความหลังให้ฟัง

เช้าวันหนึ่งเมื่อแปดปีที่แล้ว ผมตื่นออกจากโรงแรมในจังหวัดกระบี่ตั้งแต่เช้ามืด เพื่อขึ้นไปทำงานที่ฐานทัพเรือ นย. 411 ซึ่งเป็นที่ตั้งของเรือนรับรองที่ประทับ แหลมหางนาค สาเหตุเพราะว่ามี Alarm ไฟฟ้ามาตลอดทั้งคืนและ site ก็ up down ตลอดเวลา

ผมไปถึงตอนเจ็ดโมงกว่าๆ เมื่อจอดรถหน้าตึกบัญชาการ เสียง "สวัสดีครับ" ดังมาจากหลายๆที่ มันเป็นวัฒนธรรมของทหารที่เมื่อแรกเจอกันในแต่ละวันจะทำความเคารพกัน สวัสดีกัน

ผมเดินขึ้นไปบนยอดเขาด้วยความสดชื่น อากาศตอนเช้าๆทำให้ไม่เหนื่อย แต่พอเห็นสภาพของอุปกรณ์ที่อยู่ด้านบนทำให้ผมเริ่มรู้แล้วว่า "งานนี้หนักแน่ๆ"

Rectifier สวิงขึ้นลงๆอยู่ตลอดเวลา จากที่เคยเจอทำให้รู้ว่าไฟไม่พอ แต่จะด้วยสาเหตุอะไรก็ต้องหากันต่อไป

แก้ปัญหาเฉพาะหน้าด้วยการต่อแต่ไลน์ไฟฟ้า ดึงโหลดลงให้น้อยที่สุด เพื่อที่จะให้ site ใช้งานได้ก่อน สาเหตุที่สามารถใช้งานได้ก็เพราะ กราวด์ที่นี่ไม่หายไม่โดนขโมยตัด คงเป้นเพราะอยู่ในพื้นที่ของทหาร กระแสไฟฟ้าเลยวิ่งครบวงจรลงดินไปเลยครับ แต่นั่นจะใช่สาเหตุที่แท้จริงหรือเปล่าต้องหากันต่อไป

ผมลงมาด้านล่างเจอกับนายทหารเวร เลยนั่งคุยกัน พี่คนนี้นิสัยดีมากๆ เลยคุยกันยาว แกพาไปชี้ที่มิเตอร์ของค่ายลูกนึง มีการต่อพ่วงโดยการบากสายไฟแล้วพ่วงสายเข้าไป "ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเจ้านี่หรือเปล่า" "เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน น้องถอดออกเลยก็ได้" ผมเดินมองไปมองมา มันต่อพ่วงก่อนเข้ามิเตอร์นี่หว่า

ถ้าถอดก็ต้องถอดกันสดๆ เอาก็เอาวะ ไหนๆก็ไหนๆแล้ว และเมื่อผมถอดสายไฟที่พ่วงออก วัดไฟก็มา 230 V น่าจะปกติแล้วนะ ผมเลยเดินขึ้นเขาอีกเป็นรอบที่สอง

แต่สิ่งที่คิดก็ยังไม่ใช่ ไฟด้านบนยังมา ร้อยกว่าๆ เหมือนเดิม ผมเลยต้องกลับลงไปอีกรอบ คราวนี้ทั้งทหารช่าง ทั้งนายทหารเวร มาช่วยกันหาจุดต้นเหตุกันหลายคน ทำให้ได้รู้ว่าไฟฟ้าในค่ายทหารดับอยู่หลายตึกเช่นกัน จนแล้วจนรอดก็หาไม่เจอ

เลยโทรตามการไฟฟ้ามาดูให้ และเป็นที่รู้กันว่า เมื่อแจ้งการไฟฟ้าแล้วให้รออย่างน้อย หนึ่งชั่วโมงกว่าท่านจะมาถึง ผมเลยได้นั่งคุยนั่งดูทหารๆเก็บข้าวของเตรียมออกไปปฏิบัติหน้าที่ข้างนอกกันครับ

วันนี้มีทหารหลายคนที่กำลังทำงานเทปูนถนนทางเข้าอยู่ มีจ่าอ้วน คอยกำกับดูแล ที่ผมจำชื่อได้ก็เพราะพี่ทหารเวรเรียกชื่อ และที่สำคัญรูปร่างจ่าก็สมกับชื่อจริงๆ

พี่ทหารเล่าว่าแกเพิ่งย้ายมาจากนราธิวาส ตอนอยู่ที่โน่นเวลาเข้าเวรไม่ได้มาเดินอ้อยอิ่งแบบนี้หรอกครับ ต้องระวังกันมากมาย มาอยู่ที่นี่สบายกว่ากันเยอะเลย

ผมเห็นชุดของพี่เขาที่ใส่เข้าเวร มีกระติกน้ำห้อยเอวอยู่ด้วย เลยถามว่ามีน้ำหรือเปล่า แกตอบว่า "ไม่มีหรอก" "ใส่น้ำไว้ทำไมให้หนัก" อยากกินอะไรบอกมาได้เลย ในนี้มีเพียบ

ว่าแล้วก็ไขกุญแจเปิดประตูห้องสวัสดิการ ด้านในมีของทุกอย่างขาย แต่ที่ปิดไว้เพราะไฟฟ้าดับ น้ำไม่เย็น และทหารก็ไม่มีต้องออกไปปฏิบัติภาระกิจกันหมด

"แล้วจะห้อยกระติกน้ำเปล่าๆไว้ทำไม" อันนี้ผมคิดในใจ

เรานั่งคุยกันไปซักพักก็มีจ่าอีกคนเดินมาแล้วบอกว่าจะตามนายลงไปด้านล่าง เข้าไปในเมืองที่ห้องสวัสดิการต้องการอะไรบ้าง ใครจะฝากซื้ออะไรบ้าง

ตอนนี้เลยเห็นน้องทหารเกณฑ์ ที่มาช่วยงานลงมือจดรายการ และชื่อผู้สั่งซื้อแล้วส่งมาให้พี่ทหารเวร

"เฮ๊ยๆๆๆๆๆ ทหารชั่วนี่มันอะไรวะ" เสืยงพี่เค้าตะโกนถามน้องทหารคนนั้น (สอบถามภายหลังได้ความว่ามาจาก นครสวรรค์)

"ไหนครับ" "อ๋อ อ่านว่า ทหารช่างครับ" พี่ทหารเวรเอากระดาษมาดูอีกที แล้วหัวเราะ ก็ทหารเกณฑ์ บางคนเรียนมาก็ไม่ได้มากมาย เลยเขียน "ทหารช่าง" เป็น "ทหารชั่ง"คนตาไม่ดีเลยอ่านเป็น ทหารชั่วไปได้

เอาเป็นว่าเข้าใจก็แล้วกัน

หลังจากนั้นก็มีพวกพี่ๆยศจ่ามานั่งคุยด้วยอีกหลายคนจนการไฟฟ้าขึ้นมาถึง ผมเดินไปประสานงาน ก็ได้รู้ว่ามีกิ่งไม้พาดไปโดนสายไฟแรงสูง และที่สายไฟแรงสูงมีรอยบาดทำให้ฟิวส์ด้านล่างขาด

เจ้าหน้าที่การไฟฟ้าตัดกิ่งไม้เสร็จก็บอกผมว่า เดี๋ยวไปสับฟิวส์แล้วจะขึ้นใหม่ เมื่อการไฟฟ้าลงไปแล้ว ผมและพี่ๆทหารก็ยืนคุยกันบนถนน ตาก็มองกันไปตามทางเพื่อรอรถของการไฟฟ้ากลับขึ้นมา

ทันใดนั้น เสียงบึ้มก็ดังขึ้นที่พวกเรามองเห็นคือบนหม้อแปลงมีควันขึ้น นับว่าเป็นครั้งแรกที่ผมได้เห็นแบบนี้ ส่วนใหญ่ได้ยินเสียงหันไปมองก็เจอแต่ควัน แต่รอบนี้มันเห็นคาตาเลยครับ พี่ๆทหารก็เห็นเหมือนผม ในขณะนั้น ผมก็ไม่ได้คิดอะไร

แต่มีเสียง พี่จ่าคนนึงตะโกนไปทางทหารเกณฑ์ที่กำลังเทปูนอยู่ว่า "ได้ยินเสียงระเบิดทำไมพวกมึงไม่เข้าที่กำบัง" "ถ้าไปรบละก็ตายห่ากันหมดแล้ว ฝึกมาไม่รู้จักจำ" พวกทหารเกณฑ์ก็หน้าเสียไปตามๆกัน แต่พวกจ่าแถวนั้นหัวเราะกันใหญ่

และเมื่อไฟฟ้าแก้ไขเสร็จก็ลงไปจ่ายไฟจากด้านล่าง ผมก็เดินขึ้นเขาอีกรอบ และรอจนไฟจ่ายปกติแล้วจึงเดินลงมา เหงื่อเปียกเสื้อไปหมด

เมื่อลงมาถึงรถไฟฟ้ากลับออกไปแล้ว ผมก็เดินกลับไปที่เรือนนอนที่พี่ทหารเวร คนนั้น ประจำการอยู่ พวกพี่ๆยังนั่งคุยกันอยู่ที่นอกตึกตรงใต้ต้นไม้เพราะในอาคารมันร้อน "เสร็จแล้วเหรอ" เมื่อผมบอกว่าเสร็จแล้ว แกก็ให้ทหารเกณฑ์ ที่อยู่แถวนั้นลองเปิดไฟดู "ติดแล้วครับ" เสียงดังฟังชัดแว่วออกมาจากในเรือนนอน

"ไฟมาแล้วทำไมมึงไม่เป่านกหวีดวะ กูจะได้รู้" เสียงแกตะโกนถามพวกทหารเกณฑ์ แต่ผมก็ไม่รอคำตอบแล้วละครับ ร่ำลาลงมาทันทีเพราะตั้งแต่เช้ายังไม่ได้กินข้าวนี่ก็เกือบจะเที่ยงแล้วด้วย

หลังจากที่ผมย้ายจากกระบี่มาจังหวัดชุมพร เมื่อปี 2554 ผมก็ไม่ได้ขึ้นไปบนนั้นอีก มีช่วงหลังๆที่นั่งเรือผ่าน เวลาที่หันไปมองบนนั้นแล้วจะคิดถึงความหลังทุกที

บันทึกของเมื่อวาน 8 เมษายน 2560

บันทึกของเมื่อวาน 8 เมษายน 2560

ตื่นเช้ามาก เดินขึ้นสวนไปดูหญ้าที่ตัดไว้ ให้อาหารปลาเก็บทางมะพร้าว เก็บหมาก แล้วลงมากินข้าว

ขึ้นสวนอีกรอบ เอาเครื่องตัดหญ้ามาตัดบริเวณที่ปลูกมะนาว วันนี้ตัดกล้วยหอมมาสองเครือ กับหน่อไม้อีกนิดหน่อย ตัดหญ้าบนเนิน เมื่อยขามากกว่าตัดบนพื้นราบ กัดฟันตัดให้เสร็จรวดเดียวเลย คิดว่าถ้าพักคงจะขี้เกียจ

ตัดหญ้าเสร็จ ขนของลงมา ทั้งหน่อไม้ กล้วย ได้สัปรดเพิ่มมาอีกสามลูก เอาสัปรดให้พ่อ เอาหน่อไม้กับกล้วยใส่รถไว้ก่อน เย็นๆจะเอาไปให้ป็อก

นอนเล่นพักผ่อน สี่โมงกว่าๆ พาแมวไปล้างแผล กลับเข้าบ้านจัดการเรื่องแมวเสร็จ เอาแกลลอยน้ำมันใส่ท้ายรถ ไปเติมน้ำมัน เอาของไปให้ป็อก

เสร็จแล้วมาวัดกลางใหม่ นัดพี่ฝา พี่เก่งไว้ จะมางานศพแม่ของเพื่อนสมัยเรียนประถม ที่ไม่ได้เจอตัวเป็นๆกันนานมากแล้ว แต่เจอกันแต่ในเฟซบุ๊คแทบทุกวัน

เจอเพื่อนๆรุ่นเดียวกันหลายคน นั่งคุยกันหลายเรื่อง จนสองทุ่มกว่าๆก็แยกย้ายกัน ผมกลับเข้าเมือง ว่าจะไปเดินเที่ยวงานวัดใหม่ รถติดมากๆ สนามข้างวังใต้ มีงานเบียร์ช้าง มีบิ๊กแอส ต่อไปอีกนิด มีงานหลักเมือง ขยับไปอีกหน่อยมีงานสรงน้ำหลวงพ่อพัฒน์ มีเอกชัย ศรีวิชัย

ฝ่าฝูงชนเข้าไปในงาน หน้าเวทีเอกชัย เก้าอี้ขึ้นราคาจาก 20 เป็น 40 เลยตัดสินใจกลับบ้านดีกว่า ... จน ไม่มีตังค์ค่าเก้าอี้

กลับถึงบ้าน สี่ทุ่มกว่าๆ นอนเลย วันนี้เดินเยอะไปหน่อย พรุ่งนี้นัดอาไว้ ตอนเช้า จะไปรับหมาแกกลับจากโรงพยาบาลสัตว์

บันทึกของเมื่อวาน 7 เมษายน 2560

บันทึกของเมื่อวาน 7 เมษายน 2560

ตื่นสาย คงเป็นเพราะเหนื่อยติดๆกันมาหลายวัน อยากกินข้าวหมูแดง ออกไปซื้อที่ท่าข้าม ร้านหน้าสถานีรถไฟ ร้านนี้กินมานาน จะหยุดเฉพาะวันพระ เจ้าของร้านไปทำบุญที่วัดเกาะธรรมประทีป

รถเยอะมาก มีแต่คนมา ธกส. คงจะเป็นเรื่องการลงทะเบียนคนจน กับเรื่องเงินๆ ทองๆทั่วไป กว่าจะได้ที่จอดรถก็วนอยู่นาน ได้ข้าวหมูแดงแล้วกลับบ้านเลย ไม่ได้แวะที่ไหน

กินข้าวเสร็จ ขึ้นสวน จัดการหญ้ารอบขอบบ่อปลา ปลาดุกตัวใหญ่ขึ้นมาก หลายสิบตัว แต่ไม่รู้จะเอาไปไหนดี ไม่กินปลาที่เลี้ยงไว้ ปล่อยให้ขยายพันธุ์ไปตามธรรมชาติ เคยมีคนถามว่าทำไมไม่กิน ผมบอกว่ารอให้เกิดสงครามโลกก่อน ค่อยเอามากิน

ตัดหญ้า ปรับแนว ปลูกมะพร้าวกับหมากเพิ่มเติม ค่อยๆทำไปเรื่อยๆ งานสวนดูเหมือนจะเป็นงานที่ไม่มีวันเสร็จ มีงานให้ทำอยู่ตลอดเวลา

ออกจากสวนมาตอนบ่าย อยากจะไปตียิม จับโปเกม่อน ไม่ได้ยืนยิมเก็บเหรียญมาสองวันแล้ว วันนี้ต้องหารายได้ซักหน่อย ขับรถออกไปทางท่าโรงช้าง เจอร้านชาพะยอม เลยซื้อไปถวายพระสองแก้ว

เข้าไปวัดทุ่งเซียด ไม่มีใครอยู่ หลวงแดน ไปบ้านสหกรณ์ ท่านแดงมาอยู่วัดท่าโรงช้าง เลยกลับมาที่วัดท่าโรงช้าง ในวัดมียิมให้ตีสองยิม ตียิมเพลิน จนลืมเรื่องชาที่อยู่ในรถ กว่าจะได้ถวายพระ น้ำแข็งละลายไปเยอะแล้ว

รอบหน้าจะรีบถวาย รอบนี้ต้องโทษโปเกม่อน

กลับบ้าน พาแมวออกไปล้างแผลที่คลีนิคใกล้บ้าน แผลมันดีขึ้นมาก น่าจะใช้เวลาอีกไม่นานนักคงจะเป็นปกติ กินข้าว พักผ่อน วันนี้นอนเร็วอีกวัน

บันทึกของเมื่อวาน 6 เมษายน 2560

บันทึกของเมื่อวาน 6 เมษายน 2560

ตื่นเช้า ออกจากบ้านตอนแปดโมงครึ่ง พาพ่อออกมาด้วย ขับรถออกไปทางคลองเรือ จอดดูสวนยาง วางแผนตัดหญ้าใส่ปุ๋ย หญ้าเริ่มยาวขึ้นมากแล้ว เสร็จงานที่บ้าน ต้องรีบมาจัดการให้เสร็จ ก่อนจะยาวกว่านี้

วันนี้ไปรับแม่ที่พิปูน แม่มางานเลี้ยงรุ่น เข้าไปรับที่วัดนางเอื้อย ที่อยู่ใกล้ๆกับรีสอร์ท นัดไว้สิบโมงครึ่ง เขาไปทำบุญให้เพื่อนร่วมรุ่นที่เสียชีวิต ขับรถไม่เร็ว ฝนตกตลอดทาง

มาถึงวัดเสร็จพิธีพอดี วัดนี้กำแพงวัดสวยมาก คิดว่าจะหาเวลาว่างผ่านมาถ่ายภาพเก็บไว้ พระพรหมกับนาคราช เทแบบออกมาได้สวยดี ส่วนบรรยากาศในวัดก็เหมือนวัดในชนบททั่วไป เงียบ สงบ ไม่วุ่นวาย ต้นไม้มากพอสมควร

ออกจากพิปูน ขับรถมาทางสี่แยกควนสงสาร เข้าวัดธาตุน้อย กราบขอพรพ่อท่านคล้าย แล้วมุ่งหน้าเข้านครศรีธรรมราช ข้ามเขาธง ลานสกา แยกเบญจม เลี้ยวไปทางโพธิ์เสด็จ

พ่ออยากกินขนมจีนเมืองคอน หัวสะพานยม เลยขับไปทางถนนพุทธภูมิ เมื่อปลายปีที่แล้วผมมาอยู่ที่นครศรีธรรมราช ตอนนั้นถนนยังไม่เสร็จ แต่คิดว่าไม่ได้มาหลายเดือน ถนนคงจะเสร็จแล้ว เพราะถ้ามาทางนี้ตรงออกไปก็ถึงสี่แยกสะพานยม ไม่ต้องขับวนไปในเมือง

พอเลี้ยวเข้าถนนพุทธภูมิ ... อาการหนักกว่าช่วงก่อนมาก เป็นหลุมมากกว่าสมัยที่ผมมาอยู่ ยังสร้างไม่เสร็จเหมือนเดิม น่าเสียดายถ้าถนนสายนี้เสร็จ จะช่วยระบายรถในเมืองได้มาก ไม่ต้องติดกันหนักเหมือนตอนนี้

กินขนมจีนกันเสร็จเรียบร้อย ออกมาวัดพระธาตุ ไหว้พระธาตุ ไหว้พระแอด ฝนตกลงมาตลอดเวลา ผมเปียกฝนนิดหน่อยตอนที่เดินมาที่รถ ออกจากนครศรีธรรมราช ขับรถออกมาทางท่าศาลา จอดซื้อเกาเหลาที่ร้านประจำแถวๆบ้านต้นเหรียง ร้านนี้เมื่อก่อนผมแวะกินประจำตอนกลับบ้าน

วันนี้ขับรถเป็นวงกลมเลยทีเดียว

แวะเติมน้ำมันที่ปตท.บ้านใน แล้วกลับเข้าบ้าน พาแมวออกไปล้างแผล วันนี้เอายามาเอง หมอคิด เก้าสิบบาท เข้าบ้านอีกรอบ รู้สึกเหมือนจะเป็นไข้ กินข้าว กินยาแล้วทำท่าจะนอน แต่ก็ยังนอนไม่หลับ สงสัยเป็นเพราะกาแฟ ที่วันนี้กินเยอะไปหน่อย

ตอนเช้าก่อนออกจากบ้านหนึ่งแก้ว กาแฟดำที่อเมซอนปตท.นาสารอีกหนึ่งแก้ว ปิดท้ายด้วยกาแฟคาราบาวแดงอีกหนึ่งกระป๋องที่ ปตท.บางปู

นอนนิ่งๆอยู่พักใหญ่ แต่สุดท้ายก็หลับ คงจะด้วยความเหนื่อยจากการเดินทาง และกินยาเข้าไปด้วย

วันศุกร์ที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2560

บางงอนในความทรงจำ ตอนที่ 4

บางงอนในความทรงจำ ตอนที่ 4

ตอนบวช สิ่งที่ตาหลวงบอกไว้เสมอคือต้องตื่นบิณฑบาต ทุกเช้าห้ามขาด ผมก็ทำตามอย่างเคร่งครัด ผมเดินบาตรไปทางวัดขนาย สิ้นสุดตรงต้นมะขามที่สามแยกพอดีแล้วเดินกลับ

ในตอนนั้นเป็นช่วงออกพรรษาแล้ว เหลือพระในวัดอยู่ไม่มากเท่าไหร่ ประมาณ สี่ห้ารูปกับเณร อีกสองรูป ผมเดินบาตรคู่กับเณรตั้ม ซึ่งจะคอยถือปิ่นโตเดินตามหลัง เวลาใส่บาตรเสร็จญาติโยมจะนั่งลงพนมมือขอพร

วันแรกผมก็งงๆ หันไปถามเณร เณรบอกว่าให้ให้พร ผมก็ให้พรเป็นภาษาไทยเลย .. ขอให้โชคดี สุขภาพแข็งแรง พอเดินออกมาจากบ้านนั้นเณรบอกผมว่าให้ให้พรเป็นภาษาบาลี มันดูขลังดี

พอถึงบ้านต่อไป ผมก็ ยะถาสัพพี เต็มสูตร เณรก็บ่นอีก มันยาวไป เอาสั้นๆก็พอ "จัตตาโร ธัมมา วัฑฒันติ อายุ วัณโณ สุขัง พะลัง" แค่นี้ก็พอ

ผมก็เลยให้พรแค่นี้มาโดยตลอด และเมื่อเดินกลับมาถึงวัด ผมต้องเดินผ่านประตูวัดไปอีกทางเพื่อจะไปยืนบาตรที่บ้านยายสร้อยก่อน แล้วถึงจะกลับมาเข้าวัด ช่วงแรกๆก็ไม่มีอะไร

แต่พอเริ่มจะสนิทกัน ก็มีเสียงพระในวัดแซวว่า "เดินพ้นวัดแล้วๆๆ จะไปฉันเช้าที่วัดน้ำรอบเหรอ" แต่ผมก็เฉยๆ พูดถึงการเดินบาตรในวัดแถวบ้านนอก วันไหนที่เราจะไม่มาเราต้องบอกโยมก่อน เขาจะได้ไม่คอย ไม่งั้นวันหลังมาจะอด

หลวงติ่ง ที่บวชเข้าพรรษามาก่อนผม จะเดินบาตรไปทางวัดน้ำรอบ วันนึงมีโยมมานิมนต์ไปฉันเช้าที่บ้านเนื่องจากที่บ้านมีงานศพ หลวงติ่งก็ไม่รู้มาก่อนเพราะโยมนิมนต์ตอนกลางคืนหลังจากสวดอภิธรรมเสร็จ

เป็นอันว่าเช้าวันนั้นหลวงติ่งไม่ได้บอกโยมไว้ล่วงหน้า และเราก็ไปฉันเช้าที่บ้านงานศพติดๆกันสองสามวัน จนศพเผาเรียบร้อย

เช้าวันต่อมาหลวงติ่งก็เดินบาตรตามปกติ เมื่อกลับมาถึงโรงฉัน หลวงติ่งเปิดบาตรให้ดู มีผักเสี้ยนดอง หนึ่งถุง นอกจากนั้นไม่มีอะไรเลยเพราะชาวบ้านคิดว่าพระไม่มา เลยไม่ได้เตรียมไว้ล่วงหน้า แต่ก็ยังดีที่ได้มาบ้าง

เวลาผมไปเดินบาตรมันจะเช้ามืดและชาวบ้านก็จะเอาข้าวที่หุงสุกใหม่ๆมาใส่บาตร และนี่ทำให้ผมได้เข้าใจว่าทำไมเวลาใส่บาตรคนโบราณถึงให้สำรวมอย่าให้ข้าวหก

มีอยู่บ้านนึงเป็นคนแก่ แกจะใส่บาตรทุกวัน วันนั้นแกตักช้อนแรกแล้วมีข้าวหกออกมาจากทัพพี ตกลงมาระหว่างนิ้วโป้งกับนิ้วชี้ของผมที่อุ้มบาตรอยู่พอดี ร้อนมากถ้าสะบัดบาตรก็จะหล่น ผมกัดฟันอดทนกว่าแกจะตักครบสามช้อน เนื่องจากยายแกแก่แล้ว มือไม้ก็สั่น แต่เราก็ต้องสำรวมไว้ กว่าจะผ่านไปได้น้ำตาซึมเหมือนกันครับ

ถนนหน้าวัด ตอนที่ผมบวชนั้นเป็นหลุมเป็นบ่อ รถราวิ่งลำบากต้องคอยหลบหลุมกันตลอดเวลา ต่างกับตอนนี้มาก ตอนนี้เป็นถนนลาดยางอย่างดีวิ่งสบายมากๆ วันนึงทางหลวงชนบทเกิดหวังดี เรารถมาไถข้างทางเพื่อเตรียมซ่อมถนน สำหรับคนอื่นอาจจะไม่เป็นปัญหา แต่สำหรับพระอย่างผม ต้องเดินเท้าเปล่า ไปบนหินมันช่างทรมานอะไรเช่นนี้

จากการที่เดินแบบนั้นอยู่หลายวันทำให้ที่ฝ่าเท้าของผมเป็นเนื้อกลมๆอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้ มีคนบอกให้ไปจี้ออกซะแต่ผมไม่ไปเพราะอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึก เวลามองมันจะทำให้คิดถึงสมัยที่บวชทุกที เป็นอนุสรณ์เตือนความจำได้อย่างดีเลยทีเดียวครับ

และที่จำได้อีกอย่างคือ วันนั้นมีโยมใส่บาตรมาเป็นขนมปุยฝ้าย ที่นานๆจะมีมาซักครั้ง เพราะแถววัดบางงอนสมัยนั้นยังเป็นชนบท ไม่เจริญเหมือนสมัยนี้ ผมไม่ได้สนใจอะไรกับขนมมากนัก จนมาถึงวัด เข้าในโรงฉันเอากับข้าวมาวางรวมกัน จนฉันเสร็จ ก็ลืมเรื่องขนมปุยฝ้ายไปเลย

ด้านหลังที่พระนั่งฉันข้าว จะมีผ้าผืนยาวขึงไว้ เพื่อความสวยงามหรือเพื่ออะไรผมก็ไม่แน่ใจ แต่เมื่อพระฉันเสร็จให้ยะถาเรียบร้อย เณรตั้ม ก็เปิดผ้าหยิบเอาขนมปุยฝ้ายออกมาแล้วพูดว่า "หมดเวลาพระแล้วนะ ที่เหลือ เณรจัดการต่อเอง" ... ดูมันทำ

จนวันที่ผมจะสึก เพื่อนติดต่อมาให้มาทำงานเป็นลูกจ้างที่ TAC (ก่อนจะเป็น dtac ทุกวันนี้) ผมเลยเตรียมตัวลาสิกขา แต่พอดีมีศพมาตั้งที่วัด ผมเลยได้สวดบังสุกุลในคืนแรกก่อนที่จะลาสิกขา ถือว่าเป็นงานทิ้งทวนก็ว่าได้

และเมื่อลาสิกขาแล้วก็ต้องกลับไปนอนที่วัด สามคืน ตามประเพณี ในคืนแรกของชีวิตฆราวาส ผมมาถึงวัดในช่วงเย็น ในวัดก็มีงานศพอยู่ ก็งานเมื่อคืนที่ผมสวดก่อนสึกนั่นละครับ

สมัยนั้นงานศพจะมีการละเล่นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าถ้ามีงานศพ ต้องมีสิ่งเหล่านี้ พวกการพนันเล็กๆน้อยๆ สมัยนั้นยังไม่เข้มงวดมากนัก ผมเองก็ชอบกุ้ง ปลา น้ำเต้า อยู่แล้วเลยไปนั่งเล่นกับเขาด้วย

มีป้าคนนึงมานั่งข้างๆ แทงไปแทงมา แกหันมามองหน้าผมแล้วอุทานออกมา "อ้าว เจ้า เมื่อวานซืนยังยืนบาตรหน้าบ้านอยู่เลย"

ผมก็หัวเราะแล้วบอกว่าผมสึกแล้วครับ แต่สามคืนที่ผมไปนอนที่วัดได้ค่าน้ำมันกลับบ้าน วันละสองสามร้อยทุกวัน ... กรรมจริงๆ

หลังจากมาทำงานเป็นลูกจ้าง จนเป็นพนักงานประจำ จนลาออก จนถึงปัจจุบันผมไม่ค่อยได้ไปวัดบางงอนมากนัก

จบเรื่องราวของบางงอนแค่นี้ก็พอเนอะ ว่างๆนึกขึ้นได้ค่อยมาเล่าใหม่

บางงอนในความทรงจำ ตอนที่ 3

บางงอนในความทรงจำ ตอนที่ 3

เมื่อผมโตขึ้นผมก็ไม่ค่อยได้ไปที่บางงอนบ่อยนัก นานๆจะแวะไปกราบตาหลวงหันซักครั้ง บางครั้งถ้าไปกับพ่อก็จะแวะไปที่บ้าน ยายสร้อย ที่อยู่หน้าวัด ยายสร้อยเป็นคนแก่ที่แข็งแรง ออกกำลังกายอยู่เสมอ มีหนังสือ ธรรมะ อยู่ใต้ถุนบ้านมีที่นั่งที่พักผ่อน ใครไปใครมาก็ได้ กินหมาก กินน้ำ อ่านหนังสือ

วันนึง ผมเข้าไปเยี่ยมท่านกับพ่อเช่นเคย ผมเห็นหม้อดินเผา ที่ชาวบ้านเอาไว้ใส่ข้าวสาร หรือที่เรียกว่า "ออม" ไว้วันหลังจะถ่ายภาพมาให้ชมครับ ผมเห็นว่าแปลกดี เลยเอ่ยปากขอท่าน ท่านก็ให้มาหนึ่งใบ ยังเก็บไว้ที่บ้านจนถึงทุกวันนี้

พูดถึงเรื่องราวของคนบ้านนอกนั้น เคยนั่งคุยกับป้าราตรี คนหน้าวัดบางงอน ท่านชอบเล่าถึงเรื่องราวเก่าๆ ของบางงอน แต่ที่ผมชอบก็คือ ประโยคที่ท่านพูดว่า

"คนป่า นับญาติ คนหลาด(ตลาด) นับเงิน"

ซึ่งก็คงจะจริงตามนั้น ท่านยกตัวอย่างงานศพ คนชนบท ไม่มีเงินทองมากมายก็ต้องอาศัยญาติพี่น้อง มาช่วยกัน แต่ถ้าเป็นในเมืองมีเงินอย่างเดียวทุกอย่างก็จบ

นอกจากนั้นลุงอีกคนที่อยู่แถวๆนั้นๆ แต่ผมไม่รู้จักก็บอกว่า งานศพนี่เราจะขาดไม่ได้เพราะเป็นงานสุดท้ายแล้ว เราอาจจะไม่ว่างไปงานบวช แต่เราได้ไปงานแต่ง อาจจะพลาดงานขึ้นบ้านใหม่ แต่เราไปงานอื่นๆ แต่ถ้าพลาดงานศพก็จบกันเลย

งานศพเลยมีหลายคืนเพื่อให้ญาติมิตรได้มาเคารพศพกันเป็นครั้งสุดท้ายกันอย่างทั่วถึง

และที่ผมไม่ค่อยได้เล่าให้ใครฟังซักเท่าไหร่คือเรื่องราวของผมในตอนที่บวช ผมบวชที่นี่ครับ ที่วัดบางงอน ผมเลือกเองที่จะมาบวชที่นี่ วัดที่อยู่ห่างไกลจากสังคมเมือง เพราะผมศรัทธาในตาหลวงหัน

ผมจำได้ว่าตอนที่ผมบวช ท่านกำชับว่าให้ท่องบทสวดให้ได้ ถ้าสวดไม่ได้ก็ไม่ต้องบวช เพราะเรื่องแค่นี้ถ้าทำไม่ได้ โกนหัวบวชมาก็ไม่รู้ว่าจะบวชมาทำอะไร และผมเป็นนาคเดี่ยว บวชคนเดียวไม่มีคนช่วยด้วย เลยต้องขยันเป็นพิเศษ

เมื่อเป็นพระแล้ว เพื่อนๆที่ไปร่วมงานบวช ก็ผลัดกันเอาเงินใส่ย่ามให้ ดูรวมๆแล้วก็มากอยู่นะ เพราะผมเป็นคนที่เพื่อนเยอะ คนละร้อยสองร้อย เต็มย่ามเลย แล้วเราก็ยืนคุยกันที่ใต้ต้นมังคุดในวัด

ทันใดนั้นก็มีเสียงดังออกมาจากกุฏิเจ้าอาวาสว่า " บวชไม่ทันข้ามวัน หัดเล่นเงินแล้วเหรอ" (ไม่รู้แกเห็นได้ยังไง)ผมได้ยินก็รีบเดินเอาเงินทั้งหมดในย่ามไปให้โยมแม่ทันที เงินที่เขาฝากช่วยงานก็ต้องเอาไปช่วยงาน บวชแล้วไม่ต้องใช้เงิน

เรื่องเงินนี้ผมได้เห็นตาหลวงจัดการกับเงินที่ชาวบ้านถวายท่านแปลกๆ คือถ้าเป็นเงินทำบุญก็จะเข้าบัญชีของวัดไปแต่ที่โยมถวายให้ท่าน ท่านก็จะเก็บไว้ทั้งซอง วางกองๆไว้แถวๆที่นั่งของท่านนั่นละครับ

ผมจำได้ว่าครั้งนึงเคยไปซื้อของกับท่านที่ในตลาด เวลาถามว่าของราคาเท่าไหร่ ผมต้องฉีกซอง ออกมานับทีละซองกว่าจะได้ครบจำนวนก็หลายซองอยู่ บางซองก็ ยี่สิบ ห้าสิบ ตามแต่กำลังศรัทธาของญาติโยม

บางครั้งท่านพูดกับผมว่า อย่าไปยุ่งตรงนั้นนะ (ชี้ที่แถวๆซองปัจจัยของท่าน) นั่นมันงูพิษ เดี๋ยวมันจะกัดเอา ด้วยเหตุนี้ผมจึงจำติดใจมาจนทุกวันนี้ ไม่ว่าจะทำอะไร ทุกครั้งจะมีคนจัดการเรื่องเงินเสมอ ผมจะไม่ยุ่งกับเงินเหล่านั้นด้วยตัวเองเลย

เมื่อผมบวชเรียบร้อย ท่านให้ผมนอนบนกุฏิเดียวกันกับท่าน เป็นห้องเล็กๆอยู่ที่มุมด้านใน ซึ่งไม่มีคนอยู่ ผมมารู้เรื่องจากพระที่บวชก่อนผมว่า เคยมีพระมานอนแต่พอเปิดหน้าต่าง ด้านหลังซึ่งติดกับคลองก็เจอบางอย่างโผล่มาทักทาย หลังจากนั้นก็ไม่มีใครมานอนอีกเลย

(เมื่อวานผมเข้าไปดู ห้องนี้ปิดตายไปแล้ว มีตู้มาวางขวางประตูเอาไว้ด้วย)

แต่ผมไม่มีทางเลือก เลยต้องนอนที่นี่ไปจนถึงวันลาสิกขา ผมนอนกับเสื่อผืนบางๆกับพื้นไม้กระดานแผ่นหนาๆ ตามแบบของกุฏิโบราณที่สร้างจากไม้

ในขณะนั้นตาหลวงเริ่มอาพาธ ต้องนอนบนเตียงพยาบาลสูง เป็นเตียงแบบเตียงคนไข้ในโรงพยาบาล ในกุฏิก็มีกับแค่ผมกับตาหลวง แต่พอดึกๆ เวลาจะหลับก็จะได้ยินเสียงคนเดิน เพราะพื้นไม้มันต่อกันแต่พอเปิดประตูออกมาดูก็ไม่มีใคร

แต่พออยู่ไปนานๆก็ชิน เวลาจะหลับก็ได้แต่บอกในใจว่า ฝากดูด้วยนะผมจะนอน แล้วก็หลับสบายทุกคืน

หลังจากผมบวชได้สามวัน มีงานเผาศพที่วัดแห่งนึง จำไม่ได้แล้วว่าที่ไหน นิมนต์พระทั้งวัดไปสวดมาติกา บังสุกุล

ตาหลวงพูดกับผมว่า .. สวดกับเขาได้หรือเปล่า ถ้าสวดไม่ได้ก็อย่าไปเลย ไปนั่งหลอกชาวบ้านเปล่าๆ ผมเลยตัดสินใจ " ไม่ไป" ครับ พอตอนเพลนี่สิเริ่มมีปัญหา

กับข้าวที่เดินบาตรมาในตอนเช้าก็ยังมีอยู่ พอได้ฉัน แต่ทั้งวัดเหลือผมคนเดียว ทำยังไงดีละทีนี้ ผมเดินไปที่โรงเรียนวัดที่อยู่ไม่ไกลกันมากนัก เรียกเด็กนักเรียนให้มาช่วยประเคนของให้แล้วนั่งฉันคนเดียวเงียบๆ

ฉันเสร็จ นั่งให้ยะถา สัพพี คนเดียว บทสวดยะถา สัพพี นี่ก็แปลก ผมท่องได้ตั้งแต่ยังไม่บวช คงเพราะได้ฟังบ่อยๆ ได้ไปงานศพ งานบุญบ่อยๆ มันเลยจำได้เองมาจนกระทั่งทุกวันนี้

ผมมุ่งมั่นกับการหัดสวดสวดอภิธรรมเจ็ดคำภีร์ ตลอดทั้งวัน มีเวลาว่างต้องหยิบหนังสือมาอ่าน ท่องจำ จนอีกสามวันต่อมาก็เริ่มที่จะสวดได้ทั้งหมด หลังจากนั้นผมไปทุกงานที่ชาวบ้านนิมนต์ได้อย่างไม่ต้องกลัวว่าจะไปนั่ง หลอกชาวบ้าน กินแรงเพื่อน อีกต่อไป

ถ้ายังมีคนอ่าน จะเอาตอนที่สี่อีกซักตอน

บางงอนในความทรงจำ ตอนที่ 2

บางงอนในความทรงจำ ตอนที่ 2

วิธีการที่จะนำพระประธานเข้าโบสถ์วัดบางงอน หลวงพ่อจะทุบฝาผนังด้านหลังที่อยู่บนขอบประตูออก แล้วยกพระประธานเข้าไปทางหลังครับ

หลังจากนั้นก็จะปิดฝาผนังอีกครั้ง จนทุกวันนี้ก็จะดูไม่รู้ว่า พระประธานองค์นี้มาหล่อทีหลัง งานหล่อพระมีด้วยกัน หลายคืนผมเลยได้นอนที่วัดหนึ่งคืน

และคืนนั้นเองผมก็ได้รู้จักกับมหรสพของภาคใต้ที่ชื่อว่า "หนังตะลุง" ในสมัยเด็กๆ ผมไม่ค่อยได้ออกไปไหนมาไหนในตอนกลางคืนซักเท่าไหร่ อยู่บ้านก็นอนตอนหัวค่ำเลยไม่มีโอกาสได้ดูได้ชมการแสดงประเภทนี้เลย

วันที่หล่อพระประธานของวัดบางงอนเลยเป็นวันที่เปิดโลกแห่งจินตนาการให้ผมเป็นวันแรกเลยทีเดียว

ผมนั่งมองโรงหนังตะลุงจากบนศาลาโรงฉัน ซึ่งวันนี้จะเป็นที่นอนของผมกับลุงรวมทั้งชาวบ้านที่มาจากหลายๆพื้นที่ ผมนั่งมองแสงเงา และฟังดนตรีหนังตะลุงด้วยความสนใจ ตัวหนังสือที่บนขอบจอด้านบนเขียนว่า "หนังจูเลี่ยม กิ่งทอง" ซึ่งนับว่าเป็นหนังตะลุงคณะแรกในชีวิตที่ผมได้ชม

ช่วงแรกผมก็ฟังไม่รู้เรื่อง เลยหลับบ้างตื่นบ้าง จนมาถึงตัวตลกออกมาเล่นเรื่องราวในสมัยนั้น มีเปรตออกมาหนึ่งตัว ชื่อ เปรตนิกร ซึ่งตอนนั้นคงจะได้ข่าวกันคือ พระนิกรกับอรปวีณา ที่โด่งดัง(ในทางชั่วๆ)

ผมตาสว่างทันทีนั่งฟังไปเรื่อยๆหัวเราะไปกับเรื่องราวบนแสงเงาและจินตนาการของนายหนังผู้นี้ และหลังจากหนังพักช่วงก็มีเสียงเพลงลูกทุ่งดังออกมา...

"จงภูมิใจเถิดที่เกิดเป็นไทย
มิเป็นทาสใคร แหละมีน้ำใจล้นปริ่ม
ทั่วโลกกล่าวขาน ขนานนาม ให้ว่าสยามเมืองยิ้ม
เราควรกระหยิ่มถึงความดีงาม

คนเย็นใจซื่อได้ชื่อว่าไทย
ร้อนมาจากไหน ชาติไทยไม่เคยหวงห้าม
ข้ามเขตข้ามโขงถิ่นน้ำขุ่น มาพึ่งใบบุญเมืองสยาม
เรายิ้มรับตามที่ท่านต้องการ

เลื่องชื่อลือนาม สยามมีแต่น้ำใจ
ขอเตือนท่านผู้อาศัย อย่าทำอะไรให้ไทยร้าวราน
คนไทยใจซื่อ เขาถือแต่โบราณกาล
แค่เพียงข้าวสุกหนึ่งจาน ใครลืมของท่านนั้น เนรคุณ

คนไทยรักชาติแหละศาสนา
เทิดองค์เจ้าฟ้า ผู้ทรงเปี่ยมเนื้อนาบุญ
ถ้าท่านเคารพสิทธิ์ของไทย ท่านอยู่ต่อได้อีกนานคุณ
สยามใจบุญ ยังยิ้มเสมอ"

ผมนั่งฟังโดยที่ไม่รู้ว่าเป็นเพลงของใครแต่คนที่ร้องเพลงนี้เป็นหนึ่งในคณะหนังตะลุง จูเลี่ยม กิ่งทอง ผมมาถามพี่สิน กิ่งทอง ในภายหลัง แกว่าน่าจะเป็นพี่ติ๋ว สาลิกา กิ่งทองเป็นคนร้อง

เสียงเพลงที่ร้องออกมาทำให้ผมรู้สึกชอบที่จะฟังเพลงลุกทุ่ง เพิ่มขึ้นมากเพราะก่อนหน้านี้ผมจะไม่ฟังเพลงอื่นเลยนอกจาก "คาราบาว"

หลังจากที่กลับมาจากวัดบางงอนคราวนั้น ผมจึงเริ่มฟังเพลงลูกทุ่ง พุ่มพวง ดวงจันทร์ สุนารี ราชสีมา และเอกพจน์ วงศ์นาค ผมฟังเพลงลุกทุ่งเหล่านี้จนซึมซับแบบขึ้นสมอง จำได้ว่าตอนเรียน ม 1 เคยออกไปร้องเพลงหน้าชั้นด้วยเพลงของเอกพจน์ วงศ์นาค ที่ผมจำไม่ได้แล้วว่าชื่อเพลงอะไร มีเนื้อร้องประมาณนี้ครับ

มองฟ้าคราใดหัวใจแทบพัง
ไม่อยากจะฟังเสียงนกหวีดดังวิ่งชนกันโครม
เดินแทบดินฟ้าถล่ม
บ้างนอนเกือกกลิ้งโคลนตมปวดร้าวระบมทั้วทั้งกายา
................................

ถึงแม้คุณพ่อน้องเป็นนายพัน
พี่ก็ใฝ่ฝันหมายเด็ดหมายดอมน้องมาแนบชม
บุญพี่มีน้อยจึงตรม
จึงฝากเพลงร้องตามลมหวังชิดเชยชมแต่น้องนางเดียว

บางงอน เลยมีความหมายกับชีวิตผมมากๆ ทั้งปลูกฝังเรื่อง ศาสนา ดนตรี ถ้าไม่มีบางงอน ผมคงจะไม่รู้สึกถึงเรื่องราวของพระ ของเพลง ของวัฒนธรรมพื้นบ้านมาจนถึงทุกวันนี้

นอกจากนั้นในเช้าของอีกวัน ผมขึ้นไปนั่งอยู่ในกุฏิเจ้าอาวาส ซึ่งสร้างต่อจากโรงฉัน ยกพื้นสูง ภายในยกระดับ แต่ไม่สูงมากนักผมนั่งอยู่ด้านบน ส่วนที่พื้นที่ห่างกันประมาณไม่ถึงยี่สิบเซนต์ มีพระที่มาร่วมพิธีพุทธาภิเษกนั่งกันอยู่หลายรูป

นั่งฟังเรื่องราวที่พระอาจารย์เหล่านั้นพูดคุยกัน ตาก็มองออกไปด้านหลังโบสถ์เห็น ตาหลวงหัน (ที่บ้านให้เรียกแบบนี้) เดินอยู่แถวๆนั้น แต่เพียงแค่ช่วงเวลาที่ผมหันมาฟังหลวงพ่อเกจิอาจารย์คุยกันนั้น ก็มีมือมาจับที่แขนของผม "มึงนั่งสูงกว่าคนอื่นเขาแบบนี้ไม่ดีนะ" แล้วดึงแขนผมลงมานั่งที่ด้านล่าง

แล้วท่านก็เดินไปเลย ผมอดสงสัยไม่ได้ว่าท่านเห็นได้อย่างไรเพราะจากกุฏิไปที่โบสถ์ก็ไกลกันพอสมควร แถมมาก็แค่ดึงผมลงแล้วก็ไปเดินดูนู่นดูนี่ต่อทันที แล้วท่านรู้ได้อย่างไร ว่าผมนั่งสูงกว่าพระในกุฏิ

ผมมาทราบทีหลังว่าพระเกจิที่นั่งอยู่ในกุฏิวันนั้น มี หลวงพ่อรัตน์ วัดกะเปา รวมอยู่ด้วย โดยหลวงพ่อรัตน์ วัดกะเปา ท่านนี้เป็นอาจารย์ท่านหนึ่งของท่านอาจารย์สูติ วัดในเตา จังหวัดตรังที่โด่งดัง

ในกุฏิของอาจารย์สูติ จะมีรูป หลวงพ่อรัตน์แขวนอยู่ด้วย อาจารย์สูติ วัดในเตาเคยเล่าให้ผมฟังว่า " พ่อท่านรัตน์ อาจารย์กู จุดเทียนไม่ต้องใช้ไฟ" ส่วนจะเป็นอย่างไรก็ไปหารายละเอียดกันเอาเองนะครับ

ไหนๆก็กล่าวถึงพ่อท่านรัตน์ วัดกะเปาแล้ว ขอต่ออีกซักนิด ในปี 2537 วัดโพธาวาส มีการสร้างวัตถุมงคลหลวงพ่อกล่อม วันนั้ผมก็ไปร่วมพิธีด้วย ไปทั้งชุดนักศึกษาเลยครับ ผมเรียน ปวส อยู่พอดี

พอเสร็จพิธีพุทธาภิเษก เหล่าพระเกจิก็เดินออกมาจากโบสถ์ ผมโชคดีได้ช่วยพยุงพ่อท่านรัตน์ไปที่รถด้วย ขณะที่เดินไปที่รถ จู่ๆ พ่อท่านรัตน์ก็หยุดแล้วหันหลังกลับ ยกมือไหว้ไปทางต้นไม้ใหญ่แถวๆประตูโบสถ์ แล้วบอกกับผมเบาๆว่า "งานนี้หลวงพ่อกล่อมมาด้วย"

ซึ่งเรื่องนี้ผมไม่เคยได้เล่าให้ใครฟัง เลยอยากเก็บมาบันทึกไว้ที่นี่ด้วย เพราะตอนนี้ พ่อท่านรัตน์ก็มรณะภาพไปแล้ว เกรงว่าเหตุการณ์นี้จะไม่มีคนได้รับรู้ วันนั้นมีผมกับพ่อท่านรัตน์และพี่ชายอีกคนนึงเท่านั้นที่ได้เห็นและได้ยินพ่อท่านรัตน์พูด ใครไม่เชื่อก็ผ่านไปก็แล้วกันครับ

ยังมีต่อตอนที่สาม

บางงอนในความทรงจำ

บางงอนในความทรงจำ

บ้านบางงอนนี้มีความหลังกับผมอยู่มากทีเดียว เพราะสมัยเด็กๆก็ได้มาเที่ยวมานอนอยู่ที่วัดบางงอนหลายๆครั้ง ที่บางงอนนี้เรียกได้ว่าเป็นสถานที่ ที่ปลูกฝังความคิดอะไรๆให้ผมหลายๆอย่าง บางอย่างผมแทบจะลืมไปแล้วว่า ผมไปเจอที่ไหนไปพบเห็นมาจากไหน แต่เมื่อผมได้กลับมาอีกครั้งทำให้ผม เหมือนกับได้กลับไปสู่อดีต

สมัยก่อนนั้นการเดินทางไปบางงอนต้องใช้เรือเท่านั้น หรือไม่ก็รถไฟผ่านทางสายคีรีรัฐนิคม จากสถานีสุราษฎร์ธานีในช่วงเย็น ลงที่สถานี ขนาย แล้วเดินไปอีกนิดหน่อยก็จะถึงบ้านบางงอน ในสมัยที่ผมเรียนมัธยมต้นที่โรงเรียนสุราษฎร์ธานี เพื่อนๆที่มาจากแถวๆนั้นก็จะโดยสารรถไฟมาในตอนเช้าแล้วกลับกับรถไฟขบวนนี้เป็นประจำ

ในเส้นทางสายนี้มีรถไฟเดินรับส่งผู้โดยสารอยู่แค่ขบวนเดียว ในระยะทาง สามสิบกว่ากิโลเมตร และได้มีการเวนคืนที่ดินเพื่อสร้างทางรถไฟไปยังท่านุ่น จังหวัดพังงา (บริเวณสะพาน สารสิน ) แต่ไม่มีงบประมาณในการสร้างเลยหยุดอยู่แค่สถานี คีรีรัฐนิคมเช่นเดิมจนถึงทุกวันนี้

วัดบางงอนในตอนนั้นมีเจ้าอาวาสคือ หลวงพ่อหัน ปภากโร (พระครูรัษฏารามคณิศร์)หลวงพ่อหันเป็นลูกศิษย์สมัยเป็นนักเรียนของปู่ผม และท่านได้บวชที่วัดตรณาราม กับ ท่านพระครูธรรมปรีชาอุดม (พุ่ม) ในปี 2500 หรือกึ่งพุทธกาล ยี่สิบห้า ศตวรรษ

และด้วยการที่เป็นครูกับลูกศิษย์กันมาก่อน ท่านจึงแวะเวียนมาเยี่ยมปู่ของผมเสมอๆ และแม้กระทั่งในช่วงที่ปู่ของผมป่วย ปู่ก็ไปรักษาตัวอยู่ที่วัดบางงอน และสมัยนั้นญาติพี่น้องของปู่ก็อยู่ที่นั่นเป็นจำนวนมาก (เรื่องราวบางส่วนของบ้านบางงอน หาอ่านได้จากงานเขียนของ วิลาศ มณีวัต ครับ)

ผมในตอนนั้นหรือแม้กระทั่งในตอนนี้ ผมก็นับญาติได้ไม่หมด เพราะว่าญาติเยอะจริงๆ สาเหตุเพราะว่า ก๋งมีเมียเยอะ มีลูกเยอะ แต่ละคนก็มีลูกกันเยอะ ทำให้นับกันไม่ค่อยถูก ถึงแม้ว่าจะนานสกุลเดียวกัน

ในสมัย ปี 2521-2525 ช่วงนั้นคงไม่มีใครในแถบจังหวัดสุราษฎร์ธานี และจังหวัดใกล้เคียงที่จะไม่ได้ข่าว "พระผุด" ที่วัดบางงอน อำเภอพุนพิน จังหวัดสุราษฎร์ธานี และได้มีการใช้ดินบริเวณนั้น กินเพื่อรักษาโรคร้ายต่างๆ อย่างได้ผล

พระพุทธรูปองค์นั้น ภายหลังได้เรียกกันว่า หลวงพ่อ"พระพุทธโอสถาพร" อันเป็นที่มาจากการที่ได้ใช้ดินเป็นยารักษาโรคนั่นเองครับ จนแม้กระทั่งหนังตะลุงในสมัยต่อมาในช่วงปี 2530 ก็ยังเอามาเล่นเป็นมุกตลกอยู่เนืองๆ ที่ว่า

"คนสุราษฏร์กินดินวัดบางงอน คนนครกินย่านลำเพ็ง"

ต้นลำเพ็งชอบอยู่บริเวณที่ชุ่มน้ำ ใบมีลักษณะคล้ายๆเฟิร์น ชอบอยู่ตามที่รกทึบ ยอดอ่อนเอามาลวกกระทิ จิ้มน้ำพริก

ในปี 2530-2531 (ไม่แน่ใจว่าปีไหนแน่) มีการหล่อพระประธานของวัด หลวงพ่อหัน ปภากโร ได้จัดงานหล่อพระประธานขึ้น ตอนนั้นผมอายุ สิบกว่าปี ได้ไปที่วัดพร้อมกับลุง ซึ่งตอนนั้นผมจะรู้สึกผูกพันธ์กับท่านมาก เพราะท่านจะใจดีกับผมเป็นพิเศษ

ในย่ามของท่าน ผมจะเป็นเด็กที่สามารถล้วง หยิบ สิ่งของเอามาดูมาถามได้ตลอดเวลา และทำให้ได้มีโอกาสได้วัตถุมงคลต่างๆไว้มากมาย เพราะเวลาที่ท่านไปพุทธาภิเษกที่ไหนก็จะได้วัตถุมงคลที่นั่นมาด้วย เมื่อได้มาท่านจะใส่ไว้ในย่าม

และแน่นอน ... ผมจะขอท่านทันที แล้วท่านก็จะให้เสมอ

แต่ที่ผมจำได้อีกอย่างก็คือมีวัตถุบางอย่างอยู่ในย่ามของท่าน ที่ท่านไม่ให้ผม มีรูปร่างคล้ายๆ หอยแต่ทำมาจากดิน(ไม่แน่ใจ) ท่านบอกว่า "ถ้าเอาไปแล้วต้องเป็นโจรนะ จะเอาหรือเปล่า" ผมในตอนนั้นก็ยังเด็กๆอยู่ก็รีบตอบว่าไม่เอา แล้วก็ไม่สนใจอีกเลย และตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าของสิ่งนี้ไปอยู่ไหนหรืออยู่ที่ใคร

หลวงพ่อหัน จะเป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านในละแวกนั้นเป็นอย่างมาก เพราะท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อพัว วัดบางเดือน ที่โด่งดัง และที่ผมจำได้แต่ไม่แน่ใจมากนักคือ วัตถุมงคลรุ่นสุดท้ายที่ท่านไปร่วมพุทธาภิเษกคือ วัตถุมงคลของวัดสองพี่น้อง อำเภอพนม ซึ่งน่าจะเป็นงานสุดท้ายก่อนที่ท่านจะมรณะภาพ

กลับมาเรื่องหล่อพระประธานกันต่อครับ... ผมจำได้ว่ามีการตั้งโรงตั้งพิธีกันที่หลังโบสถ์ มีช่างมาจากที่อื่น มาทำการหล่อ หลอม เท ทอง เพื่อสร้างพระประธานของวัดบางงอน มีคนถามท่านว่า ทำไมไม่หาแบบที่เขาทำเสร็จแล้วมาวางเลย แล้วค่อยทำพิธี พุทธาภิเษก

ท่านบอกว่า แบบนั้นมันง่ายเกินไป การทำพระประธาน ต้องทำให้ถูกต้อง การที่เราทำตามฤกษ์ ยาม ทำการเททอง หล่อ ให้ชาวบ้านได้มาร่วมกันสร้าง ดีกว่ามาร่วมกันซื้อ เพราะจะได้หล่อหลอมจิตใจของชาวบ้านเข้าไว้ด้วยกัน สร้างความสามัคคีได้อย่างมากด้วย

และทุกวันนี้พระประธานองค์นี้ก็ยังอยู่ มีหลายคนสงสัยว่าพระองค์ใหญ่ มาหล่อทีหลัง จะเอาเข้าโบสถ์ ได้อย่างไร คำถามแบบนี้ผมเคยอ่านเจอในหนังสืออะไรซักอย่างเกี่ยวกับพระที่อยุธยา ว่าหลวงพ่อในโบสถ์สร้างก่อนหรือโบสถ์สร้างก่อน ถ้าพระสร้างทีหลังจะเอาเข้าโบสถ์ได้อย่างไร ผมงงอยู่นาน ทั้งๆที่เคยเห็นวิธีการเอาพระเข้าโบสถ์ มาแล้วในสมัยเด็กๆ นี่ถ้าไม่มางานศพ ไม่กลับมาเดินเที่ยวในวัด ผมคงจะลืมไปแล้วจริงๆ

เดี๋ยวมีต่อ รอแป๊บนึง

บันทึกของเมื่อวาน 5 เมษายน 2560

บันทึกของเมื่อวาน 5 เมษายน 2560

ตื่นมาแปดโมงพอดี รีบจัดการธุระ ออกจากบ้านตอนแปดโมงครึ่ง พาอาไปโรงพยาบาลสัตว์ ทำการย้ายหมามาไว้อีกโรงพยาบาล ราคาค่ารักษาถูกกว่าพอสมควร จัดการธุระให้จนเสร็จเรียบร้อย รีบกลับเข้าบ้าน

เจอเพื่อนพ่อนั่งอยู่หน้าบ้าน นั่งคุยกันอยู่หลายคน แต่ไม่ได้ทักทายมากไปกว่าเดินไปสวัสดี เพราะต้องพาแม่ออกมาส่งที่ อำเภอพิปูน เมื่อวานแม่บอกว่าเป็นอำเภอทุ่งใหญ่ แต่จริงๆแล้วเป็นรีสอร์ทอยู่ริมอ่างเก็บน้ำกะทูน แถวๆอำเภอพิปูน จังหวัดนครศรีธรรมราช

ฝนตกมาตลอดทาง แต่ไม่หนัก ส่งแม่ที่พี่หลวงรีสอร์ท เขามาเลี้ยงรุ่นสมัยเรียนที่ฉวางกัน ที่นี่เคยมานั่งกินข้าวหลายครั้งแล้ว เลยมาแบบสบายๆไม่ต้องกลัวหลงทาง

เสร็จจากส่งแม่ รีบขับรถกลับบ้าน พาแมวที่ไปผ่าหนองวันก่อน ออกมาล้างแผล วันนี้พามาคลีนิคใกล้ๆบ้าน ไม่ต้องพาไปไกล เสียค่ายาบวกค่าล้างแผลไปร้อยกว่าบาท หมอบอกว่าถ้าเอายามาเองจะถูกกว่านี้

เสร็จเรื่องแมว กลับเข้าบ้าน พาแมวเข้าไปไว้ในห้อง จัดที่นอนให้แมวเสร็จ สี่โมงเย็นออกจากบ้าน ไปวัดธรรมบูชา ไปรับท่านเจ้าคุณ ไปงานศพที่บางงอน

บางงอนเป็นบ้านปู่ มีญาติๆอยู่ที่นั่นเยอะ แต่รุ่นหลังๆเริ่มจะไม่ได้เจอกัน ทำให้จำกันไม่ได้เสียมาก ผมมาบวชที่นี่ ตอนปีสี่สิบกว่าๆ บวชอยู่กับเจ้าอาวาสรูปก่อน หลวงพ่อหันต์ นอนอยู่กุฏิเดียวกับท่าน จนผมลาสิขาออกมาได้ไม่กี่เดือนท่านก็มรณภาพ

เสร็จจากงานศพ กลับมาส่งท่านเจ้าคุณที่วัด รถติดมาก จริงๆแล้วติดทั้งขาไปและขากลับ เป็นช่วงเลิกงาน มีปิดถนนจัดงานหลายที่ มีงานที่ริมน้ำ วัดหลวงพ่อพัฒน์ รวมไปถึงสี่แยกบางใหญ่ สี่แยกบางกุ้ง ที่กำลังสร้างสะพานข้ามแยก ทำให้รถหลีกเลี่ยงการจราจรมาแถวๆนี้กันหมด

ส่งท่านเจ้าคุณเสร็จ หิวอีกรอบ ตัดสินใจเดินไปดูงานวัดใหม่ วัดหลวงพ่อพัฒน์ ว่าจะดูลิเก แต่ลิเกยังไม่ได้เล่น คงจะยังเป็นช่วงหัวค่ำอยู่ เห็นแต่ พระเอก นางเอก ผู้ร้ายแต่งชุดลิเก ออกมาร้องเพลงจากคาราโอเกะ ยังไม่ร้อง ไม่รำ ไม่แสดงเป็นเรื่องเป็นราว

เดินหาซื้อของกิน แล้วขยับไปหาที่นั่งข้างเมรุ ที่มีเสียงดัง มีไฟสว่างๆอยู่ น่าจะมีอะไรแสดงอยู่แถวนั้น เข้าไปเห็นเป็น มโนราห์ สมพงษ์น้อย ดาวรุ่ง ยืนดูอยู่พักใหญ่ พอมโนราห์รำเสร็จชุดแรกก็เดินกลับมาทางโรงลิเก

ยังเหมือนเดิม ยังร้องเพลงกันเหมือนเดิม ดูเวลาก็สามทุ่มครึ่งแล้ว กลับบ้านดีกว่า ถึงบ้านตอนสี่ทุ่มกว่า วันนี้ไม่หิว คงเป็นเพราะกินปลาหมึก กับหมูทอดในงานวัดมาเต็มที่แล้ว

รีบนอน เพราะว่าพรุ่งนี้ต้องไปนครศรีธรรมราชอีกรอบ ไปรับแม่ที่พิปูนแล้วจะพาพ่อไปกินขนมจีนเมืองนคร หลับตั้งแต่ก่อนเที่ยงคืน ไม่ได้รอดู อาร์เซนอลกับเวสต์แฮม ค่อยดูผลตอนเช้าทีเดียวก็แล้วกัน

รถไฟสายคีรีรัฐนิคม

บางคนเรียกว่ารถแม่ค้า บางคนเรียกว่ารถนักเรียน ในยามเช้าของทุกๆวันรถท้องถิ่นขบวนที่ 490 ต้นทางจากคีรีรัฐนิคม ปลายทางสุราษฎร์ธานี จะเดินทางออกมาจากเมืองในหุบเขา เพื่อนำแม่ค้าและนักเรียนเข้ามาในตลาดท่าข้าม อำเภอพุนพิน ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีสุราษฎร์ธานี


นักเรียนบางคนมาถึงก็นั่งรถเมล์ สายสุราษฎร์ - พุนพิน เข้ามาเรียนในเมืองสุราษฎร์ธานี สมัยเด็กผมมีเพื่อนหลายคนที่ใช้บริการรถไฟขบวนนี้เข้ามาเรียนในเมือง

รถขบวนนี้ไม่ใช่รถขบวนที่ทำเงินให้การรถไฟ เรียกได้ว่าเป็นรถขาดทุนเสียอีก แต่ถ้ามองในแง่ของการบริการประชาชน และตวามผูกพันธ์ของชุมชนกับการรถไฟแล้วนั้น ขบวนนี้คุ้มค่ามากๆ

หลายๆคนมีอดีตกับรถไฟขบวนนี้ และอีกหลายคนจะมีอนาคตกับรถไฟขบวนนี้เช่นกัน ถ้าโครงการรถไฟไปท่านุ่นจังหวัดพังงาได้รับการอนุมัติให้สร้าง

บันทึกของเมื่อวาน 4 เมษายน 2560

บันทึกของเมื่อวาน 4 เมษายน 2560

หลังจากตื่นนอนมาตีสองกว่า นั่งเล่น นอนเล่นจนหกโมงเช้า ว่าจะไม่นอน แต่สุดท้ายก็งีบหลับไปจนได้ ตื่นมาตอนแปดโมงกว่าๆ อาปุกมาเรียกให้ไปดูหมาที่บ้านแก มันไม่สบายมาสองสามวันแล้ว

เดินไปดูอาการมันหนักอยู่พอสมควร เลยขอไปไหว้ศาลพระภูมิก่อนเสร็จแล้วจะพามันไปหาหมอ เก้าโมงนิดๆตั้งโต๊ะไหว้ ของหวาน ผลไม้ น้ำ ธูป เทียน จนเสร็จเรื่องแล้วพาหมาไป โรงพยาบาลสัตว์ในเมือง

หมอบอกว่ามันเป็นลำไส้อักเสบ ต้องพักที่โรงพยาบาล แต่หมอก็บอกว่า ที่นี่ค่ารักษาแพง ถ้าจะพาไปพักฟื้นที่โรงพยาบาลอื่นก็ได้ เดี๋ยวหมอจะทำใบส่งตัวให้ บอกหมอว่าวันนี้ฝากไว้ที่นี่ก่อน ขอไปสอบถามที่อื่นๆดูว่าจะพาไปที่ไหน แล้วจะตัดสินใจอีกที

เสร็จจากโรงพยาบาลสัตว์ อาชวนไปในเมืองซื้อก๋วยเตี๋ยวกลับมากินคนละถุง กินเสร็จแล้วก็เข้าไปในสวน วันนี้เข้ามาตอนบ่ายโมงแล้ว ทำอะไรไม่ได้มาก เก็บหมาก กับแยกต้นใบเตยมาปลูก ขยายออกไปได้อีกสามสิบกว่ากอ คงต้องดูแลอีกหลายเดือนกว่าจะตัดใบขายได้

พยายามจะใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด ทำไป แก้ไป ลองผิด ลองถูกไปเรื่อยๆ มันต้องสำเร็จซักวันหนึ่งแหละน่า

ลงมาจากบนสวนตอนสี่โมงเย็น มีก๋วยเตี๋ยวมาแขวนไว้ที่หน้าประตูสองถุง แม่ซื้อมาให้เป็นก๋วยเตี๋ยวต้มยำทะเล กินก๋วยเตี๋ยวเป็นครั้งที่สองของวัน

กินอิ่มแล้วออกจากบ้านมาอีกรอบ แวะถามโรงพยาบาลสัตว์ที่ใน บขส. กับโทรไปถามที่ท่าข้าม เรื่องจะย้ายหมาของอามาฝากไว้ สองที่นี้ราคาพอๆกัน แต่ก็ยังถูกกว่าที่ ที่พาไปตอนแรกเกือบครึ่ง ตกลงว่าจะพามาไว้ที่โรงพยาบาลใน บขส.

ออกจาก บขส. ไปตลาดหน้าศูนย์ เอากล้วยกับมะละกอไปให้ป้าสุรีย์ นั่งคุยกับพี่บุญฤทธิ์พักใหญ่ พ่อส่งไลน์มาว่า ขากลับให้ซื้อราดหน้าร้านประจำมาฝากด้วย

ออกจากตลาดหน้าศูนย์ เข้าเมืองไปศาลเจ้า ร้านราดหน้าไม่ขาย สงสัยปิดไปเชงเม้ง วันนี้เห็นเขาไหว้กันหลายที่ สุดท้ายได้ผัดไทยร้านประจำของพ่อมาสองห่อ อกไก่ย่าง มาสองไม้ กลับเข้าบ้านเอาผัดไทยไปให้พ่อกับแม่ แล้วทำท่าจะกินอกไก่ คุณนายบอกว่าช่วยกินก๋วยเตี๋ยวของแม่ก่อนเถอะ

เขาไม่กินมื้อเย็น วันนี้วันพระ

จัดการก๋วยเตี๋ยวเป็นชามที่สามของวัน แต่ยังไม่ทันจะหมด คุณนายไปเอาเจ้าแมวสีส้ม หนึ่งในหกตัวที่มีอยู่เข้ามาในบ้าน มันเจ็บที่โคนหางมาหลายวันแล้ว วันนี้หนองในแผลเริ่มออกมา ดูท่าทางมันเจ็บมาก

ตัดสินใจช่วยกันจับ บีบหนองออกมา กระดาษหมดไปสองห่อ ยังไม่มีทีท่าว่าจะหมด มันร้องลั่นบ้าน ตัวเกร็ง คงจะเจ็บมากจริงๆ ไม่รู้จะช่วยมันยังไง

สุดท้าย พาไปหาหมอที่โรงพยาบาล เงินค่ารักษาก็ไม่ค่อยมี ยิ่งพาไปตอนนี้ยิ่งแพงกว่าเวลาปกติ แต่ก็ได้พี่ชายใจดีช่วยไว้อีกแล้ว ช่วยทั้งคน ช่วยทั้งแมวมาหลายครั้งแล้ว มีบุญคุณมากมายจนนับไม่ถ้วน

พาแมวมาให้หมอที่โรงพยาบาล ผ่าแผล ตัดเอาเนื้อที่เสียออก ได้ยากลับมา จ่ายค่ารักษาไปสองพันนิดๆ เหลือเรื่องล้างแผล ทำแผลอีกหลายครั้ง แต่คงจะช่วยกันทำเอง จะประหยัดค่าล้างแผลไปได้อีกครั้งละหลายร้อย

ระหว่างรอแมว ท่านเจ้าคุณโทรมา ว่าพรุ่งนี้ให้พาไปงานศพที่บางงอน เด็กที่เคยอยู่กับท่านเสียชีวิต จะไปฟังสวดซักคืน รับปากท่านไปว่าจะไปรับพรุ่งนี้ตอนเย็น

ขับรถกลับบ้าน เจอฝรั่งโบกรถทีแถวๆซอยโกเตง จะไปสถานีรถไฟ เลยรับขึ้นรถพาไปส่งสถานีรถไฟก่อน คุยกันบนรถ บอกว่ามาจากยูเครน ชอบประเทศแถบเอเซียมากๆ ที่บ้านเขาหนาว เพิ่งมาจากเกาะสมุย ถึงกรุงเทพแล้วจะต่อไปฮ่องกง เลยขอแอดเฟซบุ๊คไว้ เพราะอยากดูรูปที่เขาเดินทาง เดี๋ยวถ้ามีภาพสวยๆจะแชร์มาให้ดูกัน

เข้าบ้าน จัดการอกไก่ย่างอีกหนึ่งชิ้น สรุปว่าวันนี้ไม่ได้กินข้าว กินแต่อาหารเป็นเส้นๆทั้งวัน

พรุ่งนี้มีธุระตั้งแต่เช้า แปดโมงพาอาไปโรงพยาบาลสัตว์ ย้ายหมาของแกมาไว้อีกโรงพยาบาล เที่ยงขับรถพาแม่ไปส่งที่ อำเภอทุ่งใหญ่ นครศรีธรรมราช แม่มีงานเลี้ยงรุ่น แล้วกลับมาสุราษฎร์ธานี เพื่อนพ่อ นัดรวมตัวกันที่บ้านเหมือนกัน

ช่วงเย็นคงต้องแยกกัน ให้คุณนายอยู่ช่วยงานที่บ้าน ส่วนผมพาท่านเจ้าคุณไปงานศพที่บางงอน แต่จะมีอะไรเปลี่ยนแปลงมากน้อยแค่ไหนก็ค่อยว่ากันอีกที

เจ้าแมวที่พาไปรักษา กลับมาถึงบ้านมันหวาดระแวง ต้องขังมันไว้ในห้องด้านหลัง คุณนายหอบผ้าไปนอนกับแมว บอกว่าสงสารมันผมก็รีบนอน เพราะมีภาระกิจอีกมากมาย หลับไปตอนเกือบๆตีหนึ่ง

บันทึกของเมื่อวาน 3 เมษายน 2560

บันทึกของเมื่อวาน 3 เมษายน 2560

ตื่นนอนเวลาปกติ เกือบๆแปดโมง กินข้าว เดินดูรอบๆบ้าน หญ้าเริ่มยาว ต้องรีบเก็บงานด้านบนให้เสร็จ จะได้ลงมาเตรียมพื้นที่รอบบ้าน จัดงานทำบุญเลี้ยงพระช่วงกลางเดือน

ขึ้นไปบนสวน ฝนทำท่าจะตก แต่ยังไม่ตก เดินขุดหลุมเตรียมปลูกมะพร้าว มาใส่เพิ่ม กับซ่อมต้นที่ตายไปในรอบที่แล้ว ขุดไปได้ไม่กี่หลุมฝนตกลงมาอย่างหนัก แบกเครื่องตัดหญ้าไปเก็บไว้ที่ขนำ แล้วมาขุดต่อ ได้สิบกว่าหลุม เต็มพื้นที่ในส่วนนี้พอดี

เดินขึ้นไปเอาต้นมะพร้าวที่เพาะไว้ด้านบนลงมาปลูก เลือกต้นใหญ่ สวยๆได้สิบห้าต้น ที่เหลือยังเล็ก แต่ก็ขนาดพอๆกับที่ซื้อมาจากบ้านแพ้ว สูงประมาณยี่สิบเซนต์ ขนาดนี้จริงๆก็ปลูกได้แล้ว แต่ผมไม่ค่อยชอบ อยากได้ต้นที่สูงกว่านี้มากกว่า ชุดนี้รอเก็บไว้เดือนหกค่อยปลูกบนเนิน ที่ตั้งใจว่าจะฟันกอไผ่ออกให้หมดช่วงปลายเดือน

ปลูกมะพร้าวเสร็จ ฝนหยุดตกพอดีเช่นกัน แต่สภาพตอนนี้เหมือนหมาตกน้ำไปแล้ว แบกเครื่องตัดหญ้าเดินกลับบ้าน วันนี้ไม่ได้ตัดหญ้าเพิ่มเติมจากเมื่อวาน

ตอนเดินกลับ หิ้วต้นมะพร้าวนกคุ่มที่เป็นมะพร้าวอ่อนพันธุ์พื้นเมือง ลงมาปลูกหลังบ้านพี่เขียวสองต้น ช่วงนี้ฝนตก จะทำอะไรก็ต้องรีบทำ เดี๋ยวติดแล้งจะช้าไปอีก

"ต้นไม้ที่โตเร็วที่สุด คือต้นไม้ที่ปลูกวันนี้"

ลงมาตัดกล้วยหักมุกข้างบ้าน ตอนแรกนับไว้น่าจะประมาณ ยี่สิบหวี แต่พอฝนตก ล้างผิวกล้วย วันนี้เดินดูแบบละเอียดๆ ตัดมาแค่สิบกว่าหวีเท่านั้น ที่เหลือน่าจะรอสัปดาห์หน้าดีกว่า มันยังไม่แก่จัด แม่ค้าเอาไปทำกล้วยฉาบ เดี๋ยวของเขาจะไม่อร่อย

พอจะเข้าบ้าน นึกได้ว่ายังไม่ได้ตัดหน่อไม้ เดินกลับขึ้นสวนอีกรอบ หน่อไม้เป็นสิ่งที่เผลอไม่ได้จริงๆ ช้านิดเดียวมันจะแปรสภาพเป็นไม้ไผ่ทันที ต้องรีบตัดให้ทันตอนกำลังพอดีๆ

ได้ไผ่กิมซุงมาหน่อนึง กับไผ่หวานอีกหน่อ แต่ที่พื้นดินรอบๆ เริ่มมีหล่อเล็กๆขึ้นมามากแล้ว คราวหน้าคงจะมากกว่านี้

ก่อนจะกลับลงมา เดินเก็บสัปรดติดมือลงมาด้วย พรุ่งนี้วันพระขึ้นแปดค่ำ วันไหว้ศาลพระภูมิประจำบ้าน ใช้ผลไม้สองอย่าง ของหวานสามอย่าง รวมห้าอย่าง วันนี้ได้กล้วยกับสัปรดมาแล้ว เหลือของหวานค่อยซื้อในตลาดตอนออกไปส่งกล้วย

"พระภูมิไม่ใช่พุทธแท้" มีคนพูดแบบนี้ประจำ ผมก็จะบอกว่า "ช่วงนี้ไหว้ผี ดีกว่าไหว้พระชั่วๆ" ... จริงๆนะ

ออกจากบ้านจะไปซื้อของ พ่อติดรถออกมาด้วย บอกว่าจะไปนั่งรถเล่น เข้าตลาดท่าข้าม ซื้อขนมหวาน ดอกไม้ กับขนมมากินนิดหน่อย ขับรถวนไปส่งกล้วย ได้มาร้อยกว่าบาท

ถามว่าคุ้มค่าน้ำมันหรือเปล่า ผมว่าคุ้มนะ เรื่องบางเรื่องอธิบายเป็นคำพูดไม่ได้หรอก คนบางคนยอมทิ้งคนที่เคยช่วยเหลือเพื่อความสุขของตัวเอง เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ยอมหักหลังคนอื่นเพื่อแลกกับเงิน

แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรื่องขายกล้วยคุ้มหรือไม่คุ้ม

ไม่เกี่ยวหรอก แค่อยากบ่นออกมาบ้างเท่านั้นเอง ขายกล้วยนี่ ผมบอกแม่ค้าไว้ว่าถ้ามีผมจะเอามาส่ง มากหรือน้อยผมก็มา เพราะแม่ค้ารับหมด มีมากก็เอามามาก มีน้อยผมก็เอามาให้ ไม่ใช่ว่าที่อื่นให้แพงกว่าก็ไปขายคนอื่น

คุ้มหรือไม่คุ้ม มันอยู่ที่ใจ

เสร็จธุระเรื่องกล้วย ก่อนกลับเข้าบ้าน วนไปร้านป็อก เอามะละกอ หน่อไม้กับสัปรดไปฝาก ฝนตกมาตลอดทาง อากาศเย็นดี กลับถึงบ้านกินข้าวอีกรอบ หลับตั้งแต่หัวค่ำ ตื่นมาตีสองกว่า ยังไม่ได้นอน

ตั้งใจว่าไหว้พระภูมิเสร็จตอนเก้าโมงกว่าๆ ค่อยกลับมานอนอีกซักงีบ ค่อยเข้าสวนตอนบ่ายๆ ช่วงนี้งานสบายๆ ไม่มีอะไรต้องรีบร้อนแล้ว

บันทึกของเมื่อวาน 2 เมษายน 2560

บันทึกของเมื่อวาน 2 เมษายน 2560

ตื่นเช้า แบบสบายๆ รีบกินข้าวมื้อเช้า จัดข้าวต้มปลาที่เหลือมาจากเมื่อคืน อุ่นให้ร้อนแล้วกินรองท้อง ก่อนเข้าสวน พี่เขียวแวะมาเยี่ยมพ่อ นั่งกินกาแฟคุยกัน มีข้าวหลามอีกสองกระบอก พอให้มีแรงขึ้นไปตัดหญ้า

พอพี่เขียวกลับไป พ่อเดินมารอจะเข้าสวนพร้อมกัน แต่ขึ้นมาได้ไม่นานยังไม่ทันทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ฝนตกลงมา ต้องรีบกลับบ้าน แต่พอมาถึงบ้าน ฝนหยุด ฟ้าเริ่มเปิด

คุณหลอกดาว

แต่กลับลงมาแล้วก็นอนพักอีกซักหน่อย ก่อนจะกลับขึ้นไปอีกครั้ง ขึ้นมารอบนี้กินคาราบาวแดงมาขวดนึงด้วย ร่างกายสดชื่น ตัดหญ้ารวดเดียวจนน้ำมันหมดถัง แต่ยังมีพื้นที่เหลืออีกนิดหน่อย เดินลงมาเอาน้ำมันขึ้นไปอีก ตัดจนเสร็จ พอดับเครื่อง เอาเครื่องวางลง รู้สึกเอวมันแข็งไปหมด เวลาขยับแล้วรู้สึกปวดๆ

มันเป็นอาการทั่วไปของวัยรุ่น

ลงมาจากสวน อาบน้ำ เดินไปหาแม่ วันนี้วันเกิดแม่ คุยกันไม่นาน แม่ออกไปงานกาชาดที่ในเมือง กลับเข้าบ้าน ไม่มีอะไรกิน เลยออกไปตลาดศรีท่าข้าม ไปซื้ออาหารแมว ซื้อกับข้าว ซื้อไข่ มาเป็นเสบียงของคน

ระหว่างรอคุณนายซื้อของที่ตลาด เห็นหลวงแดงโพสต์เพซบุ๊คว่าเลนส์ชำรุด แต่ยังถ่ายงานไม่ทันเสร็จ เลยถามว่าจะช่วยอะไรได้บ้าง พอจะมีเลนส์ที่ยังไม่ใช้อยู่หลายตัว สรุปตกลงว่าจะเอาเลนส์ 150 -600 เข้าไปให้ยืม

กลับเข้าบ้าน ให้อาหารแมว แล้วออกไปวัดทุ่งเซียด เอาเลนส์ 55 -250 /150 -600 ไปให้หลวงแดงใช้ถ่ายงานที่วัด นั่งคุยกันอีกพักใหญ่ เจออาจารย์ต๋อ ได้ตะกรุดมาคนละดอก

กลับจากวัดทุ่งเซียด กินข้าวอีกรอบ นอนดูอาร์เซนอล เสมอ แมนซิตี้ บอลจบเที่ยงคืนกว่าๆ เข้าไปอ่านในเพจ มีแต่คนด่า แต่ผมว่าเมื่อคืนเล่นกันดี มีใจจะวิ่งไล่บอลมากขึ้นกว่าหลายๆนัดที่ผ่านมา อ่านไป อ่านมา แล้วก็หลับไปตอนไหนก็ไม่รู้

ชีวิตวันนี้้

ช่วงหลังๆเวลาเจอคนนั้น คนนี้ มักจะถามผมว่า ต้นไม้แบบนั้น ปลูกยังไง ใส่ปุ๋ยอะไร ดูแลยังไง ผมก็จะตอบว่า "ไม่รู้" ลองไปถามคนนั้น คนนี้ หรือสำนักงานเกษตรอำเภอ หรือแม้แต่ในกูเกิ้ลเอาจะดีกว่า

ผมไม่ได้กวนตีนหรอก ผมไม่รู้จริงๆ ที่ทำๆอยู่ทุกวันนี้ก็ลองผิด ลองถูก ถามคนนั้น ถามคนนี้มาเรื่อยๆเหมือนกัน บางทีก็ลองใส่นั่นใส่นี่ ดูว่าผลมันจะเป็นยังไง "แล้วมาทำแบบนี้ทำไม" มักจะมีคำถามนี้ตามมาอีกเสมอ

มาๆๆๆ เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง

ตั้งแต่เกิดมาจนอายุสี่สิบกว่า จนเข้าวัยจะกลางคนแล้ว ผมไม่เคยทำสวนแบบจริงๆจังๆเลย ถึงจะเกิดในสวน โตมาในสวน ใช้ชีวิตวัยเด็กกับย่าที่ในสวน แต่ผมก็ไม่ได้ทำอะไรมากนัก ผมเรียนในเมืองตั้งแต่เด็ก จนจบ ปวส. ก็เข้ากรุงเทพ เรียนจบปริญญาตรีคณะวิศวกรรม

พอทำงานก็ทำด้านโทรคมนาคม เคยไปทำงานทุกจังหวัดในภาคใต้ ประจำพื้นที่ทุกจังหวัดในภาคใต้ตอนบน ยกเว้น สุราษฎร์ธานีบ้านตัวเอง แต่ก็หาเรื่องขอไปทำงานกับเพื่อนที่ เกาะสมุย เกาะพะงัน เกาะเต่า และไปจนครบทุกอำเภอในจังหวัดสุราษฎร์ธานี

ตอนทำงานประจำก็ยังโชคดีอยู่หน่อย ที่พ่อบังคับให้ทำสวนยาง แกยกที่ให้ยี่สิบกว่าไร่ ให้ปลูกยางเอาเอง โดยที่พ่อคอยดูแลแกมบังคับอีกที ช่วงนั้นก็ออกเงิน ฝากพ่อทำบ้าง พ่อออกตังค์ให้บ้าง นานๆก็แวะไปแต่งกิ่ง ตัดหญ้า ใส่ปุ๋ยบ้าง จนได้รับผลผลิตมาจนถึงทุกวันนี้

ปี 2554 เกิดน้ำท่วมใหญ่ สวนหลังบ้านที่พ่อทำไว้ โดนน้ำท่วม ต้นไม้ล้ม ดินไหลลงมาทับต้นไม้ พังไปเกือบครึ่งสวน มะพร้าวใหญ่ๆโดนดินถมโคนต้น หมากต้นสูงๆก็ล้มบ้าง ทั้งมะพร้าวและหมากที่โดนดินถมโคนต้นมาตายลงในอีกปีให้หลัง ต้องโค่นออกเกือบหมด สภาพสวนตอนนั้นเหมือนกับต้องเริ่มต้นกันใหม่

ปี 2555 ปลายปีผมลาออกจากบริษัทเก่าที่ทำงานมาสิบกว่าปี มาทำงานกับบริษัทผู้รับเหมาจากประเทศจีน ช่วงนั้น ผมเริ่มกลับมาช่วยพ่อทำสวนมากขึ้น แต่ก็ยังไม่เต็มที่มากนัก มีงานอื่นเข้ามาตลอดเวลา แต่ก็เหมือนกับเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต เริ่มทำฝายทดน้ำ เริ่มทดลองปลูกต้นไม้หลายชนิด รอดบ้าง ตายบ้างไปตามเรื่อง

จนเมื่อสองปีที่แล้ว ผมลาออกจากงานอีกครั้ง ออกมาทำตามความฝัน ที่เคยฝันไว้ตั้งแต่เด็ก คือการเดินทางไปทุกจังหวัดในประเทศไทย ผมเดินทางท่องเที่ยวอยู่หนึ่งปีเต็ม ทุกวันนี้เหลือจังหวัดอำนาจเจริญ จังหวัดเดียวที่ยังไม่เคยไป

ในช่วงนั้นผมยังรับงานอยู่บ้าง ทำเป็นโปรเจคไป แต่ก็ไม่ค่อยจะเต็มที่ซักเท่าไหร่ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเบื่องานแบบนั้นแล้ว หรือว่าแก่ตัวลง แล้วทำไม่ไหวกันแน่

มารู้ภายหลังว่า จริงๆแล้วเบื่อคนมากกว่า

เมื่อปลายปีที่แล้ว พ่อบอกว่า พ่อเริ่มทำสวนไม่ไหวแล้วนะ ผมเองก็เริ่มเบื่อการเดินทาง เบื่อการออกนอกบ้านเหมือนกัน เลยตกลงทำ MOU กับพ่อว่า ปีหน้าตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2560 จะเริ่มเคลียร์งานที่รับปากคนอื่นไว้ให้หมด และจะอยู่บ้าน ทำสวน ทำอาชีพบรรพบุรุษต่อไป

จนถึงตอนนี้ ผ่านไตรมาสแรกของปีมาเรียบร้อย สวนเริ่มดูดีขึ้น แต่รายได้ที่เกิดจากฝีมือผมเอง ผ่านมาสามเดือน ยังได้ไม่ถึงหนึ่งพันบาทเลย ที่เหลืออาศัยกินบุญเก่าที่พ่อทำไว้ก่อนหน้านี้ทั้งนั้น

ปีนี้เหลือเวลาอีก 9 เดือน ผมเองก็ไม่รู้ว่าต่อจากนี้จะเป็นอย่างไรต่อไป จะอยู่ จะตาย จะรอด จะล่ม ก็ไม่รู้ แต่ในเมื่อมาทางนี้แล้วก็จะสู้ไปจนถึงที่สุด ตามสันดานดันทุรังของผม ที่ทำไปจนกว่าจะพังไปข้างนึง

ฉิบหายไม่ว่า ... เอาหน้าไว้ก่อน

ผมเขียนบันทึกย่อๆไว้ทุกวัน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม จนถึงวันนี้ เพื่อเตือนสติตัวเอง และจะได้เอาไว้อ่านอีกครั้งในปีหน้า ว่าที่ผ่านมานั้นมีอะไรเปลี่ยนแปลงบ้างหรือเปล่า ดีขึ้นหรือแย่ลง จะได้เอาไว้ปรับปรุงแก้ไขกันต่อไป

เรื่องราวมันก็ประมาณนี้แหละครับ

บันทึกของเมื่อวาน 1 เมษายน 2560

บันทึกของเมื่อวาน 1 เมษายน 2560

ผลพวงจากการนอนตีสี่ ตื่นมาแปดโมง รู้สึกว่าร่างกายไม่อยากทำอะไร อยากนอนต่อ พยายามเดินไปเดินมาก็ยังไม่หาย สุดท้ายหลับอีกงีบ ตื่นมาเที่ยงกว่าๆ

บ่ายโมงครึ่งมาส่งแม่ที่ท่าข้าม วันนี้เขามีงานที่สนามข้างโรงแรมวังใต้ มีเดินขบวนอะไรกันมากมาย แม่จะเข้าเมืองมากับรถของเทศบาลหรืออำเภอนี่แหละ ส่งแม่เสร็จพาพ่อมาส่งที่ร้านหมอนวดตาบอด ที่ในเมือง พ่อนวดครั้งละสองชั่วโมง พอมีเวลาให้กลับมาเซนทรัล จัดการเรื่องทรู จนเสร็จเรียบร้อย

ยังมีเวลาเหลืออีกนิดหน่อย แวะไปสนามกีฬา ซื้อลูกชิ้นนั่งกินข้างๆสนามบอล วันนี้ทีมสุราษฎร์ธานี เอฟซี ลงเตะ แต่คนไม่มากนัก สี่โมงกลับออกมารับพ่อ ขับรถกลับทางในเมือง รถติดมากมาย อ้อมไปทางในลึก ออกทางวัดกลางใหม่ หนีรถติด แต่ก็ยังมีรถเยอะอยู่เหมือนกัน

พ่ออยากกินข้าวต้มปลา เลยจอดแวะร้านข้าวต้มปลาหน้าไดมอนด์ ยังไม่ขาย แม่ค้าบอกว่าขายหกโมงเย็น ขับผ่านบ้านไปตลาดท่าข้ามอีกครั้ง ได้ข้าวต้มปลามาคนละถุง แต่ยังไม่กิน

ยังรู้สึกง่วงนอน ยังเพลียๆจากการนอนเกือบเช้า หลับอีกรอบ ตื่นมาทุ่มกว่าๆ อยากกินอะไรหวานๆ ออกจากบ้านไปริมน้ำ กินขนมปังปิ้งกับชาเย็น

ในร้านมีคนเยอะพอสมควร มีเด็กๆ อายุประมาณ สี่ ห้าขวบ วิ่งเล่นไล่จับกัน พอให้ได้เป็นห่วงว่าจะตกน้ำ หันไปดูแม่เด็ก นั่งคุยกับเพื่อนอยู่อย่างสบายใจ ก็หมดห่วง ... แม่เขายังไม่ว่าอะไร แสดงว่าเด็กว่ายน้ำเป็น ตกน้ำไม่ไหลตกไฟไม่ไหม้ เราอย่าไปยุ่งเลยดีกว่า

นั่งกินชาเย็น นั่งดูรถไฟเข้าสถานี ขบวน 42 ขบวน 84 เข้ามาติดๆกัน ก็ว่าเดี๋ยวนี้รถไฟไม่ค่อยเสียเวลามากนัก รถดี ทางดี การโดยสารก็ดีตามไปด้วย

ขณะที่นั่งดูเด็กวิ่งเล่นไล่จับกันอย่างสนุกสนาน โต๊ะข้างๆ มีคนมาเพิ่ม หิ้วเบียร์ช้างมาหนึ่งขวด กับน้ำแข็งหนึ่งแก้ว นั่งกินเบียร์ในร้านน้ำชา แล้วคุยกันเสียงดังพอสมควร

ผมชอบบรรยากาศแบบนี้นะครับ มันคือชีวิตจริงๆของคนจริงๆ ที่เป็นธรรมชาติจริงๆ เหนื่อยจากงานก็ผ่อนคลาย ได้ระบายออกไปบ้าง กับการได้ดื่ม ได้คุย ถึงแม้ว่าจะหิ้วเบียร์มานั่งกินในร้านที่ขายกาแฟ น้ำชา ก็เถอะ

ผมนั่งแยกประสาทดูเด็ก ดูคน ดูรถไฟ หูก็ฟังโต๊ะนั้น โต๊ะนี้คุยกัน ไม่มีอะไรมากมาย นอกจากความอยากรู้เรื่องชาวบ้าน ของผมเอง ผมชอบจริงๆนะ มันเป็นชีวิตที่ดูจริงใจ ไม่ต้องเสริมเติมแต่งใดๆ

แม้จะต้องแลกมากับคำว่า "เสือกเรื่องชาวบ้าน" ก็เถอะ

ขณะที่กำลังได้อารมณ์ มีเสียงดังมาจากข้างๆ พี่ที่หิ้วเบียร์มากิน อ้วกลงในแม่น้ำข้างๆโต๊ะนี่เอง ด้วยสถานการณ์แบบนี้ ทำให้ผมรู้ได้ว่า ถึงเวลาที่ผมต้องไปแล้ว

ขณะที่ลุกขึ้นเดินออกมาจ่ายตังค์ มีวัยรุ่นสองคน ท่าทางดูจะไม่ใช่เด็กในตลาด มาจอดมอเตอร์ไซค์หน้าร้าน

"มาทำไหรตรงนี้" คนซ้อนท้ายถามคนขับ หลังจากจอดรถแล้วเดินเข้ามาในร้านสวนกับผมพอดี

"หากาแฟกินซักแก้ว"

"แค่บ้านก้ามี ด่อเอ๊ย พักต้องมาถึงนี้เหอ"

"อืม ... จริงของมึง กูก็ไม่น่าออกมาเลย" อันนี้ผมคิดในใจนะ ไม่ได้พูด กลัวเด็กมันตบแว่นปลิว จ่ายเงินเสร็จ ขับรถออกมา เครื่องกั้นลงพอดี ขบวน 170 กำลังเข้า วันนี้เสียเวลาเกือบยี่สิบนาที

คงจะโดนรอทางขบวนก่อนหน้า ขับรถวนไปตียิม เก็บเหรียญโปเกม่อน อีกนิดหน่อยก่อนเข้าบ้าน ไหนๆก็ออกมาแล้ว

กลับถึงบ้าน อิ่มจัด บวกกับนอนกลางวันมากไปนิด พอถึงเวลาจะนอน กลับนอนไม่หลับอีก ลุ้นผลบอลจนครบทุกคู่กว่าจะหลับก็ตีสอง ... คืนนี้ทำเวลาดีกว่าเมื่อวาน

สถานีฉวาง พ.ศ.2559

สถานีฉวาง พ.ศ.2559


เมื่อสามสิบปีที่แล้ว บริเวณที่มีรถยนต์จอดอยู่จะมีรถสามล้อถีบ มาจอดรอรับผู้โดยสารที่เดินทางมากับรถไฟ ถ้าจำไม่ผิดสามล้อถีบที่นี่จะเป็นแบบสามล้อพ่วงข้าง ไม่ได้เป็นแบบสามล้อที่นั่งด้านหลังเหมือนที่อื่นๆ ( อันนี้ไม่แน่ใจจริงๆ นานมากแล้ว ต้องหารูปถ่ายเก่ามาดูอีกที)

สมัยนั้นมีต้นไม้ใหญ่ๆอยู่เต็มด้านหน้าสถานี ร่มครึ้มไปหมด แต่ปัจจุบันเหลืออยู่เท่าที่เห็น เป็นต้นไม้เดิมที่ยังไม่ถูกโค่น สาเหตุน่าจะเป็นเพราะอยู่ในที่ดินของการรถไฟ

บริเวณที่ผมยืนถ่ายภาพ จะเป็นทางรถขึ้นไปขนส่งสินค้า ที่นี่จะมีทางหลีก สำหรับจอดตู้สินค้าจากฉวางไปยังที่ต่างๆ สินค้าของที่นี่จะเป็นพวกหมาก มะพร้าว และผลไม้อื่นๆบ้างแต่ไม่มากนัก

แม่ค้าหมาก มะพร้าว บางคนก็ไปจาก ตลาดท่าข้าม สุราษฎร์ธานี ที่จำได้ก็มี ยายกิมอ้อง นำของจากฉวางมาทางรถสิบล้อบ้าง ทางรถไฟบ้าง เพื่อมาขายที่สุราษฎร์ธานี

ปัจจุบัน ทางสำหรับรถสินค้าได้ยกเลิกไปแล้ว
ในภาพอาจจะมี ท้องฟ้า, ต้นไม้, สถานที่กลางแจ้ง และ ธรรมชาติ

บันทึกของเมื่อวาน 31 มีนาคม 2560

บันทึกของเมื่อวาน 31 มีนาคม 2560

ตื่นสายนิดหน่อย รอกินข้าวตอนเช้า จัดการเรื่องอาหารปลาหน้าบ้านเสร็จเรียบร้อย เข้าสวนไปเก็บงานตัดหญ้าด้านล่างในส่วนที่ปลูกมะพร้าวน้ำหอมไว้ มะพร้าวน้ำหอมที่ปลูกเมื่อสองปีที่แล้ว ปีนี้ต้นกำลังสวย

มีที่ต้องซ่อมอยู่ สองต้น มันไม่ได้ตายเพราะแล้ง แต่ตายเพราะลูกมะพร้าวต้นใหญ่หล่นลงมาใส่ ในวันที่เขามาซื้อมะพร้าว ลูกมะพร้าวหล่นมาตรงยอดพอดี ทำให้ยอดหัก ดูอาการแล้วไม่น่ารอด เลยคิดว่าปลูกต้นใหม่เลยดีกว่า

ตัดหญ้าแล้วกวาดเอาหญ้าใส่โคนต้น รดน้ำหมักชีวภาพ รอรับเดือนห้าหน้าแล้ง หญ้าแห้งที่อยู่โคนต้นเหล่านี้จะช่วยเก็บความชื้นไว้ ทำให้ต้นไม้ไม่เหี่ยวแห้งเวลาที่ฝนทิ้งช่วงยาวๆ

ช่วงบ่ายพ่อขึ้นมานั่งเล่นในสวนด้วย บอกว่าตอนเย็นจะไปแช่น้ำร้อนที่ท่าสะท้อน วันนี้เปลี่ยนแผนยังไม่ไปเซนทรัล ที่ยังค้างคากันเรื่องบิลเรียกเก็บของทรู วันนี้ขอพาพ่อไปบ่อน้ำร้อนก่อน

สี่โมงเย็น พาพ่อกับแม่ออกไปบ่อน้ำร้อน คนเยอะพอสมควร สถานที่กำลังปรับปรุง กำลังซ่อมแซมห้องน้ำ จะว่าไปแล้วบ่อน้ำร้อนท่าสะท้อน มีสภาพที่ดีกว่าอีกหลายๆที่ในประเทศไทยที่ผมเคยไปมา มีระบบการบริหารจัดการที่ดี มีการดูแล บำรุงรักษาอยู่ตลอดเวลา อันนี้ต้องชื่นชมผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย

เสร็จจากบ่อน้ำร้อน เริ่มจะหิว พาพ่อกับแม่ไปกินอาหารอีสานแถวๆท่าข้าม แม่บอกว่าพรุ่งนี้มีธุระตอนบ่ายโมงครึ่ง ให้มาส่งด้วย กินอิ่มแล้วกลับบ้าน แต่ยังไม่ทันถึงบ้าน พ่ออยากกินข้าวต้ม เลี้ยวกลับไปหน้าสถานีรถไฟซื้อข้าวต้มกระดูกหมูกลับบ้านมาอีกถุงนึง

ระหว่างรอข้าวต้มเห็นฟ้าสวยดี เลยเดินข้ามสะพานลอยไปถ่ายรูป เห็นรถไฟจอดกันเต็มย่าน ขบวนรถสินค้ายาวเหยียด ทั้งของไทยเบฟ ของทีพีไอ และคอนเทนเนอร์อีกมากมาย

ช่วงนี้รถไฟมีหัวรถจักรที่ปรับปรุงใหม่ วางเครื่องใหม่ออกมาหลายคัน รวมทั้งรถจักรใหม่ที่ได้มาก่อนหน้านี้ ทำให้มีรถจักรหมุนเวียนเพียงพอต่อความต้องการ เราจึงได้เห็นขบวนรถสินค้าวิ่งมากขึ้น รวมไปถึงรถโดยสารที่เสียเวลาน้อยลงมาก

กลับเข้าบ้าน เหลือรูปอีกนิดหน่อยที่ยังไม่ได้ลง ไม่รู้คิดอะไร เดินไปชงกาแฟมาอีกแก้วนึง กินไปพลาง ทำรูปไปพลาง จนเสร็จงาน แต่ตาค้างไม่ยอมหลับ

ดูเพจ ดูกลุ่ม ดูเฟซ ดูยูทูป จนไม่มีอะไรจะดูก็ยังไม่ง่วง ความรู้สึกสุดท้ายที่จำได้คือ โพสต์เฟซบุ๊คตอนตีสี่ แล้วหลับยาวไปจนเช้าเลย

ฉันเฝ้ามองเธอ

ฉันเฝ้ามองเธอมานาน เมื่อครั้งที่เธอยังเป็นเด็กสาว เธอฝันถึง ดอกไม้ ของขวัญ คำหวาน จากชายคนรัก เธอรู้สึกว่าเป็นสิ่งบกพร่องในชีวิต ถ้าเธอไม่มีคู่ ไม่มีคนรักเคียงข้าง

ไม่นาน เธอก็เจอชายในฝัน

เมื่อเดินทางผ่านวันเวลามาช่วงหนึ่ง เธอยังมีคนรัก เคียงข้าง แต่ไม่ใช่ชายคนเดิม เธอแยกทางกับเขาหลายปีแล้ว ทิ้งไว้เพียงเด็กน้อยคนหนึ่ง ที่เกิดมาจากคำว่ารักในวันนั้น อยู่เป็นกำลังใจให้เธอในวันนี้

เธอตื่นจากฝัน และพบว่าชีวิตจริงช่างโหดร้ายนัก

ฉันยังเดินทางต่อไปตามวิถีแห่งความฝัน ฉันยังเพ้อฝันของฉันไปเรื่อยๆ ด้วยสภาพร่างกายที่อ่อนล้าลงไปทุกที

ส่วนเธอสวยขึ้นทุกวัน เข้มแข็ง ดูแลตัวเอง แต่งตัวงาม และยังฝันถึงชายคนรัก ดอกไม้ ของขวัญ คำหวาน จากใครสักคน

เธอหลับตาฝัน ถึงเรื่องเดิมๆอีกครั้ง

รำพึงรำพันฝันเพ้อ

รำพึงรำพันฝันเพ้อ

ถ้าเรารู้จักใครสักคนแล้วจุดเทียนไว้หนึ่งเล่ม คนหนึ่งคนต่อเทียนหนึ่งเล่ม ยิ่งรู้จักคนมากขึ้นเท่าไหร่ เทียนก็จะมากขึ้นเท่านั้น เมื่อมีเทียนมาก แสงสว่างก็มาก ความอบอุ่นก็เพิ่มขึ้น จนเมื่อถึงจุดหนึ่งเราจะรู้เองว่า มันมากเกินไป เริ่มที่จะร้อน เริ่มที่จะแสบตากับความจ้าของแสงไฟ เริ่มที่จะไม่มีพื้นที่ให้วางเทียนลงได้อีก แต่เราก็ยังจุดเทียนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆไม่ยอมหยุด

เทียนแต่ละเล่มมีเปลวไฟของมันเอง เทียนแต่ละเล่มมีระยะเวลาของมันเช่นกัน เทียนบางเล่มดับไปเพราะไฟไหม้จนหมด บางเล่มดับเพราะลมพัด บางเล่มดับเพราะฝนตก มีน้ำหยดใส่ คนที่เรารู้จักจากเราไป เหมือนเทียนเหล่านั้น ด้วยความชรา อุบัติเหตุ โรคภัย ที่เราไม่มีทางรู้เลยว่า เทียนเล่มไหนจะดับก่อนกัน

คนที่เรารู้จักเป็นเหมือนเทียนที่เราจุดแล้ววางไว้ ถ้าเราวางมันชิดกัน เทียนที่วางใกล้กันเกินไป เทียนอยู่ชิดติดกันจะทำให้เปลวไฟรวมกัน ลุกขึ้นเป็นเปลวเพลิง ทำอันตรายแก่ตัวเราและทรัพย์สินของเรา ดังนั้นการคบใคร ต้องรู้จักการวางระยะ รักษาระยะห่าง วางตำแหน่ง เหมือนกับการวางเทียนเหล่านั้น

สังคมที่มีมากคน เทียนก็มากเล่ม เราจะจัดระเบียบอย่างไรไม่ให้เป็นอันตรายต่อตัวเรา เราจะจัดการอย่างไร ให้พอดีกับความต้องการของตัวเรา เราจะดูแลเทียนมากมายเหล่านั้นอย่างไรให้ทุกเล่มอยู่ได้ยืนยาวจนมอดดับไปเพราะหมดเชื้อ ไม่ดับไปเสียก่อนเวลาอันสมควร

ในความเป็นจริง เราดูแลเทียนทุกเล่มไม่ได้ เราเลือกดูแลได้แค่บางเล่มเท่านั้น จะมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับความต้องการและความพอดี ของแต่ละคน การหาร่มเพื่อกันฝน หาวัสดุป้องกันลม ดูแลไม่ให้เทียนล้ม ทำได้แค่ไม่กี่เล่มเท่านั้น

คนที่เรารู้จักก็เช่นกัน ในความเป็นจริง เราไม่สามารถดูแลคนได้ทุกคน เราเลือกดูแลได้แค่บางคนเท่านั้น เช่นบิดา มารดา บุตร ธิดา ญาติพี่น้อง และเพื่อนดีๆที่เป็นกัลยาณมิตรอีกไม่กี่คน

บุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลที่ควรแก่การบูชา ดูแล สงเคราะห์ตามคำสอนในมงคล ๓๘ ประการ ส่วนที่เหลือก็คงต้องวางลง ปล่อยให้เทียนดับไป ไม่จุดเพิ่ม ห่างเหิน เงียบหายกันไปตามกาลเวลา ปล่อยให้เวรและกรรมเป็นเครื่องนำทางกับพวกเขาเอง

"สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม"

บันทึกของเมื่อวาน 30 มีนาคม 2560

บันทึกของเมื่อวาน 30 มีนาคม 2560

ตื่นมาฟ้ามืดครึ้มเล็กน้อย ทำรูปฟุตบอลไปชุดนึง แล้วกินข้าวหมูทอด ก่อนจะเข้าสวน วันนี้จะลองดูว่าจะมีปัญหาอะไรอีกหรือเปล่า

ชวนพ่อเข้าไปด้วย ให้ช่วยเข้ามานั่งดูก็ยังดี วันนี้ไม่มีปัญหาอะไร ตัดรวดเดียวเสร็จ เป็นอันว่า แปลงนี้เสร็จเรียบร้อย แต่พอเดินดูทั้งสวนอีกที น้ำตาจะไหล ที่ตัดรอบแรกหญ้ายาวถึงหน้าแข้งอีกแล้ว

พรุ่งนี้ค่อยมาซ้ำอีกที จะได้เท่ากันทั้งแปลง คงเป็นเพราะฝนตกลงมา และทิ้งระยะห่างกันนานเกิน เก็บหมากลงมาตากทิ้งไว้ข้างบ้าน เดินดูกล้วย อาทิตย์หน้าคงจะพอตัดได้บ้าง

กลับลงมาอาบน้ำ ออกไปเซนทรัล ไปคุยกับทรู ที่ทำบิลเรียกเก็บมาเกินจากแพคเกจ แต่ก็ยังสรุปกันไม่ได้ ต้องกลับบ้านก่อน ฝนตกแต่ไม่หนัก พอให้ไม่ต้องทำอะไร

นั่งทำรูปไปเรื่อยๆ จนดึก แล้วเข้านอน ทำรูปไปพลางบ่นไปพลาง ถ่ายมาทำไมเยอะแยะ แต่ก็ถ่ายมาแล้ว เอาลงให้หมดนั่นแหละ รวมๆแล้วหลายร้อยรูป

นอนตอนเที่ยงคืนกว่าๆ ตั้งใจว่าพรุ่งนี้จะเข้าไปเก็บงานตัดหญ้าด้านล่างอีกนิดหน่อย พ่อนัดไปธุระตอนสี่โมงเย็น ต้องเข้าสวนเช้าๆ นอนดูยูทูป จนหลับไปตอนไหนก็ไม่รู้

บันทึกของเมื่อวาน 29 มีนาคม 2560

บันทึกของเมื่อวาน 29 มีนาคม 2560

ย้อนความจำกันสองวันเลย ทำรูปเยอะมากจนไม่ได้เขียนเก็บไว้ แต่ก็ยังดีได้ฝึกทบทวนความจำ ฝึกสมองไว้บ่อยๆ

ตื่นเช้าวันนี้ ฝนทำท่าจะตกแต่ก็ไม่ตก ตัดสินใจเข้าไปตัดหญ้าต่อ เหลืออีกไม่มาก แต่เข้าไปได้ไม่นาน น็อตที่ใบเครื่องตัดหญ้าหลุดมาขัดกับแกน ทำให้ใบไม่หมุน ต้องกลับออกมาตั้งแต่เที่ยง

เอาเครื่องไปร้านป็อกให้ช่วยถอดเปลี่ยนน็อตให้ พร้อมลับใบมีดมาด้วยเลย เสร็จจากร้านป็อกตั้งใจว่าจะไปบ้านดอน จะไปสนามกีฬา เดินออกกำลัง ฟักไข่ จับโปเกม่อนซักหน่อย

แวะกินก๋วยเตี๋ยวต้มยำทะเล พ่อส่งไลน์มาว่าถ้าเจอหมี่เกี๊ยวให้เอามาฝากด้วย เลยซื้อร้านนี้เอากลับบ้านก่อน จะได้เอาเครื่องตัดหญ้าลงไว้ที่บ้านด้วยเลยไม่ต้องติดท้ายรถเข้าเมือง

เสร็จธุระที่บ้าน ออกไปอีกครั้ง เปลี่ยนใจแวะไปตลาดหน้าศูนย์ เยี่ยมป้ากบกับพี่บุญฤทธิ์ก่อน นั่งคุยกันไป ได้แผงขายของมาแผงนึง เดือนหกหลังสงกรานต์ค่อยเข้าไปจัดการ เอาของมาขาย ส่วนจะขายอะไรก็ดูกันไปก่อน

ลาป้ากบออกมา ว่าจะไปสนามกีฬา ฝนตกหนักเปลี่ยนใจกลับบ้านเลยดีกว่า วันนี้ได้แผงขายของแล้ว ถือว่าประสบผลสำเร็จ ไม่ต้องทำอะไรแล้ว 555

กลับบ้าน จัดมาม่า รอบดึกไปหนึ่งชุด แล้วนอนพักผ่อน พรุ่งนี้จะตัดหญ้าให้เสร็จเสียที หวังว่าคงจะไม่มีปัญหาอะไรอีก ที่ตรงนี้เคยจะเข้ามาสามครั้งแล้ว ครั้งแรกเจองูเห่า ครั้งที่สอง แกนเครื่องตัดหญ้าหัก ครั้งที่สามน็อตด้านในแกนหมุนหลุด

พรุ่งนี้จะลองเข้ามาอีกที ยังไงก็ต้องตัดให้เสร็จ แต่ถ้ามีปัญหาอะไรอีกก็ค่อยว่ากันอีกที