วันพุธที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2553

สามก๊ก ตอน ปฐมเหตุแห่งสามก๊ก

สามก๊กในความทรงจำ ตอน ปฐมเหตุแห่งสามก๊ก

ในช่วงนี้ผมโดนท่านผู้บังคับบัญชาการส่วนตัว สั่งการให้เขียนเรื่องสามก๊กให้อ่าน โดยมีการขีดเส้นตายไว้ให้ในแต่ละตอน ทำให้ผมต้องรีบหาข้อมูลเรื่องสามก๊กอย่างเร่งด่วน เรียกได้ว่าเป็นวาระแห่งชาติกันเลยทีเดียว เมื่อมานั่งคิดๆๆๆๆว่าจะเขียนอะไรดี ก็มีความรู้สึกว่ามนุษย์เดินทางอย่างผมที่ทำงานไม่เป็นเวลาและไม่ค่อยที่จะว่างเหมือนชาวบ้านซักเท่าไหร่ ถ้าเขียนเรื่องสามก๊กแบบ เอาตรงโน้นมาทีเอาตรงนี้มาทีก็คงจะทำให้ตัวผมสับสนเองเป็นแน่ ไม่รู้ว่าตรงไหนเป็นตรงไหน เพราะอย่างที่ทราบกันแล้วว่า สามก๊กมันยาวขนาดไหน เรื่องราวลึกลับซับซ้อนยิ่งกว่า ขบวนการใดๆทั้งบนดิน ใต้ดินที่ก่อตัวอยู่ในประเทศเราตอนนี้ซะอีก

ดังนั้นผมก็ตัดสินใจว่าจะเขียนตั้งแต่เริ่มต้นกำเนิดสามก๊กไปเรื่อยๆ เหนื่อยตอนไหน หรือ ติดงานไม่ว่างตอนไหนก็จะได้กลับมาเขียนต่อได้โดยไม่ข้ามไปข้ามมา และท่านผู้บัญชาการส่วนตัวจะได้เข้าใจเรื่องราวของสามก๊กได้อย่างไม่สับสน เพราะถ้าท่าน ผบ.สับสนผมคงจะต้องเดือดร้อนในหลายๆเรื่องเป็นแน่แท้...

สามก๊ก ความหมายคือสามกลุ่ม สามหัวเมืองที่แยกกันมีอำนาจ ไม่ขึ้นแก่กัน แต่ก่อนที่แผ่นดินจีนจะแบ่งเป็นสามก๊กนั้นเคยเป็นปึกแผ่นเป็นจีนเดียว โดยราชวงศ์สุดท้ายในช่วงนั้น ก่อนที่จะเป็นสามก๊ก คือ ราชวงศ์ของ "พระเจ้าฮั่นโกโจ" โดยพระเจ้าฮั่นโกโจ และราชวงศ์ครองราชย์สืบต่อมา สิบสองพระองค์ ก่อนที่จะถูกขุนนางที่ชื่อ"อองมัง" ก่อการยึดอำนาจ ในสามก๊กฉบับที่ผมอ่านเขียนว่า อองมัง ก่อการขบถชิงราชสมบัติ แต่ในยุคปัจจุบัน ขบถ หรือกบฏ จะใช้กับผู้ที่กระทำการไม่สำเร็จมากกว่า ถ้าบังเอิญว่า ผู้ที่กระทำการดำเนินการไปได้อย่างเรียบร้อย ผมเห็นในบ้านเราใช้คำว่าคณะปฏิวัติ รัฐประหาร หรือ คณะต่างๆที่ใช้ตัวย่อ ลงท้ายด้วยตัว ช.ช้าง กันทั้งนั้น.. โดย ช.ช้าง นั้นจะเป็นอักษรย่อแทนคำว่า แห่งชาติ ซึ่งบางครั้งผมก็สับสนว่า "มันเพื่อชาติ จริงหรือเปล่าหว่า"

กลับมาที่สมัยราชวงศ์พระเจ้าฮั่นโกโจกันต่อครับ หลังจาก อองมัง ยึดอำนาจแล้วครองอำนาจสืบต่อมาได้ สิบแปดปี เชื้อสายของพระเจ้าฮั่นโกโจ โดยมีศักดิ์เป็น หลานของพระเจ้าฮั่นโกโจ ชื่อ "ฮั่นกองบู๊" ก็ชิงเอาแผ่นดินคืนมาได้ โดยจับเอาอองมังฆ่าทิ้งตามประเพณีที่ทำกันเป็นเรื่องปกติในสมัยนั้น ซึ่งการทำสงคราม ฆ่าฟันกัน เป็นเรื่องปกติ เมื่อมีการยึดอำนาจกลับคืนมาได้ และผู้ที่ยึดอำนาจกลับมา มีเชื้อสายของราชวงศ์เดิม ดังนั้นจึงเป็นการนับราชวงศ์ต่อไป เป็นราชวงศ์ พระเจ้าฮั่นโกโจเช่นเดิม

พระเจ้าฮั่นกองบู๊ ครองราชย์สืบต่อกันมาได้อีก สิบสองพระองค์จนมาถึงสมัยของ"พระเจ้าฮั่นเต้" แผ่นดินที่เคยร่มเย็นก็เริ่มมีเค้าลางของความวิบัติแตกแยก..สาเหตุคือ พระเจ้าฮั่นเต้ไม่มีราชบุตรที่จะสืบราชวงศ์ ดังนั้นพระองค์จึงทรงรับเอา "เลนเต้" มาเลี้ยง ซึ่งในหนังสือเล่มที่ผมอ่านก็ไม่ได้บอกว่า เลนเต้ เป็นใครมาจากไหนทำไมอยู่ดีๆถึงได้มีวาสนาใหญ่โตเช่นนั้น และเลนเต้ นี่เองที่เป็นต้นเหตุแห่งปัญหาทั้งปวง เมื่อ เลนเต้ขึ้นครองราชย์ ในนาม "พระเจ้าเลนเต้"

พระเจ้าเลนเต้ในขณะที่ครองราชย์นั้น เป็นกษัตริย์ที่ไม่อยู่ใน ทศพิธราชธรรม อันเป็นธรรมสิบประการของผู้ที่ครองบ้านเมือง ทำให้อาณาประชาราษฏร์ เดือดร้อนมากมาย เมื่ออ่านมาถึงตอนนี้ทำให้ผมรู้ว่า คนไทยในยุคนี้โชคดีมากมายขนาดไหนที่พวกเรามีพระมหากษัตริย์ที่ทรง ทศพิธราชธรรม ปกครองบ้านเมืองให้ พสกนิกรชาวไทยได้อยู่เย็นเป็นสุขภายใต้พระบารมีได้อย่างไม่มีสิ่งใดมาเสมอเหมือน ดังนั้นผมจึงภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่เกิดเป็นคนไทย และไม่เคยคิดจะไปอยู่ที่ไหน หรือเปลี่ยนไปใช้สัญชาติใดๆในโลกอย่างแน่นอนครับ

พระเจ้าเลนเต้ เมื่อไม่อยู่ในโบราณราชประเพณี ไม่ใส่ใจประชาชน ดังนั้นเหล่าขุนนางที่จะเข้ากับนายประเภทนี้ได้จึงต้องเป็นคนที่มีนิสัยใจคอที่เหมือนกัน คนดีๆไม่ได้โต เอาคนโง่มาเป็นใหญ่ เอาคนพาลมาปกครองคนดี ดังนั้นชาวบ้านชาวเมืองในสมัยนั้นคงจะลำบากกันน่าดู ในกลุ่มขุนนาง หรือ ขันที ที่อยู่ใกล้ชิดพระเจ้าเลนเต้นั้น มี "เทาเจียด" เป็นหัวหน้าขันที ซึ่งเจ้าเทาเจียดคนนี้เป็นที่โปรดปรานของพระเจ้าเลนเต้มาก จะทำอะไรก็น่ารักน่าเอ็นดูไปหมด ไม่มีอะไรผิดทั้งสิ้น ดังนั้น เทาเจียดจึงรวมหัวกับพวกขุนนางในสังกัด ขูดรีดชาวบ้าน ข่มเหงข้าราชการและขุนนางที่ไม่เข้าพวกกับเทาเจียดให้ได้รับความลำบากยากเข็ญเป็นอันมาก ใครจะโยกย้ายหรือเลื่อนตำแหน่งก็ต้องจ่ายเงิน ถ้าไม่จ่ายก็อย่าหวังว่าจะได้เลื่อนตำแหน่ง ไม่ว่าจะเก่งแค่ไหนหรืออายุราชการจะมากเพียงใด ถ้าไม่จ่ายใต้โต๊ะก็ทำได้แค่เพียงนั่งมองดูเด็กรุ่นหลังที่ไม่มีความสามารถแต่มีเงินเหยียบหัวขึ้นเป็นใหญ่แทน

ส่วนพวกที่ใช้เงินซื้อตำแหน่งเมื่อได้ตำแหน่งมาแล้วก็ทำการถอนทุน ด้วยการโกงงบประมาณ ขูดรีด ฮั้วประมูลทุกอย่าง เพื่อที่จะถอนทุนคืนและเก็บไว้เป็นทุนในการซื้อตำแหน่งที่ใหญ่ขึ้น บางคนก็สั่งให้ลูกน้องไปตั้งด่านลอย ตรวจจับความเร็วเกวียน ดูใบอนุญาติขี่ม้า สารพัดที่จะทำ ประชาชนหาเช้ากินค่ำหรือเด็กนักเรียนจะไปเรียนหนังสือ โดนพวกขุนนางเหล่านี้กลั่นแกล้งจับผิดไปทุกๆเรื่อง และสิ่งที่น่าแปลกและเป็นวัฒนธรรมตกทอดมาจนถึงยุคนี้ก็คือ จับกับตอนเช้าๆ เกวียนเยอะๆ ม้าเยอะๆ การจราจรคับคั่ง พอได้ยอดแล้วก็หายหัวกันหมด ถ้าอ้างว่าเพื่อความปลอดภัยของประชาชน แน่จริงก็ตั้งด่านมันทั้งวันทั้งคืนสิวะ เวลาฝนตกก็อย่าหลบไปนอน ... นอกเรื่องแล้วละครับ เอาเรื่องส่วนตัวมาปนซะแล้ว ไปที่สามก๊กกันต่อดีกว่า

ดังนั้นในเมืองหลวงจึงเกิดกลุ่ม คลื่นใต้น้ำในหมู่ขุนนาง ที่จ้องจะทำการปฏิวัติที่ไม่ถึงกับการล้มล้างสถาบันกษัตริย์ กล่าวคือ มีความคิดเพียงแค่จะล้มล้างอำนาจของเจ้าขันทีใหญ่ ที่ชื่อ เทาเจียด เท่านั้น ไม่ได้หวังถึงขั้นจะครองแผ่นดิน หนึ่งในกลุ่มขุนนางเหล่านั้น คือ กลุ่มที่มี "เตาบู" และ "ตันผวน" เป็นผู้นำ จึงดำเนินการปฏิวัติทันที แต่..ไม่สำเร็จ และโทษสถานเดียวของผู้ที่ปฏิวัติไม่สำเร็จคือ การประหารชีวิตทั้งคู่ และการปฏิวัติครั้งนั้น นอกจากจะไม่สำเร็จแล้ว ยังทำให้ เทาเจียดและพวก ระวังตัวมากขึ้น และกำเริบขึ้นมากกว่าเดิมเพราะคิดว่า คงจะไม่มีใครกล้ากระทำการเช่นนั้นอีกต่อไปอย่างแน่นอนเพราะได้ เชือดไก่ให้ลิงดู ไปแล้ว

เหตุการณ์ต่างๆดำเนินต่อมาจนถึงปีที่สิบสองของการครองราชย์ของพระเจ้าเลนเต้ ( สังเกตหลายครั้งแล้วว่า เหตุการณ์ต่างๆ ลงที่เลข สิบสองซะเป็นส่วนใหญ่ ) ก็เริ่มมีลางร้ายบอกเหตุ ต่างๆเกิดขึ้นในแผ่นดิน อาทิเช่น เกิดพายุใหญ่พัดกระหน่ำ แล้วบังเกิดมีงูเขียวใหญ่ ตกลงมาพันตรงเก้าอี้ ที่พระเจ้าเลนเต้ นั่งอยู่ พระเจ้าเลนเต้ ตกใจจนเป็นลม ขุนนางต่างๆต้องช่วยกันพยุงเข้าไปพักผ่อน ขุนนางบางคนเห็นงูใหญ่ก็ตกใจวิ่งหนี ซึ่งงูตัวนี้คงจะใหญ่มากถึงขนาดทำให้ ขุนนางตกใจวิ่งหนีได้ ตอนแรกๆที่อ่านผมเคยสงสัยว่าทำไมไม่เอา ดาบฆ่างูซะ วิ่งหนีกันทำไม แต่พอเริ่มอ่านหนังสือต่างๆมากขึ้น ก็เริ่มเข้าใจว่า เวลาเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน ไม่มีใครพกอาวุธกันหรอกครับ ต้องถูกเก็บไว้ในที่อันควรด้านนอก ก่อนที่จะเข้าเฝ้าทุกคนไม่มียกเว้น จากประเพณีข้างต้นก็ยังมีการสืบทอดกันมาจนกระทั่งทุกวันนี้ ตำรวจที่เฝ้าระวังรักษาการณ์ บนเส้นทางเสด็จ จะสวมถุงมือขาว ที่ผมเข้าใจเอาเองว่า ถุงมือสีขาวจะทำให้มองเห็นได้ชัดว่าจะไม่มีสิ่งใดอยู่ในมือ และตำรวจเหล่านั้น ห้ามพกปืนโดยเด็ดขาด

เมื่องูเขียวใหญ่ตัวนั้นออกมาสร้างความตื่นตระหนกในราชสำนักจนพอใจแล้วงูตัวนั้นก็หายไปเฉยๆ แต่เมื่องูหายไปก็เกิดพายุใหญ่โหมกระหน่ำ เกิดลูกเห็บถล่มเมือง บ้านเรือนประชาชนเสียหายเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นที่กล่าวขวัญกันในหมู่ชนทั้งหลายเป็นอันมาก และกว่าจะใช้งบประมาณเยียวยาสภาพจิตใจประชาชนได้ก็ใช้เวลานานมากพอดูเลยทีเดียว

พระเจ้าเลนเต้ มีราชบุตร สององค์ด้วยกัน ชื่อ "หองจูเหียบ" กับ "หองจูเปียน" ซึ่งเราจะข้ามเรื่องราวของสององค์นี้ไปก่อน เพราะยังไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องราวตอนนี้ แต่จะมีบทบาทพอสมควรในตอนที่สิ้นพระเจ้าเลนเต้แล้ว ซึ่งถ้าไม่มีเหตุการณ์ใดๆที่คาดไม่ถึงเกิดขึ้น เป็นต้นว่า หิมะตก หรือ สึนามิถล่มที่บ้านผม ทำให้ผมไม่สามารถเขียนต่อได้แล้วนั้น ผมคงจะได้กล่าวถึง ราชบุตรทั้งสององค์ของพระเจ้าเลนเต้อย่างแน่นอนครับ

มาว่ากันต่อครับ หลังจากเหตุการณ์งูเขียวใหญ่ถล่มวังหลวงผ่านไปได้สี่ปี ( พ.ศ. ๗๒๖ ) ในเดือนยี่ปีนั้น ที่เมืองลกเอี๋ยง เกิดแผ่นดินไหว น้ำทะเลใหญ่เกิดท่วมบ้านเรือนราษฏร บ้านเรือนที่อยู่ริมฝั่งถล่มทลายไปเป็นจำนวนมาก ไก่ตัวเมียกลายเป็นไก่ตัวผู้ เหตุการณ์นี้คงจะเป็น สึนามิ ที่บ้านเราเคยเจอ แต่ที่ผมติดใจนิดนึงคือ ที่บ้านเราเกิดตอน 26 ธันวาคม 2547 น่าจะเป็นเดือนยี่ เช่นกันครับ ส่วนไก่ตัวเมียเป็นไก่ตัวผู้นี้ในหนังสือไม่ได้บอกว่าเป็นทั้งหมดหรือ แค่ตัวเดียว แต่สรุปว่าเกิดอาเภทขึ้นในบ้านเมืองทำให้ราษฏรเดือดร้อนเป็นอันมาก

ผ่านเดือนยี่ ย่างเข้าเดือนหก ฝนก็ตกพรำๆ กบมันก็ร้องงำงัมระงมไปทั่วท้องนา..ไม่ใช่สิ เดือนหกขึ้นหนึ่งค่ำปีนั้น เกิดไฟไหม้พระที่นั่งอุนต๊กเตี้ยน ซึ่งคงจะเป็นพระที่นั่งในพระราชวัง พอผ่านเดือนหก ขึ้นเดือนเจ็ด เกิดรัศมีของสายรุ้งลงในพระราชวัง ซึ่งเรื่องสายรุ้งนี้ผมเองก็ไม่ทราบว่าเป็นลางร้ายแบบไหน แต่เหตุที่เห็นได้ชัดคือ ภูเขารันซัว ถล่ม ในหนังสือบอกว่าเป็นภูเขาสูงใหญ่ และเมื่อภูเขาสูงใหญ่ถล่ม ก็คงจะมีชาวบ้านเดือดร้อนมากอีกเช่นกัน เมื่อเกิดเหตุร้ายมากมายเกิดขึ้นติดต่อกันเช่นนั้น พระเจ้าเลนเต้ก็เริ่มเกิดความวิตกกังวล เรียกประชุมขุนนางต่างๆเพื่อสอบถามว่า เหตุพวกนี้ เป็นลางร้ายมากมายขนาดไหน และเกิดขึ้นเพราะอะไร กลุ่มขุนนางชั่วก็บอกว่า เป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรมากมายส่วนพวกตามน้ำก็เฉยๆว่าไงว่าตามกันมิกล้าทักท้วง แต่ก็มี ขุนนางที่ไม่เห็นด้วยกับแก๊งค์เทาเจียด ที่ชื่อ "ยีหลง" ทำหนังสือลับ กราบทูล พระเจ้าเลนเต้ว่า เหตุทั้งปวงเกิดจากขันทีทั้งปวงกระทำล่วงพระราชอาญา ทำให้เทพเทวาบันดาลให้นิมิตรเหล่านี้ได้บังเกิด

พระเจ้าเลนเต้ก็ช่างกระไร..เมื่ออ่านหนังสือลับฉบับนั้นแล้วมิได้ตรัสสิ่งใด ลุกขึ้นเดินออกไปผลัดเปลี่ยนเครื่องทรงด้านใหม่ โดยที่ทิ้งหนังสือไว้ตรงนั้นโดยมิได้เก็บไว้ให้มิดชิดแต่อย่างใด ดังนั้นเทาเจียด ที่เป็นขันทีและขุนนางใกล้ชิด เลยได้เห็นหนังสือฉบับนั้นด้วย และแน่นอนครับว่า อนาคตราชการของ ยีหลง ต้องดับวูบลงไปในทันที ยีหลงถูกใส่ความโยนความผิดให้ออกจากราชการ แต่จะตายหรือไม่นั้นในเรื่องไม่ได้กล่าวถึง เดาเอาว่า ถ้ายีหลงไม่ถูกยึดทรัพย์แล้วไล่ออกไปอยู่นอกเมือง ก็คงจะถูกกองกำลังลับ ลอบสังหารด้วย "สไนเปอร์" เป็นแน่แท้

ฝ่ายเทาเจียด หลังจากกำเริบมานานโดยที่คิดว่าคงจะไม่มีใครกล้าต่อต้านก็รู้ตัวว่า ตนเองยังไม่สามารถยึดอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด และงานใหญ่อันนี้คงจะทำกันแค่คนไม่กี่คนไม่ได้อีกแล้ว ก็เลยรวบรวมสมัครพรรคพวก อีก เก้า คนรวมเป็น สิบคน ส่วนจะมีชื่ออะไรบ้างนั้นก็คงจะขอข้ามไปก่อนเพราะเดี๋ยวจะมีตัวละครมากมายจนท่าน ผบ.สับสน เอาเป็นว่ามีเทาเจียดเป็นผู้นำ และอีกคนนึงที่มีอิทธิพลต่อพระเจ้าเลนเต้มาก มากถึงขนาดที่พระเจ้าเลนเต้ยกให้เป็นบิดาเลี้ยง (ตามในหนังสือ)เลยทีเดียว ท่านผู้นั้นมีชื่อว่า "เตียวเหยียง" ไม่ว่าเตียวเหยียงจะบอกเรื่องใด พระเจ้าเลนเต้ไม่เคยขัด ด้วยความเกรงใจในขุนนางผู้นี้ ดังนั้น แก๊งค์ สิบขันทีจึงมีอำนาจเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก มีชื่อเป็นทางการว่า "สิบเสียงสี"

คณะสิบเสียงสี ที่ทำการยึดอำนาจเงียบได้อย่างเด็ดขาดนั้น ก็เริ่มรีดไถราษฏร ทำให้ชาวบ้านเดือดร้อนมาก ขุนนางผู้ใดไม่เข้าด้วยกับพวกตนก็กลั่นแกล้งต่างๆนานา ให้ออกบ้าง ย้ายบ้าง ทำให้แผ่นดินร้อนรุ่ม ด้านหัวเมืองต่างๆก็เริ่มอดอยาก เริ่มมีโจรก๊กต่างๆออกปล้นชิง การปกครองเริ่มอ่อนแอ หรือที่เรียกว่า Failed State อย่างที่หลายๆคนอยากให้เกิดขึ้นในบ้านเรานั่นละครับ เมื่ออ่านสามก๊กมาถึงตอนนี้แล้ว ก็คิดว่า บ้านเราเมืองเรายังดีกว่านี้มากมายนัก ถึงแม้ว่าบางช่วงบางตอนเหตุการณ์ในบ้านเราจะพาไปจนเกือบถึงขั้น Failed State ก็เถอะ แต่ถึงยังไงแผ่นดินไทยก็ยังมีคนดีมีฝีมือที่จะมากอบกู้สถานการณ์ให้กลับคืนมาได้เสมอ แต่ถ้าเราไม่ช่วยกันต่อต้านกลุ่มคนที่โกงกิน นักการเมืองที่เห็นแต่ผลประโยชน์ของตัวเองแล้วคงอีกไม่นานหรอกครับ บ้านเมืองเราก็คงจะเกิดเหตุการณ์เช่นเดียวกันกับในยุคสมัยพระเจ้าเลนเต้อย่างแน่นอน

วันนี้ปฐมบทแห่งสามก๊ก ก็ขอจบไว้เพียงแค่นี้ก่อนนะครับ ตอนต่อไปผมจะมาเล่าถึงเรื่องราวของหัวเมืองรอบนอกให้อ่านกัน ว่าในขณะที่เมืองหลวงเกิดการโกงกินกันอย่างมากมายนั้น ที่หัวเมืองด้านนอกเกิดอะไรขึ้นบ้าง

นภดล 26/5/2553

วันอังคารที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2553

บทความเก่าๆ - ฝัน

ฝัน

วันที่ 18 มิถุนายน 2549

ใครไม่เคยมีความฝันบ้างครับ ถามโง่ๆมีใครหลายๆคนกำลังคิดแบบนั้นใช่มั้ยครับ ที่ผมถามแบบนี้ก็คือว่าผมกำลังสงสัยตัวเองอยู่ว่าตอนนี้ผมฝันไปหรือเปล่า และถ้าผมกำลังฝันสิ่งที่เป็นอยู่ในตอนนี้ เรียกว่าฝันดีหรือฝันร้ายกันแน่ ทุกคนอยากนอนหลับแล้วฝันดีกันทั้งนั้นคงไม่มีใครอยากฝันร้ายใช่มั้ยครับ แต่ภาวะของผมในขณะนี้ถ้าเลือกได้ขอนอนให้หลับสนิทอย่าฝันอะไรเลยดีกว่าครับ พูดถึงเรื่องความฝันนี่มันก็มีหลายแบบ ผมเคยถามหลานชายว่าเคยฝันบ้างมั้ย มันบอกผมว่าเคยครับ ผมฝันว่าเป็นอุลตร้าแมน! ผมเลยสงสัยว่าที่จริงแล้วความฝันเป็นสิ่งที่เราสามารถกำหนดได้เองหรือเปล่า อย่างที่คนโบราณเคยบอกว่้าก่อนนอนให้สวดมนต์ไหว้พระซะนะจะได้นอนฝันดี แสดงว่าคนโบราณอาจจะเข้าใจกลไกทางจิตได้ดีกว่าคนในปัจจุบันก็ได้ครับ

ที่ผมสงสัยอีกอย่างก็คือถ้าความฝันเกิดจากความทรงจำในช่วงก่อนนอนมาปรุงแต่งให้เกิดเป็นเรื่องเป็นราวในขณะที่เรานอนหลับทำไมบางครั้งเราถึงจำความฝันตัวเองไม่ได้ แต่พอมีเวลานั่งคิดดูก็พอจะเข้าใจได้ว่า คนเราบางคนแม้แต่คำพูดตัวเองที่ทำในขณะที่ยังไม่หลับสติครบถ้วนบางคนยังจำไม่ได้เลยครับ นับประสาอะไรกับเวลานอน คนบางคนมีสมองไว้คอยหาทางเอาเปรียบ มีเวลาไว้สะสมความเห็นแก่ตัว คนประเภทนี้เพื่อนๆคิดว่าเวลานอนเค้าจะฝันดีหรือฝันร้ายครับ ไว้ตอนสุดท้ายจะบอกนะครับ

จริงๆแล้วที่เริ่มต้นเรื่องความฝันก็้เพราะว่าผมได้มีโอกาสไปดู คอนเสริตในฝัน อัศจรรย์แห่งรัก ของชรินทร์ นันทนาคร ใช่ครับ ชรินทร์ นันทนาครศิลปินแห่งชาติคนนึงครับ หลายๆคนอาจจะหัวเราะว่าทำไมล้าสมัยจังเลย ไปดูทำไม ผมอยากจะบอกว่าผมเป็นคนที่ฟังเพลงทุกแนวครับแล้วที่ไปดูนี่ก็ซื้อบัตรนะครับไม่ได้ชมฟรี 429 บาทรวมอาหารบุฟเฟ่ ผมนั่งฟังเพลงของน้าชรินทร์แล้วมีความรู้สึกเหมือนกับฝันไปจริงๆ เสียงร้องที่เหมือนเดิมมีความเป็นกันเองเวลาที่แฟนเพลงของเพลงอะไรไม่เคยขัดแม้ว่าจะเป็นเพลงนานมากๆจำเนื้อร้องไม่ได้ น้าแกยังกลับไปที่ห้องพักเอาเนื้อเพลงมาเปิดเพื่อร้องให้มิตรรักแฟนเพลงได้ฟังกัน บรรยากาศแบบนี้หาไม่ได้หรอกครับกับพวกที่เรียกตัวเองว่้าศิลปินแต่จริงๆแล้วเป็นได้แค่เห็บที่เกาะวงการเพลงเท่านั้นเอง

พูดถึงเรื่องความฝันกันต่อ ผมเคยฝันที่จะทำอะไรๆเพื่อคนทุกคน อยากให้สิ่งดีๆกับคนรอบข้างแต่สารภาพตามตรงครับว่าผมฝันสลายไปแล้วครับ เราไม่สามารถทำดีได้กับคนทุกคน พระพุทธเจ้าสอนว่า สัตว์โลกไม่สามารถสอนได้ทุกประเภท ดังนั้นผู้ที่จะบวชในพุทธศาสนาได้จึงต้องเป็นมนุษย์เท่านั้น พระพุทธองค์จึงเปรียบคนเป็นบัวสี่เหล่า ซึ่งถ้าศึกษากันดูก็จะรู้ว่าทุกสิ่งที่พระองค์ทรงสั่งสอนไว้เป็นจริงทั้งหมดครับ เพื่อนๆลองหามงคล 38 มาอ่านดูสิครับจะเข้าใจอะไรได้มากเลยครับ เวลาพระสวดชัยมงคลคาถา จริงๆแล้วคือการสอนให้เราปฏิบัติในสิ่งที่เป็นมงคลต่างๆ เริ่มจาก อะเสวนา จะ พาลานัง เป็นข้อแรก เราก็เริ่มปฎิบัติจากข้อแรกไปจนถึงข้อสุดท้ายรับรองว่าเห็นผลอย่างแน่นอน แต่สำหรับผมแล้วเลือกมาแค่ สอง สามข้อจากสามสิบแปดข้อครับ คือ อะเสวนา จะพาลานัง ไม่ยุ่งเกี่ยวกับคนพาล คำว่าพาลนี่ไม่ใช่พวกนักเลงนะครับ สำหรับผมหมายถึงพวกเห็นแก่ได้ เอารัดเอาเปรียบเกิดมาแย่งอากาศชาวโลกหายใจพวกนี้ผมเลิกยุ่งเลยครับ ปูชาจะปูชะนียานัง บูชาบุคคลที่ควรบูชา ผมเลือกที่จะนับถึอคนที่ความดีครับไม่ใช่ที่ตำแหน่ง ถึงคุณจะยิ่งใหญ่มาจากไหนมีตำแหน่งใหญ่โตยังไง ถ้าคุณไม่ดีคุณก็ไม่มีความหมายสำหรับผมหรอกครับ นี่คือ สอง สามข้อที่ผมยึดถืออยู่ประจำครับ

เฉลยก่อนดีกว่าพวกที่มีสมองไว้คอยเอาเปรียบนี่จะไม่ฝันอะไรครับเวลานอน เพราะเค้ากลัวว่าจะขาดทุน เวลานอนเวลาพักผ่อนต้องเต็มที่ถ้ามัวเอาเวลาไปฝันอยู่ก็ขาดทุนสิครับ ตอนไม่นอนคิดแต่จะเอาเปรียบชาวบ้าน เวลานอนก็กลัวว่าตัวเองจะเอาเปรียบตัวเองเลยไม่ยอมที่ฝันอะไรครับ อย่าคิดว่าไม่มีนะครับคนแบบนี้บางครั้งเค้าอาจอยู่ใกล้ๆตัวคุณก็ได้ ใครจะไปรู้

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่

ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ คำนี้เราคงเคยได้ยินกันมามากมายหลายครั้งในชีวิต ไม่รู้เหมือนกันว่าใครเป็นคนพูดคนแรก และความหมายในครั้งแรกมันคืออะไร อาจจะแค่ห้ามปรามคนที่คึกคะนอง ไม่เชื่อในสิ่งที่คนทั่วไปเชื่อ ไม่กราบไหว้ในสิ่งที่คนทั่วไปกราบไหว้กันถ้าลบหลู่สิ่งเหล่านั้นแล้วชีวิตจะตกต่ำ เจ็บตัวหรืออาจจะถึงตายได้ ดังนั้นในยุคนี้จึงมีคนพูดประโยคนี้กันมากเหลือเกิน มากจนผมเริ่มสงสัยว่า ทำไมถึงลบหลู่ไม่ได้ ถ้าของสิ่งนั้นมันไม่มีจริง

ผมเป็นคนที่ชอบค้นหาความรู้ในสิ่งที่สงสัยด้วยตัวเอง จะไม่ค่อยเชื่อะไรที่ไม่ได้เห็นหรือพบเจอมาด้วยตนเอง ยิ่งช่วงหลังๆที่ผมได้มีโอกาสอ่านหนังสือธรรมะมากขึ้น ได้พบปะพูดคุยกับคนที่มีความรู้เกี่ยวกับพุทธศาสนามากขึ้น ทำให้ผมเริ่มที่จะ ลบหลู่ ในบางสิ่งบางอย่างที่ผมไม่เชื่อ สิ่งที่ผมไม่เชื่อนั้นก็คือ สิ่งที่ขัดกับความเป็นพุทธแท้ คำว่าพุทธแท้นั้น คือพุทธที่ยึดเอาหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าเป็นที่ตั้ง ปฏิบัติตามหลักของพระธรรมวินัย ตามแบบอย่างที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ ไม่เอาแบบอย่างหรือสิ่งใดๆมาปะปนหรือทำให้เบี่ยงเบนไปเพื่อแสวงหาสิ่งที่ไม่มีความจำเป็นสำหรับผู้ที่เรียกตนเองว่าพระสงฆ์

ก่อนหน้านี้หลายปีผมเป็นคนที่ชอบสะสมพระเครื่องมากๆ เกจิอาจารย์ดีที่ไหนต้องดิ้นรนไปกราบจนถึงที่ สะสมวัตถุมงคลไว้มากมายเป็นพันๆชิ้น พระบูชา ที่มีอยู่ใช้โต๊ะหมู่บูชา สองชุดใหญ่รวมทั้งโต๊ะตัวใหญ่อีกสองตัวก็ยังตั้งไม่หมด แต่เมื่อผมเริ่มได้อ่านงานเขียนและฟังคำสอนของท่านพุทธทาสแล้ว ผมก็เริ่มปล่อยวาง ปลดวัตถุมงคลออกจากตัว จนตอนนี้ผมไม่มีวัตถุมงคลติดตัวมาปีกว่าๆแล้วครับ ข้อดีมองเห็นได้ชัดในการไม่มีสร้อยหรือตะกรุดคาดเอวของผมก็คือ ในเวลาที่ผมเดินทางไปทำงานในต่างจังหวัด นอนพักที่โรงแรม เวลาตอนเช้าที่จะต้องออกเดินทาง ผมไม่ต้องกลัวว่าจะลืมสร้อยลืมพระ หรือลืมกระเป๋าวัตถุมงคลเลยครับ สบายใจกว่ามาก ไม่มีความกังวลใดๆ ออกไปทำงานมีความสุข ไม่เหมือนครั้งหนึ่งที่ผมใคยลืมสร้อยพระไว้ในห้องที่โรงแรม สร้อยราคาไม่เท่าไหร่ หรอกครับ แต่พระราคาหลักหมื่นอยู่เหมือนกัน วันนั้นกว่าผมจะนึกได้ก็ออกเดินทางมาหลายกิโลแล้ว ช่วงเวลาที่ขับรถกลับไปที่โรงแรมนั้นช่างเป็นเวลาที่ ทรมานและยาวนานเหลือเกิน เหมือนตกนรกทั้งเป็นเลยครับ แต่โชคดีที่ยังได้กลับคืนมาครบถ้วน

ที่เล่ามานั้นผมไม่ได้บอกว่าวัตถุมงคลไม่ดีนะครับ วัตถุมงคลเป็นสิ่งที่เหนี่ยวนำจิตใจให้คนอยู่กับความดี กลัวการทำชั่ว ระลึกถึงคุณพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ วัตถุมงคลจึงมีส่วนดีมากกว่าไม่ดีครับ แต่ที่ผมจะกล่าวต่อไปนี้ ผมหมายถึงสิ่งที่ไม่รู้ว่ามันเป็นมงคลหรือเปล่า แต่เรามาเรียกว่าวัตถุมงคลกัน ก็สิ่งของจำพวกที่โฆษณากันว่าใช้ทำเสน่ห์ เช่นน้ำมันนู่น น้ำมันนี่ พราย โพรง ต่างๆ ที่สรรหากันมาบูชากัน โดยฟังสรรพคุณจากคนขาย ที่ไม่รู้ว่าเป็นพระหรือโจร แล้วเชื่อเป็นตุเป็นตะว่า น้ำมันเหล่านี้จะทำให้ตนเองเป็นที่รักของคนอื่นๆ

ผมเคยนั่งฟังพระรูปหนึ่งเทศนา แต่ผมเองก็จำไม่ได้ว่าท่านอยู่ที่วัดไหน ท่านกล่าวว่า "แปลกนะโยม ไอ้พวกของแบบนี้มันได้ผลกับคนที่คล้ายๆกัน" กล่าวคือ คนหน้าตาแบบไหนก็มักจะโดนทำเสน่ห์จากคนหน้าตาแบบนั้น "อาตมาเห็นคนที่โดนของ กับคนที่ทำของส่วนใหญ่ หน้าตาพอๆกันทั้งนั้น" "แหม อุตสาห์ได้ของดีมาจะทำเสน่ห์ทั้งที ทำไมไม่ไปดีดใส่พวกดาราหรือนางงามกัน มาดีดใส่คนหน้าตาคล้ายๆกันแบบนี้ไม่รู้ น้ำมันมันดีหรือคนที่โดนก็รออยู่แล้ว มันถึงได้ผล"

แต่พระรูปนี้ก็ยืนยันว่าการทำของเหล่านี้ มีอยู่จริง และผมเองก็เชื่อว่ามีอยู่จริง แต่นั่นไม่ใช่แนวทางของพุทธศาสนาครับ อีกอย่างของแบบนี้ ตอนนี้ร้อยละเก้าสิบเก้า โกหกทั้งนั้น เสียเงินไปมากมายได้น้ำอะไรมาก็ไม่รู้ ดีไม่ดี น้ำหมักป้าเช็ง ยังมีประโยชน์มากกว่าเสียอีก และสิ่งที่เหมือนๆกันของกลุ่มคนที่ทำมาหากินในรูปแบบนี้ นั่นก็คือ การโฆษณาครับ บอกเล่าสรรพคุณต่างๆ ถ้าเป็นวัตถุมงคลก็ ใช้ค้าขายดี ยิงฟันไม่เข้า สารพัดจะยกมาอ้าง เวลามีใครทำท่าจะไม่เชื่อก็ บอกว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่นะ ดังนั้นคำว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่จึงเป็นคำขู่ที่ได้ผลกับคนที่ไม่รู้จักพุทธศาสนาอย่างแท้จริง

ใครบอกว่าฉันไม่รู้จักพุทธศาสนา ฉันนับถือพุทธศาสนามาตั้งแต่เกิด ส่วนใหญ่จะพูดแบบนี้ แต่ในความเป็นจริงแล้ว ถ้าเราศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจัง เสาะหาให้เข้าถึงพุทธแท้ โดยมองว่า วัตถุมงคลเหล่านี้เป็นเปลือก แล้วเราค่อยๆลอกเปลือกออกไม่นานเราก็จะเห็นแก่นแท้ของพุทธศาสนา แก่นแท้ที่ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องลางใดๆ ไม่ต้องทำบุญมากๆ ไม่ต้องทำบัตรผ่อนบุญ ก็สามารถมีความสุขได้อย่างเหลือคณานับ

อย่างพวกร่างทรงต่างๆ เจ้าพ่อนั่นเจ้าพ่อนี่ ร้อยละเก้าสิบเก้าเช่นกันครับที่แหกตา เจ้าพ่อ บ้าอะไรนั่งกินเหล้าขาวกับไก่ต้มที่คนเอามาเซ่น นั่นมันผีชัดๆแล้วดูร่างทรงมหาเทพแต่ละท่านสิครับ ชีวิตส่วนตัวน่ากราบไหว้หรือเปล่า เมาเหล้า เมายา บ้าผู้หญิง คนแบบนี้หรือ ที่มหาเทพจะมาแฝงร่าง ถ้ามาจริงก็ดูจะกระไรอยู่ คนไทย หก เจ็ด สิบล้าน มีปัญญาหาร่างทรงได้แค่นี้แล้วจะเป็นเทพได้อย่างไร

ถ้าเราเชื่อในสิ่งที่สมควรเชื่อ อย่าให้ความเชื่อมาอยู่เหนือความจริงแล้วละก็ เหตุการณ์บ้านเมืองที่วุ่นวายอยู่ในทุกวันนี้ก็จะคลี่คลายไปในเร็ววัน คำกล่าวที่ว่า เรียนมัธยมจะเชื่อครู เรียนปริญญาตรีจะเชื่อเพื่อน เรียนปริญญาโทจะเชื่อตำรา ส่วนเวลาเรียนด็อกเตอร์จะเชื่อหมอดูนั้น ดูจะไม่เกินความจริงเลยครับกับสังคมในทุกวันนี้

ดังนั้นถ้าเรามาศึกษาคำสอนในพุทธศาสนาที่ว่าด้วยความเชื่อกันแล้วนั้น จะเห็นว่ามีพระสูตรที่โดดเด่นอยู่บทหนึ่งนั่นคือ กาลามสูตร โดยกาลามสูตร แปลว่า พระสูตรที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงแก่ชาวกาลามะ หมู่บ้านเกสปุตติยนิคม แคว้นโกศล เรียกว่า เกสปุตตสูตร ก็มีกาลามสูตรเป็นหลักแห่งความเชื่อ ไม่ให้เชื่องมงายโดยไม่ใช้ปัญญาพิจารณาให้เห็นจริงถึงคุณโทษหรือดีไม่ดีก่อนเชื่อ
มี ๑๐ ประการคือ

๑. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ฟังๆ กันมา
๒. อย่าเพิ่งเชื่อตามที่ทำต่อๆ กันมา
๓. อย่าเพิ่งเชื่อตามคำเล่าลือ
๔. อย่าเพิ่งเชื่อโดยอ้างตำรา
๕. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกเดา
๖. อย่าเพิ่งเชื่อโดยคาดคะเนเอา
๗. อย่าเพิ่งเชื่อโดยนึกคิดตามแนวเหตุผล
๘. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะถูกกับทฤษฎีของตน
๙. อย่าเพิ่งเชื่อเพราะมีรูปลักษณ์ที่ควรเชื่อได้
๑๐.อย่าเพิ่งเชื่อเพราะผู้พูดเป็นครูบาอาจารย์ของตน

เมื่อใด ท่านทั้งหลายพึงรู้ด้วยตนเองว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ใครสมาทานให้บริบูรณ์แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุข เมื่อนั้น ท่านทั้งหลายควรเข้าถึงธรรมเหล่านั้นอยู่ มาจาก เกสปุตตสูตร อังคุตตรนิกาย พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๐

จะเห็นได้ว่ากาลามสูตร บอกสอนให้เรามีสติในทุกๆเรื่องที่จะปักใจเชื่อลงไป การที่จะเชื่อสิ่งใดก็ตามถ้ายึดหลักสิบข้อนี้ไว้ รับรองได้ว่ามีแต่ความสุขความเจริญ ไม่มีใครจะมาชักจูงให้ออกนอกลู่นอกทางได้แน่นอน จะไม่มีคนไปปิดถนน เผาบ้านเผาเมือง ยึดทำเนียบ ปิดสนามบิน ค้นโรงพยาบาลแน่นอน รวมทั้งไม่ต้องเสียเงินเสียทองที่หามาด้วยความยากลำบาก ไม่ต้องเอาของมีค่าไปประเคนให้คนห่มเหลืองที่พูดเก่งๆ เรี่ยไรจัดๆ ไม่ต้องไปผ่อนส่งบุญ ไม่ต้องโดนตราหน้าว่าโง่ ในเวลาที่ความจริงเปิดเผย

สิ่งต่างๆเหล่านี้ไม่ได้เป็นเรื่องราวหรือคำสอนที่สลับซับซ้อนใดๆเลย อ่านแล้วสามารถเข้าใจได้ง่ายๆ เป็นความมหัศจรรย์ของพุทธศาสนาอย่างแท้จริงเป็นคำสอนที่ใช้ได้ในทุกกาลเวลาและกับคนทุกชนชั้น ในเมื่อเราบอกกันว่าเป็นพุทธศาสนิกชนแล้วนั้น เราลองมาปฏิบัติตนให้เป็นพุทธที่แท้จริงกันดีกว่าครับ แล้วก็แสดงความลบหลู่ออกไปให้คนที่มาอาศัยพุทธศาสนาหากินได้เห็นด้วย อย่าไปกลัวกับคำขู่ต่างๆเหล่านั้น บอกพวกนั้นไปตรงๆเลยครับว่า "ต่อไปนี้ นอกจากฉันจะไม่เชื่อพวกแกแล้วฉันจะลบหลู่แกด้วย"

ขอความสุขความเจริญจงมีแด่ทุกท่านครับ

นภดล

วันจันทร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เห็นหมีหนูมั๊ย

เห็นหมีหนูมั๊ย

สารภาพว่าไม่เคยฟังเพลงนี้มาก่อนเลยในชีวิต แต่ที่อุตสาห์ดิ้นรนไปหามาฟังเพราะได้อ่านข่าวของเฮียเอ พีราวุธ ดีเจชื่อดังผู้ใจดีของพวกเรา ปกติพี่เอ แกจะไม่ค่อยวิจารณ์เพลงหนักๆขนาดนี้ แต่รอบนี้ดูเฮียแกของขึ้นพอสมควร ดังนั้นผมจึงต้องไปหามาลองฟังดู

พอเริ่มเปิดขึ้นมา "เห็นหมีหนูม้ายยย" เฮ๊ย... เพลงเหี้ยไรวะเนี่ย

ผมไม่อยากจะเชื่อเลยครับว่าชีวิตผมที่อยู่มาจนอายุสามสิบกว่าๆจะได้ฟังเพลงแบบนี้ในสื่อ ก่อนหน้านี้เคยรู้สึกอึดอัดๆกับเพลง ชิมิ แต่พอฟังเพลงนี้แล้ว ชิมิ ดูดีขึ้นมากเลยครับ ฟังไปไม่ทันจบเพลงก็ต้องปิด ปิดแบบสงสารตัวเองเหลือเกิน เพลงแบบนี้ไม่น่าจะมีอยู่ในโลก มัน...บอกไม่ถูกจริงๆครับ

เคยมีเพื่อนๆถามความเห็นของผมในเวลาที่นั่งคุยกันว่า "ทำไมเพลงใต้ถึงไม่พัฒนาเหมือนเพลงที่อื่น"
ผมก็ตอบไปว่าเพลงใต้ไม่พัฒนาก็เพราะคนใต้ไม่พัฒนาแนวเพลงของตัวเอง คอยแต่จะลอกคนอื่น และทำเพลงออกมาในแนวที่ไม่สร้างสรรค์

เพลงใต้คุณภาพที่เป็นเพลงใต้แท้ๆ อย่างมาลีฮวนน่า สันติภาพ เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในทุกยุคทุกสมัย ทำออกมาเมื่อไหร่ก็จะขายได้เสมอ นั่นคือเพลงใต้ที่ผมยอมรับและกล้าที่จะแนะนำเพื่อนๆที่อยู่ในภูมิภาคอื่นๆให้ฟัง

"แล้ว หลวงไก่ บิว บ่าววี ละ" นั่นก็เพลงใต้นี่ หลายๆคนเคยถามผมเช่นกัน

ในทีมของอาร์สยาม ผมว่าไม่ใช่เพลงใต้นะครับ แค่เอาคำในภาษาใต้มาร้องเท่านั้นเอง นักร้องแต่ละคนไม่ได้ออกเสียงในสำเนียงของบ้านเกิดตัวเองเลย ผมเองก็ไม่ใช่ผู้ที่มีความสามารถใดๆที่จะเรียบเรียงเสียงประสาน หรือแต่งคำร้อง ทำนองได้อย่างผู้รู้หรือครูเพลง (...?) ทั้งหลาย
แต่ผมว่าอาร์สยาม ไม่ใช่เพลงใต้พันธุ์แท้ครับ

"มันก็ต้องปรับเปลี่ยนไปตามยุคสมัยสิคุณ" เสียงใครแถวๆนี้ตะโกนเข้ามาให้ผมได้ยิน

ใช่ครับมันก็ต้องเปลี่ยน แต่ถ้าเปลี่ยนแล้วมันดีขึ้นมันก็น่าจะทำ นี่แหละครับที่จะมาตอบคำถามที่ว่าทำไมเพลงใต้ถึงได้แค่นี้ ลองดูงานของ มาลีฮวนน่ากันซักนิดนะครับ นักร้องใหม่ๆที่ปั๊มแผ่นออกมาขายตอนนี้มีมากมายเลยครับที่เลียนแบบการร้องของอาจารย์ไข่ มาลีฮวนน่า หรือคิดว่าทำดนตรีในสไตล์ของมาลีฮวนน่า แล้วจะขายได้เพลงจะเป็นที่นิยม เป็นอมตะแบบมาลีฮวนน่า แต่ผมเห็นออกมากี่ชุดๆก็เจ๊ง ไม่เป็นท่า ขนาดใช้บริการ โลว์คอร์ส เรคคอร์ด แล้วนะครับ ยังไปไม่รอดกัน คงเป็นเพราะ คิดว่า ร้องแบบนั้น ทำดนตรีแบบนั้นแล้วจะเป็นที่นิยม แต่ก็พลาด ผิดหวังกันไปหลายราย

ผมยังชื่นชม พี่เอก เอกชัย ศรีวิชัย อยู่มากมายเลยทีเดียวในการที่ พี่เอก ใช้คำภาษาใต้ได้อย่างไม่ขัดเขิน ไม่มากไปไม่น้อยไป และเป็นคำไทยภาคใต้ที่ออกเสียงชัดแทบทุกเพลง ผมลองแอบๆคิดว่า ถ้าชุดไหน พี่เอกชัย ไม่ร้องแบบสำเนียงใต้ ชุดนั้น ขายไม่ดีแน่นอนครับ (ลองฟังเพลง แนวอื่นๆของพี่เอกดูก็ได้ครับ ยกเว้นชุด สุดซึ้งนะครับ ชุดนั้นพี่เอก ร้องเพราะมากๆๆ)

ลองมาฟังวงดนตรีแนวๆเพื่อชีวิตภาคใต้ระดับบรมครูอย่างมาลีฮวนน่ากันบ้างครับ

มาลีฮวนน่า ใช้คำภาษาใต้แท้ๆครับ คำว่าภาษาใต้แท้ จะออกเสียงต่ำ ดังนั้นการเขียนเนื้อร้องจึงจำเป็นต้องหาคำที่ ลงตัวกับโทนเสียงนี้

"มาลีฮวนน่า เสียงต่ำที่ไหน เสียงสูงจะตายห่า.. กูร้องตามไม่เคยถึงซักที" มีคนข้างๆบอกผมอีกแล้ว

"นั่นเป็นวิธีร้องโว๊ย มันเลยฟังว่าสูง" อย่างคำร้องท่อนที่ว่า "หัวใจพี่ยังพรือ......โฉ้" โหนเสียงขึ้นสูงแต่ "คำ" ที่ใช้เป็นตัวที่กดเสียงลงในภาษาใต้ คำว่าพรือโฉ้ โฉ้จะออกเสียงต่ำ ถ้าความหมายเดียวกันแล้วจะออกเสียงสูงต้องใช้คำว่า "ฉู้" พรือโฉ้ จะเป็น พรือฉู้ ในสำเนียงใต้ หัวใจพี่ยังพรือโฉ้ ออกเสียงต่ำตามภาษาดั้งเดิมของท้องถิ่น ก่อนที่จะดึงขึ้นไปสูง ทำให้เพลงนี้มีเสน่ห์เฉพาะตัวที่ทำให้ใครๆหลายคนชื่นชอบ

ลองยกตัวอย่างมาอีกซักเพลงครับ ของ เดช อิสระ ที่ชื่อ นางเอกหนังลุง เพลงนี้หลายๆคนชื่นชอบ และร้องตามกันได้แทบจะทั้งภาคใต้ เหตุผลง่ายๆแบบที่ไม่ต้องถามบิ๊กแอส ก็คือ สำเนียงร้องไงครับ "พรือมั่ง หว่างนี้" "มือม้วนใบจาก ส่วนในปาก เคี้ยวท่อม" การออกเสียงคำว่าปาก คือ สำเนียงใต้แท้ตัวต่ำ ไม่ต้องดัดเสียง คนใต้เลยฟังได้แบบไม่ขัดขืน และรู้สึกเป็นธรรมชาติเมื่อร้องตาม "ปูสาด นั่งแล หนังพร้อม" และอีกมากมายในเพลง นั่นคือ การออกเสียงตัวตรงตามสำเนียงท้องถิ่น มันเลยติดหูคนฟังได้เร็ว

คำว่าพรือ แปลว่า เป็นอย่างไร อย่างพรือมั่ง คือเป็นไงมั่ง

"โฉ้" เป็นคำขยายตัวหน้า แปลว่า "...ก็ไม่รู้"

พรือ เมื่อเติม "โฉ้" เข้าไปก็จะเป็น พรือโฉ้ แปลว่า "เป็นอย่างไรก็ไม่รู้"

ใคร เมื่อเติม "โฉ้" เข้าไปก็จะเป็น ใครโฉ้ แปลว่า "ใครก็ไม่รู้"

ไหน เติม โฉ้ เข้าไปก็จะเป็น ไหนโฉ้ แปลว่า "ที่ไหนก็ไม่รู้"

แต่เพลงของ บิว อย่างเพลงอิจฉา ที่ว่า มันอิจฉา โร่ม้าย ไอ้ โร่ม้าย นี่ไม่ใช่คำใต้นะครับ เพียงแค่เอาคำใต้มากดให้ลงตัวกับเมโลดี้ของเพลง ที่มาจากแนวความคิดของคนภาคกลางมากกว่า ผมว่า ถ้า บิวไม่ร้องเพลง แล้วพูดภาษาใต้ คำว่า โร่ม้าย ต้อง ออกเสียงว่า หรู่ม้าย หรือ โหร่ม้าย มากกว่าครับ

ก่อนที่จะกลายเป็นเวทีวิวาทะเรื่องภาษาใต้ไปซะก่อน ขอข้ามกลับมาเรื่องเพลงใต้กันอีกดีกว่า

ผมพูดเล่นๆกับเพื่อนๆที่นั่งฟังเพลงด้วยกันเสมอว่า เพลงใต้นี่โครตแมนเลย.. ถ้าอยากฟังเพลงที่ด่าผู้หญิง ละก็เพลงใต้ แน่นอนที่สุด ยิ่งแนวๆ เธอหลายใจ อ้อร้อ ตอแหล หาเพลงใต้มาฟังเถอะครับไม่ผิดหวัง บางครั้งผมยังบ่นคิดถึง มาลีฮวนน่า สะพาน สันติภาพ ที่ทำเพลงใต้คุณภาพออกมาให้ผมได้ฟังอยู่บ่อยๆ พี่ๆหายไปไหนกันหมด ออกมาให้ผมหายคิดถึงซักหน่อยเถอะครับ ทำเพลงใต้ สำเนียงใต้ แท้ๆ ออกมาให้คนใต้แบบผมได้ชื่นใจซักหน่อย

ผมคิดเอาเล่นๆแบบของผมคนเดียวนะครับว่า ถ้าใครจะทำเพลงใต้ให้ประสบผลสำเร็จ เป็นที่ติดหูของคนใต้ด้วยกันจริงๆแล้ว ลองใช้ภาษากับสำเนียงเป็นตัวตั้ง แล้วให้ทำนองกับดนตรีเป็นตัวรองดูสิครับ อย่าเอาทำนองมาก่อนแล้วแก้ภาษาหรือการออกเสียงตามทำนองเพลง ผมว่ามันจะเป็นเพลง ภาษาใต้ใส่ทำนองที่น่าฟังมากมายเลยทีเดียว และผมมั่นใจว่าถ้าจะทำเพลงใต้ให้ติดตลาดภาคใต้แบบยั่งยืน ต้องทำเพลงในรูปแบบที่เป็น เสียงจริง สำเนียงจริง ของคนใต้ครับ แล้วจะดังยาวนาน ไม่เชื่อลองหาเพลงของ "พายุ สุริยัน" มาฟังดูสิครับ กี่ปีกี่ชาติ ก็ยังสนุกเหมือนเดิม เพราะนั่นคือ เพลงใต้ที่ใช้ภาษาใต้และสำเนียงใต้ครับ

กลับมาที่เพลง "เห็นหมีหนูมั๊ย" ดีกว่าครับ ตอนแรกตั้งใจจะเขียนถึงเพลงนี้ แต่อ่านไปอ่านมา ฟังไปฟังมา ผมว่าผมได้ข้อสรุปของเพลงนี้เรียบร้อยแล้วครับ

มันเป็นความรู้สึกเดียวกับการที่ได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรกเลยครับนั่นก็คือ... "เพลงเหี้ย อะไรวะเนี่ย"

นภดล 28/6/2553

วันอาทิตย์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2553

บางส่วนของชีวิต (อีกแล้ว)

อย่างที่บอกละครับว่า พวกเราต้องทำงานกันทั้งคืนฝนตกฟ้าร้องก็ต้องทำผมจะเบื่อมากๆเวลาฝนตกเพราะว่างานจะเข้ามาเยอะมากๆ ทั้งไฟดับบ้างอุปกรณ์เสียบ้าง แถมต้องขับรถกลางฝนอีกด้วยช่างเป็นเรื่องที่น่าเบื่อมากๆ วันนั้นมีงาน Cell Down ที่ป่าคลอก แถวๆอำเภอถลาง ผมออกจากที่พักไปตอนสามทุ่ม ไอ้บอยขับรถผมนั่งข้าง ฟังเพลงไปร้องเพลงไปอย่างสบายอารมณ์ "อาการนี่ Alarm ตัวนี้ไม่น่าจะมีอะไรมาก CHG Trip แน่ๆ" ผมบอกไอ้บอยอย่างมั่นใจ

site ของเราในสมัยนั้นยังไม่มีการจัดจ้างตัดหญ้าแบบป็นระบบมากนักที่ไหนรกก็ค่อยตัด และที่นี่เป็น site ที่อยู่ในที่เปลี่ยวมากๆ ไฟหน้า site ก็ไม่มี ทางเข้าเป็นถนนดินแคบๆ หญ้าข้างทางก็รกมาก "เนี่ยเห็นแบบนี้แล้วคิดถึงที่ siteเขาต่อวะ"

"วันนั้นไอ้ป๋องมันขับเข้าไปใน site ทางเข้ารกๆแบบนี้เลยมองทางก็ไม่เห็นต้องเอารถลุยเข้าไป" "ขับเข้าไปได้หน่อยนึง มีงูเขียวตกลงมาบนฝากระโปรงหน้ารถ" ผมเล่าไอ้บอยอย่างอารมณ์ดี จนมาถึงหน้า site ป่าคลอกแห่งนี้ "เดี๋ยวมึงไปกลับรถแล้วรอกูอยู่ข้างล่างเดี๋ยวกูเข้าไปจัดการเอง" ว่าแล้วผมก็วิ่งลงไปจากรถ ตอนนั้นฝนก็ตกพรำๆ ไฟหน้า site ก็ไม่มี

ไอ้บอยก็กลับรถแล้วเอาไฟหน้ารถส่องเข้ามา พอผมเปิดประตู ปรากฏว่ามีอะไรอย่างนึงสีดำขนาดเท่าข้อมือ หล่นลงมาคล้องคอผมพอดี มันเปียกๆลื่นๆด้วย ผมสะบัดมันอย่างแรงด้วยความตกใจ(อย่างมาก)แล้วตะโกนว่า งูๆๆๆๆ แล้วก็เต้นแร้งเต้นกาเต็มที่ กว่าจะเหวี่ยงมันออกไปจากคอได้แล้วกระโดลงจากบันไดวิ่งลงมาที่รถทันที

และเมื่อเห็นว่าสิ่งนั้นคืออะไร ผมก็แทบจะบ้าตาย มันคือยางในของรถมอเตอร์ไซค์ ที่ผู้หวังดีเอามาปิดไว้ที่ขอบประตูด้านบนเพื่อกันไม่ให้น้ำเข้านั่นเอง หันไปดูไอ้บอยมันนั่งหัวเราะเอามือกุมท้องอยู่ "กูเห็นตั้งแต่มันหล่นลงมาคล้องคอมึง แล้วกูก็เห็นมึงยืนเต้นยืนรำโนราห์ สะบัดไปสะบัดมาอยู่ตั้งนาน" กูตะโกนบอกว่าไม่ใช่งูมึงก็ไม่ฟังเต้นอยู่นั่นแหละ ไอ้บอยพูดพลางหัวเราะพลางอย่างสบายใจ "งั้นมึงเข้าไปดูสิว่า site มันเป็นอะไร" "ไหนมึงว่ามึงจะดูเองไง" "ไม่เอาแล้ว ถึงจะไม่ใช่งูแต่ขาก็ยังสั่นอยู่เลยวะ" สรุปว่าวันนั้นไอ้บอยต้องทำงานแทนผม โดยที่ผมไม่ยอมลงจากรถอีกเลย

แถมไอ้บอยพอขึ้นรถมาได้ ตอนขับรถออกมาจาก site มันหันมาถามผมว่า "เมื่อกี้มึงเปิดประตูรถทิ้งไว้หรือเปล่า" "มืดๆฝนตกใหม่ๆแบบนี้งูมันออกหากิน" "นี่ถ้ามันขึ้นมาอยู่บนรถพวกเราจะทำไง" มันพูดอย่างอารมณ์ดี แต่ผมต้องนั่งยกขาขึ้นมาไว้บนเบาะจนถึงที่พักเลยครับ วันนั้นมันหลอนจริงๆ

สมัย หก เจ็ดปีที่แล้วนั้นหนึ่งโซนจะมีรถสามคัน มีคนหกคน โดยผมได้ย้ายสลับกับพี่วุฒิ มาอยู่ NIM C เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และได้วิ่งทำงานคู่กับพี่หนุ่ม (ตอนนี้พี่หนุ่มย้ายไปอยู่ NIM บางกอกแล้ว) พี่หนุ่มจะให้ผมขับรถแกจะคอยบอกเส้นทาง "ขับไม่ไหวก็บอกนะน้อง" "สบายพี่ ไม่มีปัญหา" วันนั้นเรามีงานด่วนอีกแล้วพี่หนุ่มบอกผมว่า"เส้นจากแยกนาเหนือถึงแยกพนม ซัดได้เต็มที่ทุกโค้ง 120 ได้ทุกโค้ง" พี่หนุ่มบอกผมก่อนที่แกจะเอนเบาะลงนอน ผมก็ขับมาเรื่อยๆ และแล้วผมก็แตะเบรคก่อนถึงโค้งๆนึงพี่หนุ่ม ชะโงกหน้าขึ้นมาดูแล้วถามว่า

"เบรคทำไม 120 ได้ทุกโค้ง"
"ตอนจะถึงโค้งมัน เกือบ 140 แล้วพี่"
"เออ..แล้วก็ไม่บอก ขับเบาๆหน่อยไม่ต้องรีบ"
"อ้าวเห็นเมื่อกี้บอกให้รีบไง" "
ที่กูรีบกูหมายถึงรีบไปทำงานไม่ได้รีบไปตายโว๊ย"

ผมอยู่กับพี่หนุ่มเกือบๆสองเดือนโดยทำหน้าที่เป็นพลขับให้แกทุกวัน โดยปกติพี่หนุ่มจะติดเป๊บซี่มากต้องกินทุกวัน แล้วแกก็จะซื้อมาเผื่อผมทุกวันเช่นกัน สรุปว่าผมต้องกินเป๊ปซี่กะแกวันละหนึ่งกระป๋องเป็นอย่างน้อยทุกวัน จนผมติดไปด้วย แต่ก็ไม่เท่าไหร่ถ้าเทียบกับเหล้าที่พวกเรากินกันทุกเย็น

พี่หนุ่มแกจะอารมณ์ศิลปินพอๆกับผมเลยครับ มีวันนึงเราเสร็จงานจากอำเภอคุระบุรี กำลังจะขับรถกลับสุราษฎร์ ตอนนั้นเวลาประมาณห้าทุ่มกว่าๆแล้วพอมาถึงกลางทางพี่หนุ่มแกเห็นหิ่งห้อยที่ข้างทาง แกรีบบอกผมว่า"จอดๆๆๆๆๆ นอนดูหิ่งห้อยกันซักพักดีกว่า" ผมก็จอดครับ นอนดูหิ่งห้อยกันจนพอใจแล้วก็ค่อยกลับบ้าน(เชื่อมั้ยครับว่าหลังจากนั้นผมไม่เคยได้ดูหิ่งห้อยแบบนี้อีกเลย ต้องขอบคุณพี่หนุ่มไว้ด้วยนะเนี่ย)

บางครั้งขับผ่านน้ำตก พี่หนุ่มจะชวนผมลงไปเล่นน้ำตกกัน มีครั้งนึงพวกเราพยายามจับลูกอ๊อดตัวขนาดใหญ่มากๆ ที่น้ำตกแถวๆทับละมุ เอาใส่ขวดแม่โขงกลับมาด้วย "มันตัวใหญ่ดีอยากรู้ว่าถ้ามันโตแล้วมันจะใหญ่ขนาดไหน" แต่แล้วเราก็ลืมขวดใส่ลูกอ๊อดไว้ที่โรงแรม มานึกได้ตอนออกมาแล้ว พี่หนุ่มโทรกลับไปบอกให้แม่บ้านช่วยเอาไปปล่อยให้ด้วย จากการที่พวกเราพักโรงแรมกันจนเหมือนบ้าน พวกพนักงานต้อนรับก็จะรู้จักพวกเราเป็นอย่างดีเลยคุยกันได้แบบกันเองๆ เสียงพนักงานที่รับโทรศัพท์บอกมาว่า "ไม่ต้องบอกหรอกพี่ แม่บ้านขว้างทิ้งไปทั้งขวดตั้งแต่แรกเห็นแล้วละ ตอนแรกหนูก็ไม่รู้ว่าใครที่บ้าเอาลูกอ๊อดเข้าห้อง ที่แท้ก็พี่นี่เอง"

บางครั้งขับรถผ่านแถวๆตำบลนอกๆ จำได้ว่าเป็นบ้านลำแก่น แถวๆท้ายเหมืองจังหวัดพังงา ที่นี่จะมีโรงหนังแบบล้อมรั้ว เก็บคนละยี่สิบบาท พี่หนุ่มบอกให้ผมจอดแล้วเข้าไปนั่งดูหนังกัน ในโรงเป็นเก้าอี้ไม้ยาวๆ จอเป็นจอแบบหนังกางแปลงทั่วไป ทั้งโรงมีอยู่สี่ห้าคน ที่ผมประทับใจคือ ที่นี่เป็นโรงหนังที่เดียวที่ผมเคยเข้าไปดู ที่สามารถนั่งดูหนังไปพร้อมกับนั่งสูบบุหรี่ไปพร้อมๆกันได้โดยที่ไม่มีใครว่า

และมีอยู่วันนึงเรากลับจากแถวๆเขาหลักจะกลับสุราษฎร์อีกเช่นเคย "ถ้าไม่ไหวบอกพี่นะ" พี่หนุ่มบอกผมเหมือนทุกๆครั้ง แต่วันนี้เราทำงานหนัก แถมตอนนั้นก็เกือบๆจะตีสองแล้ว ผมขับมาจนถึงทางแยกที่จะไประนอง ผมง่วงมากๆ เลยสะกิดพี่หนุ่มที่นอนอยู่ข้างๆว่า"ผมไม่ไหวแล้วพี่" "ง่วงเหรอ" "ครับ" "งั้นจอดนอนข้างทางก่อนเลย" อ้าวไอ้เราก็คิดว่าแกจะช่วยขับกลับบ้านที่ไหนได้พอตื่นมาตอนเช้าล้างหน้าล้างตาเสร็จ ผมก็ต้องขับกลับต่ออีก

แถวๆสะพานสารสินจะมีร้านขายของฝากอยู่หลายร้านมากๆ และเป็นเรื่องปกติที่เวลาเราจะกลับสุราษฎร์จะต้องมีคนสั่งซื้อนู้นสั่งซื้อนี่เป็นประจำ เพราะบางอย่างราคามันจะถูกกว่าที่สุราษฎร์ ถึงจะถูกกว่าไม่เกินห้าบาทแต่หลายๆคนก็ชอบที่จะฝากพวกเราซื้อ วันนั้นผมแวะซื้อปลาเค็มกลับบ้าน พี่หนุ่มก็ลงไปด้วยแกเดินดูนู่นดูนี่ซักพักก็กลับมาที่รถ แกซื้อปูดำมาถุงนึงแต่ไม่รู้กี่กิโล

แกนั่งไปซักพักแกก็หันไปข้างหลังหยิบถุงปูขึ้นมาเปิดปากถุง "ให้มันหายใจหน่อย เดี๋ยวมันตายไปถึงบ้านจะไม่สด" ผมหันไปดูปูดำที่แกซื้อมาจะมีเชือกมัดก้ามมัดขาไว้เรียบร้อยเลยไม่สนใจอะไรมาก จนกระทั่งมาถึงจังหวัดพังงา ตอนแรกเราเปิดเพลงฟังกันมาเรื่อยก็ไม่มีอะไร แต่มันถึงช่วงที่เทปหมดหน้ากำลังจะกลับเทป เสียงในรถเลยเงียบ

พวกเราได้ยินเสียง แกรกๆ อยู่ด้านหลัง พอหันไปดูปรากฏว่าปูขอพี่หนุ่มมันหลุดออกมาจากเชือกได้ยังไงไม่รู้กำลังพยายามเดินกันอยู่ด้านหลัง พวกเราต้องจอดรถจับปูกันอีก คราวนี้พี่หนุ่มมัดปูกับปากถุงอย่างแน่นหนา "พี่ไม่กลัวมันตายเหรอ" "ไม่กลัวแล้ววะ..ดีนะที่เห็นก่อน นี่ถ้าไม่เห็นแล้วมันเดินลอดเบาะมาใต่ขาตอนที่ขับรถอยู่ พวกเราคงจะตายกันก่อนปูแน่ๆ"

บทความเก่าๆ - ขาดทุน คือ กำไร

ขาดทุน คือ กำไร

วันที่ 26มีนาคม 2549

มาแปลกๆสำหรับวันนี้ หลังจากที่ผมมึนๆอยู่กับชีวิตที่เหมือนเครื่องจักรที่ขับเคลื่อนด้วยเลือดเนื้อแรงกายของตัวเอง จนทำให้คิดไม่ออกว่าจะเขียนอะไรดี จนวันนี้ได้ยินใครบางคนบ่นเรื่องขาดทุน ก็ทำให้คิดเล่นๆว่า ที่คุณบ่นกันว่าขาดทุนแท้ที่จริงแล้วขาดทุนจริงหรือเปล่า แล้วต้นทุนมันซักเท่าไหร่ ต้นทุนเป็นอะไรและ ที่ขาดทุนมันขาดทุนเท่าไหร่ ว่ากันมาเป็นข้อๆเลยทำให้ผมได้ความคิดที่ว่า จริงๆแล้วไม่มีอะไรขาดทุนหรอกครับเพียงแต่กำไรมันไม่ได้มาในรูปแบบของเงินเท่านั้นเอง เคยอ่านนิทานเรื่องนึงไม่รู้ว่าเคยอ่านเคยฟังกันหรือยัง ถ้าเคยอ่านเคยฟังแล้วก็อ่านๆไปเถอะถือว่าทบทวนความจำกัน ผมจะเล่าคร่าวๆก็แล้วกันนะครับ

มีคนจีนคนนึงแกเป็นเศรษฐีย่อมๆเลยละครับ แกมีลูกชายอยู่สามคน อายุก็ไล่ๆกันมาวันนึงแกเกิดอยากจะสอนลูกให้ทำมาค้าขายเหมือนแก แต่แกก็ไม่รู้จะสอนยังไงเพราะชีวิตแกใช้ประสบการณ์จริงตลอด ไม่ได้จบ มหาลัยขอนแก่นหรือเชียงใหม่เหมือนใครบางคน แถมยังไม่เคยได้ ป โท ไทยคดีเหมือนนักร้องใต้บางคนด้วย แกเลยไม่มั่นใจว่าจะสอนลูกได้้ดีหรือเปล่า แกเลยตัดสินใจขุดเงินที่แกฝังดินไว้ที่หลังบ้านมาสามแสนบาท แบ่งให้ลูกสามคน คนละแสน แล้วบอกลูกว่าให้แยกย้ายกันเอาเงินคนละหนึ่งแสนบาทนี่ไปลงทุน อีกสามปีให้กลับมารายงานความคืบหน้า ถ้าไม่ครบสามปีไม่ต้องกลับมา พ่อจะใช้ชีวิตอยู่กับกิ๊กคนใหม่เงียบๆ อย่ามารบกวนพ่อจนกว่าจะครบสามปี

และแล้วเวลาก็ผ่านไปจนครบสามปีตามเวลาสากล เวลาสามปีนี้ในประเทศแถวๆเอเซียบางประเทศอาจมีนายกได้ถึงสาม สี่คนเลยทีเดียว เพราะการเมืองในประเทศแถวๆเอเซียประเทศนั้นมันสับสน มีแต่คนแย่งกันเป็นนายก แถมบางครั้งที่เป็นอยู่แล้วคนไล่กันทั้งประเทศ มันยังไม่ลาออกเลยก็มี กลับมาเรื่องนิทานกันต่อ เมื่อกลับมาถึงบ้านลูกชายทั้งสามก็เข้าไปกราบพ่อกับกิ๊กที่เปลี่ยนสถานะเป็นแม่เลี้ยงของทั้งสามไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากผ่านการทดสอบคุณภาพมาถึงสามปีทำให้ ท่านเศรษฐีมั่นใจว่าทนทานพอที่จะขึ้นประจำการได้ เศรษฐีถามลูกแต่ละคนว่าไปทำอะไรกันมาและได้ผลอย่างไรกันบ้าง ลูกชายคนโตบอกว่า เอาเงินไปลงทุนให้หุ้นกลุม ชินคอร์ป ได้กำไรมามากมาย หลังจากขายหุ้นไปพร้อมๆกับคนหน้าเหลี่ยมได้ กำไรมามากมายแม้จะมีข้อหาขายชาติพ่วงมาด้วยแต่ก็ไม่เป็นไร รวยซะอย่าง เศรษฐีก็ชมว่า เยี่ยมมาก ดีๆๆๆ ส่วนลุกชายคนรอง กล่าวสีหน้าเศร้าๆว่า ผมเอาเงินไปลงทุนบริษัท มือถืออีกค่าย ปรากฎว่าไม่ HAPPY ขาดทุนหมดตัวต้องบากหน้ากลับมาหาพ่อ เศรษฐี ก็บอกว่า เยี่ยมๆๆ ดีๆๆๆ เหมือนกัน ส่วนลูกชายคนที่สามบอกว่า ผมเอาเงินที่เตี่ยให้ไปฝังดินเหมือนที่เตี่ยทำ วันนี้ผมเอาเงินกลับมาคืนเตี่ยครบทั้งหนึ่งแสนที่เอาไปเลยครับ ปรากฎว่า เศรษฐีโมโหมาก ด่าว่าลูกชายคนที่สามมากมาย

ไอ้ชิกหาย ลื้อไปอยู่ไหนมาตั้งสามปี ไม่ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ถึงลื้อจะทำการค้าแล้วขาดทุนก็ยังมีกำไรเป็น กำไรชีวิต นี่ชีวิตลื้อขาดทุนชัดๆ ถ้าคิดจะไม่ทำอะไร อยู่ไปวันๆ ก็ลองโทรไปถามเจ้านภดล มันดูว่าคนที่ไม่ทำอะไร วันๆเอาแต่สร้างภาพให้นายดูว่าขยัน เอาเปรียบเพื่อนร่วมงาน แทงเพื่อนข้างหลัง นั้นชีวิตตอนนี้มันเป็นยังไง (ขอตอบครับ ตอนนี้เพื่อนเริ่มไม่คบมันแล้วครับ แต่ไม่รู้มันจะรู้ตัวหรือยัง)

นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ไฟแดงอย่าฝ่าตำรวจจะจับ อิๆๆ ไม่ใช่สิ สอนให้รู้ว่า สิ่งใดๆก็ตามที่เราได้ทำไปแล้วเป็นกำไรชีวิตทั้งสิ้นไม่มีสิ่งใดขาดทุน แต่กำไรอาจจะไม่ได้กลับมาในรูปแบบของเงินเสมอไป ความสุขทางใจก็เป็นกำไรอย่างนึงครับ

มีคนบางคนที่รวยเงินมากๆเป็นที่รักของคนหลายๆคนในภาคใต้แต่กลับฆ่าตัวตายทางสังคม ภายในคืนเดียว ด้วยคำพูดที่ว่า ผิดด้วยหรือที่ผมรู้การเมือง เออ คุณไม่ผิดหรอกครับ แต่ผมขาดทุนทางความรู้สึกที่มีความรู้สึกดีๆที่มีให้คุณมา อยากจะบอกว่า อีกเก้าสิบกว่าวันผมจะทำบุญครบร้อยวันที่คุณได้ตายจากความรู้สึกของผมครับ และมีสิ่งที่จะร่วมสนุกคือ ใครตอบได้ว่าไอ้ระยำที่มันไม่ผิดที่รู้การเมืองบนเวทีเชียร์ทักษิณคนนี้เป็นใครมา Post บอกชื่อที่อยู่ที่เวปบอร์ดนะครับ ผมมีของที่ระลึกส่งไปให้ครับ แล้วพบกันใหม่นะครับ

วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

รื้อบันทึก ศึกบูรพา 2547

ค้นเจอบันทึกเก่าๆสมัยไปอยู่ชลบุรี เลยลองเอามาเล่าสู่กันฟัง (อ่าน)ครับ

เกือบถึงสวรรค์แล้วจ้า

เล่าความหลังกันอีกนิด ช่วงนั้นในปี 2547 บริษัทได้ทำการเปลี่ยนอุปกรณ์ จาก โมโตโรล่า มาเป็นโนเกีย ยกภาคทั้งภาคอีสานและตะวันออก พวกผมที่มีความคุ้นเคยกับ โนเกียมาตั้งแต่แรกเลยได้มาช่วยงาน โดยให้เลือกว่าจะไปอีสานหรือตะวันออก ผมเลือกภาคตะวันออกครับ เพราะเหมาะกับการหนีเข้ามาเที่ยวบางกอกเป็นอย่างยิ่ง เลยไม่มีโอกาสได้ไป อีสานอย่างน่าเสียดาย..

ผมจับคู่กับ NIM กทม ชื่อ พี่ใหม่ ซึ่งจับคู่กันด้วยวิธีการที่ง่ายที่สุดคือ "สูบบุหรี่มั๊ย" พอเหมือนกันปุ๊บ เราก็กลายเป็นบั๊ดดี้กันทันทีเลยครับ

วันนี้ (เสียดายที่ไม่ได้ลงวันที่ไว้ เอาเป็นว่า ประมาณ ปลายเดือนมกราคม - กุมภาพันธ์ 2547 ก็แล้วกัน)

พวกเราได้รับงานเป็นงานในตัวเมืองชลบุรีเป็นครั้งแรก โดยที่ผมไม่เคยเข้ามาในเมืองชลบุรีมาก่อนเลยในชีวิตเลยตื่นเต้นเป็นธรรมดา โดยเฉพาะกับการมองสาวๆ เพราะ Site นี้อยู่แถวๆหน้าวิทยาลัยพยาบาลพอดี แต่พอมองๆไปเรื่อยๆก็ไม่มีอะไรตื่นเต้นเพราะว่ามันไม่ได้มีอะไรพิเศษมากกว่า สุราษฎร์ธานี หาดใหญ่หรือภูเก็ตที่ผมเคยอยู่มาเลยครับ

Site นี้เป็น Site ที่ใหญ่พอสมควรเพราะอยู่ในตลาดชลบุรี มีระบบ 1800 +800 อาจจะเป็นเพราะที่นี่เป็นงานที่สองของพวกเราก็เป็นได้ทำให้พวกเราดูขยันๆเป็นพิเศษ พอมาถึงก็เดินขึ้นไปด้านบนทันทีเพราะมองจากภายนอกเป็นตึกแค่ หกชั้น แต่พอเดินเข้าจริงๆปรากฏว่าแต่ละชั้นสูงเกือบ สี่เมตรและจะมีที่พักระหว่างชั้นอีกทีทำให้รู้สึกเหมือนกับว่าเดินขึ้นตึก 12 ชั้นเลยทีเดียว และเมื่อถึงชั้นที่ หก ก็ต้องขึ้นบันไดไม้ต่อไปอีกชั้น ช่างทุลักทุเลอะไรเยี่ยงนี้...

ที่นี่เป็น Site กลางเมือง Config เลยใหญ่หน่อย (ในสมัยนั้น ตอนนี้คงมากกว่านี้เยอะ) Config 5+4+9 ใช้ตู้ 2 ตู้ และวงจร 2 วงจร เพราะตอนนั้นยังไม่มี EDGE เลยใช้แค่สองวงจรครับ และที่เราโชคดีกว่านั้น คือ ผู้รับเหมายังไม่ได้ wiring BTS เลยครับทางพี่ใหม่โมโหใหญ่ รีบโทรหาทีมประสานงานทันที แต่ผมซึ่งเป็น NIM บ้านนอกเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาเพราะอยู่ที่นี่พวกเราก็ทำกันเองอยู่แล้ว ผมเลยอาสาเข้าทำเอง ผมนั่งทำไปได้ประมาณ 6 TRX ทีมงานก็เข้ามาเลยสบายขึ้นหน่อย แต่กว่าจะเสร็จก็บ่ายโมงกว่าๆ หลังจากเริ่มเข้าสู่กระบวนการ Commissioning ผมก็เดินขึ้นไปชมเมืองชลบุรีบนดาดฟ้า ซึ่งมีสิ่งที่ภาคใต้ไม่มีคือ Ant 800 ที่เป็น Secter เลยถ่ายรูปเก็บมาด้วยแต่อยู่ไหนแล้วก็ไม่รู้เดี๋ยวจะหามาให้ชมครับ

เมื่อเตรียมการกันเสร็จพวกเราก็เดินทางกลับไปพักผ่อนที่โรงแรม SS บางแสนบีช ที่พวกเราเหมายกชั้นไว้โดยที่มีกำหนดการ Cut Over ตอน 9.00-10.00 ของวันพรุ่งนี้และเราจะต้องเจอกับเหตุการณ์ที่ต้องเหนื่อยมากๆครั้งนึงในชีวิตเลยครับ

-------------------------------------------------------------------------------------

วันนี้พวกเราตื่นกันเช้ามากๆ ปีนบันไดขึ้นไปถึง site ตั้งแต่แปดโมงเช้าเตรียมนู่นเตรียมนี่กันเพื่อรอเวลา cut over วันนี้เหนื่อยกว่าเมื่อวานนิดนึง เพราะผมต้องแบก Rectifier ขึ้นมาอีกหนึ่งตัวเป็น Rectifier ยี่ห้อ Lorain ซึ่งเป็นแบบเก่า ตัวจะใหญ่และหนักมากๆ ถ้าเทียบกับตอนนี้ซึ่งพวกเราใช้ยี่ห้อ Eltek ซึ่งตัวขนาด คืบเดียวแล้วนั้นขนาดมันช่างต่างกันเหลือเกิน ที่จำเป็นต้องเพิ่มเพราะเราจะใช้งานพร้อมกันทั้ง โมโตโรล่าและโนเกีย เพื่อไม่ให้ลูกค้าต้องเดือดร้อน

แต่เมื่อมาถึงปรากฏว่าสายไฟ AC มีอยู่แค่สองชุด ดังนั้นผมจึงต้องทำเพิ่มอีกหนึ่งชุดด้วยการรื้อเอาสายของระบบ 800 มาใช้กว่าจะเสร็จก็ต้องเลื่อนเวลา Cut over ออกไปเล่นเอาน้องๆที่ทำเรื่องนี้ที่อยู่บางกอก บ่นเอาชุดใหญ่ "ทำไมพี่ไม่ดูตั้งแต่ตอน Pre com เมื่อวานละคะ"...และอีกหลายๆอย่างจนผมอดคิดไม่ได้ว่า น้องคนนี้ต้องสวยแน่ๆ เพราะคนสวยมักจะขี้บ่น 555 แต่เมื่อทำการ ออนใช้งานแล้วทำการ Commissionning Online โดยการต่อวงจรเข้าไปปรากฏว่าวงจรที่สองมาไม่ถึง ต้องรอทีมงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาแก้ไขอีกที และแน่นอนเราต้องโทรไปเลื่อนเวลาอีกรอบ และที่แน่ยิ่งกว่านั้นก็คือ.. โดนบ่นมาอีกชุดใหญ่

แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีโชคดี มีสายรายงานมาว่าทางทีมผู้รับเหมาซึ่งเป็นบริษัทในเครือจะเลี้ยงข้าวเที่ยงที่ร้าน ปะการัง แถวๆแหลมแท่นให้พวกเรามากินข้าวกันก่อน สองหนุ่มเลยรีบวิ่งลงมาทันทีแบบลืมเหนื่อยกันเลยทีเดียว และที่ร้านเราเจอผู้หลักผู้ใหญ่มากหน้าหลายตาแต่ผมก็ไม่ได้สนใจมากมาย กินอย่างเดียวเลยครับ รีบกินรีบไปเพราะเรายังต้องกลับไปทำงานกันอีกรอบ

แต่การกลับมาครั้งนี้พวกเรากินกันมาเต็มที่เมื่อมาถึงบันไดเลยต้องพักเป็นระยะๆ เดินอ้อยอิ่งกันไปเรื่อยๆ ตาก็มองนู่นมองนี่ไปเรื่อยๆจนได้มาเจอกับตัวหนังสือ เขียนด้วย ชอล์กสีขาวไว้ที่ฝาผนัง "ยินดีต้อนรับสู่สวรรค์ชั้นเจ็ด" แล้วก็มีรูปลูกศรชี้ขึ้นไปตามทางขึ้นไปเรื่อย ผมและพี่ใหม่ก็เดินตามลูกศรขึ้นไปเรื่อยๆแต่ด้วยการที่กินมาอิ่มๆ และตื่นเช้า รวมทั้งการเดินเป็นรอบที่สอง ทำให้พวกเรารู้สึกเหนื่อยเป็นพิเศษ และ สาบานได้เลยครับว่า ผมเห็น พี่ใหม่ปากซีดเลยละครับ ส่วนตัวผมเองก็ต้องพักเป็นระยะๆ สงสัยเพราะไม่ค่อยได้ออกกำลังกายแน่ๆทำให้เหนื่อยง่าย แย่จริงๆเลย..

พวกเราลากสังขารกันมาจนถึงชั้นที่หก ก่อนที่จะปีนบันไดไม้อีกรอบสายตาผมก็ เหลือบไปเห็นตัวหนังสือที่เขียนไว้ที่ฝาผนังเป็นประโยคสุดท้ายว่า
" อดทนหน่อยเกือบถึงสวรรค์แล้วจ้า" ทำให้พวกเราต้องหยุดหัวเราะกันก่อน เดาเอาว่า NIM เจ้าของพื้นที่คงจะเจอชะตากรรมเดียวกันกันเราเลยเขียนไว้ให้คนที่มาทีหลังได้อ่านกันครับแต่ การขึ้นมารอบนี้งานทุกอย่างเสร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี ไม่ต้องมาอีกรอบ

งานแรกๆในชลบุรีนี่สมบุกสมบันดีจริงๆเลยครับ ทำให้ผมประทับใจเมืองบูรพาแห่งนี้ไปอีกนานเลยทีเดียว

-------------------------------------------------------------------------------

ตอนอยู่บางแสน เราพักกันที่โรงแรม SS บางแสนบีช พวกเราอยู่กันเหมือนบ้านเลยครับ เพราะเราเหมาชั้นสามไว้ทั้งชั้น ถึงกระนั้นในช่วงแรกเราก็ยังต้องนอนกันห้องละสามคนเพราะคนเยอะต้องรีบทำงานในบางแสนและชลบุรีให้เสร็จอย่างรวดเร็ว เพื่อที่จะได้ไปต่อที่พัทยากันดังนั้นช่วงนี้เลยมีสมาชิกเยอะมากเป็นพิเศษครับ

ที่นี่ผมนอนที่ห้อง 308 ร่วมกับทีมงานจากหาดใหญ่อีกสองคน คือ ธนัย กับ นันทชัย(ภายหลังถูกยิงตายที่หาดใหญ่ เป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์อยู่พักใหญ่ๆ) สามคนที่อยู่ด้วยกันตั้งแต่วันแรกๆที่มาถึงบางแสน และเป็นตัวจุดชนวนเริ่มต้นของการเป็น ไอ้ขี้เมา ของผมในเวลาต่อมา คือเมื่อมาถึง พี่อาท ซึ่งเป็นผู้จัดการแผนกวิศวกรรมของภาคตะวันออกก็เลี้ยงรับด้วยการซื้อเบียร์ใส่หลังรถพวกเรามาหนึ่งลัง หลังจากเราเข้าที่พักกันแล้วก็ไม่พูดหล่ามทำเพลงใดๆทั้งสิ้น เปิดแล้วก็ซดๆๆๆๆกัน ตามประสาคนไกลบ้านกันอย่างเต็มที่ จนหมด...?

แล้วหลังจากนั้นเป็นต้นมาพวกเราก็ผลัดกันซื้อมาแช่ตู้เย็นไว้ทุกวัน โดยการเอาของในตู้เย็นออกทั้งหมดแล้วแช่เฉพาะ เบียร์กับน้ำแข็งของพวกเราไว้เต็มตู้เย็นทุกวัน แล้วเราก็เปิดสงครามเบียร์กันทุกคืนก่อนนอนเช่นกัน แต่นั่นก็ยังไม่เท่าไหร่ พอวันศุกร์ผมก็จะติดรถกลับเข้ามาบางกอกแวะบ้านญาติแถวๆแจ้งวัฒนะ ลุงของผมจะกินเหล้าทุกวันวันละเกือบกลม (ภายหลังป่วย ตับแข็ง ต้องนั่งรถเข็น จนกระทั่งทุกวันนี้) แต่เมื่อลุงมีเพื่อนกินอย่างผมปริมาณเลยเพิ่มขึ้นเป็นวันละสองกลม.. โอ้พระเจ้า ทุกวันศุกร์ เสาร์ วันละสองกลมทุกสัปดาห์ จนผมมีความรู้สึกว่า มันเป็นส่วนนึงในชีวิตผมไปซะแล้ว อยู่บางแสน เลิกงานกินเบียร์ ศุกร์ เสาร์ กินเหล้า เย็นวันอาทิตย์ไปถอนกับเบียร์อีกทีจนรู้สึกจะบวมๆกันไปทุกคนเพราะทีมงานที่มาอยู่ด้วยกันนี่ ปีศาจสุรา ชัดๆทำให้ทุกๆวันห้องพวกเราจะเต็มไปด้วยขวดเบียร์ วันไหนอยากเปลี่ยนบรรยากาศก็จะมี ขวดเหล้ากับขวดโซดาพ่วงมาด้วยนิดหน่อย นี่ไม่นับที่เราไปกินข้างนอกกันอีกนะครับ

จนเวลาผ่านไปซักระยะ ผมก็เริ่มจะเห็นสิ่งผิดปกติที่หน้าห้องของผม ห้องที่ผมพักคือห้อง 308 เป็นห้องที่ตรงกับโต๊ะแม่บ้านพอดีถ้าอยู่ในห้องน้ำจะได้ยินแม่บ้านคุยกันทุกวัน แต่ที่ผมเห็นคือที่หลังเคาน์เตอร์แม่บ้าน มีถุงดำขนาดใหญ่อยู่สามสี่ใบ ข้างในมีขวดเหล้า ขวดเบียร์อยู่เต็มทั้งสามใบและอีกใบมีอยู่ครึ่งนึง เลยถามแม่บ้านว่า ให้ผมช่วยยกลงไปทิ้งมั้ย เพราะกลัวว่าแม่บ้านจะยกไม่ไหว แม่บ้านก็บอกว่า "ทิ้งทำไม สะสมไว้ก่อนกว่าพวกน้องๆจะออกไปคงได้หลายอยู่" ทำให้ผมต้องเดินมองผลงานอัปยศของพวกเราทุกครั้งที่เดินออกจากห้อง แต่ก็แอบภูมิใจลึกๆเวลาที่เห็นมันเพิ่มขึ้นเป็น ห้าและหกถุงตามลำดับ.....

----------------------------------------------------------------------------

และเมื่องานเริ่มจะลดลง ทางทีมภาคเหนือที่มากันสามคน มีโยธิน ปรีชาและชนะชัย ก็ต้องเดินทางกลับโดยจะทำงานวันที่ 12 กุมภาพันธ์เป็นวันสุดท้ายแล้วจะกลับเชียงใหม่กันเลย ก็เป็นธรรมดาที่จะต้องมีการเลี้ยงส่งกัน และมีแผนการว่าจะนั่งกินกันตั้งแต่คืนวันที่ 12 ยาวถึงวันที่ 13 กันเลยทีเดียว (โห..ความคิด) ผมในฐานะที่เป็นชุดแรกที่มาถึงบางแสนและได้นอนในห้องพักชั่วคราวกับพี่ไก่ ปรีชา เลยต้องมีส่วนร่วมในการเลี้ยงส่งครั้งนี้พอสมควรเลยยกเบียร์มาลังนึง มานั่งกินในห้อง 322 ที่ทีมงานภาคเหนือพักกันพอกินกันไปได้ซัก หกขวด เจ้าบี้ ชนะชัยก็เข้ามาพร้อมกับ บั๊ดดี้ ซึ่งเป็น NIM จาก กรุงเทพ ชื่อพี่แก้ว ซึ่งคู่นี้ว่าไปแล้วก็เข้าขากันได้ดีเลยทีเดียวเพราะเมาได้ที่เลยทั้งคู่

พี่แก้วนี่มีวีรเวรอยู่อย่างนึงที่อยากจะเล่าให้ฟัง คือเวลาพี่เค้าเมานี่จะห้าวเป้งเหลือเกิน ไม่ค่อยสนใจใคร อย่างเช่นวันนึงทีมของเค้าไปทำงานแถวๆสัตหีบ ถิ่นทหารเรือ พอเสร็จงานก็ชวนกันไปนั่งกินในฐานทัพเรือแถวๆริมทะเล มีพี่ปอนด์ เจ้าถิ่นพาเข้าไป นั่งกินไปเรื่อยเสียงพี่แก้วก็ดังขึ้นเรื่อยๆ แต่บังเอิญว่า วันนั้นมีนายทหารที่เป็นเพื่อนพี่ปอนด์มานั่งอยู่ด้วย แต่ด้วยความที่เสียงแกดังเลยมีลูกค้าโต๊ะอื่น ซึ่งก็เป็นทหารในนั้นนั่นละครับ มองมาเป็นระยะ พี่แก้วคงจะรู้ตัวเลยถามพี่ทหารที่นั่งอยู่ด้วยกันว่า "พี่ๆๆ ผมมานั่งในนี้นี่จะโดนตีนหรือเปล่า" พี่คนนั้นก็บอกว่า " ไม่มีอะไรหรอก นายทหารนั่งอยู่ด้วยไม่มีปัญหาอะไรหรอก" ทำให้บรรยากาศดูจะลดอุณหภูมิความรุนแรงลงไปได้พอสมควร แต่พี่แก้วที่นั่งเงียบไปชั่วครู่ก็พูดขึ้นมาว่า "แต่ถ้ามันจะมีอะไรจริงๆผมก็พร้อมนะพี่" เล่นเอาคนที่พาเข้าไปใจหายแว๊บ ต้องรีบ พากันกลับออกมาก่อนที่จะได้กิน...เป็นกับแกล้ม หลังจากนั้นพี่ปอนด์ มาบอกกับผมว่า " แม่ง...ไอ้แก้วมันพร้อมแต่มันไม่ถามพวกกูเลยว่าพร้อมหรือเปล่า"

เอาเป็นว่าพี่แก้วนี่ก็เอาการอยู่เหมือนกันและวันนี้คู่หูคู่ฮา คือเจ้าบี้กับพี่แก้วกลับเข้ามาในสภาพที่คงจะตึงๆมาจากที่อื่นแล้ว เมื่อมาถึงพี่แก้วก็ส่งแบ๊งค์พันให้เจ้าโยออกไปซื้ออะไรมากินกัน เจ้าโยกับเจ้าหมู (NIM บางแสน) หายออกไปแป๊บนึงก็หอบเสบียงมาพอสมควรพร้อมด้วยเงินทอน 10 บาทและสิ่งที่ได้มาก็เป็นประเภทเครื่องดื่มทั้งนั้น ทำให้ไม่ต้องเดาเลยว่าคืนนี้จะเป็นยังไง แต่ผมก็นั่งอยู่จนถึงเบียร์ลังที่สามก็อาศัยช่วงชุลมุนหนีกลับไปนอนที่ห้องเพราะ ทีมผมยังต้องมีงานในวันพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน

อย่างที่เคยบอกไว้ ห้องของผมจะติดกับโต๊ะแม่บ้าน ถ้าอยู่ในห้องน้ำจะได้ยินเสียงด้านนอกเสมอ วันนั้นผมตื่นประมาณ แปดโมงกว่าๆ เข้าไปนอนแช่น้ำอุ่นให้แอลกอฮอร์เจือจางไปบ้าง ป่านนี้ทีมภาคเหนือคงจะออกเดินทางกันแล้วเพราะต้องเข้ากรุงเทพกันก่อน แล้วค่อยเดินทางกลับเชียงใหม่ ผมนอนแช่น้ำอุ่นไปเรื่อยๆก็ได้ยินเสียงแม่บ้านคุยโทรศัพท์ คงจะคุยกับคนด้านล่างว่า " เจ้าขึ้นมาเบิ่งแน..ห้อง322 น่ะ" ผมนอนยิ้มอยู่ในอ่างคนเดียว สภาพห้อง 322 คงจะดูไม่ได้เลยแน่ๆ เพราะตอนผมกลับออกมาสภาพมันก็เหมือนกับสมรภูมิย่อยๆกันแล้ว ทั้งขนมทั้งถั่ว ขวดเบียร์ ปลิวว่อนกันอยู่ในนั้น แก้วน้ำไม่รู้ว่าจากห้องไหนบ้างก็มารวมกันอยู่ในนั้น น่าสงสารแม่บ้านจังเลย... แต่ก็คิดว่างานนี้คงจะเก็บขวดได้อีกถุงใหญ่ๆแน่ๆ "กว่าจะออกไปคงได้หลายอยู่"

-------------------------------------------------------------------------------

ช่วงที่ผมอยู่บางแสน เป็นช่วงที่ประเทศไทยได้รู้จักไข้หวัดนกเป็นครั้งแรก ก็เป็นที่หวาดกลัวกันทั่วไป แต่คงไม่มีใครเกินเจ้าเบิร์ด เด็กมหาชัย ที่ทำงานส่วน QA ที่มาดูเกี่ยวกับ Quality ของBTS ที่เปลี่ยนใหม่แน่ๆ เพราะเจ้านี่จะใส่ผ้าปิดปากปิดจมูกตลอดเวลา จนพี่ใหม่ต้องคอยปรามๆว่า "มึงอย่าเวอร์นักเลยวะ" แถมแก๊งค์เด็กเหนือที่อยู่กับผมก็ช่วยๆกันเตือนว่า "เบิร์ดเอ๊ย อยู่ที่นี่ หวัดนกไม่น่ากลัวเท่าตับแข็งหรอกว่ะ" ก็คงจะจริงเพราะพี่ไก่เคยบอกว่า "นี่ถ้าผมอยู่ที่นี่ซักเดือนสงสัยผมติดเหล้าแน่ๆ" แต่เจ้าโย ณ ลำพูน สวนขึ้นมาว่า "ไม่ต้องถึงเดือนหรอกพี่ แค่ สองอาทิตย์ก็รู้เรื่องแล้ว"..

พวกเราตระเวณกินเหล้ากันในบางแสนจนเกือบจะทั่ว ส่วนใหญ่จะนั่งกันริมทะเล กินเบียร์รับลมทะเล โอ้ ช่างมีความสุขเสียนี่กระไร พวกเราจะเปลี่ยนร้านกันไปเรื่อยๆ แต่ที่เหมือนกันคือ เข้าร้านไหนเสียค่าเก้าอี้ตัวละ ยี่สิบบาททุกร้าน หกคนเหมาร้อยนึง เท่ากันทุกร้าน ค่าอาหารก็ราคาเท่ากันทุกร้าน มาตรฐานเดียวกันทุกร้าน (มาตรฐานกำนันเป๊าะ) และทุกร้านต้องปิด สองทุ่มเหมือนกันทั้งหมด นั่นคือสิ่งที่เหมือนกันของร้านค้า แต่สิ่งที่เหมือนกันของพวกเราคือ นั่งร้านไหนแม่ค้าต้องขอร้องให้เลิกแทบทุกร้าน มีอยู่ร้านนึงที่ผมจำได้เลยเป็นร้านของป้าแก่ๆคนนึง "สงสารป้าเถอะ ป้าจะกลับบ้าน" เจอไม้นี้พวกเราเลยต้องย้ายไปกินบนห้องโดยไม่มีข้อแม้ขอแถมอีกสิบนาทีเหมือนร้านอื่นๆเลยครับ แต่ถึงพวกเราจะเมายังไงแต่งานไม่เคยเสียนะครับ จะมีแผนกโทรตามตลอดเวลา ถึงไหนแล้วติดปัญหาอะไรหรือเปล่า ตลอดทั้งวัน

แต่ เหนือฟ้ายังมีฟ้าฉันใด ขี้เมาก็ต้องมีเมากว่าฉันนั้น มีวันนึงพี่อาท ผู้จัดการแผนกที่นี่มานั่งกินกับพวกเราด้วย นั่งจนร้านปิด แกก็ให้ไปซื้อมากินต่อ "นั่งมันบนทรายนี่แหละได้อารมณ์ดี" เอาไงก็เอา กินกันจนนับขวดไม่ไหวพี่แกก็ไม่ยอมเลิก จนดึกมากแล้ว แกยังสั่งไอ้หมูให้ไปซื้อที่ 7-11 แถวๆนั้นมาอีก พวกเรานี่แทบจะคลานกันแล้ว แต่พี่อาทก็เสียงเริ่มอ้อแอ้ๆ แล้วเหมือนกัน ไอ้หมู หิ้วเบียร์สิงห์ มาอีกหกขวด พวกเรามองหน้ากันแบบรู้ชะตากรรมตัวเอง ตัวผมนั้นอย่าว่าแต่จะใส่ลงไปอีกเลยครับ ลุกขึ้นเดินยังไม่รู้เลยว่าจะไหวหรือเปล่า แล้วพี่ไก่ ก็กระซิบผมว่า " เอาฝังทรายซะบ้างเถอะวะจะได้ไปนอน" พวกเราก็แอบๆเอาเบียร์ฝังไว้ในทราย ฝังไปผมก็คิดไปว่า ไม่น่าเชื่อว่าชีวิตผมจะต้องมาทำเรื่องแบบนี้ ไม่เคยเลยจริงๆที่จะกินไม่หมดแล้วต้องยอมแพ้ขนาดนี้

"มึงซื้อมากี่ขวดกันแน่วะไอ้หมู" เสียงพี่อาทถามไอ้หมู "หกขวดครับ" "แล้วทำไมมันหมดเร็วนักวะ" "ก็ช่วยๆกันกินจะได้ไปนอนครับพี่ พรุ่งนี้มีงานเช้า" พี่ไก่รีบออกตัวทันที พอพูดถึงเรื่องงานพี่อาทก็เริ่มคิดได้ว่าถ้าพวกเราไปทำงานไม่ไหวแกเองนั่นละครับที่จะต้องเดือดร้อน เลยยอมเลิก แต่สรุปว่าแกกลับบ้านไม่ไหวต้องอาศัยนอนกับพวกเราที่โรงแรมนั่นละครับ แต่ก็ยังดีที่แกไม่ขับรถกลับไม่งั้นคงจะอันตรายกว่านี้เยอะเลยครับ

พอตื่นเช้าขึ้นมา พวกเราก็อาบน้ำไปทำงาน ช่วงที่เดินมาเจอกันที่ลานจอดรถ ไอ้โยก็ถามผมว่า "มึงไม่ไปขุดเบียร์เหรอวะ เสียดาย ตั้งสามขวดแนะ" ผมส่ายหน้า แล้วเดินขึ้นรถพลางบอกมันไปว่า "ถ้ามึงจะกินต่อก็ไปขุดเอาเองเถอะวะกูจำไม่ได้แล้วว่าฝังไว้ตรงไหน อีกอย่าง เมื่อคืนรอดมาได้ก็บุญแล้ว ช่างแม่..งเหอะ" และจากเหตุการณ์นี้ทำให้ผมไม่ค่อยกล้าไปนั่งกินกับพี่อาทอีกเลย เหนือฟ้ายังมีฟ้าจริงๆด้วยครับ

วันศุกร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2553

บทความเก่าๆ - โอเค เบตง

วันนี้ 14/09/2552 ช่วงเย็นหลังจากเจ้าแอ๋วกลับไปภูเก็ตแล้ว ผมก็หลับไปงีบนึง ตื่นขึ้นมาฟ้าก็มืดซะแล้ว หยิบรีโมทกดช่องนู้น ช่องนี้ไปเรื่อยๆ จนมาถึงช่องมงคลแชลแนล หนังกำลังเริ่มพอดี ดูไตเติ้ล ดูเนื้อหา อ๋อ......เรื่องโอเคเบตงนี่เอง

หนังเรื่องนี้เป็นหนังที่แปลกมากๆเรื่องนึง คือ ผมซื้อแผ่นมาไว้ที่บ้าน และมีโอกาสดูอีกสองสามครั้ง แต่ผมไม่คยดูจบเลยครับ ดูกี่ครั้งๆก็ไม่เคยผ่านฉากที่พระเจอกับ มารีอาหลานสาวของพระ ตอนต้นเรื่องซักที ทำไมเหรอครับ ไม่รู้เหมือนกัน คล้ายๆกับว่ามันมีความหลังอะไรบางอย่างกับชีวิตผมมากมายจริงๆ สำหรับเบตง

ปีนั้น ประมาณสี่ห้าปีที่แล้ว หลังจากที่คำว่า "โจรกระจอก" ถูกกล่าวออกมาจากปากนายกท่านนึง บ้านผมก็ลุกเป็นไฟ ยิงกันบ้าง วางระเบิดกันบ้าง มีการตายกันเหมือนใบไม้ร่วง (ทำไมต้องใบไม้ร่วง) หวาดระแวง ใช้ชีวิตอยู่อย่างไม่มีความสุขเลย แต่ถึงอย่างไรเราก็ยังอยู่กันได้

บ่อยครั้งที่ความขัดแย้งในบ้านของเรามาจากคนที่อื่น พี่ๆน้องๆไทยพุทธ มุสลิม เคยอยู่กันได้อย่างมีความสุข กลับต้องมาระแวงกันเพราะใครก็ไม่รู้ มีข่าวออกไปทุกวันว่าเหตุการณ์มันรุนแรง ปีนั้น ผมจำได้ว่าปลายปี 2547 หรือต้นปี 2548 นี่แหละครับ ผมได้ยินคนบางคนพูดว่า " ตำรวจ รีดไถ พวกนักเรียนตีกันนี่ทำไม่ส่งไปสามจังหวัดชายแดนวะ" ผมก็บอกไปว่า " ก็ที่บ้านกูมันตีกัน ยิงกันทุกวันนี้ก็เพราะมีคนคิดแบบมึงนี่แหละ" มีแต่ความคิดที่เป็นลบ ไม่รู้อะไรจริงๆแต่ขอให้พูดไว้ก่อน คนชั่วๆแบบนั้น เอาไว้ให้มันตายอยู่ที่บ้านมึงนั่นแหละ จะส่งมันลงไปชายแดนทำไม

เคยมาเห็นกันจริงๆหรือเปล่าว่าเขาอยู่กันยังไง พูดกันอย่างกับว่า มานอนอยู่แถวๆนี้เป็นปีๆ "ภาคใต้ น่ากลัววะ มีข่าวยิงกันวางระเบิดกันทุกวันเลย" พอไม่มีข่าวอะไรหายไปหลายๆวัน

"สงสัย แม่ง ปิดข่าววะ"

มันก็เป็นซะแบบนี้ละครับนิสัยของคน คนกันจนมั่ว คนกันไม่หยุด ปากก็บอกว่า กูไม่ยุ่ง ใจเย็นๆ อยู่สงบๆ แต่ในทางปฏิบัติ โคตรยุ่งเลย รู้ไม่รู้กูพูดไว้ก่อน เก่งนักหนาเวลาอยู่กันเยอะๆ รวมกลุ่มได้เมื่อไหร่ละก็ เก่งกันเหลือเกิน พูด จน ไม่รู้จะพูดอะไร ไม่มีอะไรจะพูดก็พูด กลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้ว่าพูดได้ คนดีๆกัน ก็ปั่นซะจนเกลียดกันไปเลยก็มี

กลับมา....... โอเค เบตง

สมัยเรียน ปริญญาตรี ผมมีเพื่อนคนนึงชื่อ ไอ้จง ชื่อจริงมันชื่อ บรรจง เป็นลูกคนจีน อยู่ที่ในตลาดเบตง นี่ละครับ หน้าตาดี ดูเหมือนจะเรียบร้อย แต่มันก็แสบไม่ใช่ย่อยเหมือนกัน กินเหล้า เที่ยวเตร่ ไล่ตีกันบ้าง โดนเค้าไล่เตะบ้างมาด้วยกัน แต่มันเรียนจบก่อนผม เทอมนึง มันเก็บข้าวของแล้วบอกว่า "กูกลับบ้านแล้วนะ กูเรียนจบแล้ว จะกลับไปช่วยเตี่ย กรีดยาง" พวกเรายังคิดว่ามันล้อเล่น แต่มันก็ทำแบบนั้นจริงๆ

ปลายๆปี 2547 หลังจากที่ผมกลับจาก ภาคตะวันออก เลือดนักเดินทางในตัวของผมมันสูบฉีดเต็มที่ผมเดินทางไปในแทบจะทุกๆที่ ที่ผมอยากไป เวลาทำงานที่ไหนไม่เคยไป ก็จะแวะเข้าไปทันที พเนจรไปไม่หยุด หกเดือนนั้นผมนอนที่บ้านไม่กี่คืนที่เหลืออยู่ต่างจังหวัดตลอด จนวันนึงตอนกลางปี 2548 ไอ้จงมันโทรมาหา คุยนู่น คุยนี่ไปเรื่อย ผมก็บอกมันว่า "กูจะไปหามึง" มันก็คงจะคิดว่าผมพูดเล่น มันบอกว่ามาเถอะ ถ้ามึงผ่านตันหยงมัสมาได้ มาถึงบ้านกูก็ไม่มีอะไรแล้ว "เออ แล้วกูจะไป" วางสายเสร็จ ผมก็จัดการเรื่องวันลาทันที เก็บข้าวของที่จำเป็นยัดใส่เป้ สีแดงใบเก่ง เป้ Happy สีแดงที่ผ่านร้อนผ่านหนาวกับผมมานาน จนผมมาเลิกใช้มันโดยเด็ดขาดก็ตอนที่ สีแดงครองเมือง นั่นละครับ

ผมติดรถ พี่ที่ทำงานลงไปหาดใหญ่ เพราะพี่เค้ามีประชุมพอดี แล้วผมก็ให้เพื่อนอีกคนไปส่งที่ คิวรถตู้เบตง ผมโทรไปบอกไอ้จงว่าให้รอรับด้วยเพราะไม่เคยไป ไอ้จง มันคงจะแปลกใจนิดหน่อย "นี่ถ้าเป็นคนอื่นกูคงไม่เชื่อ แต่นี่เป็นมึง กูเลยไม่แปลกใจเท่าไหร่" แล้วมันก็ถามเวลารถ มันบอกว่าจะมารอรับอยู่หน้าบ้านให้บอกคนขับว่าลง...แล้วคนขับจะมาส่งถึงหน้าบ้านเลย

ผมนั่งมอง สองข้างทางไปเรื่อยๆ มองลองกอง ที่เหลืองเต็มต้นแต่ไม่มีคนเก็บ ทั้งๆที่เมื่อก่อน ลองกองแถวๆนี้ ราคาจะสูงมากๆ ผมหลับตาคิดถึงวันที่ผมมาทำงานที่ ลำพญา Site นั้นอยู่ในสวนลองกอง ลุงแก่ๆคนนึงเอาลองกองใส่ถุงมาให้ มากมาย รอยยิ้ม มิตรภาพ ไทยพุทธ มุสลิม ไม่มีข้อแปลกแยก ไม่มีพวกมึงพวกกู มีแต่คำว่า พี่น้องและคนไทยด้วยกัน ผมนั่งคิดนู่นคิดนี่ คิดถึง วันที่มาเที่ยวเขื่อนบางลาง มากินปลาแรด ตัวใหญ่ๆ เดินทางไปไหนมาไหนได้อย่างสบายใจไม่ต้องกังวล เพราะที่นี่คือแผ่นดินไทย แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว

ผมเริ่มเห็นรถทะเบียน เบตง โอ้...มันมีจริงๆเหรอเนี่ย (รู้ทั้งรู้ว่ามี) อดนึกขำเรื่องที่เพื่อนๆเล่าให้ฟังว่าโดนตำรวจจราจรในกรุงเทพ จับ เพราะไม่รู้ว่ามีทะเบียน เบตง กว่าจะทำความเข้าใจกันได้ก็เหนื่อยพอสมควร

และแล้วผมก็มายืนอยู่หน้าบ้านไอ้จง มันพาผมเข้าไปไหว้เตี่ย ไหว้ แม่และพี่ชายของมัน เอาข้าวของไปเก็บ แล้วก็นั่งคุยกันหน้าบ้าน พอตกเย็นก็นั่งซ้อนท้าย มอเตอร์ไซค์ ออกไปเที่ยวกัน "บ้านมึงนี่ดีนะไม่ต้องใส่หมวกกันน็อค ตำรวจก็ไม่จับ" (ตอนนั้นนะครับ) ถ้าบ้านกูละก็โดนสอยโดนชี้หน้าเรียกให้จอด ยังกะมันชี้เลือกเด็กในตู้เลยละ ไอ้จงพาผมขับรถชมเมือง ไปดูไก่ (ไก่จริงๆ) ตัวใหญ่ๆ แถวๆถนนสร้างใหม่ เป็นรูปไก่เบตงตัวใหญ่ เสียดายที่รูปชุดนี้หายไปพร้อมกับ โน๊ตบุ๊คตัวเก่า เหลือไว้เพียงแค่ความทรงจำเท่านั้น และคืนแรก เราก็เที่ยวชมเมืองนิดหน่อยแล้วเราก็กลับมานอน

ผมจำได้ว่าช่วงนั้นฝนตกนิดหน่อย ไอ้จงเลยว่างบางวันมันไม่ต้องกรีดยาง เลยมีเวลาพาผมเที่ยว แต่ผมบอกมันว่า ไม่ต้องพาไปไหนมากหรอก อยากจะเห็นชีวิตประจำวันของคนแถวนี้มากกว่า ไอ้จงเลยจัดให้ มันตื่นดึกๆไปกรีดยาง กลับมานอน ตื่นสายๆ เพราะเตี่ยมันจะเป็นคนทำแผ่น ยางแผ่นที่เบตง ใหญ่มากๆๆๆๆๆ ไม่เหมือนยางแผ่นที่บ้านผม ยางแผ่นที่บ้านผม แผ่นนึงหนักประมาณ 1 กิโลแต่ยางแผ่นที่นี่ ต้องหนักกว่าที่บ้านผม สองสามเท่า ไอ้จงบอกผมว่า ถ้ามัวทำแผ่นเล็กๆมันไม่ทันเวลา (ตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงไม่ทันเวลา)

เบตง ตอนนั้นเป็นเมืองที่ไม่มีการก่อการร้าย ไม่มีข่าวใดๆ ช่วงสายๆผมไปถ่ายรูปไปดูหมอกยามเช้าที่วัดแบบในรูปหน้าปกหนัง โอเค เบตง ไปเที่ยวด่านเบตงไปเที่ยวถ้ำปิยมิตร ไปนู่นไปนี่ ไปบ่อน้ำร้อน ไปทุกที่ที่อยากไป วันไหนฝนตกผมก็เช่าการ์ตูนมาอ่าน เรียกว่าลืมโลกภายนอกไปเลยครับ

กลางคืนมานั่งกินกาแฟ ดูนกนางแอ่น นั่งคุยกับเพื่อนของไอ้จง ที่เป็นอิสลามบ้าง ไทยพุทธบ้าง สนุกสนานดี มีแต่รอยยิ้มและมิตรภาพ วันไหนไม่มีอะไรทำก็ แทงสนุ๊ก สูบใบจาก ดึกๆถ้าว่างก็ไปหาเบียร์กิน ร้องเพลง จนถึงวันที่ผมจะกลับ ไอ้จงมันก็บอกว่ามันจะออกมาในเมืองด้วย มันจะเข้ามาในเมืองยะลามาหาเพื่อน มาเยี่ยมแฟน เราเลยเก็บข้าวของออกมาพร้อมกัน

ขากลับผมนั่งรถแท๊กซี่ เบนซ์ ด้วยนะ ผมจำคนขับได้เป็นอย่างดีแม้ว่าจะผ่านมาหลายปีแล้วก็ตาม คนขับเป็นชายร่างเล็ก ชื่อ ลุงจ้อย ใครไปเบตง ลองถามหาดูนะครับเผื่อจะเจอ ผมนั่งฟังการพูดคุยกันในรถเงียบๆอย่างสนใจ ผู้โดยสารคนนึงน่าจะเป็นครู ครูคนนี้คุยกับลุงจ้อยตลอดทาง ครูบอกว่า เมืองไทยโชคดีที่มีในหลวง ท่านเก่งจริงๆ ผมแอบยิ้ม และนั่งคิดคนเดียวว่า "นี่ขนาดในป่าในเขา บารมีในหลวงยังแผ่มาถึง เมืองไทยนี่โชคดีจริงๆ"

ลุงจ้อย เล่าอะไรให้ฟังหลายอย่าง บางครั้งมีมอเตอร์ไซค์ขับหวาดเสียวน่ากลัว ครูถามลุงจ้อยว่า "ทำไมไม่บีบแตร" ลุงจ้อยบอกว่า "อย่าเลยครับ คนเราคิดไม่เหมือนกัน เราคิดว่าจะเตือน แต่ถ้าเขาแปลเจตนาเราผิด เดี๋ยวก็ ไม่สบายใจกันเปล่าๆ" จนถึงทุกวันนี้ ผมก็ยังแอบๆเอาประโยคนี้ของลุงจ้อยมาใช้อยู่บ้าง เงียบได้ก็เงียบ อย่าไปยุ่งกับมัน เดี๋ยวมันก็เงียบไปเอง เลิกกันไปเอง

ระยะทางจากเบตง มายะลามันก็ไกลพอสมควร ลุงจ้อยกับครูก็คุยกันอีกมากมาย ลุงจ้อยพูดจาเรียบร้อยมาก ลุงยังเล่าถึงสมัยที่เรียน ดูลุงจ้อยจะภูมิใจกับโรงเรียนที่ลุงเคยเรียนมาก และจะรักและเคารพครูที่สอนลุงมามากมาย ผมอดคิดถึงเด็กทุกวันนี้ที่ไม่เคยแม้แต่จะคิดที่จะเกรงใจคนเป็นครู แต่ก็นั่นละครับ ครูบางคน อย่าว่าแต่จะยกมือไหว้เลยครับ เห็นแล้วอยากจะขอร้องให้ไปทำงานอื่นเถอะ อย่ามาเป็นแม่พิมพ์เลวๆให้อนาคตของชาติเลย

มีผู้โดยสารหญิงคนนึงถามว่า "ลุงซื้อหวยบ้างหรือเปล่า" โอ้ ในป่าในเขา หวยก็เข้ามาถึงเช่นกันครับ " ไม่ครับ ชีวิตผม ตั้งแต่เด็กๆมา ถ้าอยากได้อะไรต้องทำงานแลกมาตลอด ไม่เคยมี โชคเรื่องแบบนี้เลย ทำงานเก็บเงินอย่างเดียวครับ" เยี่ยมจริงๆเลยครับลุง

จนมาถึงแยก มลายู-บางกอก ลุงจ้อยเล่าความเป็นมาของ บ้านมลายูที่มาจากบางกอกให้ฟัง แต่ตอนนั้นใจผมมันคิดถึงแต่เมืองยะลา เลยไม่ได้สนใจมาก ถึงตอนนี้มานั่งนึกเสียดาย เดี๋ยวจะลองไปค้นหามาเขียนไว้ซักหน่อย เพราะเรื่องราวมันน่าสนใจดีครับ เมื่อมาถึงยะลาเราพักที่โรงแรมยะลา มายเฮาส์ กลางคืนก็เมา ร้องคาราโอเกะ โดยที่ไม่สนใจว่าเมื่อไม่กี่วันมีระเบิดที่หน้าโรงแรม สนุกอย่างเดียว จนสายๆอีกวันก็ติดรถแฟนของไอ้จงเข้าหาดใหญ่ แล้วผมก็นั่งรถไฟกลับสุราษฎร์ธานี เมื่อกลับถึงบ้าน ดูข่าวก็เห็นข่าว ป้อมตำรวจ+ทหาร ที่ผมนั่งรถผ่านโดนถล่ม ดูข่าวแล้วก็ใจหาย ไม่รู้เมื่อไหร่ไอ้พวกบ้านั่นจะเลิกกันซะที

จริงๆแล้วมันมีรายละเอียดปลีกย่อยอีกเยอะที่ผมไม่สามารถที่จะเล่าได้ เหตุการณ์ตอนไปเบตงเลยดูเหมือนข้ามไปข้ามมา แต่ก็อยากจะเขียนไว้เป็นความทรงจำดีๆเก็บไว้ ทุกที่ที่เป็นที่เที่ยวของเบตง ผมใช้เวลาสี่ห้าวันที่อยู่ที่นั่นไปเที่ยวจนทั่ว ด้านมืดด้านสว่างก็ไปชมมาจนเกือบจะทั่ว แต่เขียนออกมาได้เท่านี้ละครับ ไว้ถ้าผมว่างจะสแกนรูปมาใส่ไว้ให้ดูเพราะมีบางภาพที่ผม ไปอัดเก็บไว้ถึงแม้ว่ามันจะไม่หมดทุกรูปแต่ก็พอเหลือไว้บ้าง ไม่หายไปหมดซะทีเดียว ไว้วันไหนว่างๆค่อยมาเขียนเล่าเรื่องอื่นๆให้อ่านกันอีกครับ วันนี้พอแค่นี้ก่อนเพราะงานยังไม่เสร็จเลยครับ

วันพฤหัสบดีที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2553

รำลึกอดีตที่ภูเก็ต

พูดถึงสมัยสี่ปีที่แล้ว ตอนนั้นชีวิตผมมันไม่เหมือนตอนนี้เลย ชีวิตช่วงนั้นเรียกได้ว่า เสเพลเอาเรื่องทีเดียว กินเหล้าแบบหัวทิ่มหัวตำ เรียกได้ว่าเมืองภูเก็ตทั้งเมืองผมไปมาซะแทบทุกร้าน ร้านไม่ปิดไม่กลับไปนอน สมัยนั้นไม่กวดขันเรื่องเมาแล้วขับเหมือนสมัยนี้ เลยกินเต็มที่ และบ่อยครั้งที่ผมต้องจอดรถนอนข้างทาง

อย่างร้านโรงฝิ่นใต้โรงแรมถาวรสมัยนั้น ผมนั่งกินจน หกโมงเช้า กินกับใครนะเหรอ ก็กับเจ้านักดนตรีในร้านนั่นแหละ เริ่มจากผมไปกับเพื่อนอีกคนเสร็จจากงาน Cell Down ตอนสองทุ่มกว่าๆ ไม่อยากกลับไปนอน เลยกะจะไปนั่งกินเหล้าซักแบนแล้วค่อยกลับมานอน พอไปนั่งปุ๊บ เราก็นั่งโต๊ะติดกับเวที กินกันไปคนละแก้วสองแก้ว เจ้านักดนตรีก็เล่นเพลง "ขนำน้อย" ของพี่ป๋อง ณ ปะเหลียน ที่ตอนนั้นเพิ่งออกวางแผงใหม่ๆ ซึ่งผมชอบมาก(ชอบในความซื่อๆของเพลง ที่ไม่มีอะไรเลยแต่เพราะ) เลยบอกเด็กเสริฟให้ชงเหล้าให้มือกีตาร์คนนี้แก้วนึง เค้าก็หันมาขอบคุณแล้วก็ยิ้มทักทาย หลังจากนั้นเราขอเพลงอะไรพี่แกไม่เคยขัด

เราก็สั่งเหล้ามาเพิ่มคราวนี้ กลมนึงเลยกลัวไม่พอ ชงไปชงมาก็ถึงเวลาพักช่วงประมาณเที่ยงคืนกว่าๆเจ้านี่ก็ลงมานั่งกับพวกเรา (แต่ที่พักนี้คือเค้าจะผลัดกันพัก บนเวทีจะมีคนเล่นตลอดไม่ขาดตอนทำให้ที่นี่ได้รับความนิยมพอสมควรเลยในช่วงนั้น) นั่งกินไปคุยไป จนถึงเวลาที่ต้องขึ้นไปเล่นเราก็ยังชงเหล้าส่งไปให้เรื่อยๆจนกระทั่งร้านเลิก พี่แกก็ยังไม่มีทีท่าจะเมา ส่วนเราก็ยังติดลม แถมพี่แกสั่งเหล้ามาอีกขวดแล้วชวนเรากินอีก เลยนั่งกินกันต่อในร้าน ที่เปิดไฟสว่างแล้ว นานเท่าไหร่ไม่ทราบจนได้ยินเสียง "โครม" คือเสียงเด็กเสริฟเอาเก้าอี้กระแทกโต๊ะ นั่นแหละถึงจะรู้สึกตัวว่าเหลือแต่เราสามคน เลยย้ายมานั่งกินต่อที่ล็อบบี้โรงแรมนั่งกินมันสามคน จนเหล้าหมดไปอีกกลม เลยถอยออกมาจากล็อบบี้เพื่อที่จะกลับที่พัก

แต่เวลานั้นฟ้ากำลังจะสว่างพอดี "เดี๋ยวๆๆๆๆ พอดีในรถมีเบียร์อีกสองกระป๋อง เอาไปด้วยสิ" พี่แกใจดีอีก ผมเลยเปิดเบียร์ กินกับเพื่อนอีกคนละกระป๋อง แล้วก็ขึ้นรถ "มึงจะกลับที่พักจริงๆเหรอ" เพื่อนผมถามด้วยสภาพที่ไม่ต่างกับผมซักเท่าไหร่ "งั้นนอนในรถกันดีกว่าวะ" พอเพื่อนผมเห็นด้วยผมก็เอนเบาะลง แล้วผมก็ไม่รู้สึกตัวอะไรอีกเลยจนเที่ยงวันที่แดดร้อนซะจนเสื้อเปียกถึงจะตื่นแล้วก็ขับรถกลับที่พัก ไปนอนต่อ โดยงานที่ต้องทำของวันนั้นยกยอดมาทำตอนกลางคืนแทน โดยบอกกับหัวหน้าว่า "ผมว่าทำกลางคืนดีกว่านะพี่มันไม่ร้อน"


สมัยอยู่ภูเก็ตช่วงแรกๆคู่หูของผมจะเป็นไอ้บอย เพื่อนรุ่นเดียวกันสมัย ปวส ช่วงนั้นการทำงานกลางคืนเป็นเรื่องปกติของพวกเราเพราะต้องดูแลเครือข่ายทั้งคืน เนื่องจากสมัยนั้นเสาสัญญาณไม่ได้มากเหมือนสมัยนี้ ถ้าตรงไหนใช้ไม่ได้มันจะใช้ไม่ได้เป็นบริเวณกว้าง ทางบริษัทจึงเน้นย้ำให้แก้ไขให้ได้เร็วที่สุด นี่ก็คงจะเป็นสาเหตุนึงที่พนักงานส่วนงานของผมรุ่นแรกๆจะขับรถเร็วกันทุกคน สมัยนั้นเราจะขับรถรอบเกาะภูเก็ตกันแทบทุกวัน แถมบ่อยครั้งที่ช่วงตีหนึ่งตีสองก็ยังต้องขับอยู่และช่วงเวลานี้เองที่ผมได้เจอกับ "ผีวงเวียน"

วงเวียนที่ว่าคือวงเวียนกะรน ที่จะตัดมาออกหาดป่าตองนั่นแหละครับ พวกเราที่ทำงานดูแลเครือข่ายจะครบเครื่องทุกคน คือเหล้า บุหรี่ เคยมีการรับพนักงานรุ่นหลังผมอีกสองชุด แต่ก็หลายปีมาแล้วก่อนที่แผนกผมจะไม่รับพนักงานประจำอีก มันน่าจะหมดอายุความแล้วเลยคิดว่าน่าจะเล่าได้ คุณสมบัติของพนักงานแผนกผมช่วงนั้นคือ ความสามารถไม่ต้องมาฝึกเอาได้ให้มีลูกบ้าซักหน่อย อดนอนได้ มีความรับผิดชอบ และที่สำคัญถ้ากินเหล้า สูบบุหรี่ จะพิจารณาเป็นพิเศษ ที่ต้องทำแบบนี้เพราะ พวกเราต้องไปใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันกินนอนด้วยกัน ช่วงนั้นบางครั้งผมไม่ได้นอนที่บ้านเป็นเดือนเลยก็มี

ดังนั้นจึงต้องเอาคนที่เหมือนๆกันมาทำงานด้วยกันไม่งั้นทะเลาะกันตายเลย มาว่าเรื่องผีวงเวียนกันต่อ ที่วงเวียนแห่งนี้เราต้องผ่านมาจากทางห้าแยกฉลอง เป็นถนนที่สูงชัน ต้องขับรถขึ้นเขาสูงและต้องใช้ความระมัดระวังมาก พอขึ้นเขามาได้ พวกเราจะจุดบุหรี่สูบกันทันที เปิดกระจกลงรับลมเย็นๆ แล้วจะมาหมดแถวๆวงเวียนกะรนพอดี และเมื่อถึงวงเวียนจะมีเสียงเล็กๆแหลมๆ ดังขึ้นเป็นประจำ "ดีแทคคคคคคค" บางวันก็เสียงเดียวบางวันก็หลายๆเสียง นั่นคือสาวประเภทสอง จะทำพริกกะเกลือมานั่งรอหาฝรั่งตอนดึกๆอยู่แถวนั้น พวกเราก็หันไปยิ้มแล้วก็ขับผ่านไปเป็นประจำ

แต่ถ้าวันไหนพวกเธออยู่กันเยอะก็จะมีมาขวางๆหน้ารถบ้าง ชวนให้ลงไปนั่งกินเบียร์บ้าง แต่สาบานได้ครับว่าพวกเราไม่กล้าแม้กระทั่งคิด จนหลายๆครั้งเข้าสงสัยพวกหล่อนจะเริ่มสงสัยว่าพวกเราคิดยังไงกับพวกเธอ ขับผ่านยิ้ม แต่ไม่ลงจนถึงวันมหาวิปโยคของพวกเรา วันนั้นพวกหล่อนอยู่กันสี่ห้าคน (แปลกนะครับพวกนี้ไม่ว่าอยู่ที่ไหนมาจากไหนก็รวมกลุ่มกันเร็วมาก)แล้วดูท่าว่าจะเมากันพอสมควร วันนั้นผมเป็นคนขับ พอถึงวงเวียนนรก เสียงมาก่อนเลยครับ"ดีแทคคคคคค" กินเบียร์หน่อยมั้ย ไอ้เราก็ไม่ทันจะปิดกระจก ก็เลยตอบไปว่าไม่เอาละครับ

ทันใดนั้นก็มีเสียงตอบมาว่า "อะไรวะชวนกี่ทีก็ไม่ลง ตกลงมึงจะลงมามั้ย ถ้าไม่ลงก็อย่าขับมาทางนี้อีกนะ" แน้ ..ใครบอกกระเทยเป็นเพศที่บอบบาง พอเธอเมาได้ที่ มันก็ผู้ชายดีๆนี่เอง แทนคำตอบใดๆ ผมเหยียบคันเร่งออกไปอย่างรวดเร็ว และหลังจากนั้น เวลาดึกๆถ้าจะไปป่าตองผมยอมอ้อมไปเข้าทางกะทู้แทน ยอมขับขึ้นเขาสูงๆชันๆกว่าทางนี้แต่ก็ดีกว่าเจอพวกผีวงเวียน ละครับ เฮ้อ ไปมาร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำเกือบมาตายกับผีวงเวียนที่ภูเก็ตซะแล้วสิเรา เคยคิดในใจว่าถ้าเปิดประตูลงไปจะเกิดอะไรขึ้น ผมจะยอม(กินเบียร์)ดีๆหรือขัดขืนดีหนอ

ที่ภูเก็ตนี่วีรกรรมวีรเวรของผมมีมากหน่อยเพราะอยู่นาน แต่ที่จะเล่าต่อไปนี้เป็นตอนที่ทำงานใหม่ๆครับตอนนั้น พวกเราจะอยู่ส่วนงาน NIM
( Network Implementation & Maintenance) ตอนนั้นภาคใต้ตอนบนจะแบ่งเป็น สาม NIM A,B,C ผมตอนนั้นอยู่ NIM B ดูพื้นที่จังหวัดนครศรีธรรมราช ตรัง และสุราษฎร์ด้านตะวันออก ไอ้โอ๋ อยู่ NIM C ดูพื้นที่ ภูเก็ต พังงา กระบี่และสุราษฎร์ด้านตะวันตก ตาบ็อบ อยู่ NIM A ดูพื้นที่ ชุมพร ระนองและสุราษฎร์ด้านเหนือ

ถึงพวกเราอยู่กันคนละโซนแต่ก็มีเหตุให้มารวมกันจนได้ คือผมได้รับงาน Test Feeder ซึ่งอุปกรณ์ Test มันมีตัวเดียว หัวหน้าเลยให้วิ่งทีมเดียวต่างหากไปเลยโดยจับผมวิ่งคู่ตาบ็อบ วันนั้นเป็นรอบที่จะต้องเข้าภูเก็ต ก่อนจะไประนอง พวกเราเลยมีโอกาสได้เจอกัน ด้วยความที่กำลังห้าวกันทั้งนั้นก็เปิดวงตั้งแต่เย็น ทุกอย่างเท่าที่จะหาได้ประเคนกันเข้ามาจนกระทั่งตีสอง ก็ซื้อเหล้ามาอีกแบนกับเบียร์มาอีกหลายขวดมาแช่ในตู้เย็นในห้องพักที่นอนกันสามคน กินไปพลางนั่งบ่นไปพลาง ไอ้โอ๋ทำท่าจะอกหัก ไอ้ผมนี่ก็ ทำท่าจะแห้ว นั่งกินไปพรรณากันไป

จนตาบ็อบ บอกว่า "กูเบื่อการกินเหล้าในห้องแคบๆแบบนี้จริงๆเลยวะ" "เออใช่ๆๆ อยู่บนเกาะภูเก็ตมันต้องไปกินริมทะเลสิวะ" ไอ้โอ๋เสริมขึ้นมาอีก ผมเป็นคนไม่ขัดใครอยู่แล้วว่าไงว่าตามกัน โยนกุญแจรถให้ตาบ็อบขับแล้วเปิดตู้เย็นหอบเบียร์ขึ้นรถทันที "ไปหาดไหนมึงบอกกูมาเลย เมื่อก่อนกูอยู่ภูเก็ตมาหลายปี" ตาบ็อบบอกพวกเรา แล้วแต่พี่จะพาไปก็แล้วกัน "งั้นไปหาดราไวย์ดีกว่า" ว่าแล้วตาบ็อบก็ขับรถออกไปอย่างทุลักทุเลพอสมควร ก็เมานี่ครับ

จนเรามาถึงหาดๆนึง เสียงคลื่นซัดสาด หาดทรายสีขาว ในมือพวกเรามีเบียร์ขวดเขียวกันคนละขวด "หาดราไวย์นี่สวยสมชื่อจริงๆ" ไอ้โอ๋วิ่งลงไปในทะเลแล้วบอกกับพวกเรา "กูว่ามันไม่ใช่หาดราไวย์หรอกวะ หาดราไวย์ที่กูเคยไปมันไม่ใช่แบบนี้" อ้าวแล้วที่ไหนละเนี่ย "กูก็ไม่รู้ขับมามั่วๆเห็นทะเลแล้วกูก็จอด" เออแต่ก็ช่างมันเถอะ พวกเราพยายามมองหาป้ายว่าที่นี่มันที่ไหนแต่ด้วยตวามที่หาดมันยาวมากแถมไม่มีป้ายอีกก็เลยปล่อยเลยตามเลย "เรามานอนดูพระอาทิตย์ขึ้นกันดีกว่ามันคงจะสวยน่าดู" ผมบอกกับทีมงาน "เออใช่เวลาพระอาทิตย์ขึ้นผ่านขอบทะเลขึ้นมาต้องสวยแน่ๆ" ตาบ็อบเสริมขึ้นอีกคน

"กูมาอยู่ NIM C ตั้งหลายเดือนยังไม่เคยเห็นพระอาทิตย์ขึ้นเลย นี่ถ้าพวกมึงไม่มากูคงอดดูแน่ๆ ดีจริงๆ" ไอ้โอ๋พูดพลางเดินไปหยิบเบียร์ในรถมากินกันอีก พวกเรานั่งกินนั่งคุยกันจนเริ่มมีแสงสว่าง แต่ก็ยังไม่เห็นพระอาทิตย์ "ทำไมไม่เห็นวะ" ผมเริ่มถามทีมงาน "สงสัยต้องไปดูที่แหลมพรหมเทพ" ตาบ็อบเอ่ยขึ้นมา

พวกเราก็เห็นด้วยทันที "มิน่าละถึงไม่เห็น" "ว่าแต่ว่าตอนนี้เราอยู่ตรงไหนของภูเก็ตวะ" หันไปหันมาเจอคนวิ่งออกกำลังกายอยู่ ผมเดินเข้าไปถามทันที "พี่ๆๆ ที่นี่ที่ไหนครับ" พี่ชายคนนั้นทำหน้างงๆ แล้วก็บอกว่า หาดกะรน "แล้วถ้าผมจะไปแหลมพรหมเทพไปยังไง"แกก็บอกทางให้แล้วแกก็วิ่งไปต่อ แกคงจะสงสัยว่าไอ้พวกบ้านี่มันมาจากไหนกัน แล้วพวกเราก็เดินทางไปแหลมพรหมเทพกันทันที พวกเราเดินขึ้นไปจนถึงด้านบนก็ยังไม่มีวี่แววของดวงอาทิตย์

ไอ้โอ๋จึงโทรศัพท์ไปถามพี่หนุ่ม รุ่นพี่ที่นอนอยู่ที่โรงแรมว่าทำไมพวกเราถึงไม่เห็นดวงอาทิตย์กันละเนี่ย เสียงตอบกลับมาตามสายของ โทรศัพท์ระบบ 800 ที่ดังพอจะให้พวกเราได้ยินพร้อมๆกันทั้งสามคนคือ "พระอาทิตย์พ่อมึงเหรอขึ้นทางตะวันตก แหลมพรหมเทพเค้าเอาไว้ดูพระอาทิตย์ตกโว๊ย". ได้ยินแบบนั้นพวกเราก็รีบขึ้นรถกลับที่พักทันทีด้วยความรู้สึกที่บอกไม่ถูกเลยทีเดียว

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

กาหลาหรือดาหลา

เมื่อเช้านี้ผมตื่นเช้าเป็นพิเศษอาจจะเป็นเพราะนานๆจะได้มีวันหยุดกับเขาซักที เลยใช้เวลาว่างให้คุ้มค่าซักหน่อย ผมเดินลงไปดูต้นไม้ที่หน้าบ้านมันเริ่มจะรกๆซักหน่อย โดยเฉพาะเจ้ากอดาหลาที่อยู่หน้าบ้าน กิ่งก้านมันเกะกะสายตาเหลือเกิน ผมเลยจัดการตัดแต่งซะโล่งไปเลย หลังจากนั้นก็นั่งกินกาแฟ นั่งดูปลาดูต้นไม้ไปเรื่อยๆ แล้วก็สะดุดตาสะดุดใจกับเจ้ากอดาหลากอนี้แหละครับ เพราะแถวๆบ้านผมเรียกเจ้าต้นไม้ชนิดนี้ว่า "ดาหลา" แต่ก็มีบางพื้นที่เรียกว่า "กาหลา"เช่นกัน

ดังนั้นเมื่อเกิดความสงสัยผมก็เริ่มหาคำตอบครับ เริ่มต้นจากเข้าไปถามพี่กู ( เกิ้ล ) ที่ใครๆก็บอกว่ารอบรู้ไปทุกเรื่อง แต่ก็ได้คำตอบที่ไม่ชัดเจน มีบางที่บอกว่า ต้องเรียก "กาหลา" เพราะว่า "ดาหลา" ไม่มีคำแปล เมื่อเห็นเช่นนั้นผมก็กวาดสายตาไปที่ชั้นหนังสือทันที แล้วผมก็เจอกับพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 ที่เก็บไว้นานแล้ว เมื่อเปิดออกมาดูก็พบว่าจริงอย่างที่ในเวบนั้นกล่าวไว้คือ

กาหลา ว. เหมือนดอกไม้

ส่วนคำว่า ดาหลา ไม่มีในพจนานุกรมครับ ส่วนคำว่า หลา ที่เปิดแถมมาด้วยแปลว่า น.มาตราวัด 3 ฟุตเป็น 1 หลา 0.91 เมตร เอาละสิทีนี้ นี่เราเรียกผิดมาทั้งชีวิตแล้วเหรอเนี่ย แต่ก็คงจะไม่ใช่เราคนเดียวแน่ๆ เพราะที่ในเมืองสุราษฎร์ก็มีร้านอาหารชื่อ เรือนดาหลา อยู่ด้วย เมื่อเจอแบบนี้ผมยิ่งสงสัยมากขึ้นไปอีกครับ

เมื่อนั่งคิดไปคิดมาก็นึกได้ว่าเคยฟังเพลง ดอกไม้ชายแดน ของพี่ป๋อง ณ ปะเหลียน มีเนื้อหาเกี่ยวกับตำนานของดอกไม้ชนิดนี้ พี่ป๋องเรียกชื่อ "ดาหลา" เช่นกันแต่พอนึกอีกที มีนักร้องเพลงเพื่อชีวิตแถวๆจังหวัดพังงา ชื่อ "โมทย์ กาหลา" เช่นกัน โอ๊ยๆๆๆๆ แล้วตกลงมันชื่ออะไรกันแน่เนี่ย

กลับมาที่พี่กู (เกิ้ล ) อีกที บางเวบก็บอกว่า มันเรียกได้ทั้งสองชื่อ ไม่มีอะไรผิด แต่อย่างว่าละครับผมเดินหน้ามาถึงขนาดนี้แล้วจะหยุดก็คงจะกระไรอยู่เลยก้มหน้าก้มตาหาข้อมูลต่อครับ คั่นเวลาด้วยการเอาเนื้อเพลง ดอกไม้ชายแดน มาให้อ่านกันครับ เพลงนี้เพราะดี ส่วนจะหามาฟังกันยังไงคิดว่าไม่เกินความสามารถของเพื่อนๆพี่ๆที่ใช้งาน อินเตอร์เนต กันเป็นประจำหรอกนะครับ

ดอกไม้ชายแดน ป๋อง ณ ปะเหลียน อัลบั้ม สวรรค์ห้องเช่า หน้า B เพลงที่ 3 ( ผมซื้อเป็นเทปมาฟังครับ ของแท้ซะด้วย)

เธอเป็นเจ้าหญิงชื่อจริงเธอคือดาหลา สดสวยโสภาเหมือนนางฟ้ามาจากสวรรค์
มีชายหนุ่มมากมายมั่นหมายมารุมชอบกัน แต่ใจเธอนั้นคงมั่นไม่ให้ชายใดเลย

เจ้าหญิงดาหลา คือบุหงาชายแดนมาเลย์ พบชายขายของเร่ที่มาจากชายแดนไทย
สองคนพบกัน มีความสัมพันธ์มัดใจ ตกลงมอบกายให้กับชายไทย อย่างทุ่มเท

รักที่สดใสหนุ่มไทยกับสาวมาเลย์ เกิดความหักเห พ่อแม่รู้แล้วมีปัญหา
ชายหนุ่มเมืองไกล เป็นคนไทยต่างศาสนา จึงห้ามคบค้า พบพากับสาวมาเลย์

เฝ้าคอยความหวัง รอวันคนรักกลับมา เจ้าหญิงดาหลาร่ำหาจนหัวใจสลาย
รักถูกกีดกั้นจนเธอนั้นกลั้นใจตาย เพื่อเกิดเป็นดอกไม้คอยคนรักอยู่ชายแดน

เพื่อเกิดเป็นดอกไม้ชื่อ ดาหลา ดอกไม้ชายแดน

เมื่อฟังเพลงจบผมก็นึกขึ้นได้ว่า ดอกไม้ชายแดน ไทย มาเลเซีย หรือ ดาหลาเป็น ภาษามลายูวะ ลองถามคนแถวนั้นดูดีกว่า พูดถึงภาษามลายู หลายๆคนจะเรียกภาษานี้ว่า ยาวี แต่ในความเป็นจริงแล้ว ยาวีเป็นชื่อตัวอักษรที่เขียนแทนภาษามลายูมากกว่าครับ ผมว่าการเรียกภาษาท้องถิ่นแถวนั้นน่าจะใช้คำว่า ภาษามลายูจะดีที่สุดครับ ในการอยู่ร่วมกันในประเทศที่หลากหลายด้วยเชื้อชาติอย่างประเทศไทยเรา การเข้าอกเข้าใจกันจะทำให้เราอยู่ร่วมกันได้อย่างมีความสุขครับ คนแถวนั้นคงจะไม่ค่อยพอใจนักถ้าเราไปเรียกภาษาของเขาว่าภาษาแขก คงจะคล้ายๆกับที่ใช้คำว่าลาว เขมร เจ๊ก กับคนเชื้อชาติอื่นๆ ดังนั้นเราต้องทำความเข้าใจกับเรื่องนี้เพิ่มขึ้นมาอีกนิดเพื่อความสบายใจกันทุกฝ่ายนะครับ

เมื่อสงสัยเรื่องภาษามลายู ผมเลยโทรไปหาเพื่อนที่ทำงานอยู่ที่ยะลา เพื่อนคนนี้ดูแลพื้นที่จังหวัดยะลายาวไปถึงเบตงเลยครับ เสี่ยงอันตรายน่าดู แต่มันก็อยู่ของมันมาได้ เก่งจริงๆ

"หมัด ดอกดาหลา แถวๆยะลา เรียกว่าอะไร"

"ก็เรียกว่า ดาหลาสิวะ"

"ไม่ใช่ๆๆๆ ภาษาบ้านเอ็งนะเรียกว่าอะไร"

"บุงอ ราแต"

อธิบายก่อนนะครับว่าคำว่า ราแตนี้ผมเองก็ไม่แน่ใจเพราะสำเนียงมันเร็วมากๆอาจจะเป็น กาแต ลาแฆ หรืออะไรก็ได้ อันนี้ขอผ่านนะครับ แต่คำว่า บุงอ มาจากคำว่า bunga (บุงา) ในภาษามลายูกลาง แต่เมื่อมาใช้ในท้องถิ่นเลยมีการแผลงออกเสียง (ปาฮาซอ กาปง) ดังนี้ครับ ถ้ามี a อยู่ท้ายจะแผลงเป็น ออ ดังนั้น บุงา หรือ บุหงา ในภาษาไทย ก็จะกลายเป็น บุงอ ครับ

และเมื่อยังไม่เข้าทางเกี่ยวกับคำว่า ดาหลา หรือ กาหลา ผมก็วางสายแล้วเริ่มหาต่อไปแล้วผมก็มาเจอที่นี่ครับ

http://plugmet.orgfree.com/sk_dialect_4.htm

กาหลา (น.) ชื่อของพันธุ์ไม้ตระกูลข่า พืชท้องถิ่นชนิดหนึ่งของปักษ์ใต้ ชื่อของพืชพันธุ์นี้ พ้องเสียงกับคำ พระกาหลา - พระกาฬ ( พระอิศวรเทพแห่งความตาย ในอดีตจึงไม่นิยมนำมาปลูกในบ้าน และไม่นิยมนำดอกกาหลาไปบูชาพระ ( ปัจจุบันคนปักษ์ใต้น้อยคนที่จะรู้ความหมายของคำ กาหลาในอดีต ประกอบกับ กาหลา ได้ชื่อใหม่เป็นดาหลาจึงนิยมนำมาปลูกกันทั่วไป โดยเริ่มจากปลูกเป็น ผักเหนาะ ใช้ทานคู่กับขนมจีนหรือข้าวยำ ต่อมา ก็ปลูกเป็นไม้ตัดดอกขาย ถือเป็นไม้ตัดดอกที่ทนทาน อยู่ได้หลายวัน มีราคาดี )

เริ่มเข้าทางมานิดๆ เพราะใกล้ๆกันมีคำว่า กาหลอ ที่เป็น มโหรีสำหรับส่งวิญญาณคนตายของทางใต้อยู่ด้วย มันทำให้ผมยังสงสัยเรื่องที่ว่า มันน่าจะเป็นภาษามลายู ดังนั้นผมจึงไปหยิบ พจนานุกรมภาษามลายู-ไทย มาเปิดอ่านไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับหาข้อมูลจองเจ้าดอก ดาหลา หรือ กาหลาเพิ่มเติม

Torch Ginger ชื่อสามัญของเจ้าดาหลาในภาษาอังกฤษ ผมก็แปลตามประสาของผมที่ไม่ค่อยรู้เรื่องภาษาอังกฤษมากมายนักว่า "ขิงไฟ" "ดอกไม้ที่เหมือนคบเพลิง" อย่าหัวเราะนะครับ ผมแปลได้แค่นี้จริงๆ และวิธีการหาของผมก็เริ่มจากหาคำพ้องเสียงใน ภาษามลายูกลาง ก่อนเลยครับได้มาดังนี้

kala (กาลา) ยุค สมัย ระยะเวลา
dara (ดารา) สาว พรหมจาริณี

ถ้าเป็นชื่อเกี่ยวกับตำนานเจ้าหญิงดาหลา ก็น่าจะเป็น dara ที่แปลว่า สาว หรือ พรหมจาริณี แต่ถ้าออกเสียงตามแบบท้องถิ่น น่าจะเป็น ดารอ ซึ่งก็ต้องหาข้อมูลมาเพิ่มอีกเยอะเลยทีเดียว

มีคำว่า latu,lelatu (ลาตู เลอลาตู )แปลว่าดอกไม้ไฟ ( le ภาษามลายูออกเสียง เลอ เหมือนฝรั่งเศสเลย)
laal (ลาอัล) พลอยสีแดง ซึ่งผมคิดว่ายังไม่ใช่อยู่ดี ค้นไปค้นมาเจอ คำว่า "หน่อกะลา" ที่พวกเราไปกินกันที่เกาะเกร็ดนั่นละครับ เป็นพืชพันธุ์เดียวกันเลยครับ อยู่ในตระกูลขิงเหมือนกัน หรือว่า กาหลา มาจาก กะลา หรือ กะลา มาจาก กาหลา อันนี้ก็ต้องคิดกันเอาเองนะครับ แต่ในส่วนตัวของผมที่เป็นคนใต้แล้วนั้นคงจะเลี่ยงคำว่า กาหลา เพราะ มันจะพ้องกับ คำว่า พระกาหลา - พระกาฬ อย่างที่เวบข้างบนได้บอกไว้ เพราะคนรุ่นผมยังทันที่จะได้ฟัง "กาหลอ" ที่ใช้เล่นเฉพาะในงานศพ ของคนทางใต้ ยังจำเสียงที่โหยหวนได้ดี เลยขอเรียกว่า ดาหลา ตามอย่างคนแถบนี้ดีกว่าครับ และผมก็คิดเอาเองว่าที่คนแถวนี้เรียกต้นไม้ชนิดนี้ว่า ดาหลา น่าจะมีสาเหตุมาจากเรื่องนี้ด้วยเช่นกันครับ

นั่งอยู่ที่โต๊ะทำงานมาครึ่งวัน ผมได้ข้อมูลมาแค่นี้เองครับ ใครมีข้อมูลเพิ่มเติมก็ช่วยบอกด้วยนะครับ เพราะถึงยังไงผมก็คงจะสงสัยไปอีกนานจนกว่าจะได้คำตอบครับ

นภดล 22/5/2553

เทคโนโลยีหรือไสยศาสตร์..?

ทำไมยังสงสัยอีกก็ทำงานด้านสื่อสารโทรคมนาคม มันก็ต้องเกี่ยวกับเทคโนโลยีสิ จะเกี่ยวกับไสยศาสตร์ได้ยังไงกัน
ทุกคนคงเชื่อแบบนั้นใช่มั้ยครับเอาละวันนี้ผมจะเล่าให้ฟัง

สาเหตุมันเนื่องมาจากวันนี้มีเพื่อนผมคนนึงสมมุติว่าชื่อ ต ก็แล้วกัน เค้าทำงานในส่วนติดตั้ง Transmission พวกไฟเบอร์ออฟติค และไมโครเวฟ โทรมาคุยกับผมหลายรอบมากๆ ตั้งแต่เช้า เกี่ยวกับปัญหาเรื่องการติดตั้งไมโครเวฟไปใช้งานที่เกาะพีพี (เราขยายเครือข่ายเยอะมากๆครับ) แต่ไม่รู้ว่าจะเอาต้นทางจากที่ไหนดี อุปกรณ์ที่เราสั่งซื้อมาจากต่างประเทศ ราคาแพงๆทั้งหลายก็ไม่สามารถที่จะช่วยได้เลย ทั้ง Google earth ก็ยังช่วยอะไรไม่ได้ เพราะในหน้าจอมองเห็นแต่หน้างานกลับมองกันไม่เห็น คุยกันจนบ่ายๆ ก็ยังไม่มีวี่แวว แต่แล้วจู่ๆ คุณ ต ก็โทรมาบอกด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า

"คุณนภๆๆๆ ผมได้ที่ติดตั้งแล้วทดลอง ใช้ Mirror Test แล้วผ่านตลอด ทำไมไม่คิดถึงที่นี่เลยวะ"

และสาเหตุที่เจอก็เพราะว่าวันนี้มี Cell Down ซึ่งอยู่ๆมันก็ Down ทั้งๆที่มันไม่น่าจะเป็นไปได้ ทีมงานต้องมาจากภูเก็ตมาแก้ไขที่นี่ ปรากฎว่าอุปกรณ์ก็ไม่เสีย แค่ รีเซ็ตก็หายสนิทศิษย์ส่ายหน้า แต่มีผลดีคือได้เห็นว่าที่นี่น่าจะติดตั้งอุปกรณ์ตัวนี้ได้เลยลอง test ปรากฎว่าผ่านฉลุย และที่สำคัญก่อนที่จะวางสาย คุณ ต ได้บอกกับผมว่า "นี่นะคุณนภผมนอนไม่หลับมาหลายคืนแล้ว ทีมงานก็อดหลับอดนอนเดินทางไปTest ที่นู่นที่นี่จนผมท้อไปหมดแล้ว เลยบนเจ้าแม่กวนอิม ว่าถ้าหาที่ลงได้ก่อนวันทำการหลังสงกรานต์ ผมจะเลิกกินเนิ้อ ปรากฎว่าผ่านเฉยเลย นี่ผมคงต้องเลิกกินเนื้อแล้วละ" นั่นสินะ อุปกรณ์ที่ซื้อมาใช้รวมซอฟแวร์ราคาเป็นล้าน ช่วยอะไรไม่ได้ แต่พอบนเจ้าแม่กวนอิมกลับผ่านซะงั้น อิอิอิ เอาเป็นว่าผ่านนะครับเรื่องของคุณ ต ส่วนจะเป็นที่ไหนนั้นมันเป็นความลับของบริษัทครับเผื่อเจ้าอื่นจะมาขึ้นตาม dtac ก็ให้เค้าหากันบ้าง ถ้าหาไม่ได้ก็คงจะแนะนำให้ลองบนเจ้าแม่กวนอิมดูก็แล้วกัน 555+

ยังมีอีกครับยังมีอีก ถ้ายังสงสัยว่ามันเป็นเทคโนโลยีจริงหรือเปล่าแต่ผมว่าพวกเราทำงานกับสิ่งที่มองไม่เห็นเหมือนกันนี่นา เอาเรื่องนี้ดีกว่า หลายๆท่านคงจะเคยเห็นเสาสัญญาณ ของ dtac กันบ้างแล้วใช่ไหมครับพื้นที่ที่ตั้งเสานี่ส่วนใหญ่จะอยู่ในที่กันดาร เพราะที่ในเมืองไม่ค่อยมีใครให้เช่ากัน ถ้าไม่ขึ้นเขา ข้ามน้ำ ก็ต้องอยู่หลังบ้านคนเข้าไปลึกๆ หรือไม่ก็...ที่มีประวัติ ใช่ครับคงไม่ใช่ที่ที่เคยประกวดนางงามหรอกครับ ส่วนใหญ่ถ้าไม่ติดป่าช้า ติดเมรุ หรือไม่ก็ตรงนั้นเองละครับที่เคยมีคนตาย มี site เราที่นึงแต่ที่นี่ผมเข้างานไม่ทัน อยู่ที่รัตภูมิจังหวัดสงขลาออกไปทางจังหวัดสตูล เสาจะอยู่ติดกับป่าช้าและเมรุเผาศพ สมัยสิบกว่าปีที่แล้วเวลาไปขึ้นเสาทำงานถ้ามีการเผาศพ ก็ต้องลงกันมาก่อนละครับงานก็ต้องทำแต่เจอแบบนี้ถ้าไม่ลงมาดีๆก็คงจะโดนพี่น้องคนตายยิงลงมาแน่ๆ ก็เวลาเค้ามองตามควันเผาศพขึ้นไป แล้วเห็นพวกลิงเกาะเสาอยู่เค้าคงจะตกใจทำปืนลั่นใส่จนหมดแม็กแน่ๆ

จนมาถึงปี 2546 ปีนั้นพวกเราเร่งขยายเครือข่ายกันอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องโฆษณา ดังนั้นจึงจำเป็นต้องลุยเข้าไปในพื้นที่ห่างไกลเข้าไปเรื่อยๆ บางที่เป็นป่ารกทึบ บางที่ดีหน่อยมีเพื่อนนอนอยู่ในหลุมใกล้ Site แต่ก็นั่นละครับพวกเราก็ไม่เคยลบหลู่ และไม่อยากจะไปถามด้วยว่า"เอาซิมแฮปปี้ไปใช้หน่อยมั้ย"ด้วยครับ แต่ที่จะเล่าด้วยภาพนี้ครับเป็นภาพที่อำเภอสะบ้าย้อย ซึ่งตอนนี้เป็นหนึ่งในพื้นที่สีแดงไปแล้ว ในภาพเป็นการถ่ายของผู้รับเหมาที่มารับงานทำเสาและฐานราก ตอนถ่ายทุกคนยืนยันว่าไม่มีเด็กยืนอยู่ด้านหลังแน่นอน เพราะถ้ามีก็คงไม่ถ่ายมาเพราะเป็นรูปประกอบเอกสารส่งงาน แต่พอมาดูกลับเจอเด็กยืนอยู่ด้านหลัง จะให้ไปถ่ายใหม่ก็ไม่ได้เพราะมันเป็นรูปก่อนทำตอนนี้มันทำเสร็จแล้วเลยปล่อยเลยตามเลย และนี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ทำให้ผมคิดว่า ผมทำงานเกี่ยวกับเทคโนโลยีจริงๆเหรอ




ยังมีอีกครับ ที่กลางเมืองสุราษฎร์ธานี มีอพาร์ทเมนท์ อยู่ที่นึงที่นี่เคยมีข่าวเกรียวกราวเมื่อเกือบๆสิบปีที่แล้ว มีการฆ่าปาดคอเกย์รุ่นใหญ่ตายจมกองเลือดอยู่ในห้องนี้ พอเคลียร์เรื่องเคลียร์ราวเสร็จก็ไม่มีใครอยากจะมาอยู่ห้องนี้ ทำให้ต้องปิดตายไว้ หาคนเช่าก็ไม่ได้ และแล้วก็มีอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยเจ้าของห้องด้วยการติดต่อขอตั้ง Cell Site ที่บนชั้นห้าและห้องนี้ด้วย

วันนั้นเป็นเวรและเป็นกรรมของผมพอดี ที่จะต้องเข้าไปแก้อุปกรณ์ที่นี่ ผมแก้ตั้งแต่บ่ายสองจนค่ำ ทั้งๆที่มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่เลย งานแค่นี้มั่นใจขนาดไม่ต้องดับเครื่องรถเลยครับวิ่งๆขึ้นไปเตะๆสองสามทีก็หาย แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ครับ ทำยังไงก็ไม่หาย แถมก่อนทำยังบอกให้เพื่อนไปนั่งรอที่ร้านสั่งเหล้าไว้ได้เลยด้วย แต่นี่มืดแล้วครับผมก็ยังไม่สามารถลงไปจากที่นี่ได้ ทำยังไงก็ไม่ได้จริงๆ ใครเดินไปเดินมาก็จะมองเข้ามาด้วยสายตาแปลกๆ ตอนแรกก็ไม่กลัวแต่ตอนนี้ใจมันเริ่มคิดไปต่างๆนานา หวาดระแวงว่าใครจะมานั่งอยู่ข้างหลังหรือเปล่า เงาสะท้อนที่หน้าจอโน๊ตบุ๊คมันก็ทำให้วิตกจริต ขึ้นทุกขณะ ใช่ครับผมเริ่มกลัว รีเซ็ตอุปกรณ์เป็นครั้งที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ โหลด config ใหม่ โหลดซอฟแวร์ใหม่ กี่ครั้งก็ไม่รู้อุปกรณ์เปลี่ยนเกือบทั้งตู้แล้ว ก็ไม่หาย

จนสุดท้ายครับ "ยามเมื่อความอดทนถึงที่สุด จึงต้องหยุดไว้ตรงเลิกรากัน" เพลงบาปบริสุทธิ์ของคาราบาวแว่วเข้ามาในสมอง(อีกแล้ว) ผมตะโกนออกมาด้วยความหงุดหงิดว่า " ไอ้เอี้ย กูไม่มีเวลาอยู่กับมึงทั้งคืนนะเว๊ย" เหมือนปาฏิหาริย์เลยครับ สั่งรีเซ็ตตู้รอบนี้ ทุกอย่างเคลียร์ ลูกค้าใช้งานได้ตามปกติ ผมขนลุกซู่เลยครับ แต่ตอนเก็บของออกมาตั้งที่หน้าห้องปิดไฟและก่อนที่จะปิดประตู ผมพูดออกมาอีกครั้งว่า

"อาทิตย์หน้าเวรไอ้ A (นามสมมุติ)มันหล่อกว่ากูเยอะถ้ามึงอยากเจอก็ทำแบบนี้อีกนะ" แล้วก็ปิดประตูลงมาเลยครับ

และหลังจากนั้นผมก็ไม่ได้ไปที่นี่อีกเลย และก็ย้ายออกมาอยู่ต่างจังหวัดรอบนอกมาจนทุกวันนี้ละครับ

หมายเหตุ

ผมไม่ได้สนใจที่จะถามไอ้ A (นามสมมุติ) ว่าหลังจากนี้มันต้องเข้าไปที่นี่อีกหรือเปล่า ผมก็ทำงานไปจนลืมเพิ่งมานึกได้เพราะเขียนเรื่องนี่แหละครับ

และเคยได้ยินมาว่าเหล่ามูลนิธิต่างๆเวลาเก็บศพ ถ้าศพไหนเก็บยากยกยาก เค้าก็ใช้วิธีเดียวกับผมนี่แหละครับ ใช้ปุ๊บยกสบายเลยครับ

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

รอยไถแปรกับ คาราบาว

วันเสาร์ที่ 13 มีนาคม พ.ศ. 2553

เพิ่งดูจบไปครับ สำหรับรายการรู้จริงป่ะ ทางช่องสามเมื่อกี้นี้..
ได้เห็นอะไรหลายอย่างมากๆ อดรนทนไม่ไหวเลยมานั่งบ่นผ่านจอ อีกซักรอบก่อนนอนครับ

ที่มา http://www.siamsouth.com/

ดูรายการนี้แล้วเหมือนรำลึกความหลังอะไรหลายๆอย่างเลยครับ สิ่งแรกที่มองเห็นและสะดุดความรู้สึกครั้งแรกเลยก็คือ วงซูซู ครับ ปีนั้น ปีที่ น้าซู ออกชุด สู่ความหวังใหม่( อาจจะของน้าซูเอง ที่แยกออกมาจากกระท้อน) ผมได้ฟังครั้งแรก ไม่ได้สะดุด เสียงน้าซูหรอกครับ แต่ผมจำได้ว่านี่เป็นเสียง ของ แอ๊ด คาราบาว นี่นา เลยสนใจที่จะฟังต่อไปแล้วก็ชอบ แทบจะทุกเพลงของซูซู อาจจะเรียกได้ว่า ผมฟังซูซูครั้งแรกเพราะ แอ๊ด คาราบาวก็ว่าได้ครับ

คงจะเหมือนกับเพลง รอยอดีต ของวง อะไรนะ.... ที่มีอาจารย์ ไข่ มาลีฮวนน่า มาร้องด้วย ทำให้ผมฟังเพราะจะฟังเสียง อาจารย์ไข่ นั่นละครับ
แล้วก็นั่งดูนั่งฟังไปเรื่อยๆ มาสะดุด (อีกแล้ว) กับภาพที่กล้องซูมเข้าไปใกล้ๆ เฮ้อ... น้าแอ๊ด แก่ลงไปมากแล้วจริงๆ ก็ทำไมจะไม่แก่ละครับ ขนาดผมเองก็จะครบ สามรอบอยู่แล้วนี่นา นี่เราฟังเพลงคาราบาวมายี่สิบกว่าปีแล้วเหรอเนี่ย โอ้...สังขารมันเป็นเช่นนั้นเอง..

แต่ที่ผมตั้งใจจะเขียนก็คือเพลง รอยไถแปรครับ เพลงนี้ แต่งโดยครูสุรพล สมบัติเจริญ ขับร้องโดยก้าน แก้วสุพรรณ มีเนื้อร้องว่า...

ทุ่งนาแดนนี้ไม่มีความหมาย เหลือเพียงกลิ่นโคลนสาบควาย เห็นซากคันไกแล้วเศร้า
เห็นนาที่ร้างนั้นมีแต่ฟางแทนรวงข้าว เห็นเคียวที่เกี่ยวติดเสา เล่นเอาใจเราสะท้อน

ทุ่งนาแดนนี้ข้าเคยไถทำ สองมือข้าเคยหว่านดำ ฤดูฝนพร่ำหน้าก่อน
แต่มาปีนี้ฤดีข้าแสนจะสะท้อน เพราะมาไร้คู่กอดเคียงหมอน ทิ้งให้เรานอนระกำ

รอยไถเอยข้าเคยไถหว่าน เดี๋ยวนี้เจ้ามาทิ้งจาก ถากให้เป็นรอยไถช้ำ
เจอรอยไถใหม่ ทิ้งรอยไถเก่าระกำ อกใครใครบ้างไม่ช้ำ เมื่อยามเห็นรอยไถแปร

ทุ่งนาแดนนี้คงร้างไปอีกนาน ข้าเองก็เหลือจะทาน เพราะมันแสนสุดจะแก้
หมดกำลังใจแล้วเรียมเอ๋ยข้าคงตายแน่ ถ้าไถไปอีกก็กลัวแท้ เพราะรอยมันแปรเสียแล้วเรียมเอย


เพลงนี้ ถ้าฟังซื่อๆก็ไม่มีอะไร แต่ถ้าฟังแบบ ทะลึ่งนิดๆก็ได้อารมณ์ไปอีกแบบ แสดงให้เห็นถึงความละเมียดละมัยของผู้แต่งได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียวครับ จริงๆแล้วเพลงของครูสุรพล ที่ผมชอบ อีกเพลง คือเพลงสาวสวนแตง ที่ได้เห็นบรรยากาศ สมัยนั้นทุกครั้งที่ฟังครับ

กลับมาๆๆๆๆๆๆๆ นอกเรื่องทุกที ไอ้ผมมันก็ประเภท เขียนไป บ่นไป ไร้ สคริป นึกอะไรได้ก็จิ้มไปเรื่อย ไม่ค่อยตรงกับชื่อเรื่องซักเท่าไหร่ กลับมาเรื่องรอยไถแปร กับ คาราบาว กันต่อครับ

สมัยนั้นผมเป็นเด็กหัวเกรียน แต่จะเกรียนด้วยหรือเปล่าไม่แน่ใจครับ ได้ฟังเพลงนี้ครั้งแรก จากที่ไหนก็จำไม่ได้ ไม่รู้ว่า ทีวี หรือ วิทยุ แต่เป็นเวอร์ชั่นนี้แหละครับ เสียงน้าแอ๊ดร้อง ส่งคนดูกลับบ้าน ผมจำเนื้อร้องได้บางท่อนเท่านั้นแต่ประทับใจมาก มันเหมือนกับอะไรบางอย่างที่ติดฝังอยู่ในความทรงจำ ไม่รู้ว่าเพลงนี้มันของใครแต่ชอบทำนองเพลงนี้เหลือเกิน จนผมเรียน ที่โรงเรียนสุราษฎร์ธานี ผมจำไม่ได้ว่า ม. ไหน แต่ เป็น ม.ต้น แน่นอนครับ เพราะผมเรียนแค่นั้น ก่อนจะข้ามมาเรียน เทคนิค

ผมไปสมัครอยู่ ชมรมเพลงไทยเดิมได้อย่างไรก็ไม่ทราบ จำได้ลางๆว่ามีกันอยู่ไม่ถึง 10 คน อาจารย์ที่ปรึกษาชมรม เป็น อาจารย์ภาษาไทย ถ้าจำไม่ผิด น่าจะชื่อ อาจารย์ สุกานดา (ถ้าจำผิดก็ขออภัย เพราะมันนานมาแล้ว) ได้ฝึกร้องเพลง เขมรไทรโยค ที่จำท่อนแรกมาได้จนกระทั่งทุกวันนี้ และนอกจากนั้นก็มีเพลงเก่าๆ ที่แน่ๆเลยก็มีเพลง "แม่ศรีเรือน" มันทำให้ผมฝังใจกับเพลงแนวๆนี้พอสมควร ประกอบกับน้าแอ๊ด มักชอบเอาเพลงลูกทุ่งมาร้องเล่นๆเสมอ เวลาที่วงคาราบาวพักสูบบุหรี่กัน ทำให้แรงกระตุ้น จากเพลง "ทุ่งนาแดนนี้".. มันผุดขึ้นมาอีกครั้ง ผมเรียกชื่อเพลงนี้แบบนั้นจริงๆ เพราะไม่รู้ว่าใครร้องและมันชื่อเพลงอะไร

และแล้วทุกสิ่งทุกอย่างก็เฉลยออกมา เมื่อ นิค นิรนาม ออกอัลบั้ม หยิบสิบ ที่มีเพลงนี้รวมอยู่ด้วย ตอนนั้น นิธิทัศน์ ดังมากๆ มีหยิบสิบ มีซุปเปอร์ฮิต ออกมามากมายหลายวง และผมก็ได้เทปม้วนนั้นมาฟังจนได้ ด้วยการบวกพ่วงไปกับ เทป ของ ไพจิตร อักษรณรงค์ ที่แม่ผมตั้งใจไปซื้อ พูดถึงไพจิตร อักษรณรงค์ "เพลง สาว ต.จ.ว." เพราะมาก ลูกสาวกำนัน ก็น่าฟัง ลองไปหากันมาฟังนะครับ จะได้บรรยากาศของเพลงช่วงนั้นได้เป็นอย่างดีครับ

หลังจากนั้น ผมก็พยายามร้องเพลงนี้จนได้ และจะเอามาร้องเล่นบ่อยๆเวลาที่อยู่คนเดียว สาบานได้เลยครับว่า เมื่อวันจันทร์ หลังจากออกมาจากห้องประชุม และปั่น รายงานส่งหัวหน้าเสร็จ ผมลากสังขารที่อ่อนล้า เดินลงมาจากชั้น สามของที่ทำงาน ผมยังร้องเพลงนี้อยู่เลยครับ

จนวันนี้พอได้ดูภาพเก่าๆ ฟังเพลงเก่าๆ จากนักร้องเก่าๆ มันเหมือนกับการจุดประกายความอบอุ่นออกมาอีกครั้ง เพลงที่ผมได้ฟังครั้งแรก ได้เห็นภาพนั้นอีกครั้ง มันทำให้ผมรู้สึก เหมือนได้กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปอีกอย่างที่ผมสังเกตได้ก็คือ ภาพ พี่เล็ก ยกมือขึ้นมาโบกให้แฟนเพลงครับ

จะมีภาพ พี่เล็ก นั่งอยู่แบบเซ็งๆ คงจะเสียใจที่เล่นคอนเสิร์ตไม่จบ ผมสังเกตเห็นที่มือขวา มีบุหรี่ หนีบอยู่ ... เฮ้ย..พี่เล็กยังดูดบุหรี่อยู่เลย มองแล้วยิ้ม เพราะสมัยนั้นเรื่องบุหรี่เป็นเรื่องปกติครับ ใครๆก็สูบกัน และตอนนี้ พี่เล็กก็เลิกไปแล้ว (หรือเปล่า) นั่นคือมุมมองที่เปลี่ยนไปตามเวลาครับ แต่ที่แน่ๆ ตอนนี้ผมก็ยังสูบอยู่ครับ ฮีโร่ ในดวงใจเลิกแล้ว แต่สาวก อย่างผม ยังคีบบุหรี่อยู่โดยที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุด 555

ผมนั่งดูรายการนี้จนจบ พร้อมด้วยความหวังที่ว่า ทางน้าแอ๊ด จะร่วมมือกับ ทางเวบ คาราบาว ดอท เนท ทำที่รวบรวมเรื่องราวของคาราบาว เพื่อจะได้เป็นประวัติศาสตร์กันต่อไปให้สำเร็จ เพราะคาราบาวคือ ตำนานที่มีชีวิต ก็ขอเอาใจช่วยให้ทำสำเร็จนะครับ ผมจะไปเยี่ยมชมแน่นอนครับ

ขอบคุณรายการรู้จริงป่ะ ที่ทำให้ผมมีแรงขึ้นมาอีกครั้ง คล้ายๆกับ ทุกครั้งที่ผมเหนื่อย ผมจะดูหนัง เสียงเพลงแห่งเสรีภาพ ครับ ไม่รู้ว่าทำไม ผมดูหนังเรื่องนี้แล้วมีแรงขึ้นมาทุกที อาจจะเป็นความสามารถส่วนบุคคลห้ามลอกเลียนแบบก็เป็นได้ครับ แต่ผมก็เป็นของผมแบบนี้จริงๆ

ไว้วันหน้าจะมาบ่นใหม่นะครับ ไปนอนก่อนนะครับ เดี๋ยวผมจะร้องเพลงส่งทุกท่านจนออกไปถึงหน้าประตูเลยนะครับ

ทุ่งนาแดนนี้ไม่มีความหมาย เหลือเพียงกลิ่นโคลนสาบควาย เห็นซากคันไกแล้วเศร้า
เห็นนาที่ร้างนั้นมีแต่ฟางแทนรวงข้าว เห็นเคียวที่เกี่ยวติดเสา เล่นเอาใจเราสะท้อน.............

อ้าวๆๆๆ แล้วทำไมไม่เดินกันต่อละครับ ผิดสัญญานี่ครับ คนสุพรรณ เขาถือ นะครับ...เดินไปเรื่อยๆครับ

ทุ่งนาแดนนี้คงร้างไปอีกนาน ข้าเองก็เหลือจะทาน เพราะมันแสนสุดจะแก้
หมดกำลังใจแล้วเรียมเอ๋ยข้าคงตายแน่ ถ้าไถไปอีกก็กลัวแพ้
เพราะรอยมันแปรเสียแล้วเรียมเอย..........

สวัสดีครับ

ว่าง

ว่าง

ชื่อเรื่องแปลกๆอีกแล้ว หลายๆคนอาจคิดว่าว่าง คำนี้ผมคงหมายถึงความว่างจากการทำงาน เพราะวันนี้เป็นวันหยุด แต่เปล่าครับวันนี้หลายคนหยุดแต่สำหรับชีวิตคนเหล็กเหมือนพวกผมหยุดไม่เป็นหรอกครับ ทำงานเหมือนเดิมยิ่งช่วงเทศกาลยิ่งไม่ได้หยุดเลย แถมภาระกิจช่วงนี้เลิกพูดคำว่าว่างได้เลยครับ เหนื่อยยังไงโหดยังไง เจอหน้าถามได้นะครับโทรมาก็ได้แต่ผมจะไม่เขียนที่นี่อีกแล้วครับ เอาเป็นว่าถ้ายังไม่ตายยังมีแรงผมจะพยายามเขียนเรื่อยๆครับ

คำว่าว่างตัวนี้สำหรับผมแล้วมีความหมายคือการหยุดคิด หยุดทำในหลายๆสิ่งหลายๆอย่าง ใครที่เคยอ่านคำสอนของท่านพุทธทาสคงจะเข้าใจ แก่นแท้ๆของพุทธศาสนาคือความว่าง ความว่างนี้ถ้าเราศึกษากันจริงๆแล้วมันคือสัจธรรมของโลกเลยครับ นักวิทยาศาสตร์ นักฟิสิกส์พยายามค้นหาหลักการต่างๆมากมายเพื่อค้นหาสิ่งใหม่ๆ แต่จริงๆแล้วที่พวกเค้าค้นพบ ไม่ใช่สิ่งใหม่เลย หากแต่ว่ามันเป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วจริงในโลก แล้วมาค้นพบกันภายหลัง ทางพุทธศาสนาสอนเรื่องเหล่านี้มามากมายแต่เรากลับไม่เชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตรัสสอนไว้ แต่กลับเชื่อนักวิทยาศาสตร์ ทั้งๆที่ทุกอย่างที่มีอยู่ในหนังสือฟิสิกส์ต่างๆนั้นพระพุทธเจ้าค้นพบไว้แล้วเกือบสองพันหกร้อยปี แต่ก็มิอาจกล่าวว่าพระพุทธเจ้าสร้างสิ่งเหล่านั้นขึ้นมา พระองค์ค้นพบสิ่งเหล่านั้นต่างหาก คำว่าพุทธ แปลว่าผู้รู้ พระพุทธเจ้าคือผู้รู้ที่ยิ่งใหญ่ ถ้าใครคิดว่าผมบ้าลองไปศึกษาดูได้เลยครับ เอาพระไตรปิฏก มาเทียบกันเลยกับวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ เอาสมัยปัจจุบันที่ว่ากันถึงเรื่องที่เจาะลงไปถึง แรงและพลังงานต่างๆ รวมทั้งเรื่องต่างๆที่คิดว่าวิทยาศาสตร์จะรู้มากกว่า แล้วท่านจะค้นพบว่า พุทธศาสนา หรือศาสนาต่างๆ ก้าวไปไกลกว่าวิทยาศาสตร์มากมายนัก และเราสามารถที่จะเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ได้ด้วยตัวของเราเอง ใครทำใครได้ ใครศึกษาคนนั้นเข้าใจ ผมอยากให้ทุกๆคนศึกษาในคำสอนของศาสนาตนเองให้มาก อย่านับถือศาสนาเพียงแค่ว่าเป็นมรดกตกทอดมาจากบรรพบุรุษเลยครับ

ความว่างของผมคือการหยุดคิด วางจิตเป็นอุเบกขา ซึ่งผมเองไม่สามารถทำได้ตลอดเวลาหรอกครับแต่ผมกำลังพยายาม ถ้าเราวางสิ่งต่างๆที่ยึดเหนี่ยวกันไว้มากๆในปัจจุบันนี้เราจะว่าง ตัวอย่างเช่นเราวางของในมือของเราลงซะบ้างทิ้งไปซะบ้าง มือเราก็จะว่างที่จะรับสิ่งอื่นๆเข้ามาอีก จิตก็เช่นกันถ้าเรารู้จักปล่อยวางสิ่งต่างๆที่มากระทบซะบ้าง จิตเราก็จะว่างพอที่องค์ความรู้ต่างๆจะก่อเกิดขึ้นในดวงจิต สิ่งเหล่านี้เริ่มต้นง่ายๆแต่ทำยากหน่อยในยุคปัจจุบันยุคที่แวดล้อมด้วยสิ่งเร้าต่างๆจากภายนอก เริ่มแรกทีเดียวเราต้องมีสติเสียก่อน ใช้สติพยายามกำกับในทุกๆอิริยาบทที่เรากระทำ เมือ่มีสติ เราก็จะมีศีล เพราะสติจะเป็นตัวบังคับให้เราไม่ผิดศีล เมื่อมีศีลเราก็จะมีสมาธิ เมื่อมีสมาธิ ก็จะเกิดปัญญา ผมกำลังเริ่มเดินครับจะไปตามแนวทางที่ครูบาอาจารย์สอนไว้ครับ ถึงแม้ว่าผมจะทำได้ไม่ดีหรือทำไม่ได้เลยแต่ผมก็อยากจะเขียนบอกให้หลายๆคนได้อ่านด้วย เพื่อเป็นการตอบแทนผู้ที่เมตตาชี้แนวทางเหล่านี้ให้ผมมาครับ

ว่าง คำนี้มีความหมายมากมายจริงๆครับทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ล้วนว่างเปล่าทั้งนั้น ลองแยกส่วนประกอบของสิ่งต่างๆมาดูสิครับ แม้แต่ตัวเราก็ว่างถ้าเราแยกวัตถุกับพลังงานออกจากกันไปจนลึกที่สุดเราจะได้พลังงานและพลังงานนี้เองที่ทางพุทธสาสนาเรียกว่า วิญญาณธาตุ ในทางฟิสิกส์กล่าวว่า สสารของวัตถุไม่เคยหยุดนิ่ง มีสภาพเคลื่อนไหวเสมอ ตรงนี้เองทางพุทธศาสนากล่าวว่า มนุษย์ประกอบด้วยธาตุทั้งหก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุทั้งสี่ที่รู้กันดี และ อากาศธาตุ คือความว่าง และ วิญญาณธาตุ คือ พลังงาน ในทฤษฎีควอนตัม กล่าวว่าในวัตถุมีวิญญาณมีพลังงานความเคลื่อนไหวแม้ในความว่างเปล่า ซึ่งทางพุทธสาสนากล่าวไว้เป็นพันปีแล้ว ยังมีเรื่องราวอื่นๆอีกมากมายเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ ไว้วันไหนผม ว่างจากงาน จะมาคุยเรื่องความว่างของจิตอีกซักครั้ง ผมยังย้ำคำเดิมครับว่า อยากให้ทุกท่านอ่านพระไตรปิฏกครับ เราต้องเชื่อด้วยการปฏิบัติจริงครับ อากาศเรามองไม่เห็นเรายังเชื่อว่ามี คลื่นความถี่มองไม่เห็นยังเชื่อว่ามี สิ่งเหล่านี้ถ้าไม่พิสูจน์ก็อย่าคิดว่าไม่มีนะครับ ลองดูแล้วจะรู้ว่าความว่าง ความสงบสร้างความสุขให้เราได้อย่างไรบ้าง แล้วพบกันใหม่นะครับ

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

เพลงกับชีวิต

เพลงกับชีวิต

วันที่ 11 มีนาคม 2549

ทุกท่านคงเคยฟังเพลงกันทุกคน ใช่ครับถ้าไม่หูหนวกหรือมีความผิดปกติทางการรับฟังก็คงต้องเคยฟังเพลงกันมาแล้วทุกคน แต่ที่ผมจะนำมาฝากวันนี้ ผมจะถามเรื่องอารมณ์ของเพลงครับ เรื่องของเรื่องก็คือ ผมได้ฟังเพลงประกอบละคร แคนลำโขง (สวรรค์บ้านนอก) ไอ้ละครเรื่องนี้ผมไม่เคยดูหรอกครับแต่พอดีเปิดมาเจอตอนจบพอดี และก็ได้ยินเพลงนี้ ก่อนหน้านี้ผมเคยฟังที่พี่สุเทพ กับพี่แดงวงโฮป ร้องไว้นานมาแล้ว ได้อารมณ์ไปอีกแบบคือ เสียงพี่แดง นี่ฟังดูบ้านๆกว่าที่ผมได้ฟังวันนี้ วันนี้เสียงเพลงสวรรค์บ้านนอกมันฟังแปลกๆหู อาจจะเพราะสำหรับคนหลายคนแต่สำหรับผม มันเปลี่ยนไป เปลี่ยนไปยิ่งกว่าใจของผู้นำบางคนอีกครับ เสียงพี่แดง พี่สุเทพฟังเป็นธรรมชาติแสดงถึงความซื่อๆของท้องถิ่นอีสานจริงๆ แต่เสียงเพลงสวรรค์บ้านนอกที่ผมได้ฟังวันนี้ รู้สึกถึงความเปลี่ยนไปเลยครับถ้าใครหลับตาฟังเพลงตอนนี้คงรู้สึกได้ถึง อีสานยุคใหม่ ยุคที่สั่งข้าวเหนียว ส้มตำ ผ่าน อินเตอร์เนต หรือภาพชาวนาไถนาไปพลางคุยโทรศัพท์มือถือไปพลาง (คล้ายๆตอนเราขับรถไปด้วยคุยโทรศัพท์ไปด้วย) แต่ผมไม่ได้ว่าเพลงไม่ดีนะครับ ต้องอธิบายให้เข้าใจ เดี๋ยวพวกหมาข้างๆเวป อ่านแล้วเอาไปรุมด่าผมกันอีก แค่อยากบอกว่า เพลงคือสื่อที่แสดงอารมณ์ในแต่ละยุคครับ ถ้าไม่เชื่อลองเอาเพลง ทับหลังของคาราบาวที่ เคยชื่นชอบตอนนั้นมาฟังตอนนี้ ตอนที่คาราบาวต้องใช้เครื่องจักรที่ใช้ผลิตเครื่องดื่มควายๆ ที่สามารถผลิตได้วันละสิบสองล้านขวด นำเข้ามาจากประเทศที่ไปแต่งเพลง ด่าเค้าไว้นั่นแหละ ลองฟังดูว่ายังจะได้อารมณ์นั้นอีกหรือเปล่า

ช่วงนี้มีเพลงออกมาในท้องตลาดมากมาย ทั้งดีและไม่ชอบ(ไม่ใช่ไม่ดี) เพลงสามารถทำให้เราอารมณ์เย็น หรือรุนแรงก็ได้ ให้รัก ให้เกลียด สามารถทำได้ในเพลงแต่ละเพลง เราลองกลับมาฟังเพลงเก่าๆดูเราจะคิดถึงเวลานั้นว่าเราทำอะไรอยู่ ผมเคยกอดคอเพื่อนนั่งกินเหล้าแล้วแหกปากร้องเพลง เราและนาย ของ โลโซหลังจากที่เราใช้เวลาในการไปหาเรื่องตีหัวหมาด่าแม่เจ๊ก กันมาตามประสาวัยรุ่น ตอนนั้นเหมือนกับว่าโลกนี้มีเพียงเพื่อน แต่พอมาฟังตอนนี้ื ไม่ใช่สิ ผมไปนั่งดื่มเหล้ากับพวกคู่หูอันตราย พี่รินทร์ ศักดิ์วุฒิ ที่ริมทะเล สิชลมีคาราโอเกะหยอดเหรียญผมเลยร้องเพลงนี้ แต่ไม่ว่าจะแหกปากยังไีงก็ยังไม่ถึงความรูุู้้สึกตอนนั้นเลย ผมเคยฟังเพลงฝากจันทร์ของ คาราบาวแล้วคิดถึงบ้านแต่เพื่อนผมที่ไปเรียนด้วยกัน มันต้องฟังเพลง คิดถึงบ้านของพงษ์เทพ ถึงจะได้อารมณ์

์ก็แล้วแต่คนครับ เพลงเป็นแค่สื่อ แต่ความรู้ความเข้าใจต้องใช้อารมณ์ของแต่ละคนครับ ฟังเพลงเศร้าตอนที่เราสนุก ฟังเพลงรักตอนอกหัก มันก็ไม่ค่อยเข้ากันซักเท่าไหร่ เราเลยต้องหาฟังเอาเองตามความรู้สึกของเราในขณะนั้น

แต่ ๆๆๆ ใช่ครับมีแต่ ทางพุทธศาสนา กล่าวไว้ว่า จิตเป็นตัวกำหนดรูปทุกอย่างคือความว่างเปล่า ทุกสิ่งเริ่มจากความว่างเปล่า ภาชนะจะใส่อะไรไมได้อีกถ้ามันเต็ม ถ้าเราจะรับรู้สิ่งใดเราต้องทำใจให้ว่างเสียก่อน เราจะรับสิ่งใดเราต้องทำมือให้ว่างเสียก่อน ถ้ามือยังยึดยังถืออยู่เราก็จะไม่สามารถรับสิ่งใดมาได้ เราต้องรู้จักคำว่า ปล่อยวางเสียก่อนครับ เขียนมาเหมือนผมจะเป็นคนดี แต่ขอบอกครับ ผมไม่ใช่คนดีครับ ผมไม่ใช่ผ้าขาวที่มีสีดำหยดใส่ แบบหลายๆคน ผมเป็นผ้าดำ ที่พยายามเอาสีขาวหยดใส่ลงไปเรื่อยๆ ผมพยายามคิดว่าแม้ว่าผมจะไม่สามารถเป็นคนดีได้ ผมจะไม่ยอม เลวไปกว่านี้แล้วครับ

พูดเรื่องเพลงมาดีๆ ออกนอกเรื่องอีกแล้ว ผมต้องเป็นโรคอะไรที่เกี่ยวกับความทรงจำแน่ๆเลยครับ เพลงตอนนี้ที่ผมฟังทุกวัน (ทุกวันจริงๆเพราะตั้งเป็นเสียงเรียกเข้า) คือเพลงของคาราบาวนั่นแหละ ฟังเพลงแต่ไม่ชอบคนร้องไม่แปลกครับ อารมณ์เป็นตัวที่ทำให้เราเข้าใจเพลงครับ สภาพผมตอนนี้คงฟังเพลง รักทุกคน คงไม่ได้ ฟังเพลง ตายกันไปข้าง ก็คงไม่ไหว ได้เต็มที่สบายๆ ก็็้แค่นี้แหละครับ "ไปทำงานรับจ้างก็ทำจริงฉันทำทุกสิ่งยกเว้นประจบเจ้านาย วัดคนเขาวัดกันที่น้ำลาย ลาก่อนเจ้านายฉันไม่ใช่ควายจนตรอก"

จนถึงบรรทัดนี้หลายๆคนคงนึกถึงเพลงที่รัก พรรคที่ชอบกันได้แล้วใช่มั้ยครับ จะฟังหมอลำ มโนราห์ ก็ไม่แปลกครับ ไม่มีคำว่าเชยหรือล้าสมัย คนที่ว่าคนอื่นว่าฟังเพลงบ้านนอกบ้างละ ไม่ทันสมัยบ้างละ ต้องฟังเำพลงฝรั่งบ้างละ คนแบบนั้นไม่มีทางเข้าถึงอารมณ์ของเพลงได้หรอกครับ เราลองมาหาเพลงที่เราชอบเป็นเพลงของเราเองกันดู บางครั้ง บางที เราอาจจะเข้าใจได้ว่า อารมณ์ของเราจริงๆแล้วต้องการความเงียบ ความสงบมากกว่าเสียงใดๆซะอีกครับ


หมายเหตุ

เป็นเรื่องเก่าๆกับความรู้สึกเก่าๆในตอนนั้น กลับมาอ่านวันนี้อาจจะดูแปลกๆไปบ้าง ผมนำมาลงใหม่เพื่อระลึกถึงอดีตในช่วงนั้นครับ ถ้ามีอะไรไม่เหมาะสมก็ขออภัยด้วยครับ

วันอาทิตย์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2553

ความรักระหว่างการเดินทาง...

เพลงถามหาความรัก แอ๊ด คาราบาว

โอ้รักของคนบนพื้นดิน เปรียบดั่งลิ้นกระทบฟันมีวันพราก
หนุ่มสาวเอยเคยคิดไหม วัยวันนั้น วันผันวัยใจผันกาย
เปลี่ยนรู้ไปอย่าให้เหินเกินความจริง

โอ้รักของบิดรและมารดา ดั่งฟ้ากว้างไกลสุดสายตา
หนุ่มสาวเอยเคยคิดไหม......ใครปรารถนา เลี้ยงลูกน้อย ค่อยเติบกล้า
ขุนข้าวปลาอีกขนมและนมเนย

ดวงใจเอ๋ย ดวงใจใครคิดบ้าง สายเลือดสร้างเรามากลับหาใช่
สายเลือดเส้นหล่อเลี้ยงเราเติบใหญ่ สัมผัสไออุ่นแท้ดั่งแม่ตน

ดวงใจเอ๋ย ดวงใจใครคิดบ้าง สายเลือดซ่านจึงห่างเหินแรมไกล
สายเลือดเส้นหล่อเลี้ยงเราเติบวัย มอบอกไออุ่นแท้ดั่งแม่ตน

โอ้รักของคนวกวนเวียน สุดอ่านเขียนความจริงให้รู้แจ้ง
หนุ่มสาวเอย จงเรียนรู้เสาะแสวง จงดัดแปลงไปตามปัญญา
ไปเถิดไป..ถามหาความรักกัน


นานเท่าไหร่แล้วหนอที่ไม่ได้ฟังเพลงนี้ เป็นเพลงเก่าๆของน้าแอ๊ด คาราบาวที่ผมฟังมาตั้งแต่เด็ก ความทรงจำที่เลือนลางเกี่ยวกับเพลงนี้ผุดขึ้นมาในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เปล่าๆๆๆๆ ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องราวที่น่าเบื่อที่ผ่านมาในช่วงนี้หรอกครับ ผ่านแล้วให้มันผ่านเลยไปดีกว่า ที่ผมจะพูดถึงก็คือ เรื่องราวในอีกมุมมองที่ผมได้เห็นในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมานี่เอง

สัปดาห์นี้ผมอยู่ช่วง Plan Work คือต้องไปทำงานที่กระบี่ ตลอดทั้งสัปดาห์ และต้อง Stand Byแทน คู่หู ตลอดทั้งสัปดาห์ ทั้งคืน 24 ชั่วโมงเหนื่อยเต็มที่ สองสัปดาห์ แต่ก็จะได้มาพักอยู่ที่บ้านอีกสองสัปดาห์ แต่ก็สนุกดีเหมือนกัน สัปดาห์นี้ก็พาน้องพงษ์มาช่วยงานอีกเช่นเคย รู้สึกสบายขึ้นมากมีคนช่วยขับรถขนของ เลยไม่เหนื่อยเท่าไหร่มีเวลาชมนกชมไม้บ้าง เลยเป็นที่มาของเรื่องนี้

ผมคิดอยู่ว่าทำไมโลกนี้ความรักถึงได้ขาดแคลนไปจากโลก แต่บางครั้งบางที ผมก็คิดว่ามันไม่ได้หายไปไหน แต่อาจจะกลายพันธุ์เป็น ความรักสายพันธุ์ใหม่อย่างพวกไข้หวัดต่างๆก็เป็นได้ การเปลี่ยนแปลงพันธุกรรมทางความรัก อาจจะทำให้ผมไม่เข้าใจ เพราะการปรับเปลี่ยนอะไรก็ตามก็คงจะเปลี่ยนไปเพื่อรองรับความต้องการของคนกลุ่มนั้น

เคยไปเดินเล่นๆ แถวสะพานพุทธ เมื่อครั้งที่ไปบางกอกครั้งล่าสุด ได้เห็นเด็กๆแต่งตัวกันแปลกๆ แบบชนิดที่ว่าถ้ามาเดินแถวๆบ้านผม ใครๆก็ต้องคิดว่าบ้า เห็นการพูดคุยกันด้วยภาษามือ ที่ดูว่าฮิตกันเหลือเกินสำหรับ โจ๋ สะพานพุทธ ทั้งหลาย จนทำให้ คนชรา สะพานลอย อย่างผมรู้สึกหลงยุคขึ้นมาเลยทีเดียว ผมเดินผ่านๆแอบๆมองวัยรุ่นเหล่านั้นรวมทั้งแอบๆฟังถ้อยคำที่พวกเขาพูดกันก็ได้ยินแว่วๆ ว่า " กูจะไม่รักใครอีกแล้ว กูจะไม่สนใจใครอีก" ประมาณนี้ แล้วผมก็แอบๆ (อีกแล้ว) เหลือบไปมองก้เห็นว่าตัวคนที่พูดน่าจะอายุประมาณ 15 หยกๆ 16 หย่อนๆ ( โฆษณาแฝง) ก็ยังคิดในใจว่า เก่งจังนะตัวแค่นี้ รู้ด้วยว่ารักคืออะไร แล้วผมก็เดินต่อไป.....

หลังจากนั้นผมก็เฉียดๆไปแถวๆปากคลองตลาด เห็นพ่อค้าแม่ค้ากำลังรวบรวมดอกไม้ต่างๆเตรียมไว้ขาย แอบๆยิ้มในใจว่า "ใครว่าสีเหลืองกับสีแดงรวมกันไม่ได้" มาดูที่ปากคลองสิ กุหลาบสีแดงรวมกับดอกอะไรแล้วหนอ..สีเหลืองๆ ใส่รวมกันไว้ในเข่งเดียวกัน เห็นมันอยู่กันได้ไม่เห็นมันกัดกันเลย

เช่นเดียวกันกับพวกศิลปิน ค่ายนั้นค่ายนี้ (ผมว่าเป็นนักร้องมากกว่า ศิลปิน) พอมีค่ายอยู่ก็ ทำตัวเป็นหมามีปลอกคอ ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร ค่ายเล็กๆอย่ามายุ่ง ชั้นอยู่ อาสยองนะ ผมก็อยู่ แกรมม๋า (กรุณาออกเสียงแบบสำเนียงสุพรรณ) ค่ายเล็กๆอย่ามายุ่งชั้นไม่ไปออกงานร่วมด้วยหรอก คนละชั้นกันนะ ด้วยเหตุนี้ ผมจึงรู้สึกสะใจเล็กๆ ที่เห็นแผ่น MP3 ... ไหนว่ามีค่ายไหนว่ามีปลอกคอ ไม่ออกงานร่วมกันกับค่ายเล็กๆ โดน ค่ายเพลงที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย "พันธ์ทิพย์ มิวสิค" จัดทำเป็นอัลบั้มรวมฮิตขายซะทั่วประเทศ โสน้าน่า 5555

ไม่เอาๆๆๆ มันผิดกฏหมาย อย่าไปสนับสนุนของผิดกฏหมายกันเลยนะครับ แค่ยกมาบอกมากล่าวกันเล่นๆว่า จริงๆแล้วผมสะใจลึกๆ แต่ผมไม่ซื้อ แผ่นผี ซีดีปลอมเหมือนกันนะครับ ผมใช้ Down Load เอาครับ 555

กลับมาที่ปากคลองตลาดอีกที ภาพที่ผมเห็นคือ ดอกกุหลาบที่ใครๆ บอกว่าเป็นตัวแทนของความรัก มอบให้กันในวันแห่งความรัก

ตอนนี้มันโดนมัดรวมๆกันไว้ ห่อด้วยกระดาษ หนังสือพิมพ์ ใครได้ความรักช่อนี้ไปคงอึดอัดน่าดู
บางมัดก็โดนยัดไว้ในเข่ง โอ้ ความรักชุดนี้คงจะเป็นความรักสามัคคีแน่ๆ เห็นรวมกันอยู่ได้ไม่แตกแยกไปไหน
บางครั้งเห็นเจ้าของร้านหรือลูกจ้าง (น่าจะพม่า) เดินข้ามไปข้ามมา โอ้ ความรักชุดนี้คงจะถูกมองข้ามจากคนต่างด้าวเสียแล้ว

แต่เมื่อใดก็ตามที่ดอกกุหลาบชุดนี้เปลี่ยนที่อยู่ มันจะเปลี่ยนสถานะ เปลี่ยนคุณค่า เปลี่ยนราคา ไปอย่างที่ไม่มีที่สิ้นสุด อาจจะไปอยู่ในมือ ดารา นักเรียน นักศึกษา หรือแม้กระทั่ง ในมือเด็กๆที่เดินขายดอกกุหลาบให้คนที่มานั่งกินอาหารในร้านตอนกลางคืน อยากจะใส่เครื่องติดตามดอกกุหลาบจังเลยว่า ตั้งแต่มันเกิดจนมันเฉา มันไปอยู่ที่ไหนมาบ้าง มันเป็นตัวแทนของความรักจริงหรือ หรือว่าเป็นสื่อแทน การดิ้นรนทำมาหากิน ของใครๆอีกหลายๆส่วน หลายๆอาชีพกันแน่

แล้วผมก็เดินผ่านไปจาก ปากคลองตลาด มุ่งหน้าสู่ สนามหลวง...

เมื่อมาถึงสนามหลวง สิ่งแรกที่ทำคือนั่งให้หายเหนื่อยครับก็คนมันล่วงเข้าวัยชราแล้วนี่นา 555

แล้วก็เริ่มต้นมองหาความรักกันต่อไป ที่รอบๆสนามหลวงจะเป็นงานวิจัยชั้นเยี่ยมของนักวิชาการที่ศึกษาเกี่ยวกับความรักของมนุษย์เลยละครับ มีหลายครั้งหลายหนที่ได้อ่าน บทความหรืองานวิจัย เรื่อง ความรักกับเซ็กส์ มันเกี่ยวกันหรือเปล่า แต่ถ้ามาสนามหลวง คงจะเข้าใจว่า เซ็กส์ แปรผันตรงกับเงินในกระเป๋า กับรถที่ขับครับ ถ้ามาแท็กซี่ก็ตกลงกันได้เร็ว ราคาไม่สูง รถส่วนตัวก็บอกแพงหน่อย เหลือบๆมองสาวๆที่ทำมาหากินทางนี้เล็กน้อยแล้วผมก็เดินผ่านไป

ก็ดีเหมือนกันนะครับ คนเราสามารถไปนอนกับคนแปลกหน้าได้เพียงเพราะเงินตัวเดียวเท่านั้นเอง เรื่องความรักไม่ต้องมาเกี่ยวข้อง อดคิดไม่ได้ว่า เจ้ากุหลาบแดงๆที่ปากคลองตลาดที่ผมเดินผ่านมาเมื่อกี้ ถ้าเอามามอบให้สาวๆแถวนี้มันจะมีความหมายแทนคำว่า"รัก" หรือเปล่า

จ้างมันเต๊อะๆๆๆ กลับมาเรื่องราวสัปดาห์นี้กันดีกว่า ลากย้อนอดีตกันไปซะยาวเลย ตามประสาคนวัย... ที่ชอบเล่าความหลังไม่รู้จักจบจักสิ้น

สัปดาห์นี้ผมออกไปกับน้องพงษ์เช่นเคย และเป็นเรื่องธรรมดาที่ผมจะไปค่อยเดินทางในเส้นทางสายเก่า ถ้าไม่มีงานด่วน วันนี้ก็ไม่มีอะไรเร่งด่วนผมเลยให้น้องพงษ์ขับไปทางเล็กๆ แทนที่จะวิ่งบนถนนใหญ่ แล้วผมก็เจอความรักที่ข้างทางนี่เองครับ

ปกติการเดินทางไปในที่ห่างไกลเราย่อมเจอลูกสาวชาวบ้านหน้าตาดีๆ หรือที่พวกเราเรียกว่า "ช้างเผือก" กันอยู่บ่อยๆ แต่วันนี้ไม่ใช่ครับ ภาพที่ผมเห็นไกลๆคือ ภาพผุ้ชายตัวสูงใหญ่ กำลังอุ้มเด็กเดินอยู่ริมถนน เมื่อเข้าไปใกล้ๆ ผมก็เห็น สภาพของชายคนนั้น อายุน่าจะ ยี่สิบปลายๆ ไว้ผมยาวรุงรัง หนวดเคราเหมือนคนที่ไม่ได้ดูแลตัวเองมานาน เสื้อเลอะเทอะ น่าจะทำงานเป็นคนงานขนไม้ยางพารา ที่อยู่ในสวนแถวๆนั้น ส่วนเด็กผู้หญิงก็อายุประมาณ ขวบกว่าๆ ไม่เกินสองขวบ หน้าตามอมแมม แต่ยิ้มแย้มดูอารมณ์ดี กำลังหยอกล้อกันไปมากับชายคนนั้นที่น่าจะเป็นพ่อ รอยยิ้มบนใบหน้าของชายคนนั้นดูเป็นสุข หน้าตาของเด็กก็อิ่มเอิบ แสดงให้เห็นถึงสายใยแห่งความรักที่เขาทั้งสองได้เชื่อมต่อกันไว้อย่างแนบสนิท

ผมมองภาพนั้นด้วยความชื่นชมก่อนที่รถจะวิ่งผ่านเลยไป อดคิดไม่ได้ว่า " ผู้ชายคนนี้ได้ค่าจ้างวันละเท่าไหร่" " มื้อเช้าเค้ากินชุดอาหารเช้า ไส้กรอก แฮม ไข่ดาว เหมือนเราหรือเปล่า" "เด็กคนนี้มีของเล่นอะไรที่บ้านบ้างหนอ" "เด็กคนนี้กินอาหารเสริม เหมือนในโฆษณาทีวี หรือเปล่า" "บ้านเค้ามีทีวี เครื่องเสียง แพงหรือเปล่า" "เย็นนี้เขาจะได้ไปเล่น บ้านบอล ในห้างหรือเปล่า"

สารพัดจะคิดแต่บทสรุปคือ นั่นเป็นความรักที่บริสุทธิ์จริงๆที่หาไม่ได้ในคนอีกหลายๆล้านคนในประเทศนี้ บางครอบครัวใช้เงินซื้อความรัก บางครอบครัวไม่มีแม้แต่เวลาที่จะเจอหน้ากัน มันทำให้คิดถึง ความรักสายพันธุ์ใหม่ขึ้นมาอีกแล้วครับ

ความรักที่มอบให้กัน ทั้งความรักระหว่างหนุ่มสาว ระหว่างเพื่อน ระหว่าง คนที่อยู่รอบข้าง เดี๋ยวนี้มันคงจะกลายพันธุ์ไปแล้วจริงๆ

ปริมาณคนไม่ได้มีผลต่อปริมาณความรัก จำนวนคนไม่มีผลต่อความสุขในการได้พบเจอ สองคนที่เดินผ่านผมไปเมื่อกี้คงจะไม่ต้องการบุคคลที่สามเป็นแน่แท้ ในขณะที่เขาทั้งสองกำลังหยอกล้อซึ่งกันและกัน มันทำให้ผมนั่งย้อนกลับมามองตัวเอง ผมรู้สึกว่า " อยู่คนเดียวไม่เหงาเท่าหลายคน"

และเมื่อรถกลับขึ้นสู่ถนนสายหลักอีกครั้ง ผมก็เจอกับแผงขายผลไม้ที่ผุดขึ้นมามากมาย เหมือน หญ้าเจ้าชู้ ( ไม่อยากเปรียบกับดอกเห็ด) ทั้งๆที่ช่วงที่ผมรับงาน Plan Work รอบที่แล้วยังไม่มีเลย ก็คงเป็นเพราะช่วงนี้ผลไม้ออกมามากแล้วนั่นเองชาวบ้านชาวสวนเลยต้องหาที่ขายผลผลิตกันนั่นเอง

ภาพ คนแก่ เด็ก นั่งอยู่บนร้านขายของเด็กๆนอนในเปล ผู้ใหญ่ก็นั่งรอขายของ มันเป็นภาพที่คุ้นตามากๆ สมัยผมเด็กๆผมก็เป็นแบบนี้ นั่งเล่น ขุดดิน อยู่แถวๆที่ที่ย่าผมทำงาน งานของย่าคือ นั่งเหลาก้านมะพร้าวทำไม้กวาดบ้าง ทำนู่นทำนี่ไม่ได้หยุดแต่ก็เลี้ยงหลานชายไปด้วย วันไหนวันพระก็จะพาผมนั่งตุ๊ก ตุ๊ก ไปวัดด้วยเสมอ ทำให้ผมรู้สึกคุ้นเคยกับความรู้สึกแบบนี้มากๆ นั่งมองไปด้วยคิดถึงอดีตไปด้วย อือ...เราเคยเจอความรักแบบนี้แล้วนี่นา เมื่อคิดได้แบบนั้นหัวใจก็อุ่นขึ้นมาทันทีเลยครับ

เก็บ เอาไว้ เธอเก็บเอาไว้ ยัง มีคนต้องการ
ผ่านวันนี้ มาจากเมื่อวาน ยังมีวัน ต่อไป

แอบ เอาไว้ เธอแอบ เอาไว้ ดู ใจให้นานๆ
จำเอาไว้ คารม ไอ้ที่หวานๆ ปากและใจต่างกัน

ซักวันหนึ่ง คงต้องมา อีกครั้ง ซักวันหนึ่ง คงต้องไป
ซักวันหนึ่ง ถึงแม้ บอก ว่ารัก อาจจำต้อง แยกย้าย

วันนี้ เราเจ็บอย่างไง วันต่อไป อาจเจ็บกว่านี้
รักเป็นสิ่ง ที่ดูว่าดี หากว่ามี แต่ความจริงใจ

เผื่อเอาไว้ บ้างเผื่อเอาไว้ เตรียมใจไว้ซักหน่อย
อันความรัก เป็นเพียง แค่เรื่อง เล็กน้อยในชีวิต คนเรา

เจ็บมาแล้ว ก็เจ็บไปแล้วเจ็บ มาจน เข้มแข็ง
หลับซักตื่น พักฟื้น เอาเรี่ยวเอาแรง ต่อสู้ชีวิต กันใหม่


ไม่มีอะไรในเพลงนี้มากไปกว่าการให้กำลังใจตัวเองและคนรอบข้าง ผมชวนน้องพงษ์ไปเดินดูวิถีชีวิตของคนกระบี่ในยามเย็นๆ ที่สวนสาธารณะในเมืองกระบี่ ที่นี่ผมได้เห็นความรักในอีกรูปแบบนึง ผมเห็นเด็กๆวิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน หัวเราะสดใส เด็กผู้ชายหลายคนวิ่งไล่เตะกัน แต่เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ นี่ถ้าคนรุ่นๆผมไปวิ่งไล่กันแบบนี้ใครๆก็คงจะคิดว่า มีเรื่องมีราวกันแน่ๆ

ผมยืนดูอยู่เพลินๆก็มีเสียงตะโกน บอกว่า "พี่ๆ ส่งบอลให้หน่อย" หันไปก็เห็นลูกบาสกลิ้งออกมาจากสนามออกมาใกล้ๆกับที่ที่ผมยืนอยู่ ผมเก็บแล้วโยนกลับไปให้ สิ่งที่ผมได้เห็นคือ รอยยิ้มจากคนหลายๆคน พร้อมคำว่า ขอบคุณครับ ออกมาจากคนหลายๆคนโดยที่ไม่ได้นัดหมาย

โอ้ ความมีมิตรภาพ ไมตรีจิต มันหาได้รอบๆตัวเรานี่เอง ความสุขหาได้จากในหัวใจของเราเอง และที่สำคัญ

"ความสุขที่แท้จริงเกิดได้จาก ภาคปฏิบัติเท่านั้น คนที่รู้ทฤษฏีของความรักทั้งโลก ก็ไม่สามารถหาความสุขที่แท้จริงได้"

"ถ้าไม่รู้จักสร้างมันขึ้นมา"


บ่อยครั้งที่คนพยายามจะแสวงหาความรักด้วยวิธีการต่างๆนานา แต่ก็เป็นได้แค่ชั่วคราว การที่มีคนอยู่รอบข้างมากๆก็ใช่ว่าจะมีคนรักเราจริงๆมากตามไปด้วย บางครั้งคนที่อยู่รอบๆตัวเราอาจจะอยู่ด้วยความเกรงใจ หรือหวังผลประโยชน์ บางอย่างจากเราก็เป็นได้

แต่ตอนนี้ ผมรู้สึกดีๆกับรอยยิ้มของกลุ่มคนที่เล่นบาสอยู่ในสนามเหล่านั้น มันอบอุ่นอีกแล้วครับ

หลังจากนั้นผมก็เดินเลี่ยงจากกลุ่มคนออกมานั่งอยู่ริมทะเล นั่งคิดอะไรๆเล่นๆไปคนเดียว อยู่ดีๆ คำพูดของอาจารย์ที่สอนผมไว้ล่าสุดก็ผุดขึ้นมาในสมอง"ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ อดทน" นี่คือพรที่อาจารย์ให้ผมมาหลังจากที่ไปขอพรที่บ้านอาจารย์มา ท่านถามว่าจะเอาพรจริงหรือพรหลอก ถ้าพรหลอก ก็เอาไปเลย ขอให้รวยๆๆๆๆแต่ถ้าจะเอาพรจริงๆ ก็เอาสี่ตัวนี้ไปปฏิบัติ

คำอื่นอาจจะธรรมดา แต่ท่านย้ำเรื่องความซื่อสัตย์ ไม่คดโกง ซื่อสัตย์ต่อตัวเองและผู้อื่น รวมทั้งเน้นย้ำให้อดทน "ใครจะด่าจะว่ายังไงให้อดทน" ถ้าเราซื่อสัตย์แล้วไม่ต้องกลัว เราต้องซื่อสัตย์ต่อตัวเอง เคยคิดว่าสิ่งใดดีเราต้องมั่นใจในสิ่งที่กระทำ และก่อนจะลาอาจารย์กลับ ท่านยังบอกอีกว่า "เวลาจะกรองคนที่อยู่รอบๆตัวเราออกไปเอง คนที่เข้ามาเพื่อสิ่งใดก็จะจากไปเมื่อไม่ได้สิ่งนั้น" ผมเลยได้รับรู้ถึงความรักในอีกรูปแบบนึง คือความรักระหว่างลูกศิษย์กับอาจารย์ ความหวังดีและความเอาใจใส่ในตัวลูกศิษย์คือคุณธรรมที่มีอยู่เสมอในตัวของอาจารย์

แล้วผมก็คิดว่า "ถ้าไม่ทำตามที่สอนก็อย่ามาอ้อนเรียกอาจารย์"( ท่านพุทธทาสสอนไว้ ) เลยมาปฏิบัติหลายๆอย่างตามที่อาจารย์สอนเช่นเดิม ยังมีอีกหลายอย่างที่ท่านสอนไว้และผมก็ทำตาม การบูชาครู ที่ดีที่สุดคือการปฏิบัติตามที่ครูอาจารย์สั่งสอน ผมจะตอบแทนความรักของอาจารย์แบบนี้ครับ

หลังจากนั่งปล่อยตัวปล่อยใจไปซักพักก็เดินกลับ แต่ก็ยังแว๊บๆๆๆ ไปแอบดู ความรักของเด็กๆ ที่นั่งซบกันริมทะเล อีกนิดและแอบอวยพรในใจให้ไปกันได้ตลอดรอดฝั่งนะครับ เฮ้อ..ความรักมันมีมากมายหลายแบบเหลือเกินและยังมีอีกมากมายที่เรายังไม่เจอและไม่เข้าใจ

ตอนนี้ถ้าเรามีความรักเรามีเพื่อน เราก็น่าจะรักกันไว้ ไม่ต้องเดินทางตามหาความรักจากที่ไกลๆกันอีก ความรักมักจะพังเพราะความเกรงใจ มัวแต่เกรงใจคนนั้นเกรงใจคนนี้ กว่าถั่วจะสุกงาก็ไหม้ จนผมอดคิดไม่ได้ว่า สงสัยผมต้องสร้างความรักสายพันธุ์ของตัวเองขึ้นมาแล้วละครับ ใครอยู่ได้ก็อยู่ อยู่ไม่ได้ก็ไป มีความสุขกับมุมมองของตัวเองดีกว่า

เอาน่า... ปริมาณ ไม่มีความหมายเท่าคุณภาพหรอกน่า 555

นภดล